xs
xsm
sm
md
lg

“ฮีโร่หมาจร” แบกเป้-ลุยเดี่ยว ปรับโฉม “หมาเน่า” ทั่วประเทศ!! “ถูกมองว่าบ้า แต่ภูมิใจ”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ถูกมองว่าบ้า ก็ไม่สน เพราะยึดมั่นในอุดมการณ์ อดีตนักธุรกิจหนุ่ม เร่ตัดขนหมาจรฟรีทั่วประเทศ ขึ้นเหนือ ล่องใต้ ไปมาหมดแล้ว ภูมิใจได้เปลี่ยนหมาเน่า ให้เป็นหมาสวย หยุดการเร่ร่อน ได้มีบ้านใหม่ ทำด้วยใจ ไม่สนเงิน

แรงบันดาลใจจากการดูสารคดี

“เราสามารถเปลี่ยนชีวิตหมาที่มันดูไร้ค่า ให้กลายเป็นหมาที่น่ารัก หมาที่ใครๆ ก็อยากอุ้ม อยากรับเลี้ยง มันทำให้เราภูมิใจ และอยากจะช่วยเหลือเพื่อนๆ ของพวกมัน ที่ตกอยู่ในสภาพแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ให้ได้พบโอกาสดีๆ ในการพบเจอบ้านใหม่ ที่พร้อมจะดูแลพวกมัน”

“แอ๊ดดี้-เกรียงไกร ธาตวากร” หนุ่มหนวดเครารุงรัง แต่ใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม และเต็มเปี่ยมไปด้วยใจอาสา วัย 48 ปี คนนี้ เขาคืออาสาสมัครตัดขนหมา ที่ตะลอนแบกเป้ ลุยเดี่ยวไปทั่วประเทศ เพื่อตัดขนให้กับน้องหมาจรจัดฟรี

เจ้าของฉายาที่ชาวโซเชียลฯ ยกให้เป็น “ฮีโร่ของหมาจรจัด” ที่เป็นถึงอดีตเจ้าของธุรกิจร้านอาหารภัตตาคารจีน และร้านตัดขนสุนัขชื่อดัง “Oh My Dog” ใน จ.ศรีสะเกษ ที่ผันตัวมาเป็นจิตอาสาตัดขนหมาจรจัดฟรีทั่วประเทศ

แรงบันดาลใจในทำงานอาสาสมัคร เริ่มขึ้นประมาณ 13 ปีก่อน ที่เขาบังเอิญได้ไปดูสารคดีในยูทูบ ในการช่วยเหลือหมาจรจัด ของกลุ่มอาสาสมัครชาวต่างชาติ ที่ได้รับแจ้งจากชาวบ้าน ว่าได้พบเจอหมาที่มีสภาพขนยาวสกปรก อยู่ตามบ่อขยะ ตามซอกซอยในมุมเมืองต่างๆ จากนั้น กลุ่มอาสาเหล่านี้ ก็จะเข้าไปช่วยตัดขน ทำความสะอาด แล้วพาเข้าสู่กระบวนการรักษา

พอหมาเริ่มมีสุขภาพร่างกายที่ดีขึ้น ก็จะหาบ้านให้ ซึ่งคลิปเหล่านี้ เกิดเป็นแรงบันดาลใจให้กับเขา จนอยากจะลองทำแบบนี้ดูบ้าง

“ทุกครั้งที่เราเข้าไปดู เกี่ยวกับการช่วยเหลือหมาจรจัดสภาพหนักๆ แบบนี้ เราไม่เคยเห็นคนไทย หรือชาวเอเชีย ที่ทำแบบพวกเขา เห็นแต่ฝรั่งพวกนี้ทำ ก็เลยอยากจะลองทำแบบนี้ดูบ้างครับ ก็เลยใช้กรรไกร ตระเวนไปตามวัดที่มีหมาจรเยอะๆ ตัวไหนที่เราเห็นเป็นขนยาวเสีย เราก็ใช้กรรไกรตัดช่วย

