xs
xsm
sm
md
lg

"ไม่มีเกียรติ แต่มีกิน" ชีวิตอิสระหลังพวงมาลัยไซส์ใหญ่ "ซ้อแดน สิงห์รถบรรทุก"

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เปิดใจนางสิงห์รถหกล้อ ตบเกียร์หักพวงมาลัย ขึ้นเหนือล่องใต้ยันข้ามประเทศ พ่วงตำแหน่งคุณแม่ลูก 4 ช่วงพีคเคยรับทรัพย์ต่อเดือนหลักแสน!! “ผู้หญิงอย่างเราก็สามารถทำได้ มันอยู่ที่ใจ”

ขับหกล้อ ไม่ง้อใบปริญญา

“คุยกับพ่ออยู่เลย โหพ่อ... จะให้มาขับรถอะไรลูกผู้หญิงกันทั้งคู่ แต่พ่อก็สอนเรา เป็นทุกอย่างดีที่สุดแล้วลูก อย่าเพิ่งไปมองว่างานนี้มันแบ่งแยกว่าผู้หญิงหรือผู้ชายต้องทำ มันอยู่ที่เราอยากทำไหม ทำให้มันเต็มที่ แล้วทุกอย่างก็จะออกมาได้ดี

อยากให้มองว่าอาชีพนี้ผู้หญิงอย่างเราก็สามารถทำได้ อย่าเพิ่งกลัวค่ะ มันอยู่ที่ใจ ถ้าเรามีใจรักหรือใจกล้า เราก็สามารถทำได้ค่ะ อย่าพึ่งคิดไปเองว่างานนี้มันสำหรับผู้ชายอย่างเดียว งานขับรถนี้ก็ถือว่าเป็นรายได้ที่ดีอีกทางหนึ่งเลยนะคะ ถ้าเกิดว่าอยากทำ อยากให้มาลองทำกันดูค่ะ”



“ปุระรัตน์ โสพะบุญ" หรือ “ซ้อแดน” พนักงานขับรถบรรทุกหญิงวัย 35 ปี บอกกับทีมข่าว MGR Live พร้อมรอยยิ้ม

เธอเป็นที่รู้จักในหมู่คนขับรถบรรทุก ที่หากมีประเด็นเกี่ยวกับรถประเภทนี้ ก็มักจะถูกสื่อจ่อไมค์สัมภาษณ์เสมอ

และถ้าจะเอ่ยถึงอาชีพคนขับรถบรรทุก ในอดีตหลายคนก็คงจะนึกถึงชายหุ่นบึ้กที่อยู่หลังพวงมาลัย แต่ปัจจุบันเราจะได้เห็นผู้หญิงในวงการนี้มากขึ้น เพราะไม่ว่าจะเป็นเพศใด ก็เข้ามามีบทบาทและส่องประกายได้ในทุกอาชีพ

และ แดน ก็พิสูจน์ให้เห็นถึงความสามารถของเธอ ที่โลดแล่นบนถนนมาแล้วกว่า 13 ปี

สำหรับจุดเริ่มต้นที่พาให้เธอมายึดอาชีพนี้ มาจากผู้เป็นพ่อที่เป็นคนขับรถบรรทุกอยู่แล้ว ได้ชักชวนให้ลูกสาวลองมาขับหลังจากที่เรียนจบ ท่ามกลางคำถามจากคนรอบข้าง "เรียนจบปริญญา แล้วทำไมถึงมาขับรถบรรทุก?"

“เป็นกิจการของเราเองเลยค่ะ พ่อเขาก็ทำไว้ เราก็มาสานต่อ ตอนนี้ให้พ่อวางมือไปแล้วค่ะ ให้พักเลี้ยงหลานอยู่บ้าน ก็เลยทำกับน้องสาวค่ะ มีพี่น้อง 2 คนค่ะ ลูกสาวทั้งคู่ แล้วก็ขับรถบรรทุกกันทั้งคู่ค่ะ มาสายนี้เลย

พื้นฐานพ่อเขาหัดรถกระบะให้เราตั้งแต่อยู่ ม.2 ม.3 หัดให้เราเป็นไว้ ประมาณว่าเวลาใครเป็นอะไร จะได้ไม่ต้องรอกันจะได้ให้ความช่วยเหลือกันด้วยความรวดเร็ว หัดมาตั้งแต่เด็ก ก็เลยเป็นตั้งแต่นั้นมา


[ สองพี่น้องสิงห์รถบรรทุก ]

จบจากคณะเทคโนโลยีการเกษตร เกี่ยวกับพืชศาสตร์การเพาะพันธุ์พืช อยากอยู่กับธรรมชาติ ตอนจบมาใหม่ๆ ขอพักก่อนค่ะ หลังรับปริญญาเสร็จเดี๋ยวค่อยไปทำงาน เรียนจบใหม่ๆ ก็คืออยากพัก

ไปๆ มาๆ มันพลิกผันไปหมดค่ะ พ่อเขาชวนให้มาทำตรงนี้ก่อน งั้นลองมาขับรถกับพ่อไหม เราก็เลยได้มาลอง ตอนแรกเราก็ไม่ชอบค่ะ เพราะว่ามันคันใหญ่ แล้วก็กลัวด้วย ขึ้นครั้งแรกเหมือนนั่งบนหลังช้าง อารมณ์แบบนั้นเลย

