xs
xsm
sm
md
lg

ฮุคซ้ายพุท ฮุคขวาโธ! “คนตื่นธรรม” ปลุกคนให้ตื่น ด้วยธรรมะสไตล์ฮาร์ดคอร์!! [มีคลิป]

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เขาคือ "คนสอนธรรม" ที่ฮอตที่สุดในตอนนี้ ด้วยสไตล์ตอบคำถามแบบตัวตึง ทั้งตบหัวเรียกสติ ทุบหลังให้ตาสว่าง บอกเลยไม่มีคำปลอบใจ นี่แหละคือธรรมะที่แท้สไตล์มาแรงในแบบตัวเอง ย้ำชัด “สังคมเรามันหยาบมาก มันต้องขัดเพื่อให้เข้าถึงเนื้อใน”






“คนตื่นธรรม” ทำช็อตฟีลทุกความเชื่อ

พนันได้เลยว่าบรรดาสายท่องโซเชียลฯ ในตอนนี้ ร้อยทั้งร้อยคงไม่มีใครไม่รู้จัก “อ.เบียร์” จากช่อง TikTok @kontuenthum (คนตื่นธรรม) เจ้าของคลิปไวรัลการตอบข้อสงสัยจากชาวเน็ต ในเรื่องความเชื่อต่างๆ

ตัวอย่างเช่น ‘ห้ามกวาดบ้านตอนกลางคืน?’, ‘มีเสาไฟหน้าบ้านผิดหลักฮวงจุ้ย?’, ‘กินข้าวไปด้วย ร้องเพลงไปด้วย แล้วจะได้ผัวแก่?’, ‘ทำไมพระต้องโกนหัว’ และอื่นๆ อีกมากมายนับไม่ถ้วน ในสไตล์ดุดันไม่เกรงใจใคร

บวกกับการสอนธรรมะที่แซบแต่ย่อยง่าย จนหลายคนบอกว่า ตั้งแต่ฟังธรรมจาก อ.เบียร์ ก็ใช้ชีวิตง่ายขึ้นเยอะ และนั่นก็เป็นจุดที่พาให้เขา มีผู้ติดตามบน TikTok แล้วถึง 1.6 ล้านคน

แต่หลายคนคงกำลังสงสัย ว่า อ.เบียร์ เป็นใคร มาจากไหน และอะไรที่พาให้เขามาสนใจในพระพุทธศาสนา เรามารู้จักชายคนนี้ให้มากขึ้นไปพร้อมๆ กัน ตามบรรทัดต่อจากนี้



“เริ่มต้นจากเรียนจบมหา'ลัยกรุงเทพ คณะนิเทศศาสตร์ สื่อสารแบรนด์ แรกๆ ก็ลุ่มๆ ดอนๆ เริ่มต้นการทำธุรกิจ มาใหม่ๆ ก็ไฟแรง อยากรีบทำงาน ทำร้านซักรีดอยู่ที่ห้วยขวาง ตอนนั้นเรายังไม่เป็นเนอะ ยังไม่มีประสบการณ์ คนไม่เคยมีความรู้ เราก็ไปทำงาน ใช้ชีวิตของเรา ปรากฏว่าอยู่ได้ไม่นานไม่ถึงปีก็ต้องปิด หอบข้าวหอบของกลับบ้าน

แล้วเราก็เริ่มต้นด้วยการนับหนึ่งใหม่ เป็นพนักงานประจำ ทำหลายอย่างก็เกี่ยวกับด้านการตลาด บริษัทแรกที่ไปทำก็เป็นบริษัทร้านทองที่มีสาขามากที่สุดในประเทศไทย มีอยู่ 300 กว่าสาขาทั่วประเทศ เริ่มต้นจากการเป็นการตลาดที่นั่น

ก็ค่อยๆ ขยับเงินเดือนไปจนเงินเดือนไป 40,000 - 50,000 ก็เป็นระดับผู้จัดการ แล้วก็เปลี่ยนบริษัทไปอีกหลายที่ เป็น consult การตลาด เป็นที่ปรึกษาในการสร้างแบรนด์ จากเงินเดือน 50,000 - 60,000 ก็ไปเป็นหลักแสน

เราก็มีชีวิตบริบูรณ์สมบูรณ์ดีทุกอย่าง มีบ้าน มีรถ ก็ซื้อบ้านเองอะไรเอง จนวันนึงมันติดปัญหาทางเศรษฐกิจของตัวเราเองหลายอย่าง กับเหตุปัจจัยที่เราเคยไปสร้างมา มันก็เป็นหนี้พะรุงพะรัง ด้วยบริบทของสังคมที่เราอยากมีหน้ามีตาในสังคม เงินที่หามาได้มันไม่ท่วมรายจ่าย รายจ่ายมันมาก ก็จะเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เริ่มทุกข์แล้ว”


[ หนุ่มการตลาด สู่เจ้าของสำนักดูดวง ]
จากงานประจำที่เมื่อเริ่มมีสังคม ค่าใช้จ่ายเยอะขึ้นเป็นเงาตามตัว ด้วยปัญหาชีวิตที่เกิดขึ้น ทำให้หนุ่มพนักงานออฟฟิศคนนี้ จับพลัดจับผลูเข้าสู่แวดวงสายมู เพราะมีความคิดว่านี่น่าจะเป็นหนทางช่วยให้พ้นทุกข์ได้ เขาจึงตั้งตัวเป็นอาจารย์พร้อมเปิดสำนักหมอดูของตัวเองขึ้นมา เพื่อทำพิธีแบบครบวงจร

“แรกๆ ก็ดูดวงไปด้วย ทำงานประจำไปด้วย ตอนหลังมาก็เริ่มต้นมาตั้งสำนักเอง ก็ลาออกจากงานประจำ ทำไปๆ ลูกศิษย์ก็เริ่มเยอะขึ้น เราก็ทำพิธีทุกอย่างเหมือนหมอดูทั่วไป ขายของวัตถุมงคล ดูดวงพยากรณ์ อาบน้ำมนต์ ตั้งศาลพระภูมิ พิธีบวงสรวง ก็ทำหมดทุกอย่างที่ทำได้

ที่บ้านสมัยอาจารย์เป็นหมอดู เดือนนึงอาจารย์ตั้งโต๊ะบูชาบวงสรวงอย่างเดียว เดือนนึงไม่ต่ำกว่า 10,000 บาท ซึ่งคนทั่วไปเต็มที่ก็อาทิตย์ละ 2,000 ค่าหมากพลู บุหรี่ พวงมาลัย แต่อาจารย์ไหว้ธรรมดาไม่ได้ มันต้องผลไม้ มันต้องเรียงเป็นพาน 5 อย่าง มันต้องเอาสวย เพราะมีลูกศิษย์มาหาเนอะ บายศรีต้องมี หมากพลูต้อง 108 -109 คำ



ถ้าเป็นหมอดู เรตตอนอาจารย์ดูคนละ 300 ดูดวงทั่วไปประมาณ 40 นาที ก็ดูทุกอย่างดูเท่าที่ดูได้ ถ้าเป็นลงนะหน้าทองก็ยืนพื้น 300 เหมือนกันเพราะไม่ได้ทำอะไรเยอะ อาบน้ำมนต์จะเป็น 500 เป็น 999 ราคาชาวบ้านเลย จะไม่ได้คิดแพงเลย