แต่ว่าเราก็ทำไม่สำเร็จครับ หมามันไม่ได้ยอมเหมือนอย่างที่เราคิดครับ หมามันกัด แล้วก็มันจะวิ่งหนีตลอดเวลา ทำให้เราไม่สามารถช่วยเหลือพวกเขาได้ เพราะเราไม่มีทักษะความรู้ในการใช้เครื่องมือ แล้วก็ไม่มีความรู้ในการรับมือ ที่จะต้องเจอกับหมาที่ไม่ยอมอย่างนี้”


จากนั้นทำให้เขาตัดสินใจ ไปลงเรียนวิชาชีพตัดขนสุนัขอย่างจริงจัง ใช้เวลาเรียนอยู่ประมาณ 4-5 เดือน จนเชี่ยวชาญ แล้วก็มาเปิดร้านตัดแต่งขนสุนัขที่บ้านเกิด ในอำเภอเมืองศรีสะเกษ

แล้วใช้ทักษะความรู้ในการเรียนมา อุทิศตัวออกเดินทางเป็นจิตอาสาตัดขนหมาจรในศูนย์พักพิงสุนัขจรจัด และสถานสงเคราะห์สัตว์พิการทั่วประเทศ โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย เริ่มจากตระเวนไปตามตีนสะพานลอย ตามจตุจักร ตามตลาดสด ที่คิดว่าหมาเร่ร่อนจะไปอาศัยอยู่

“ตัดสินใจไปเรียนตัดขนหมาแบบจริงจังครับ เพื่อที่ว่าจะออกมาเป็นอาสาสมัคร ช่วยเหลือตัดขนหมาจรจัด แบบที่เราเห็นในคลิป หลังจากที่ได้เริ่มมีทักษะความรู้ในการใช้เครื่องมือ ปัตตาเลี่ยนในการตัดขนสัตว์ ก็เริ่มตระเวนตัดขน ตัดเล็บ ให้กับหมาตามสะพานลอยจตุจักร ที่มีพี่วินมอเตอร์ไซค์เขาคอยให้ข้าว ให้น้ำทุกวันครับ ก็จะไปถามพี่ที่เคยให้ข้าวหมาจร ว่ามีตัวไหนเล็บยาว ขนยาวไหม เราจะไปตัดให้ฟรี

พี่ก็จะคุ้นเคยกับการตัดคนหมา ที่เป็นสังกะตังหนักๆ เต็มไปด้วยขี้ เยี่ยว เปื้อนน้ำมัน จาระบีตามอู่ซ่อมรถ จนเรียนจบหลักสูตร แล้วก็ลุยงานอาสาตามบ้านพักพิง ตามคอกหมาจรจัดที่มีกระจายอยู่เกือบทั่วทุกประเทศเลยครับ”

เขายังบอกอีกว่า จริงๆ แล้ว เรื่องงานอาสาสมัคร เป็นเรื่องที่ไม่คาดฝันว่าตัวเองจะมาอยู่บนเส้นทางสายอาชีพช่างตัดขนหมา

“ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมอยู่ดีๆ ปิ๊งเส้นทางชีวิตได้ เปลี่ยนแบบพลิกไปเลยครับ ไม่เคยคิดว่าจะได้มาอยู่ในจุดนี้ แล้วก็ไม่เคยคิดด้วยซ้ำ ว่าเราจะสามารถตัดขนหมาได้ แล้วหมาแต่ละตัวที่เราตัด ก็เป็นงานที่ไม่มีคนทำเลย ก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำได้ไง ทำไมอยู่ๆ กลายมาเป็นช่าง ก็ไม่เข้าใจครับ”




อดีตนักธุรกิจ สู่อาสาสมัคร

สำหรับเส้นทางของช่างอาสาคนนี้ อย่างที่บอกก่อนหน้านั้นว่า เขาคืออดีตนักธุรกิจเจ้าของภัตตาคารโต๊ะจีน ใน จ.ศรีสะเกษ ผู้ตัดสินใจผันตัวเริ่มต้นอาชีพใหม่ แทนการสานต่อกิจการครอบครัว ด้วยการเปิดร้านตัดขนสุนัข