แล้วทีนี้พอเราขับเป็นแล้ว เรารู้สึกว่ามันง่ายกว่ารถเล็ก ก็เลยทำยาวมาจนถึงทุกวันนี้ เรารู้สึกว่าชอบ รายได้ก็เยอะ ดีกว่าไปเป็นมนุษย์เงินเดือน แล้วก็เป็นอาชีพอิสระ แต่ว่ามันก็ลุ้นอยู่เหมือนกัน ว่าแต่ละวันจะมีงานหรือเปล่า ไปไหน อะไรยังไง มันไม่ได้มีงานไว้รอเราตลอด มันเป็นงานที่เราต้องหาไปเรื่อยๆ

ทุกวันนี้ก็ยังเจออยู่เลยค่ะ (ยิ้ม) ทุกวันนี้ก็ยังบอกว่าเรียนจบอะไร ไปเรียนอะไรให้เสียเวลา ทำไมไม่มาทำงาน อยากจะบอกว่าการศึกษามีไว้ดีที่สุดค่ะ ถ้ามีโอกาสก็เรียน หาความรู้ไว้เยอะๆ แล้วก็ทำงานอะไรเดี๋ยวค่อยว่ากันทีหลัง”


[ ขับข้ามแดน "ซ้อแดน" ก็รับ ]

จากที่เคยเพียงแค่ติดรถไปกับพ่อเพื่อชิมลาง ตอนนี้เธอได้กลายมาเป็นคนขับรถบรรทุกมือทอง จะขึ้นเหนือหรือล่องใต้ ก็โลดแล่นไปได้ทุกเส้นทางอย่างชำนาญ

“เมื่อก่อนแค่ติดรถไปกับพ่อ พอได้ขับเปลี่ยนช่วยกัน พอเราขับเป็น มีใบขับขี่ เขาก็ปล่อยเลยค่ะ กลายเป็นว่าขับคนละคันกับพ่อ หกล้อคือ ท.2 ขึ้นไปค่ะ ใช้ใบขับขี่ตัวเดียวขับแท็กซี่ รถโดยสารไม่ประจำทาง (ใบขับขี่ ท.2 คือใบอนุญาตการขับขี่ที่สามารถขับรถได้ทุกประเภทอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ใช้ขับรถได้ทั้งรถส่วนบุคคลและรถสาธารณะ)

เป็นคนที่กลัวความเร็ว จะขับรถไม่ประมาทเลยค่ะ พอมาขึ้นขับรถใหญ่ ทำให้เราต้องระวังรอบด้าน ครั้งแรกเลยรู้สึกว่ามันต่างกันมากค่ะ จากที่เราขับคันเล็กๆ พอขึ้นคันใหญ่ต้องปีนขึ้น ความรู้สึกแรกคือกลัวไปหมดค่ะ กลัวทุกอย่าง

รถเล็กก็เริ่มต้นจากเกียร์กระปุก รถใหญ่เป็นเกียร์กระปุก พอเริ่มขับเป็นแล้วเรารู้สึกว่ามันก็ไม่ได้ยาก แต่วิสัยทัศน์ในการมองเห็นเหมือนรถใหญ่ได้เปรียบกว่าเพราะเราอยู่สูงกว่า และเราก็จะมองข้างหน้าได้ไกลกว่า แค่ต้องกะระยะรถให้ถูก

พ่อเหมือนปูทางไว้รอเราอยู่แล้วค่ะ มีงานวิ่งประจำ เราก็สานต่อ งานประจำตรงนั้นก็คือวิ่งแค่ในกรุงเทพฯ ระยะทางไป 50 กลับ 50 โล ก็คือระยะทางใกล้ๆ แต่ถ้าเวลาเราไม่มีงาน เราก็สามารถรับงานนอก บางงานก็เหมือนผ่านนายหน้ามาอีกทีนึง บางงานเราก็รับตรงค่ะ ถ้าสามารถตกลงราคากันได้ เราดูคิวถ้าว่างเราก็ไปให้ได้หมดเลยค่ะ

ไปหมด ขึ้นเหนือล่องใต้ ไปได้ทั่วประเทศเลยค่ะ ทุกวันนี้ก็มีวิ่งต่างประเทศบ้าง ไปไกลสุดก็มีประเทศลาว มีพม่า แล้วก็มีกัมพูชาค่ะ ก็คือวิ่งข้ามไปส่งของให้เขาเลยถึงที่ ย้ายบ้าน ย้ายออฟฟิศ ขนของต่างๆ ขอแค่มันไม่ผิดกฎหมายก็พอ (หัวเราะ)”

ใกล้ - ไกล ไปหมด แต่ของด “แม่สอดเซอร์กิต”

ด้วยความที่เป็นคนระมัดระวังในการขับรถเป็นอย่างมาก ทำให้ตลอด 13 ปีที่ผ่านมา นักขับหญิงคนนี้ไม่เคยมีอุบัติเหตุจนเกิดอันตรายเลยสักครั้ง

“ส่วนมากก็แค่ระวังหลังเวลาถอยแล้วก็เวลาจอด จอดติดไฟแดง มุมอับระหว่างด้านข้าง บางทีมันมองไม่ทั่ว บางทีมอเตอร์ไซค์เขาจอดหลบร่ม จอดเข้าร่ม เราก็ต้องปล่อยให้รถเล็กออกตัวก่อน กลัวเหมือนกันจะทับมอเตอร์ไซค์เอา