แต่ถ้าจะแพงจะเป็นพิธีใหญ่ เช่น ทำพิธีแก้ของ ตั้งพิธีบวงสรวงบายศรี อะไรเยอะแยะมากมาย อันนี้จะแพงเพราะค่าของ ก็จะอยู่หลักประมาณ 30,000 - 40,000 แล้วแต่ของว่าเยอะน้อย โดนมากโดนน้อย

หมอดูมีเจตนาดีไหม ตอนอาจารย์ดู อาจารย์ก็มีเจตนาดีนะ อยากช่วยคนจริง แต่ความอยากช่วยคนก็อยากได้สิ่งตอบแทนกลับคืนมา ก็คือรายได้ พอมันเป็นอาชีพปุ๊บ ความโลภจะเข้าเลย จะบอกว่าหมอดูไม่มีความโลภ เป็นฐานะที่เป็นไปไม่ได้ ช่วยคนอย่างเดียวก็เป็นฐานะที่เป็นไปไม่ได้ ถ้าช่วยคนอย่างเดียวก็อย่าเก็บตังค์ ถ้าเก็บตังค์ไม่เรียกว่าช่วย เรียกว่าอาชีพ”

แหวกเบื้องหลังสำนักหมอดู

การเข้ามาอยู่ในวงการสายมูของ อ.เบียร์ ก็เรียกได้ว่าสุดขั้ว เพราะไปถึงขึ้นรับทำพิธีสาปแช่งก็ยังมี!!

“คำว่า สุด คืออาจารย์ทำทุกอย่าง อาจารย์ขับรถไปบางแสนในวันเพ็ญ ก็ไปทำพิธี ทำแบบไม่นอน ตั้งแต่เย็นวันนี้จนถึงเช้าวันรุ่งขึ้น ลงไปอาบน้ำในทะเล อาบน้ำเพ็ญ คนทั่วไปอาบน้ำคลอง เอาโอ่งมาตั้ง อาจารย์ลงทะเล มันสุดกว่า

คนอื่นอาบน้ำมนต์ก็แค่น้ำธรรมดา อาจารย์ใช้น้ำนมในการอาบน้ำมนต์ คนอื่นใช้ธูป ก้านธูปธรรมดา อาจารย์ใช้ธูปอันใหญ่มหาศาล ยาวแทงฟ้า จุดประสงค์คือต้องการให้เทพเทวาเห็นจุดเด่น สร้างความพิเศษเพื่อให้เทพเทวาเห็น

พวกหมอดูเดี๋ยวนี้ก็ปรุงแต่งกันเอง อาจารย์ก็เคยทำพิธีสาปแช่งคนสมัยตอนที่เป็นหมอดู แต่วันนึงเราย้อนกลับมาดู ตายล่ะ เรามีจิตอกุศลตลอดเวลาในการอาฆาตพยาบาทมาร้ายต่อบุคคลอื่น ทั้งๆ ที่บุคคลนั้นไม่ได้เป็นศัตรูเรา เป็นศัตรูของลูกศิษย์เรา แต่เรากลับทำพิธีสาปแช่งให้คนอื่นฉิบหายวายป่วง เราทำเอาเงินจากลูกศิษย์เพราะค่าพิธีมันแพง เราเอาตัวไปแลก”



ในฐานะที่เคยเป็นหมอดูมาก่อน เขาก็ได้ช่วยสะท้อนเบื้องหลังอาชีพนี้ ที่ไม่เพียงแค่อาศัยดวงชะตา แต่ต้องมีสถิติและหลักจิตวิทยาเข้ามาใช้ร่วมกัน

“อนิจจังมันไม่เที่ยง มันมีความเปลี่ยนแปลง เพราะฉะนั้น สิ่งที่มันไม่เปลี่ยนแปลงคืออะไร ก็อดีต ไม่เปลี่ยนแปลงแล้ว แต่ปัจจุบันกับอนาคตยังเปลี่ยนแปลง ปัจจุบันเป็นเหตุผลของอนาคต อนาคตมันมีความแปรปรวนเป็นธรรมดา

เพราะฉะนั้น มันจึงมีความแม่นบ้างไม่แม่นบ้าง ก็อาศัยหลักสถิติ อย่างอาจารย์ดูดวงมันจับ KPI จับสถิติ จับว่าผู้หญิง ผู้ชาย กลุ่มนี้ ประมาณนี้ เวลาเจอเรื่องแบบนี้มันจะคล้ายๆ กันหมด ก็จะเริ่มจดใส่ตำราไว้เพื่อกันลืม

เจอหลายคนเข้า มันเป๊ะเลยว่ะ มันเจอเหมือนกันเลย พอเวลาเราคุย เราก็สังเกตสีหน้าเขา รู้สึกว่าแม่นไหม ทายไป หน้าตามันว้าวก็ใส่เรื่องนั้นเลยเต็มที่ ทีนี้ก็ลากยาวเลย มันก็จะเริ่มพูดออกมาให้เราฟัง



เทคนิคหมอดูคืออะไร ถาม มันเป็นหลักโลจิกตรรกะ หลักจิตวิทยา หมอดูหลักจิตวิทยาสูง เขามองคนตั้งแต่เดินเข้ามาในบ้าน ขับรถอะไร แต่งตัวยังไง ใส่เสื้อผ้าอะไร แล้วเขาจะมาประเมินอีกทีนึงคือโต๊ะดูดวง ว่าแต่งตัวเปลือกหรือเปล่า

บางคนแต่งตัวดีมากแถมเงินเยอะจริง ไอ้พวกนี้โดนแน่ ต้องมีอะไรติดออกจากบ้านไป ต้องจ่ายเงินเยอะแน่นอน ถ้าไม่ได้ครั้งนี้ครั้งหน้าต้องได้ มันวางอย่างนี้กันหมด มันต้องหาเรื่องเอาเงิน ทำพิธีต้องมี เพราะมันซัดเงินได้ 300 จะเอาอะไรอุตส่าห์มีคนรวยหลุดเข้ามาแล้ว หมอดูมันโลภหมดเพราะกิเลส มันไม่ได้อยู่กับธรรม”

อดีตหมอดูรายนี้ยังย้ำอีกว่า ศาสตร์การดูดวงได้ถูกจำกัดด้วยกาลเวลา ผิดกับหลักคำสอนพระพุทธเจ้า ที่จะเป็นจริงเช่นนี้ตลอดไป

“สถิติมันใช้ได้ในบางช่วงเวลา การทำวิจัยอะไรก็แล้วแต่ในโลก อย่าง โพลสำรวจนายกรัฐมนตรี แต่ละปีก็จะไม่เหมือนกัน ความนิยมของแต่ละคน พฤติกรรมการใช้ชีวิตของแต่ละคน แต่ละยุคมันไม่เหมือนกัน