จากนั้นก็ออกเดินทางไปเป็นจิตอาสา รับตัดขนสุนัขจรจัดในศูนย์พักพิงสุนัขจรจัดและสถานสงเคราะห์สัตว์พิการทั่วประเทศ

“เมื่อก่อนทำโต๊ะจีน เป็นอุตสาหกรรมครอบครัว คือพี่เกิดมาในครอบครัวภัตตาคารอาหารจีนครับ ใหญ่ที่สุดในเมืองศรีสะเกษ ถ้าเป็นภัตตาคารที่เราอยู่ตั้งแต่เด็กจนโต ชื่อ “ภัตตาคารมิตรภาพ” จ.ศรีสะเกษ ครับ เป็นภัตตาคารที่เก่าแก่ที่สุดในเมืองศรีสะเกษ
อายุของภัตตาคารร่วม 60 ปีแล้วครับ ตั้งแต่รุ่นอาป๊า ก็ทำด้วยกันมา พออาเฮียแต่งงาน อาป๊าก็ยกภัตตาคารให้อาเฮีย อาเฮียก็ดูแลสานต่อภัตตาคารอาหารต่อ ก็เจริญรุ่งเรือง ทุกวันนี้ก็ยังทำอยู่

ส่วนของพี่ ก็แยกออกมาเปิดเป็นร้านข้าวต้มโต้รุ่งกับอาป๊า 2 คน ทำร้านข้าวต้มโต้รุ่ง แล้วก็ทำโต๊ะจีนด้วย เป็นโต๊ะจีนที่ราคาถูกลงมา เป็นอาหารแนวคนไทย สำหรับงานคนไทยแต่งงาน งานขึ้นบ้านใหม่ งานเลี้ยง งานสัมมนา ไม่ได้แพงแบบงานแต่งงานคนจีน ราคาคนไทยพอจ้างไหว ก็ทำร้านข้าวต้มโต้รุ่งกับอาป๊ามา พร้อมกับทำโต๊ะจีนควบคู่ไปด้วย 10 กว่าปีครับ”

จากนั้น พอมาถึงจุดนึง ที่ร้านที่แยกออกมาทำ กำลังมีชื่อเสียง กลับชวนกันเลิกกิจการ เพราะรู้สึกว่าไม่ค่อยชอบงานทางด้านนี้ตั้งแต่เด็กอยู่แล้ว และรู้สึกว่าไม่ใช่ทาง ที่ต้องมาคอยดูแลคนงานจำนวนมากๆ

“พี่ไม่ได้ชอบเรื่องของการต้องมาทำอาหาร ต้องมาอยู่กับคนจำนวนมากๆ พี่มีความรู้สึกว่า การทำงานกับคนจำนวนมากๆ มันมีความทุกข์ พี่อยากทำงานอยู่กับพวกสัตว์มากกว่า อยากอยู่กับสัตว์ พี่ว่าพี่อยู่กับสัตว์ พี่มีความสุขมากกว่า พี่คุยกับคนเยอะๆ แล้วพี่งง พี่คุยไม่ค่อยรู้เรื่องๆ

คือเงินสะพัดมากช่วงนั้น ถ้านับไปสมัยก่อน เศรษฐกิจอะไรก็ดี ช่วงนั้นพี่รุ่งเรืองมาก เงินเก็บเราเยอะมากเลยครับช่วงนั้น ก็ชวนกันเลิกครับ อาป๊าก็ไปเป็นนักท่องเที่ยว ไปปั่นจักรยาน Touring