อุบัติเหตุส่วนมากจะมีพวกยางระเบิด เหยียบตะปู จะเป็นอย่างนี้มากกว่า แต่ถ้าเกิดว่าไปชนไปอะไรอย่างนี้ยังไม่มี อย่างในกรณียางรถแตก ก็เสิร์ช Google หาเลยค่ะ บริการรับเปลี่ยนล้อ แล้วเขาก็จะมีเบอร์โทร.เราก็ติดต่อเซอร์วิสเองเลยค่ะ

มีเคยไปแตกที่นครสวรรค์เหมือนกันค่ะ 2 ล้อหลังทั้งคู่ระเบิด กว่าจะตามหาร้านเจอก็นานพอสมควรค่ะ ลูกค้าส่วนมากเขาไม่ได้ซีเรียส หรือระบุเวลาว่าคุณต้องถึงก่อนกี่โมงอะไรอย่างนี้ โชคดีตรงนี้ค่ะ

แต่ถ้าเกิดว่าเป็นงานพัสดุ อย่างเคยไปวิ่งงานพัสดุอยู่ครั้งนึง อันนี้เขาจะมีจำกัดเวลาให้เราเลยค่ะ ว่าคุณต้องใช้เวลากี่ชั่วโมงในการถึงปลายทาง เท่านี้ๆ ถ้าเกิดว่าไม่ถึงตามที่กำหนด เราก็ต้องแจ้งระบุสาเหตุ มีรูปถ่ายให้เขา

TimeStamp เวลาถ่ายรูป มันจะระบุวันที่ ระบุเวลา เราก็ต้องส่งหลักฐานให้เขา ช่วงระหว่างตรงนี้เขาทำทางหรือว่าเกิดอุบัติเหตุ ระบุสาเหตุการล่าช้า อันนี้ก็คือไม่มีปัญหา แต่ถ้าเราไม่มีหลักฐาน เราถึงล่าช้า ก็จะมีการปรับเงิน แต่ส่วนมากไม่ค่อยวิ่งแล้วค่ะตามเวลา เพราะรู้สึกว่าชีวิตเรามันอยู่ในความเสี่ยงเกินไปค่ะ เลยวิ่งแค่ทั่วไป”


[ ช่วงพักของชาวรถบรรทุก ]

แม้จะคุ้นชินกับถนนมาแล้วทั่วประเทศ แต่ถึงอย่างนั้นก็มีบางเส้นทาง ที่สิงห์รถบรรทุกคนนี้ขอเลือกที่จะไม่ไป ด้วยเพราะอันตรายของมัน ที่เธอเปรียบเทียบว่าไม่ต่างอะไรกับสนามแข่งรถ

“ตอนนี้ของดเส้นทางแม่สอดค่ะ ไปแล้วรู้สึกกลัว เหมือนชีวิตเรา 50-50 (หัวเราะ) มันเป็นเขาตลอดทางเป็นร้อยกิโลคดเคี้ยวไม่พอ ชันลงแล้วก็ปีนขึ้นไป มันเกร็งแล้วหายใจไม่โล่งค่ะ รู้สึกว่าถ้าพลาดมาก็ทั้งชีวิต ถ้ารอดมาได้ก็คือโล่งค่ะ ก็เลยไม่ขอไปค่ะ ถ้าเกิดงานแม่สอดข้ามพม่า

สำหรับเราไม่ได้เกิดเหตุค่ะ แต่ว่าในข่าวลงบ่อยมาก เขาเรียกว่าเป็น ‘แม่สอดเซอร์กิต’ เหมือนสนามแข่งรถเลยค่ะ ปีนเขาแข่ง (หัวเราะ) แล้วทางคดเคี้ยว เหนื่อยเกร็ง บางทีถ้าเกิดเราไปหนักๆ โห… ปีนแต่ละที บางทีเหมือนรถหมดแรงไป

ความอันตราย รู้สึกว่ามันน่ากลัวค่ะ ก็เลยตัดงานช้อยส์นี้ออกไปเลย บางทีลูกค้ามาของไม่หนักหรอก แค่ 700-800 โล ไม่ถึงตัน แต่เรารู้สึกไปมาแล้วเราใจถอด เวลาไปแล้วรถอุบัติเหตุข้างทาง เราเห็นแล้วเราเหนื่อย เรากลัวค่ะ มันรู้สึกหดหู่ เราก็เลยไม่ไปดีกว่า เพราะว่าอย่างน้อยงานในกรุงเทพฯ หรือว่างานทั่วไปเราก็ยังมีมาเรื่อยๆ ค่ะ”



ส่วนเคล็ดไม่ลับในการแก้ง่วงของตัวเอง ด้วยความที่ว่าเธอเป็นคนไม่ดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน ดังนั้นตัวช่วยที่ทำให้ตาสว่าง ก็คือการเปิดเพลงสนุกๆ พร้อมกับการมีของว่างให้ขบเคี้ยวไปตลอดเส้นทาง

“จัดการกับความง่วงใช่ไหมคะ เปิดเพลงเลยค่ะ เปิดแดนซ์ เปิดอะไรก็ได้ อย่าพยายามเปิดเพลงช้า ไม่งั้นก็จะพลอยง่วงไปด้วยกัน (หัวเราะ) เปิดเพลงสนุกๆ ขับรถไปด้วย เต้นไปด้วย