การที่ทำสถิติขึ้นมา มันไม่ได้หมายความว่าในยุคก่อนจะต้องเหมือนในยุคนี้ เพราะว่าบริบทสังคมมันเปลี่ยนหมด ในอดีตคนอยู่กันแบบไม่มีน้ำไม่มี ไม่มีไฟ ดวงก็อย่างนึง ปัจจุบันคนอยู่มีน้ำ มีไฟ มีกิจการงานมากมายก็อีกอย่างนึง เพราะฉะนั้น จะใช้สถิติเมื่อ 100 กว่าปีที่แล้ว มาเปรียบเทียบกับสถิติในปัจจุบัน จึงเป็นฐานะที่เป็นไปไม่ได้



ศาสตร์ต่างๆ นานา ที่เกี่ยวกับการดูดวง มันถูกจำกัดด้วยกาลเวลา แต่ผิดกับหลักคำสอนพระพุทธเจ้า ที่มันไม่ถูกจำกัดด้วยกาลเวลา มันจะจริงอย่างนี้ไปตลอดทุกครั้ง ไม่ว่าจะผ่านไปอีกกี่พันปี ก็ยังเป็นอย่างนี้

พระพุทธเจ้าบอกว่า ไม่มีใครสามารถพยากรณ์ได้โดยไม่ผิดพลาดคลาดเคลื่อนเลย มีคนเดียวในโลกคือพระองค์ ที่เหลือพลาดได้หมด จะเก่งวิเศษวิโสแค่ไหน จะเป็นอรหันต์ที่ใกล้ชิดพระองค์แค่ไหนก็ตาม ไม่มีใครพยากรณ์ไม่พลาด เพราะพระพุทธเจ้าเป็นคนเดียวที่เห็นตั้งแต่ต้นยันจบ ที่เหลือเห็นประมาณนี้ ในประมาณนี้จะมีความแปรปรวนได้อยู่

พระพุทธเจ้าเลยบอกว่าอาชีพหมอดูตายไปไปเกิดเป็นเปรต พระไตรปิฎกชัดเจนเลย และเปรตเป็นภพที่ทรมานมาก เพราะอะไร ทำเดรัจฉานวิชา ดึงคนให้เกิดความเห็นผิด แล้วหลงใหลในสิ่งเหล่านั้นว่าจะแก้ทุกข์ แก้กรรม

จนถูกขวางกั้นอริยสัจ 4 คือความจริงอันประเสริฐของพระพุทธเจ้า ทำให้เขารู้เห็นตามความเป็นจริงไม่ได้ ก็หลงใหลได้ปลื้มโง่งมงายกับสิ่งเหล่านั้น สุดท้ายก็พ้นทุกข์ในชาตินี้ไม่ได้ ก็ไปเกิดแก่เจ็บตายทนกับความทุกข์เหมือนเดิม”

เพราะมีบ่วง จึงยังบวชไม่ได้

อีกเหตุการณ์สำคัญ คือช่วงการระบาดหนักของโควิด-19 เมื่อราว 3 ปีก่อน เขาเองก็เป็นหนึ่งในผู้ป่วยที่อาการหนัก แต่สุดท้ายก็ผ่านวิกฤตครั้งนั้นมาได้ ส่วนหนึ่งเพราะมีธรรมะเป็นสิ่งยึดเหนี่ยว

“เราก็เริ่มมาฟังธรรมจากพ่อแม่ครูบาอาจารย์ หลวงตามหาบัว ก็ฟังไปๆ เราก็เริ่มปฏิบัติตาม ตอนแรกก็ไม่ได้มีอะไร แต่ไปเจอโควิด 3 ปีที่แล้ว ช่วงที่เขากำลังเสียชีวิตกันเยอะๆ ทุกวันนั้นก็เริ่มปฎิบัติธรรมแล้ว แต่ยังเป็นหมอดูอยู่

จนวันนึงเป็นโควิดแล้วก็ป่วย องศาของไข้มันสูงถึง 40 องศา เราก็คิดว่าเราตายแน่แล้ว ไม่รอดแน่ ก็เลยภาวนา พุทโธ อย่างที่หลวงตาบัวสอน ภาวนาไปๆ ปรากฏว่ามันไม่อยู่ มันไม่มีสติ มันอยู่กับความเจ็บปวด มันกลัวความตาย

พอเวลามันหาย โอเครอด ไม่ลงปอด รอดเสร็จปุ๊บ เราก็เลยตัดสินใจว่าไม่ได้แล้ว ที่พ่อแม่ครูบาอาจารย์สอนมาเราปฏิบัติไม่ได้เลย พุทโธไม่อยู่ใจ ไปอยู่กับเรื่องโรคภัยไข้เจ็บ มันไปเกาะอยู่กับเวทนาตรงนั้น

นับจากวันนั้นที่หายป่วย เสร็จแล้วก็เริ่มภาวนาเดินจงกรม นั่งสมาธิ แล้วก็เร่งทำความเพียร ภาวนาไปเรื่อยๆ ศึกษาไปเรื่อยๆ จนเรารู้เห็นตามความเป็นจริงได้ พอจะมีคุณธรรม จริยธรรมในการเปลี่ยนแปลงตัวเอง”



แม้การปฏิบัติภาวนาจะช่วยให้จิตใจสงบ และเป็นผลดีต่อการดูดวงที่ทำอยู่ตอนนั้น แต่ อ.เบียร์ บอกว่า ยิ่งเป็นการเสริมเดรัจฉานวิชา แต่ไม่เสริมปัญญา และความทุกข์ก็ยังคงอยู่

“หลังจากโควิดเราก็เริ่มภาวนา เราเริ่มเร่งความเพียร เดินจงกรม นั่งสมาธิตามพ่อแม่ครูบาอาจารย์ ตามหลักคำสอนที่เราศึกษามา โดยหนังสือตำราที่เรียกว่าพุทธวัจนะ ก็คือดึงมาจากพระไตรปิฎกในส่วนที่เป็นพุทธวัจนะ แล้วเราก็ฟังจากครูบาอาจารย์หลวงตามหาบัว ก็คู่กันไปว่าตำรากับท่านสอนตรงกันไหม เพราะท่านปฏิบัติตนได้สภาวะธรรม

ก่อนหน้านี้เราภาวนามามาก แต่ว่ามันก็ไม่ได้อะไร มันเหมือนแค่ความสงบเฉยๆ เรารู้ว่าการปฏิบัติคือสมถะ คือความสงบ วิปัสสนาคือปัญญา ความสงบมันอิ่มอยู่ในอารมณ์อันเดียว รู้ลมหายใจเข้าพุท หายใจออกโธ ทีนี้มันจะไปต่อยังไงล่ะ

จนไปฟังหลวงตามหาบัว ท่านก็บอกว่าวิปัสสนาคือไปตามเห็น ตามเกิดดับของจิต พิจารณาเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เราก็เริ่มทำตาม เมื่อก่อนภาวนา 6 โมงเย็นถึง 4 ทุ่ม นอน ตี 3 ตื่นมาภาวนาต่อถึง 6 โมงเช้า เราก็มาทำงานของเราต่อ

ตอนนั้นเราดูดวงไปด้วย เราภาวนาไปด้วย แน่นอนเรื่องเดรัจฉานวิชาที่เราดูดวง ดูอะไรใครก็แม่นไปหมด มันเสริมเรื่องเดรัจฉานวิชา มันไม่เสริมปัญญา อยู่ไปไม่มีความเจริญ มันมีแต่ความทุกข์อย่างเดียว ก็เดินออก