พี่ก็ใช้เวลาในการค้นหาตัวเอง สักพักเหมือนกันครับ แล้วก็มาชีวิตเปลี่ยนตรงที่ได้ดูสารคดีการช่วยเหลือหมาจรจัด ของชาวต่างชาตินั่นแหละ เราดูหลายคลิปมาก เราดูแล้วเราก็อึ้ง เพราะเราไม่คิดว่า มันจะมีหมาที่สภาพแบบนี้ คือไม่คิดว่าจะมีหมาต้องมาตกอยู่ในภาพที่ขนยุ่งเหยิง เป็นสังกะตัง ดูยังไงก็ไม่เหมือนหมา แล้วมันได้รับการช่วยเหลือ หาบ้านใหม่ได้”


เขาเกิดและเติบโตมาในครอบครัวคนจีน ที่พ่อกับแม่มีลูกทั้งหมด 8 คน โดยเขาเป็นคนที่ 6 ของบ้าน และการที่เขาเลือกเดินเส้นทางอาสานี้ แน่นอนว่าครอบครัวก็ไม่เห็นด้วย

“ไม่มีใครชอบครับลูกคนจีน เขาก็อยากหวังให้ลูกชายสานต่อกิจการของพ่อแม่นั่นแหละครับ แต่เราไม่ได้ชอบแบบนั้น เราชอบที่จะเป็นแบบนี้ เป็นความรู้สึกที่ไม่กล้าบอกครอบครัวมานานแล้วนะ ถ้าเผื่อรู้อนาคต ว่าชีวิตจะเป็นแบบนี้ จะบอกตั้งแต่ 20 ปีก่อนแล้ว ว่าไม่ชอบร้านอาหาร ไม่อยากทำร้านอาหารต่อ อยากทำแบบนี้ อันนี้รู้สึกตัวตอนแก่

ตอนแรกพูดว่าคำว่าอาสาไม่ได้หรอก บอกว่าอยากเปิดร้านตัดขนหมา ชอบ อยากลองอาชีพนี้ดู จะไปเรียนตัดขนหมา เพื่อมาเปิดร้าน ไม่กล้าพูดคำว่าจะเป็นอาสานะ แต่แอบทำตลอดแหละครับ เพราะว่าที่บ้านรับไม่ได้อยู่แล้วครับ กับการที่ทำอะไรแล้วไม่ได้เงิน

ไม่มีใครรับได้ครับว่าทำฟรีๆ พี่ต้องทนกับคำพูดที่ว่า ทำทำไม ทำแล้วไม่ได้เงิน ทำเพื่ออะไร ไปช่วยเขาทำไม พี่ต้องทนกับคำพูดนี้มานานร่วมปี 2 ปี เลยนะครับ แล้วก็ออกแนวว่าโง่ ที่ไปทำงานช่วยตัดขนหมา ให้เขาเป็นร้อยๆ ตัว ไม่เอาเงินเขาสักบาท มีแต่คนโง่เท่านั้นแหละที่ทำ”


ตัดฟรีทั่วประเทศ เกือบ 2 หมื่นตัว

ตระเวนตัดมาให้ฟรีมาแล้วทั่วประเทศเกือบ 2 หมื่นตัว ใต้สุด-เหนือสุด ก็ไปมาหมดแล้ว จนช่างอาสาคนนี้ เป็นที่รู้จักมากขึ้น จากปากต่อปาก

“ไปเกือบทั่วประเทศเลยครับ พี่จะเข้าไปดูใน google เป็นหลักเลย ถ้าเป็นสมัยก่อนนะ ภาคเหนือมีจังหวัดไหนบ้าง ที่ทำบ้านพักพิงหมาจรจัด เป็นมูลนิธิ มันก็จะขึ้นมาเยอะเลยครับ เราก็จะไล่ดูทุกที่เลยครับ

ถ้าเป็นโพสต์ไหนที่เขามีเบอร์โทร เราจะใช้วิธีโทรสายตรงหาเจ้าของคอกหมา ว่าที่คอกมีหมาสายพันธุ์ขนยาว หรือมีหมาพวกเล็บยาวฝังเข้าเนื้อ ต้องการความช่วยเหลือไหม เราเป็นอาสาสมัคร ยินดีมาช่วยตัดขนให้ฟรี จะกี่ตัวก็ได้ ไม่มีค่าใช้จ่าย ไม่ต้องให้อะไรตอบแทนทั้งนั้น ขอแค่มี ปลั๊กไฟให้เสียบปัตตาเลี่ยน แล้วก็มีพื้นที่ให้เราได้ทำงาน แค่นั้นพอ ที่เหลือไม่ต้องให้อะไร ก็จะบอกอย่างนี้ทุกที่