บางคนก็ติดเครื่องดื่มนะคะ หนูเป็นคนหนึ่งที่ไม่ติดเครื่องดื่มเลย อย่างตัวหนูกาแฟก็ไม่กินนะคะ แต่ว่าจะพกเป็นพวกเมล็ดทานตะวัน แตงโมหรืออะไรก็ได้ที่กินกรุบกรับๆ ให้มันรู้สึกเราต้องโฟกัสตรงนี้ด้วย แล้วก็โฟกัสที่ขับด้วย

มันก็ช่วยได้เยอะเลยนะคะ มันแก้ง่วงได้ดีเลยค่ะ ยิ่งเปิดเพลงไปด้วย แกะเม็ดทานตะวันไปด้วย (หัวเราะ) มันเป็นอะไรที่แบบว่า... ไปได้ต่ออีกยาวๆ จนความรู้สึกเรามันสุดแล้ว ต้องพักแล้ว แต่ถ้าเกิดง่วงจริงๆ ก็ไม่แนะนำให้ฝืนนะคะ แต่ถ้าเกิดว่ามันพอไปได้ หรือว่าสามารถยื้อให้เราขับได้ไกลด้วยความปลอดภัย ก็เปิดเพลงแล้วก็หาของกิน

ถ้าออกเดินทางช่วงกลางวันจะขับได้ยาวไกลค่ะ ขับรถจะไม่ปล่อยให้ตัวเองถึงจุดหลับในเลยค่ะ สมมติว่าออกเช้า ก็ลากยาวได้ถึง 3-4 ทุ่ม แต่ว่าเราก็ต้องแบ่งเวลาพักด้วย พักรถ พักคน หรือว่าแวะกินนู่นกินนี่

แต่ว่าส่วนมากงานมันไม่มีเร่งรีบ ก็คือไปได้เรื่อยๆ เจอจุดไหนที่สวย เราก็จอดถ่ายชมวิว หรือว่าวัดไหนที่ดังๆ เราก็แวะจอดไหว้ ก็เหมือนเราเที่ยวไปในตัว เรารู้สึกว่าแฮปปี้ ให้เราตั้งใจไปเที่ยวโน่นเที่ยวนี่ มันไม่ค่อยได้มีอยู่ในความคิดเราค่ะ แต่ถ้าไปงานเรารู้สึกว่า ไหนๆ ก็มาแล้วแวะสักหน่อย”


[ ทำงานแถมได้แวะเที่ยว ]

ถามถึงรายได้ต่อเดือนหลังหักค่าใช้จ่าย ที่รู้แล้วก็ทำเอาตาลุกวาว แดน บอกว่าช่วงพีคของเธอ เคยรับทรัพย์ถึงหลักแสนต่อเดือนกันเลยทีเดียว

“ตัวเลขกลมๆ นะคะ หักทุกอย่างแล้ว เคยได้อยู่ถึง 150,000 นะคะ หักน้ำมัน หักทางด่วน หักค่าใช้จ่ายแล้ว แต่ถ้าหลังๆ ตั้งแต่พิษโควิดมา ถดถอยๆ อย่างเก่งนี่เหลืออย่างต่ำ 30,000 ก็พอค่ะแต่ละเดือน แต่มันก็ระบุรายได้ไม่ได้ค่ะ ว่าเดือนนี้จะได้เท่าไหร่ ตัวเราก็ลุ้นอยู่ตลอดเวลา ว่างานวันนี้มันจะได้ไปไหน

อย่างราคาวิ่งภายในกรุงเทพฯ เพราะว่าตัวหนูเองอยู่ในกรุงเทพฯ มันก็จะสตาร์ทอยู่ 2,500-3,000 อะไรอย่างนี้ค่ะ แต่ถ้าไกลออกไปหน่อย เราก็อัปราคาเพิ่มตามระยะทาง ช่วงนี้น้ำมันขึ้นด้วย ก็จะไม่ค่อยเหลือเยอะเหมือนเมื่อก่อนค่ะ

แต่เมื่อก่อนก็แปลกนะคะ ราคางานแพงน้ำมันถูก แต่ทุกวันนี้ราคาน้ำมันแพง งานนี่แบบอย่างถูก แล้วก็ตัดราคากันเยอะมาก บางทีไปไม่ได้เราก็จอดดีกว่า เหมือนตอนนี้เราปลดภาระทุกอย่าง งวดก็ไม่มีสักคัน เรารู้สึกว่าเราไม่น่าจะดิ้นขนาดนั้น เพราะมันไม่คุ้มค่ากับการเหนื่อย บางทีเหลือ 500 เหลือ 1,000 สู้เราจอดดีกว่า ถ้าจะเหลือประมาณนี้

ถ้าเกิดวิ่งงาน อย่างน้อยให้มันเหลือขั้นต่ำ 1,500-2,000 ถ้าวิ่งในระยะใกล้ แต่ถ้ามันต่ำกว่านี้ เรารู้สึกว่ามันไม่คุ้มกับค่าซ่อมแซมสึกหรอรถเราอีกทีนึง เพราะทำรถแต่ละทีก็หลักหมื่นเหมือนกันนะคะ ยางก็ล้อละหมื่นแล้วค่ะ”

ชีวิตคุณแม่ลูก 4 มือก็ไกว รถก็ขับ

การขับรถทางไกลในบางเส้นทางที่รับงานมา ทำให้ แดน ต้องใช้ชีวิตบนรถบรรทุก ไม่ต่างอะไรจากบ้านหลังที่ 2 บวกกับการเป็นผู้หญิงที่ต้องเดินทางคนเดียว ทำให้ต้องระวังตัวมากขึ้นยิ่งกว่าเดิม