เราอยากช่วยคนแต่มันช่วยไม่ได้ มันมีแต่ทำให้คนจมลงในความเห็นผิด ในทิฏฐิที่ทำให้คนหลงผิดไปในสิ่งเหล่านั้นว่าแก้ทุกข์ได้ แต่ตัวที่เรากำลังฝึกปฏิบัติ ปัญญาที่เรากำลังพิจารณาอยู่ต่างหาก ทำให้คนหมดจากความทุกข์ได้ มานั่งพิจารณาใคร่ครวญจนเราเห็นปัญญา ก็หยุดดูดวง ตัดจบหมด จนเราเห็นว่าอยู่ไม่ได้แล้วในทางฆราวาส ก็เลยตัดสินใจไปบวช”



[ ก้าวขาสู่ธรรม ]
ชีวิตของชายนามว่าเบียร์ ได้เดินมาถึงทางแยกอีกครั้ง เมื่อเขาตัดสินใจทิ้งอาชีพหมอดู เพื่อเข้าสู่คำสอนพระพุทธเจ้า ก็คือการตั้งใจบวชเป็นพระแบบไม่มีกำหนดสึก

“อาจารย์ก็พูดขึ้นมาว่าเดี๋ยวจะไปบวชนะ แม่อาจารย์ก็นั่งนิ่งไปแป๊บนึงแล้วก็ร้องไห้ เพราะมันเป็นช่วงกำลังหาเงิน กำลังพีคพูดง่ายๆ มันก็สลดสังเวชเนอะ เขาไม่อยากให้เราไปบวช เพราะเขายังติดในเรื่องของเราเป็นลูก อาจารย์จะอยู่กับแม่แล้วก็น้อง ก็เหมือนจะเสียลูกไปคนนึง เขาก็ถามว่าบวชนานไหม อาจารย์ก็บอกว่าไม่มีกำหนด เขาก็เริ่มใจเสียมากขึ้น

หลังจากนั้นอีกไม่นาน อาจารย์ก็จองตั๋วเดินทางไปอุดรธานี วัดป่านาคำน้อย แม่ก็ไปส่งก็ร้องไห้กันอยู่กลางสนามบิน ก็ไปคนเดียว ทิ้งทุกอย่างเลย พระที่ใช้สมัยดูดวงขายได้หลายแสนบาท cancel ลูกศิษย์หมด เราก็ขายเอาเงินไปถวายวัดกับเอาเงินไปทำเพื่อการบวช ตอนนั้นยังมีหนี้บ้านอยู่ แต่เรารู้สึกว่าเราต้องบวช มันร้อน มันอยู่ในฐานะฆราวาสไม่ได้ เราก็ไป

อาจารย์ก็ไปขอหลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก เจ้าอาวาสวัดป่านาคำน้อย ซึ่งเป็นลูกศิษย์หลวงตามหาบัว เคยฟังหลวงตามหาบัวบอกว่า วัดป่านาคำน้อยเป็นสถานที่อันวิเวกหลีกเร้น เหมาะแก่การที่จะภาวนา ไม่มีใครไปรบกวน”



ด้วยปัจจัยที่ทำให้ยังบวชไม่ได้ในตอนนั้น ทำให้เขาต้องเดินทางออกจากวัดป่า เพื่อกลับมาแก้ไขห่วงที่ยังมีอยู่ให้เรียบร้อยเสียก่อน

“อาจารย์ไปช่วงประมาณกลางพรรษา พรรษาก่อนโน้น โดยปกติวัดป่าเขาจะไม่มีการบวชพระ อาจารย์ก็เป็นนาคผ้าขาวคนเดียวที่ไปอยู่ มันอยู่แยกกันหมด แล้วก็อยู่คนเดียวในศาลาหลังใหญ่

ก็ปฏิบัติอยู่ 7 วัน จนเราเห็นแล้วว่าความกังวลมันแน่น เราภาวนาต่อจากนี้ไม่ได้ เราติดอะไรวะ ก็เลยพิจารณาไปๆ เรื่องหนี้สิน มันติดความกังวลเรื่องหนี้ที่เป็นอยู่ เหมือนเราทิ้งภาระไว้ให้พ่อแม่ เราหนีเอาตัวรอดคนเดียว

เพราะว่าบวชคัดกรองจากอุปัชฌาย์ จะต้องไม่มีหนี้สิน มันจะมีการถามจากอุปัชฌาย์ ถามว่าเป็นหนี้ไหม ถ้าเราจะตอบว่าเราไม่เป็น มันก็ติดแล้ว โกหก เราโกหกไม่ได้ มันจะผิดเพี้ยนจากเรื่องของคุณธรรม

ทีนี้กลับบ้านดีกว่า เราก็เลยขอโอกาสหลวงพ่อ ก็ไปนั่งคุยกับหลวงพ่ออินทร์ถวายอยู่ประมาณ 1 ชั่วโมงหลังจากฉัน ในวันที่จะกลับก็คุยกับท่าน อธิบายให้ท่านฟังว่าติดหนี้ ท่านก็ถามติดหนี้อยู่เท่าไหร่ อะไรยังไง ก็บอกแจ้งท่านไป

ท่านก็บอกว่าเร่งทำภาวนาที่บ้าน ไปเคลียร์ทางโลกให้จบ แล้วรีบกลับมาบวช จะได้เร่งทำความเพียรให้ถึงที่สุด ได้รับโอวาสจากท่านมาก็เร่งมาปฎิบัติธรรม กลับมาอาจารย์ก็มาภาวนาต่อที่บ้าน ทีนี้ไม่ติดปัญหาแล้ว ก็ภาวนาได้ต่อ”

ตื่นธรรม ไม่ - สะดุ้งธรรม ใช่

และแล้วก็มาถึงจุดที่ทำให้ชื่อของ อ.เบียร์ กลายเป็นที่รู้จักไปทั้งโลกโซเชียลฯ เมื่อเขาเริ่มการสอนธรรมะผ่านการไลฟ์บน TikTok ในช่อง @kontuenthum ด้วยสไตล์การพูดที่ตรงไปตรงมาก และการตอบสารพัดข้อสงสัยจากชาวเน็ตที่แซบจนต้องซูดปากตาม ก็ทำให้ทางช่องมียอดผู้ชมไลฟ์และยอดผู้ติดตามเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในเวลาไม่นาน

“เราก็เริ่มพิจารณาใคร่ครวญตามธรรมว่ามันเห็นประโยชน์ เราอยากให้คนที่มีเหมือนเราพ้นจากความทุกข์ จากหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า ก็เริ่มต้นในการไลฟ์สด มันก็มีคนดูอยู่ 40 - 50 คน มาจากดูดวง