ภาคใต้นี่คือไล่ตั้งแต่นราธิวาส ที่ว่าพี่ต้องไปอยู่นะครับ พี่ก็จะไปอยู่ที่ตากใบ แล้วก็สุไหงโกลก แล้วก็ไล่ขึ้นมาก็คือยะลา ปัตตานี สงขลา สงขลานี่มีคอกหมาเยอะมากครับ 6 ที่นะ ถ้าจำไม่ผิด แล้วก็มีวัดอีกหลายวัดด้วยในสงขลา ที่หมาจรจัดเยอะอยู่ในสงขลา ไปหลายอำเภอเลยครับ อยู่ในภูเขาหมดเลย

แล้วก็มาสตูล สตูลก็มีคอกหมาจรหลายคอกครับ แล้วก็เป็นพัทลุง แล้วก็มานครศรีธรรมราชก็เยอะ สุราษฎร์ธานีมีคอกนึงครับ แล้วก็ไล่คืนมาชุมพร ประจวบคีรีขันธ์ ภาคใต้เกือบทุกจังหวัดที่ไป

ภาคเหนือ หลักๆ ก็ไป เชียงใหม่ แพร่ เชียงราย พิษณุโลก นครสวรรค์ ถ้าภาคอีสานก็เป็นโคราช ขอนแก่น แล้วก็กาฬสินธุ์”
สำหรับใครที่อายุ 60 ปีขึ้นไป ที่พาน้องหมา มาใช้บริการที่ร้าน เขาก็ตัดยินดีตัดให้ฟรีทั้งหมด ซึ่งชาวเมืองศรีสะเกษจะรู้ดี ว่าเขานั้น ไม่รับเงินสักบาท โดยเฉพาะใครที่รับเลี้ยงหมาจร หรืออยากช่วยหมาจร สามารถอุ้มเข้ามาให้ตัดได้ฟรีๆ เลย


เขายังคอยติดตามหมาทุกตัว ทุกคนที่พาหมาจรจัด หมาพิการ มาใช้บริการที่ร้าน ที่รับช่วยเหลือตัดขนให้ฟรีตลอดชีวิต ด้วยการแลกช่องทางติดต่อกับเจ้าของหมา ไม่ว่าจะเป็นเฟซบุ๊ก หรือเบอร์โทรศัพท์ เพื่อจะโทรติดตามผล ว่าหมามีสภาพดีขึ้นหรือเปล่า

“หมาวัด หมาที่ช่วยเหลือมา หมาพิการไม่คิดเงินเลยครับ ฟรีทุกตัวครับ แล้วก็ฟรีทุกครั้งที่เขาอุ้มมาหาเราทุกรอบ 2 รอบ 3 รอบ เป็น 10 รอบ ก็ฟรีครับ ขอแค่ว่าเป็นตัวที่เราเคยช่วยเหลือครับ

เยอะมากเลยครับตัดให้ฟรี ทุกคนจะรู้เลยนะครับว่าร้านของช่างแอ๊ดดี้ มันไม่เอาเงินคนอายุ 60 ปีขึ้นไป ตัดให้ฟรีเลย แล้วก็มีหลายคนที่อุ้มหมาเข้ามา แล้วบอกกับเราว่าไม่มีเงิน ช่วยหน่อยได้ไหม พี่ก็ช่วย แต่ว่าช่วยจับมาหน่อยแล้วกัน เราก็ช่วยแค่ไถขนให้ ก็คิดซะว่านี่คืองานอาสาสมัคร งานจิตอาสาที่เราช่วย แค่นั้นเอง ก็ไม่มีอะไรมากกว่านี้เลย