“(เข้าห้องน้ำ) ปั๊มอย่างเดียวเลยค่ะ เพราะว่ามันรู้สึกเซฟตัวเราเองด้วย เป็นผู้หญิงเวลาไปคนเดียว เราจะไม่แวะข้างทางเลย ก็จะเข้าปั๊ม ลำบากไหม เราไม่เรียกว่าความลำบากค่ะ มันต้องเรียกว่าความเคยชินของเรามากกว่า กินนอนบนรถ

อย่างไปงานตกค้างอะไรอย่างนี้ ไกล เราก็จะมีตะกร้าเสื้อผ้า เครื่องอาบน้ำติดไว้บนรถอยู่แล้วค่ะ แต่เราก็ไม่ได้ซีเรียสค่ะ ก็แวะปั๊มอาบเรียบร้อย แล้วก็มีพัดลมตัวนึง นอนอยู่บนรถ หลังรถก็กว้างค่ะ มันก็นอนได้ในการเดินทาง


อาชีพนี้มันก็เสี่ยงตั้งแต่ขึ้นจับพวงมาลัยแล้วค่ะ เราไม่รู้ว่าข้างหน้าเราจะเจออะไรบ้าง แล้วเราก็พักผ่อนน้อย ถ้านั่งนานๆ นี่ปวดหลังเลยค่ะ ถ้าเราขับแบบปล่อยตัวก็ไม่ค่อยเหนื่อยค่ะ แต่ส่วนมากก็จะเกร็งมากกว่า (หัวเราะ) เกร็งมองทาง เพ่งเล็งทาง หลังๆ มาสายตาก็ไม่ค่อยดีแล้วค่ะ ต้องเพ่งเล็งกว่าปกติ พอรู้ตัวอีกที จอดอีกทีนึงลงรถทีเวียนหัวเลยบางที

เมื่อก่อนปล่อยตัว ปล่อยมากจริงๆ เราทำงานเหนื่อยแล้วเราก็นอนเลย บางทีน้ำก็ไม่ได้อาบ กลับมาเหนื่อยๆ แต่ตอนนี้ก็เริ่มมีพวกอาหารเสริม ตัวบำรุงร่างกาย ตัวเองพักผ่อนน้อยก็ต้องมีตัวช่วย”



นอกจากการเป็นคนขับรถบรรทุกแล้ว อีกบทบาทหนึ่งเธอเป็นคุณแม่ของลูกๆ วัยกำลังน่ารักทั้ง 4 คน แดน ยังได้บอกเล่าประสบการณ์สุดระทึก ถึงขนาดที่เคยรับงานขับรถตอนท้องแก่ จนเกือบคลอดลูกบนรถมาแล้ว

“ถ้าเกิดหยุด 2 วันติด ก็จะพยายามลงไปหาเขาบ่อยๆ นี่ก็ 3-4 อาทิตย์ติดกันแล้วที่ลงไปทุกอาทิตย์ๆ มีงานจันทร์-ศุกร์ พอเสาร์-อาทิตย์ มีเวลาว่างก็ลงไปหาลูกที่ต่างจังหวัดค่ะ 2 วันก็ยังดี อยู่ชัยภูมิค่ะ ตากับยายเลี้ยง เด็กๆ อยู่ที่ต่างจังหวัดเรียนที่นู่นหมดค่ะ เราก็ดูแลทุกอย่าง หาค่าใช้จ่าย ดูแลครอบครัวเป็นหลักเลยค่ะ

ตอนท้อง ขับรถจนคลอดแทบทุกคนเลย คนที่ 2 นี่คือวิ่งงานเสร็จ กลับมานอน ตีห้าของคืนถัดไปก็ปวดท้องแล้วก็คลอดเลยค่ะ ตอนแรกก็ปวดท้องแต่รู้สึกคงยังไม่ออกมั้ง เพราะว่ายังไม่ถึงกำหนดค่ะ อีกเดือนนึง เราก็เลยชะล่าใจ ทีนี้ก็รู้สึกปวดขึ้นๆ เหมือนจะคลอดให้ได้ ก็เกือบจะไม่ทันเหมือนกันค่ะ ไปถึงก็คือได้คลอดเลย แล้วตอนนั้นก็คือใช้ชีวิตอยู่คนเดียวด้วย

คนที่ 3 ไปเชียงใหม่ เลือดออกระหว่างขับไป เรายังสองจิตสองใจ หลุดหรือเปล่า แต่ก็อยู่กับเราจนคลอดออกมา (ยิ้ม) คน 3 คลอดเสร็จ ออกจากโรงพยาบาลได้ 2 วันก็ขึ้นขับเลย แผลก็ยังไม่ดีแต่ก็ต้องไปแล้ว ถ้าเกิดว่าเราไม่ทำมันก็ไม่มีคนทำแล้วค่ะ ตอนนั้นพ่อก็คนละคัน น้องสาวก็ไปอีกคนละคัน แต่ถ้าเกิดเราไม่ไป เราปล่อยปั๊บงานเราไปเลยค่ะ ไปยาวเลยค่ะ

ก็เลยรู้สึกว่าไม่ว่าเราจะท้อง มันก็ไม่เป็นอุปสรรคในการทำงานของเราค่ะ เรายังช่วยเหลือตัวเองได้ ไม่ไม่เป็นภาระ ท้องเราก็ขับ เราก็รู้สึกว่ามันไม่ได้ไปเสี่ยงอะไรที่อันตรายต่อลูกขนาดนั้น เพราะตัวเราก็ระมัดระวังและดูแลดีอยู่แล้ว”