สมัยก่อนดูดวงผ่านไลฟ์สด ตอนนั้นโซเชียลฯ มันยังไม่รุนแรงขนาดนี้ แรกๆ ก็จะไม่ใช่สไตล์รุนแรงอย่างนี้ ก็จะเบาๆ เสียงนิ่มๆ แต่ก็ตอบตามหลักความเป็นจริง ทีนี้มันมาคนป่วนมันก็เยอะ ก็เริ่มด่าเพื่อคัดกรองคน เอาคนที่มาป่วนเราตอนไลฟ์สดออกไปก่อน ใครมีความเห็นผิดก็ออกไปก่อน ใครอยากมีความเห็นถูกก็ตั้งใจฟัง ก็ไลฟ์สดมาถึงปัจจุบัน



อาจารย์เริ่มคนเดียวตั้งแต่ต้น โทรศัพท์เครื่องเดียว ขาตั้งกล้องอันนึง แล้วก็มีโทรศัพท์คอยดูคอมเมนต์ เริ่มแรกใช้ TikTok เพราะตอนนั้นกำลังเป็นกระแส ผ่านไปประมาณปีนึงก็เริ่มขยับมาเป็น Facebook ขยับไปเป็น YouTube เริ่มพร้อมกัน

ไลฟ์สดมาเกือบ 2 ปีแล้ว จากตอนแรก 40 คน ปัจจุบันคนดูไลฟ์สดก็ประมาณหมื่นกว่าคน คนดูไลฟ์สด Facebook ก็ประมาณ 1,000 คน YouTube ก็เกือบ 1,000 คนเหมือนกัน ตอนนี้ก็มีคนติดตามอยู่ประมาณ 1,400,000 รวมทุกช่องทาง

อาจารย์ไลฟ์ประจำมาไม่เคยหยุดเลย ช่วงแรกก็หาว่าเวลาไหนคนดูเยอะที่สุด เราก็ดูกลุ่มคนของเราโดยมากจะฟังช่วงไหน จนในที่สุดลงเอยที่ 12.00 น. - 16.00 น. มาตลอด ยกเว้นวันไหนไปบรรยายธรรมข้างนอก

ทีมงานไม่มีเลย ทำคนเดียวมาตลอด จนมาช่วงหลังที่มันเริ่มเป็นไวรัลไม่นานนี้เอง ก็เริ่มมีแอดมิน เริ่มมีทีมงาน เริ่มมีจิตอาสา แต่ทุกวันนี้อาจารย์ไลฟ์สดมีอาจารย์คนเดียว เขาจะช่วยคอยดูที่บ้านเขาเอง ก็คือคอยบล็อกคนที่เตือนไม่ฟัง”



เพื่อให้ลงลึกได้มากขึ้น จากการฟังธรรมมะอย่างเดียว ก็ต่อยอดมาสู่การปฏิบัติ ซึ่ง อ.เบียร์ ก็ได้เปิด บ้านคนตื่นธรรม ย่านหนองจอก ให้ผู้สนใจมาปฏิบัติธรรมแบบไม่มีค่าใช้จ่าย

“อาจารย์ปฏิบัติมาแล้วก็สอนผ่านมาปีกว่าๆ เราเห็นแล้วว่าคนเริ่มตื่นรู้ เริ่มตื่นธรรม เริ่มเข้าใจในความหมายของพระพุทธเจ้า สัจจะความจริง อาจารย์ก็เลยเริ่มดึงคนมาปฎิบัติธรรม ก็แยกออกมาเป็นอีกกลุ่มนึง

มี TikTok อีกช่องหนึ่งเรียกว่า คนตื่นธรรมภาคปฏิบัติ กลุ่มนี้ให้ขึ้นมาถามเลย ในไลฟ์ TikTok คนตื่นธรรมเฉยๆ อาจารย์พูดคนเดียว คนอื่นพิมพ์ถาม แต่คนตื่นธรรมภาคปฏิบัติ อาจารย์ให้คนขึ้นไมค์เลย มานั่งคุยกับอาจารย์ตัวต่อตัว

แรกๆ ก็มีคนดูอยู่ประมาณร้อยกว่าคน ปัจจุบันก็มีคนดูอยู่ประมาณพันกว่าคน ซึ่งคุยเกี่ยวกับเรื่องวิปัสสนาสมถะอย่างเดียว เราคุยกันตัวต่อตัวเลยโดยสภาวะธรรม แก้ให้อะไรให้ ใครติดอะไร จะไม่ตอบคำถามไร้สาระเพ้อเจ้อ

ตั้งกลุ่มนี้มาสักพักนึง ก็เริ่มเปิดบ้านให้คนมาปฏิบัติ ครั้งแรกน่าจะมีประมาณ 60 คน มาฝึกปฏิบัติสมถะวิปัสสนา ครั้งต่อมาก็ขยับไป 80 ขยับไป 140 จนล่าสุดนี่ก็เกือบจะ 300 คน


[ ผู้มีจิตศรัทธา แวะเวียนมาฟังธรรม ]
คนก็เริ่มไปปฏิบัติ แล้วเขาได้เห็นผลว่าเขามีความสงบขึ้น เขาเริ่มทำให้วิปัสสนาเป็น เขาเริ่มพิจารณาตามเห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เขาเริ่มปล่อยวางความทุกข์ในชีวิตเขาได้ จะทุกข์กับมันทำไม ทุกข์ไปมันก็แก้ไขปัญหาไม่ได้ แต่มันมีความสุขกว่า เพราะเขาก็แก้ไปตามเหตุ ตามปัจจัย ไม่เป็นไร ไม่ต้องไปนั่งทุกข์กับมัน

พอเวลาเขาเริ่มเข้าใจ ทีนี้ชีวิตเขาก็เปลี่ยนหมดเลย คนในบ้านเขาจากที่เกลียดอาจารย์ ไม่ชอบเสียงอาจารย์ โวยวายเสียงดังด่าทอคำหยาบ ตอนหลังมาก็เริ่มเปลี่ยนมาหาอาจารย์กันหมดอย่างนี้”

นอกจากการสอนธรรมะสุดตึงแล้ว การตอบคำถามเกี่ยวกับความเชื่อและข้อห้ามที่เคยได้ยินกันมาช้านาน ผ่านมุมมองของ อ.เบียร์ ก็เป็นอีกไวรัลที่ถูกพูดถึง ซึ่งแต่ละคลิปก็มียอดคลิกชมถึงหลักหลายล้านวิว

“เดิมทีอาจารย์เป็นคนไม่ค่อยพูดนะ ถ้าอยู่บ้านอาจารย์เงียบมาก แต่เวลาโมโหจะพูดเยอะ หมายถึงว่าสมัยทำงานประจำมันก็จะมีฟีลแบบ… ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากเจ้านาย ก็จะบ่น ก็จะเป็นสไตล์นี้ แต่ไม่ได้พูดน้ำไหลไฟดับ พูดไปเรื่อย



ช่วงแรกๆ ก็พูดไปเรื่อย พระพุทธเจ้าสอนอะไร ตอนหลังคนก็เริ่มถามมากขึ้น พอเวลาเริ่มถามมากขึ้นที่เราพูดก็น้อยลง ก็เอาไปสอดแทรกกับคำถามเลย ก็เลยตั้งชื่อสนทนาธรรม ไม่ใช่การกล่าวธรรม ไม่ใช่การเทศน์สอนแล้ว ก็จะเป็นลักษณะของการโต้ตอบ ซึ่งมันก็เป็นประโยชน์มากเหมือนกัน ทำให้มันตอบกลับเจตนาคนแต่ละคนที่สงสัยอยู่