เพราะว่ามันไม่มีอะไรต้องเสียครับ พวกเครื่องมือ แค่นี้เองครับ ปัตตาเลี่ยน ใบมีด กรรไกรตัดเล็บ แค่นั้นเองครับ พี่ไม่ได้เสียอะไรสักอย่างเลย แล้วก็เอาความสามารถมาช่วยแค่นั้นเอง

อาชีพช่างตัดขนหมา ถ้าไม่ทำเครื่องมือหล่น ไม่ทำเครื่องมือเสียหาย ก็มีแต่ได้กับได้ครับ เป็นอาชีพที่น่าสนใจ และสามารถต่อยอดไปได้อีกนานหลาย 10 ปีครับ อาชีพนี้มั่นคงนะ”


ควักเงินส่วนตัว แบกเป้ลุยเดี่ยว

นอกจากจะมีใจอาสาแล้ว เขายังยอมควักเงินเก็บตัวเอง เพื่ออุทิศให้กับหมาแมวจรจัดแบบฟรีๆ พร้อมกับย้ำว่า จะทำจนกว่าจะไม่มีแรงเดินทาง

“ส่วนมากเป็นเงินของพี่เอง เงินที่ได้จากการเปิดร้าน เงินเก็บสมัยก่อนๆ สมัยที่ทำร้านอาหาร ถ้าตารางงานรอบไหน ที่ต้องปิดร้าน เป็นระยะเวลา 20 กว่าวันขึ้นไป จนถึง 2 เดือน ก็จะมีการโพสต์บอกเพื่อนๆ ในเฟซบุ๊กว่า มีใครอยากสนับสนุนการเดินทาง เพื่อไปทำงานตัดขน ช่วยเหลือตัดขนตามบ้านพักพิง ตามมูลนิธิหมาจรจัดที่กระจายอยู่เกือบทั่วประเทศ

เราก็จะโพสต์ตารางงานให้ดูว่า เราไปจังหวัดไหนบ้าง ก็มีหลายๆ คนสนับสนุนการเดินทางครับ เพื่อให้เราไปทำงานให้สำเร็จ เพราะว่าการไปแต่ละที่ นั่นหมายความว่า พี่ขาดรายได้ จากการเปิดร้านนะ เพราะว่าร้านนี้ที่เปิด พี่ทำคนเดียว

ถ้าวันไหนที่พี่เลือกที่จะไปทำงานอาสาสมัคร หมายความว่า พี่ต้องยอมขาดรายได้ ในการเปิดร้าน ก็มีคนช่วยเหลือเยอะครับ แต่ว่าเงินที่ได้มา จากการสนับสนุนการเดินทาง ส่วนมากก็เอาไปช่วยต่อนั่นแหละครับ บางที่อาหารหมา เหลืออยู่แค่ 1 กระสอบ ต่อการเลี้ยงหมา 300-400 ตัว ก็เอาเงินจากการสนับสนุนการเดินทางนี่แหละครับก่อน

บางทีเราไปถูกช่วงที่เขาค้างค่าไฟ จะโดนจะตัดไป เราก็ไปช่วยเขา ไปช่วยค่าอาหาร ช่วยหมาที่เจ็บป่วยในนั้น ช่วยเยอะครับ เอาเงินจากที่คนสนับการเดินทางนี่แหละไปช่วย”


ลุยเดี่ยวแบกเป้ ตะลอนทั่วประเทศด้วยรถโดยสาร ค่ำไหนนอนนั่น และเขายังเลือกที่จะนอนวัดแทนการนอนโรงแรมอีกด้วย บางทียังเคยนอนคอกหมา มาแล้วด้วยซ้ำ

“เดินทางด้วยรถโดยสาร รถไฟ รถทัวร์ รถตู้ ซาเล้ง มอเตอร์ไซค์ ชีวิตพี่จะวนเวียนอยู่แค่นี้ พี่จะใช้จ่ายค่อนข้างจะน้อย จะใช้แค่การเดินทาง ค่ารถ แล้วก็กินนิดหน่อย