[ ลูกๆ ทั้ง 4 คน กำลังใจของซ้อแดน ]

ด้วยเพราะมีอีกหลายชีวิตที่อยู่ข้างหลัง และอยากให้ทุกคนมีคุณภาพชีวิตที่ดี ทำให้คนขับรถบรรทุกหญิงคนนี้ต้องสู้สุดใจ แม้ตนเองจะเหนื่อยขนาดไหนก็ยอม

“ตัวเราไม่มีน้ำนมให้ลูกกิน งั้นเราก็ทำงานหาเงินซื้อนมมาให้ลูกดีกว่า เพราะว่ามียายคอยเลี้ยงอยู่แล้ว ยิ่งเรามีลูกเยอะ เราต้องทำทุกอย่าง เราต้องสู้ ลูกเราต้องสบาย เราจะมานั่งท้อแท้หรืออะไรก็ไม่ได้ เหนื่อยก็ไม่เคยกลัวค่ะ

ก่อนโควิดจะมาก็ใช้ชีวิตอยู่บ้านที่กรุงเทพฯ กันค่ะ ทีนี้พอโควิดมาก็เลยได้ไปอยู่ต่างจังหวัดกัน เมื่อก่อนเวลาออกต่างจังหวัดผ่านทะเล ก็จะเอาเขาไปด้วย ผ่านที่เที่ยวตรงนั้นตรงนี้ อย่าง ชลบุรี ระยอง หัวหิน พาไปตลอดถ้าตรงกับวันหยุดเขา

ค่าใช้จ่ายในกรุงเทพฯ มันสูงมาก เรารู้สึกว่าไม่ไหว แต่ถ้าเกิดเอาไปเลี้ยงที่โน่น สภาพแวดล้อมก็ธรรมชาติ (หัวเราะ) แต่ก็ให้ความสะดวกสบายให้เขาทุกอย่าง แล้วก็ส่งเข้าเรียนเอกชนทั้ง 4 คน มันก็ยังโอเค

ค่าใช้จ่ายทางโน้น อย่างค่าเทอมของเด็กโรงเรียนเอกชนแถวต่างจังหวัด ก็จะตก 10,000 ต่อคน แต่ค่าใช้จ่ายที่กรุงเทพฯ ตกคนละ 30,000-50,000 ต่อเทอม ต่อคน เรารู้สึกว่ามันหนักไป ก็เลยโอเค งั้นเรียนที่โน่น แล้วเดี๋ยวโตขึ้นหรืออยากเรียนมหา’ลัย เดี๋ยวแม่จะหางานเก็บไว้รอ ก็คือต้องวางแผนไว้เผื่ออนาคตด้วยค่ะ

คิดถึงมาก ถ้าทางด้านการเงินพร้อม อยากเอาลูกมาอยู่ด้วยค่ะ มาอยู่ใกล้ๆ กัน กลับบ้านมาเจอหน้า อยากมีโมเมนต์อย่างนั้นค่ะ”



และด้วยความที่ตนเองปูทางในอาชีพมาอย่างมั่นคง เธอหวังลึกๆ ว่า จะมีลูกสักคน มาช่วยสานต่ออาชีพที่ได้รับสืบทอดมาอีกทีในอนาคต

“เจอทุกวันนี้บางคนยังบอกเลย ไม่ต้องให้ลูกเรียนหรอก เอามาทำงาน ก็เลยบอกว่า ตอนนี้เรามีกำลังที่จะส่งให้ลูกเรียนมีความรู้ เดี๋ยวให้ลูกเรียนไปก่อน แล้วถึงวัยทำงานเดี๋ยวเขาก็ทำของเขาเอง

คาดหวังว่าขอสักคนก็ยังดีค่ะ ไม่ได้คาดหวังทั้งหมด ต้องมีสักคนที่เดินตามรอยแม่บ้างแหละ ไม่ได้บังคับนะคะ แต่ความคาดหวังของเรามีนิดๆ อยากให้ลูกเดินทางนี้เพราะเป็นอาชีพที่อิสระ สุจริต ได้เงินง่าย แล้วก็คิดว่าน่าจะได้เยอะกว่ามนุษย์เงินเดือน เห็นเขาเริ่มต้นกัน 12,000-15,000 หรือ 20,000 เรารู้สึกว่าถ้าเกิดว่าหางานเก่ง เราอาจจะได้มากกว่านั้นก็ได้

แล้วมันก็เป็นอาชีพที่อิสระ เราอยากมีรายได้เยอะเราก็ต้องหางานให้เก่ง แล้วก็ไปงานให้ได้เยอะ หรือถ้าเกิดว่าเราอยากหยุด อยากพักผ่อน เราก็ไม่รับงานก็ได้ อยากให้ลูกทั้ง 4 คน ทำงานอิสระอะไรก็ได้ ที่ไม่ต้องไปเป็นลูกน้องหรือเป็นมนุษย์เงินเดือน เรารู้สึกว่าทำงานอิสระ มีเวลาให้ตัวเอง มีเวลาให้ครอบครัว สามารถไปไหนไปได้ ไปเที่ยว มีเวลาให้กัน”

มีทุกอย่างในวันนี้ เพราะ “อาชีพคนขับรถบรรทุก”