อันนี้มันถามเยอะจริงนะ มีเสาไฟฟ้าหน้าบ้านเป็นอะไรไหม? ประตูห้องน้ำตรงกับประตูบ้านเป็นอะไรไหม? ประตูหน้าบ้านตรงกับประตูหลังบ้านไหม? หันหัวนอนทางทิศตะวันตกได้ไหม ทิศใต้ได้ไหม? มันจะประมาณอยู่ในบ้าน ส่วนใหญ่ที่ถามกันโดยหลักๆ จะเป็นเรื่องฮวงจุ้ย อย่างอื่นไม่ค่อยมี วนๆ อยู่อย่างนี้ ก็จะโดนด่าซ้ำๆ

วางพระหน้ารถ พระต้องหันเข้าหรือหันออก? อันนี้ก็เป็นคำถามที่ถามเยอะ ถ้ามีพระสามารถปกปักรักษาคุ้มครองให้มันปลอดภัยได้ จะมีประกันภัยรถยนต์ไว้ทำอะไร ก็ไม่ต้องไปจ่ายสิ ก็จ่ายไว้กับพระหมด”


[ ไลฟ์สดจัดเต็ม ให้คนสะดุ้งธรรม ]

ปฏิเสธไม่ได้ว่าคอนเทนต์บนสื่อบ้านเรา ยิ่งแรงคนยิ่งชอบ ยิ่งด่าคนยิ่งมุง และอาจจะมองได้ว่าคอนเทนต์บนช่อง “คนตื่นธรรม” ก็เป็นไปในสไตล์นั้นเช่นกัน ซึ่ง อ.เบียร์ ก็ได้ตอบคำถามถึงประเด็นนี้ไว้อย่างน่าสนใจ

“มันไม่เกี่ยวกับว่าชอบด่าหรือไม่ชอบด่า ประเด็นคือมันตรงประเด็น ไม่ใช่ว่าใครก็ด่าได้นะ คนไทยมันติดนิสัยชอบการปลอบ แต่ชีวิตมันก็ไม่ได้มีอะไรดีขึ้น มันไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ก็ยังทุกข์อยู่เหมือนเดิม พอวันนึงมันเจอคนด่ากระแทก คนพอมีปัญญาอยู่บ้าง มันก็จะรู้สึกว่าเวลารับการกระแทก เรารู้สึกเปลี่ยนแปลงตัวเอง เราเห็นความเลว ความชั่วในใจตัวเอง

ด้วยลักษณะบุคลิกของอาจารย์มันอาจจะดูรุนแรง เพราะรู้สึกว่าสังคมเราในปัจจุบันมันหยาบมาก เวลาการขัดมันต้องขัดแรงกว่าปกติ เหมือนพื้นมันติดตะไคร่เยอะ ต้องขัดรุนแรงเพื่อให้เข้าถึงเนื้อใน หลังจากมันสะอาดแล้วเอาอะไรมาถูก็ได้

มันก็อยู่ที่อินทรีย์บารมีของบุคคลด้วย ไม่ใช่ว่าสังคมซาดิสม์ แต่เพราะสังคมไม่มีใครกระแทก พอเจอคนกระแทกมันก็ตื่นตัวขึ้นมา แต่มันต้องกระแทกมีเหตุผลนะ อาจารย์ด่าไม่ได้ด่าเรื่อยเปื่อย อาจารย์ด่าทุกอย่างเป็นการสอน เป็นการตำหนิ

พระพุทธเจ้าบอกว่า ใครก็ตามที่ฟังธรรมมัวแต่สนใจผู้พูด ไอ้พวกนี้ไม่ได้ยินได้ฟังธรรมหรอก เพราะมันมัวแต่จับผิด ทำไมพูดหยาบ ทำไมพูดจาแรง มันไม่สนใจเนื้อหาของธรรม วาจามันเป็นวัจนภาษา มันเป็นเรื่องของภาษาพูด แต่อย่าให้เกินเลย ให้อยู่ในบริบทของสัจจะความจริง ในหลักอริยสัจ 4 คนที่พอมีอินทรีย์หรือมีปัญญาเข้าฟังเนื้อธรรม เขาจะเข้าใจ

การด่าเข้าไป การกระแทกเข้าไป เป็นหนึ่งในหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าอาจจะไม่ได้ใช้คำพูดรุนแรง แต่ถ้าไปอ่านในพระไตรปิฎกก็รุนแรงเหมือนกัน ภิกษุชั่ว ภิกษุเลว เปรียบเหมือนสตรีโชว์ของลับหวังได้ทรัพย์ ไปอ่านได้เลย”

นับถอยหลัง เตรียมเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์

เมื่อถามถึงรายได้จากโซเชียลมีเดียแพลตฟอร์มต่างๆ ที่มี อ.เบียร์บอกว่า ได้เงินจากการได้ของขวัญ ผ่านการไลฟ์บน TikTok จำนวนหนึ่ง ส่วนรายได้หลักจะมาจากการขายสินค้าภายใต้แบรนด์ “คนตื่นธรรม”

“รายได้จากโซเชียลฯ ไม่มี แต่ TikTok ก็จะมีของขวัญ ก่อนหน้านี้อาจารย์เคยได้วันนึงประมาณ 30 บาท เพิ่งจะ 2 เดือนที่ผ่านมาได้เยอะ ประมาณวันนึง 1,000 - 2,000 บางวันปีนขึ้นไป 4,000 แต่มันไม่ได้ทุกวันนะ อาจารย์ก็สะสมเก็บไว้

YouTube ไม่ได้เพราะเพิ่งเปิด ก็ยังเล่นไม่เป็น แล้วก็ Facebook เล่นไม่เป็นเลยไม่ได้รายได้ ไลฟ์สดอย่างเดียว ไม่รู้ว่าทำยังไง ก็ให้แอดมินเขาดูให้ แอดมินเขาก็บอกว่ามันยากก็เลยทิ้งไปก่อน ไม่ได้สนใจ

รายได้ที่ได้จาก TikTok สมมติเดือนนึง อาจารย์ได้อยู่ประมาณสัก 10,000 กว่าบาท เงินจากนี้อาจารย์ก็จะสะสมไว้ พอเวลาได้เป็นก้อนก็ค่อยๆ ทยอยถอน เอามาทำอะไร ก็จ่ายค่าน้ำค่าไฟสำหรับผู้ปฏิบัติ อย่างคนมาปฏิบัติที่บ้านอาจารย์ อาจารย์ไม่เก็บตังค์รายจ่ายทุกอย่าง อาจารย์เอาเงินจาก TikTok ไปจ่าย


บ้านที่อาจารย์ทุบ ที่อาจารย์เตรียมบ้านใหม่ อาจารย์ก็เอาเงินจาก TikTok ไปจ่ายเองทั้งหมด ที่เหลือก็เป็นเงินส่วนตัวของอาจารย์ เกิดจากขายน้ำพริก ขายเสื้อ ขายกระเป๋า ที่เป็นแบรนด์คนตื่นธรรม นี่คือรายได้ของอาจารย์