เพราะว่าส่วนมากพี่นอนวัดครับ พี่เลือกที่จะนอนวัด โรงแรมแทบจะไม่ได้เงินพี่เลย ไปแต่ละที่นี่ คือพี่จะให้เจ้าของคอกหมา เจ้าของมูลนิธิ ประสานวัดที่ใกล้ที่สุดกับคอกหมา ที่สามารถเดินออกจากวัด แล้วเดินมาที่หน้างานได้เลย ถ้าตรงไหนที่วัดไกลเกินไป ถ้าคอกหมา มีพื้นที่ว่าง พี่ก็เลือกนอนตรงนั้นครับ กินข้าววัด มา 11 ปีกว่าแล้วครับ

ขอแค่มีมุ้ง พัดลม แค่นั้นครับ ไม่ต้องการอะไรมาก นอนที่คอกหมาบ่อยครับ นอนจนสนิทกันกับชาวบ้านแล้วครับ ก็คือไม่ได้รู้สึกอะไรเลย นอนเพิงหมาแหงน พี่นอนบ่อยมากครับ นอนหนุนเป้เดินทางนั่นแหละเป็นหมอน”

หลายคนอาจจะสงสัยว่า เห็นตะลอนช่วยหมาจรจัด แทบจะไม่ได้เปิดร้านของตัวเองแบบนี้ บางเดือนมีเวลาเปิดแค่ 4 วันต่อเดือน หรืออย่างล่าสุดก็ปิดร้านไปนานถึง 2 เดือน เพราะคิวงานอาสาแน่น จนปลีกตัวมาเปิดร้านไม่ได้ เอาเงินมาจากไหนบ้าง
เขาก็บอกว่า นอกจากเงินเก็บสมัยที่เปิดร้านอาหารแล้ว รายได้ส่วนนึง ที่เอามาล่อเลี้ยงตัวเอง และสานฟันงานอาสาที่ตั้งใจทำ ก็มีรายได้มาจากห้องเช่า

“ห้องเช่า 8 ห้องครับ ที่อาป๊าทำไว้ให้ ใช้พื้นที่ร้านข้าวต้มโต้รุ่งของเรา ดัดแปลงให้กลายเป็นห้องเช่า 8 ห้อง ก็มีคนมาเช่าห้องเราค้าขาย ก็มีรายได้จากตรงนั้นบ้างครับ

เงินมันเป็นสิ่งจำเป็น อันนี้ยอมรับนะ แต่เราใช้เงินค่อนข้างน้อยครับ ไม่ค่อยนึกอยากได้อะไรเท่าไหร่ เพราะว่ามันมีทุกอย่างที่จำเป็นในการใช้ชีวิตครบหมดแล้ว ไม่ได้อยากได้อะไรเพิ่ม ก็ใช้ชีวิตสบายๆ ครับ ง่ายๆ”

[ปัตตาเลี่ยนคู่ใจ พกไปเปลี่ยนชีวิตใหม่ให้กับหมาจรทั่วประเทศ]
หยุดการเร่ร่อน ช่วยหาบ้านให้ด้วย

อีกหนึ่งเป้าหมายสำคัญของช่างอาสาคนนี้ เขาบอกว่า อยากหยุดการเร่ร่อนหมาจรจัดทั่วประเทศ และไม่ว่าจะต้องเดินทางไปไกลถึงพันกว่ากิโลก็ยอม ถ้าสิ่งนั้นช่วยเหลือสัตว์เหล่านั้นได้

“งานของพี่เป็นงานทำฟรีนะ พี่ไม่รับเงินของคนที่ช่วยเหลือรับเลี้ยงหมาจรจัด หมาพิการ ต่อให้การเดินทางของพี่ จากศรีสะเกษ ไปถึงสุไหงโกลก ไปถึงยะลา ปัตตานี ไปถึงเชียงราย แพร่ เชียงใหม่ ไปถึงแต่ละที่ ที่มันไกลบ้านเป็นพันกว่ากิโล พี่ก็ไม่นึกอยากจะได้เงิน ของคนช่วยเหลือรับเลี้ยงหมาจร หมาพิการ