ปฏิเสธไม่ได้ว่าข่าวการกระทบกระทั่งกันบนท้องถนน ที่เราในเห็นกันในโทรทัศน์หรือหน้าฟีดบนโซเชียลมีเดีย มีมาไม่เว้นแต่ละวัน แดน ในฐานะคนขับรถอาชีพมานานนับสิบปี แน่นอนว่าเธอย่อมเคยผ่านประสบการณ์เหล่านั้นมาเช่นกัน

“มีเหตุการณ์แบบนี้เหมือนกัน เรารู้สึกว่าสาเหตุที่รถติดก็เพราะคนแทรก แทรกซ้ายขอบถนน เราก็ไปปิด บางทีเขาก็ปาดหน้าเราขึ้นมา แล้วก็จอดรถลงมาชี้หน้าด่า เราก็ไม่สนใจ เราก็ค่ะๆ ถ้าเกิดว่าเจอคนที่เกินไป เราก็ไม่จำเป็นต้องยอมก็ได้

แต่บางเหตุที่เราเลี้ยวปุ๊บปั๊บ เลี้ยวฉุกเฉิน หลบรถคันข้างหน้า บางทีรถที่ขึ้นมาเขาก็จะมาด่า เรารู้ตัวว่าเราผิด เรารีบขอโทษเลยค่ะ เปิดกระจกขอโทษ อันไหนที่เรารู้สึกว่าเราไปปาดหน้ารถเขาแต่เราก็ไม่ได้ตั้งใจ เราก็ขอโทษค่ะไว้ก่อน บางคนแค่เราขอโทษหรือว่ายิ้มให้เขาโอเค เข้าใจ อารมณ์ก็จะใจเย็นลง แล้วก็จบกันได้ดี แต่ถ้าบางคนมัวแต่ดึงหน้าใส่กันก็เป็นเรื่องค่ะ

เคยเจอเหตุการณ์เป็นรถข้างหน้าเราเหมือนแซงกันไปแซงกันมา เห็นอีกคันเปิดกระจกแล้วก็ยกปืนมาขู่ เป็นเรายังตกใจกลัวเลย ก็เลยรู้สึกว่าการขับรถต้องเคารพกฎหมายจราจรจริงๆ ความมีน้ำใจบนท้องถนนให้กัน อุบัติเหตุก็ไม่เกิดขึ้นค่ะ”



เธอบอกต่อว่า ความต้องการอาชีพคนขับรถบรรทุกในตลาดยังมีอยู่มาก ถึงอย่างนั้นตนเองก็ต้องรักษามาตรฐานในการบริการไว้เสมอ เพื่อครองใจลูกค้า

“บางบริษัทเขาก็ต้องการเยอะนะคะ แต่อย่างของเรามันเป็นงานอิสระ เหมือนเราต้องวัดดวง แล้วดิ้นรนขวนขวายหางานเอง แต่ถ้าเกิดงานบริษัท เขาก็ไม่จำกัดว่าจะเป็นแค่ผู้ชายเท่านั้น บางบริษัทเปิดรับกว้างก็คือรับสมัครผู้หญิง ผู้หญิงก็มาขับเยอะนะคะตอนนี้ ยิ่งเทรลเลอร์หัวลากเจอเยอะมาก เก่งๆ กันทั้งนั้นค่ะ อย่างตัวหนู หนูขับแค่หกล้อ ไม่เคยไปสัมผัสคันใหญ่ๆ

ถ้าเกิดคนที่อยากลองจริงๆ ไม่อยากให้มองว่าทำไม่ได้ หนูก็เป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ คนนึง ไม่อยากให้มองว่าตัวเล็กอย่างเราขับไม่ได้หรอก มันอยู่ที่ใจมากกว่าค่ะ ถ้าใจเรารักหรือชอบ เราสามารถขึ้นขับได้เลย มีใบขับขี่ แล้วก็ออกถนนได้เลยค่ะ

ก่อนอื่นต้องเป็นเด็กรถก่อน ต้องติดตาม ต้องทำความรู้จักกับรถแต่ละคัน รถแต่ละคันก็ไม่เหมือนกัน อย่างน้อยเราก็ต้องมีพื้นฐานในการได้ขับก่อน พอเราขับแล้ว ถอยเป็น กะวัดระยะรถเป็น แล้วก็ไปทำใบขับขี่ พอมีใบขับขี่เราก็ขับได้เลยค่ะ

คู่แข่งก็มีนะคะ แต่งานบริการถ้าเกิดว่าเราทำไว้ดี ถ้าเกิดอัธยาศัยดี การบริการดี ราคากลางๆ ลูกค้าไหว เราไหว มันก็ไปด้วยกันได้ยาวๆ งานรถรับจ้างมันเป็นงานบริการเหมือนกันนะคะ ถ้าเกิดว่าเราทำไว้ดี ลูกค้าก็ติด ไม่เร่ง ไม่รีบ บางทีขนของหนักมันก็เร่งไม่ได้ มันต้องค่อยๆ ขนขึ้น แต่เราไปเราไม่บ่นค่ะ ตามสบายเลยพี่ ถ้าเหนื่อยก็พักกันก่อน”



เรียกได้ว่าการตัดสินใจของบัณฑิตหมาดๆ เมื่อ 13 ปีที่แล้ว เป็นการเลือกเส้นทางที่ถูกต้องสำหรับตนเอง แดน บอกว่าที่มีทุกอย่างในวันนี้ ก็เพราะ “อาชีพคนขับรถบรรทุก”