อาจารย์ไปบรรยายที่ไหนก็ตาม อาจารย์จะไม่เคยเก็บตังค์เลย ถ้าเขาอยากให้ เอาไปใส่ไว้กองกลาง เพราะกองกลางอาจารย์จะเลี้ยงอาหารคนมาปฏิบัติ ส่วนตัวอาจารย์ไม่มีการรับเงิน สอนธรรมทุกอย่างฟรีหมด เวลาอาจารย์ไปบรรยายก็ไม่ได้รับตังค์ จะให้กับคนที่ขับรถให้อาจารย์ เป็นกลุ่มลูกศิษย์เขาขับรถไปให้ ก็จ่ายตรงกับเขาไปเลย อาจารย์ไม่รับเงิน”

เขายังบอกอีกว่าในตอนนี้ แม้จะมีโอกาสหาเงินได้มากมาย แต่ความรวยไม่ใช่เป้าหมายหลักในการชีวิตแล้ว

“ไม่ได้สน มีมันก็ดี มันก็ใช้ประโยชน์ในการดูแลผู้ปฏิบัติ แต่อาจารย์ไม่โลภ เพราะอาจารย์ไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงิน เดือนนึงอาจารย์ขายครั้งเดียวหรือ 2 ครั้ง ซึ่งถ้าโลภ อาจารย์ก็ต้องขายทุกวันเพราะว่าคนมันมาก โอกาสในการขายสบายเลย

เพราะว่าเวลาสอนธรรมะ ปักตะกร้าคนมันตก มันจะหายไปครึ่งนึง จากหมื่นมันจะเหลือ 5,000 ทุกครั้งที่ปักตะกร้ามันจะเป็นแบบนี้ มันจะเป็นระบบของเขา ถ้าไม่งั้นมันก็ขายของเต็มฟีดไปหมด

เวลาไลฟ์สดขายของเงื่อนไขมันเยอะ ห้ามพูดคำนั้นห้ามพูดคำนี้ ทีนี้ก็ปัญหาเกิด มันก็อึดอัดอาจารย์ต้องพูดคำว่าตะกร้าตลอดเวลา ต้องพูดสินค้าตลอดเวลา ก็มีปัญหากับการพูดธรรม ตอนหลังมาก็เลยว่าขายวันสองวันจบเลย


ขายแค่ให้เรามีรายได้ประทังชีวิต ใครอยากจะซื้อก็ซื้อ ไม่รีวิวสินค้าอะไรทั้งนั้น แล้วก็ตัดจบไป ที่เหลือก็บรรยายธรรม เพื่อไม่ให้พวกนี้เป็นเหตุปัจจัยของการขวางธรรม รู้จักประมาณในการหา”

และหลังจากนี้อีกไม่นาน เมื่อถึงเวลาที่จะเหมาะสม อ.เบียร์ ก็จะหันหลังให้ทางโลก และเดินหน้าเข้าสู่ทางธรรม อย่างที่ตั้งใจไว้ในตอนแรกอีกครั้ง

“เหลืออีกประมาณปีกว่า อาจารย์วางแผนทุกอย่างแล้ว มันจะเสร็จสิ้นในช่วงประมาณเข้าพรรษาปีหน้า อาจารย์จะเคลียร์หนี้สินทุกอย่างจบสิ้น ก็จะไม่ติดเป็นภาระเรื่องอะไรอีก หมายความว่าหลังออกพรรษาก็จะไปบวชได้ พ่อแม่ก็ยอมได้กันหมดแล้ว ทุกคนรู้หมดแล้วว่าอาจารย์จะไปบวช

(ยังจะทำช่องอยู่ไหม?) ไม่แล้ว เพราะว่าโดยพระธรรมพระวินัย พระช่วงบวชใหม่ 5 พรรษาแรกเรียกว่า นวกะ เป็นผู้ใหม่ ต้องอยู่ศึกษาอบรมธรรมวินัยแม้จะรู้แล้วก็ตาม ก็ต้องอยู่ศึกษาอุปัชฌาย์อาจารย์ประมาณ 5 ปี แต่ถ้าครูบาอาจารย์เห็นประโยชน์ อนุญาตให้ทำ เราสามารถสอนคนในทางที่ถูกต้องได้

อยู่ในสถานะของพระ ก็ต้องมีความสำรวมมากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน แต่หลักสัจจะความจริง เสียงดังโวยวายก็ยังคงติดอยู่ เพราะอาจารย์เป็นคนพูดจาเสียงดังโวยวายเป็นปกติ แต่ภาษาอาจจะต้องมีการเปลี่ยนแปลง คำพูดอย่าง มึง-กู เอาไปใช้ในพระก็อาจจะไม่เหมาะสม ก็อาจจะไปเปลี่ยนคำ อาตมา เรา อะไรอย่างนี้แทน”


ก่อนจะจากกันไป เจ้าของช่องธรรมะสุดไวรัล ก็ฝากถึงใครก็ตามที่ได้เห็นคลิปการสอนธรรมะของเขาผ่านตา สิ่งสำคัญคืออยากให้ทุกคนพิจารนาที่เนื้อหา มากกว่าจะมาโฟกัสที่ตัวบุคคล เพื่อที่จะได้กลายเป็นผู้ตื่นรู้ด้วยธรรมไปพร้อมกัน

“เรื่องของการสอนธรรมะ มันเป็นสไตล์ของการสอนแต่ละคน อาจารย์ขอฝากเรื่องเดียวว่า อย่ามาสนใจที่ตัวอาจารย์ว่าใช้คำพูดแบบไหน โวยวายเสียงดัง ใช้คำหยาบคำจา มันเป็นลักษณะการสนทนาธรรม เพื่อให้คนรู้ตื่นธรรมได้มากขึ้น

เพราะฉะนั้น ที่อาจารย์อยากจะฝากคือ สนใจเนื้อหาที่อาจารย์พูด ลองพิจารณาใคร่ครวญตาม ลองคิดตามสักนิดนึง ตามหลักเหตุหลักผล ว่ามันเป็นจริงอย่างที่อาจารย์พูดไหม เพราะอาจารย์ให้เหตุผลตามหลักคำสอนพระพุทธเจ้า ตามหลักสัจจะความจริงของอริยสัจ 4 มรรคมีองค์ 8 ที่พระพุทธเจ้าสอนไว้

เจตนาของอาจารย์ไม่ได้หาผลประโยชน์ เจตนาให้เราเปลี่ยนแปลงความเห็นผิด ก้าวเข้าสู่ความเห็นถูก ออกจากเดรัจฉานวิชา กลับเข้าสู่ศาสนาพุทธที่แท้จริง หยั่งลงมั่นอย่างไม่หวั่นไหวในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่ตั้ง

นี่คือเจตจำนง เจตนาที่ชัดเจน เพราะฉะนั้น ใครเปลี่ยนตัวเองได้ เปลี่ยนความเห็นใหม่ซะ เพื่อความสุขในปัจจุบันของตน ไม่ก่อเหตุก่อกรรมในอนาคตต่อไป ก็อนุโมทนาทุกท่านทุกคนด้วย”












สัมภาษณ์ : พ่อเลี้ยงเจจากดาวอังคาร
เรื่อง : ทีมข่าว MGR Live
คลิป : ชยพัทธ์ พวงพันธ์บุตร
ขอบคุณภาพ : Facebook "คนตื่นธรรม"


บนแล้วดีต้องเพียร บนเบียดเบียนได้บาป

“ปัจจุบันเราขอกัน เราไม่ได้ขอที่ตัวเอง เราเอาหัวหมูไปบน เราเอาไข่ไปบน เราเอาสัตว์เดรัจฉานที่ล้มตาย จากการที่เรามีความเชื่อความศรัทธาไปบน แล้วการบนเราสนใจคนอื่นไหม ไม่นะ เราสนใจแค่ตัวเองใช่ปะ

เราอยากได้เราจึงไปขอ แต่เราสนใจไหมว่าใครจะเสียหายในเรื่องของการขอนี้ไหม ถ้าเทพเทวาอวยพรหรือดลบันดาลเราได้จริง ปัญหาเกิดเลยนะ ช่วยคนนี้ แต่อีกหลายๆ คนจะเดือดร้อน นี่มันเป็นปัญหาตรงนี้แต่คนคิดไม่ถึง

พระพุทธเจ้าบอกว่า การบูชาการอ้อนวอนขอร้องใดก็ตาม ที่เป็นไปเพื่อสัตว์เดรัจฉานล้มตาย การบูชาการอ้อนวอนขอร้องนั้นเป็นไปเพื่อนรก กำเนิดเดรัจฉานและเปรตวิสัย ไม่ใช่ส่วนแห่งบุญ แต่เป็นส่วนแห่งอบุญ คือไม่ได้บุญ

เพราะฉะนั้น ถ้ามันแค่ไปบูชาอ้อนวอนขอร้อง แต่ไม่ให้สัตว์ล้มตาย โอเค ยังเป็นสัมมาทิฏฐิเบื้องต้นอยู่ แต่ความเห็นเบื้องต้นที่ถูกต้อง วันนึงมันจะกลายเปลี่ยนไปเป็นมิจฉาทิฏฐิ หรือความเห็นผิดเต็มตัว

พอเวลามันมีความเชื่อแค่เบื้องต้น แล้วไม่หาความจริงเบื้องปลาย เบื้องที่เป็นความผิดทั้งหมด เดี๋ยวมันจะดึงลงไปหมด เพราะโดยปกติมนุษย์มักจะเอียงไปสู่กิเลสตัณหาอยู่แล้ว เราอยากได้เราจึงบน

เราคิดว่ามันได้ผล เพราะเรามีศรัทธา เราทุกข์ เวลาเราไปขอ แล้วเราก็ลงมือทำ ซึ่งต่อให้เราไม่ขอแล้วเราลงมือทำ ยังไงมันก็ได้ แต่ประเด็นคือเราไปขอแล้วลงมือทำด้วย เราก็เลยคิดว่าสิ่งที่เราไปขอ กำลังอวยพรให้เราสำเร็จ

เราอยากได้งาน เอาความรู้ความสามารถ เอาจดหมายสมัครงานไปยื่น เวลาเขารับ เขารับประสบการณ์ เขารับเพราะความสามารถมันตรงกับบริษัทเขา ไม่ใช่เพราะเราไปขอร้องเทพเทวา แต่พอเวลาเราไปขอปุ๊บ เราก็ดีใจว่าเทพอวยพร

เพราะฉะนั้น เรื่องวัตถุมงคลหรืออะไรต่างๆ นานา สายมู มันไม่ได้ได้จริง มันได้จากเราลงมือกระทำ มันก็เหมือนคนต่างชาติ เขาก็ไม่ได้มีสายมู แต่ทำไมเวลาเขาไปสร้างเหตุปัจจัย เขาก็ประสบความสำเร็จ

มันเป็นเรื่องของความเชื่อ ที่คนมีความเห็นผิดเจอความทุกข์ เลยอยากไปที่พึ่ง พระพุทธเจ้าเลยบอกว่า กลุ่มคนเหล่านี้คือกลุ่มที่มีที่พึ่งผิด เวลาเขาเจอความกลัวจู่โจม จึงหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในการอ้อนวอนขอร้อง เพื่อให้พ้นจากความทุกข์ แต่ความทุกข์เหล่านั้นมันเป็นที่พึ่งผิด เขาพึ่งที่พึ่งนั้นไม่ได้ เขาจึงมีความทุกข์ต่อไปในทุกๆ ครั้งในชีวิตเขา”




"ช่วยตัวเอง" เสี่ยงบาป ถ้าจิ้นเกิน

“มันเป็นมโนกรรม มันเป็นอกุศลทางใจ มันเป็นความคิด ความคิดนี้มันจะส่งออกมาข้างนอก อย่างคนที่ข่มขืนคนอื่นมันจะข่มขืนได้ เพราะมันคิดวางแผนมาก่อนแล้ว มันมีความกำหนัด มันไม่มีที่ปล่อย ไม่ใช่ว่ามันไม่ช่วยตัวเองนะ แต่มันคิดถึงคนที่มันอยากได้บ่อยๆ ซ้ำๆ จนเกิดการข่มขืน เห็นนางเอกใน AV แต่เดี๋ยวไปเจอคนที่คล้ายๆ กัน เราจะอยากได้ขึ้นมาไง

ถ้าคนที่ระมัดระวังตัวเองได้ มันก็ไม่เบียดเบียนเดือดร้อนคนอื่น แต่คนที่ควบคุมตัวเองไม่ได้ มันเบียดเบียนเดือดร้อน การที่ช่วยตัวเองมันไม่ได้ผิด ศีล 5 ไม่ผิด แต่มันเป็นมโนกรรม ถ้าเราคิดแบบนี้ซ้ำๆ เรื่อยๆ เดี๋ยวเราจะไปทำกรรมจริง

ศีลเป็นความควบคุมทางกายกับวาจา แต่ในใจจะนำส่งออกมาถึงกายกับวาจาด้วย ก็เลยบอกว่าให้ตัดที่มโนกรรมคือที่ใจ เพราะฉะนั้น ถ้าเราหมกมุ่นตลอดเวลา เดี๋ยวมันทำแน่ แต่ถ้าเรารู้จักประมาณ อย่ามากเกินไป ให้รู้จักพอดี วันนึงคิดบ้างไม่คิดบ้าง ทำอย่างอื่นบ้างปะปนกันไป สำรวมระวังตัวเองได้ไม่เป็นไร ก็ไม่ตกนรก

แต่อย่าลืมนะว่ามโนกรรมมันจะทำให้นอนเนื่องในสันดาน ถ้าเกิดไปคิดตอนที่กำลังจะตาย เรียบร้อยนะ เพราะมันอยู่ในกามพยาบาทเบียดเบียน ก็นรกกำเนิดเดรัจฉานและเปรตวิสัย เพราะฉะนั้น เราต้องมีสติรอคอยการตายอยู่ตลอดเวลาไง อย่าไปคิดถึงสิ่งที่มันเป็นอกุศลมากเกินไป ถ้ายังตัดไม่ได้ ค่อยๆ ฝึก ไปเรื่อยๆ”





** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **




กำลังโหลดความคิดเห็น