“อาชีพนี้มันให้ทุกอย่างค่ะ มันสามารถเลี้ยงเราได้ มันเป็นอาชีพที่ไม่มีเกียรติแต่มีกิน คนชอบมองอย่างนี้ แต่ก็รู้สึกว่า เรามี เราสร้างตัวตนของเราขึ้นมาได้ ก็เพราะอาชีพนี้เลยค่ะ

เราก็อยากขอบคุณคุณพ่อที่ดึงเรามาทำงานด้วย เพราะยังไม่รู้เลยค่ะว่าตัวเองจะไปทำงานอะไร หรือว่าจะเดินไปทางไหน ก็เคยอยู่ในช่วงระหว่างสับสน เห็นเพื่อนๆ เห็นรุ่นพี่เขาไปเป็นนักวิชาการเกษตร หรือว่าทำไร่ทำสวนของตัวเองที่ใหญ่ๆ

เราชอบก็จริง แต่เราต้องเลือกว่าอะไรที่สามารถทำรายได้ให้ครอบครัวเรากินอิ่มนอนหลับ มีความเป็นอยู่ที่สบาย เราเลือกแล้วอาชีพนี้แหละ รู้สึกว่ามันหาได้เยอะ ขึ้นอยู่กับความสามารถของเราด้วย ว่าเราจะหาลูกค้า หางานในแต่ละวันได้ยังไง

บางคนก็ถามเรา ‘เจ๊ ผมออกรถมาผมขอไปวิ่งด้วยได้ไหม’ มันไม่ได้ง่ายเลย กว่าเราจะมีงานวิ่งจะถึงทุกวันนี้ มันก็ใช้เวลาพอสมควรกว่าที่คนจะรู้จัก กว่างานบริการแล้วจะออกมาดี ของแบบนี้มันเป็นจังหวะของชีวิตด้วยค่ะ มันก็บอกไม่ถูก”



ตลอดเวลากว่า 13 ปี ที่ใช้ชีวิตอยู่หลังพวงมาลัยรถบรรทุก คนขับสาวบอกกับเราว่า ไม่มีวันไหนที่รู้สึกเบื่อเลย และตั้งใจจะทำอาชีพสุดรักนี้ไปจนกว่าตัวเองจะขับไม่ไหว

“ไม่รู้สึกเบื่อเลยค่ะ แต่รู้สึกเบื่อเวลาไม่มีงานมากกว่า ถ้าเวลามีคนโทร.เข้ามา รถว่างไหม ไปนู่นไปนี่ให้หน่อย เรารู้สึกกระชุ่มกระชวย ตื่นเต้น เหมือนเรามองเห็นเงิน (หัวเราะ) เพราะทุกวันนี้มันขับเคลื่อนด้วยเงินค่ะ มันเป็นปัจจัยหลัก

ทุกวันนี้มีฟรีแต่อากาศ เดินออกนอกห้อง น้ำก็ต้องซื้อ ข้าวก็ต้องซื้อ ค่าใช้จ่ายทุกอย่าง เดินทางก็ต้องน้ำมัน ก็เลยรู้สึกว่าดิ้นรนกันอยู่ทุกวันนี้ก็คือเงินทั้งนั้นค่ะ ถ้าขาดไปทุกข์แน่ๆ ยิ่งลูกๆ เรายิ่งรู้สึกไม่อยากให้เขาเริ่มต้นคำว่านับหนึ่ง เริ่มจากศูนย์หรืออะไรอย่างนี้ เราอยากสร้างไว้รอแล้วให้เขามาสานต่อ

เมื่อก่อนเคยคิดว่าอยากเป็นเจ้าของรถหลายๆ คัน มีลูกน้องหลายๆ คน แต่ตอนนี้เราทำของเราเอง เราสบายใจแล้วก็พออยู่ได้ ไม่ได้เยอะมากมาย แต่มันสามารถเลี้ยงครอบครัวได้ ก็คือขอหยุดแค่ตรงนี้ก่อน ก็จะทำอันเดิมให้ให้ดีไปเรื่อยๆ

มันไม่มีอายุงานค่ะ ถามว่าจะขับไปถึงเมื่อไหร่ สำหรับหนูนะคะ หนูจะทำไปเรื่อยๆ จนกว่าตัวเองจะรู้สึกว่าทำไม่ไหวค่ะ หรือว่าช่วงจังหวะที่มีลูกคนใดคนหนึ่งมาสานต่อ ก็เหมือนพ่อ พ่อเขาก็เคยตั้งใจว่าเขาก็จะทำไปเรื่อยๆ จนเขาไม่ไหว แต่พอวันนึงตัวหนูกับน้องสาวเข้ามาบริหาร เข้ามาสานต่อแทน ตอนนี้พ่อได้พักแล้ว แล้วเราก็รู้สึกว่าสบายใจ

สำหรับใครที่อยากเรียกใช้บริการรถบรรทุก ไม่ว่าจะเป็นย้ายบ้าน ย้ายออฟฟิศ ขนของหรืออะไรต่างๆ นานา รับขนทุกอย่างยกเว้นของผิดกฎหมาย สามารถติดต่อได้ในช่องทาง Facebook ‘แดน ปุระรัตน์’ หรือว่า TikTok ‘เลดี้ตู้ทึบสิบบาน’ ค่ะ”

สัมภาษณ์ : ทีมข่าว MGR Live
เรื่อง : กีรติ เอี่ยมโสภณ
ขอบคุณภาพ : Facebook "แดน ปุระรัตน์"



** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **




กำลังโหลดความคิดเห็น