พี่ก็ไปของพี่เอง ไปช่วยฟรีๆ ช่วยเสร็จพี่ก็กลับบ้านพี่ ไปช่วยที่อื่นต่อ มันไม่ได้เงิน แต่มันได้ความภูมิใจกลับบ้าน มันได้ความภูมิใจตรงที่เราสามารถเอาความรู้ ทักษะความรู้ในการตัดขนหมาของเรา เข้าช่วยเหลือหมาที่มันดูไร้ค่า ในสายตาของหลายๆ คน มันมีสภาพน่ารังเกียจ ไปทางไหนก็มีแต่คนรังเกียจมัน เพราะว่ามันมีความสกปรก เหม็นสาบ เหม็นเน่า เต็มไปด้วยขี้เยี่ยว ไปทางไหนเขาก็รังเกียจมัน เราสามารถไปช่วยเหลือหมาตัวนึง ให้มันมีชีวิตที่ดีขึ้นไป หยุดการเร่ร่อน”

ไม่ทำแค่ตัดขนหมาฟรีเท่านั้น ยังช่วยหาบ้านให้กับหมาจรที่เขาได้ตัดขน ให้ได้ไปอยู่กับเจ้าของใจดีอีกด้วย ซึ่งทำสำเร็จทุกตัว ที่เขาช่วยหาบ้าน


ช่างอาสายังบอกถึงเหตุผล ที่ต้องอุทิศตนไปช่วยตระเวนตัดขนให้กับหมาจรทั่วประเทศ เพราะเขามองว่า จะช่วยเพิ่มโอกาส ให้กับหมาจรเหล่านั้นได้มีบ้านที่ดีอยู่ ไม่ต้องมาลำบากเร่ร่อนเป็นหมาจรแบบนี้

“มันเพิ่มโอกาสในการหาบ้าน ถ้าเป็นหมาสายพันธุ์ขนยาวที่ต้องถูกทิ้ง ให้กลายเป็นหมาเร่ร่อนตามข้างถนน หรือว่าไปอยู่ตามวัด ยกตัวอย่างง่ายๆ พุดเดิ้ล ชิสุ ก็ได้นะครับ เป็นกลุ่มสายพันธุ์ที่โดนทิ้งเยอะที่สุด หมาพวกนี้เมื่อต้องเร่ร่อนอยู่ตามข้างถนน ตามบ่อขยะ ตามซอกซอยที่อยู่ในชุมชนแออัด หรือว่าตามวัด ที่ไม่เคยมีการดูแล

หมาสายพันธุ์ขนยาวเมื่อต้องไปอยู่สภาพแบบนั้นอะครับ เมื่อขนเปียกฝน เปียกน้ำ ที่มันสกปรก ตามสัญชาตญาณ มันจะเอาตัวกลิ้งไปตามพื้น แล้วพวกเศษสิ่งสกปรกทุกอย่าง ที่อยู่บริเวณที่มันกลิ้ง มันจะเข้าไปสะสมอยู่ในขน

เมื่อสะสมนานนานเข้าเป็นเดือนเป็นปี มันก็จะเป็นแหล่งรวมของเชื้อโรค เห็บหมัด แล้วก็สังกะตังหนักๆ ที่เห็นเป็นก้อนๆ เกาะอยู่ในขนหมาก้อนใหญ่ๆ เป็นขี้ เป็นเยี่ยว เป็นดอกหญ้า เป็นสารพัดเข้าไปอยู่ตรงนั้นหมดเลยครับ

ถ้าเราได้ช่วยหมาพวกนี้ ด้วยการตัดขน อาบน้ำให้สะอาดๆ มันเพิ่มโอกาสในการหาบ้านให้กับหมาตัวนั้นครับ จากมาที่ไปทางไหนก็มีแต่คนรังเกียจ มีแต่คนไล่ตี ขนของมันเต็มไปด้วยขี้เยี่ยว มันส่งกินเหม็น และสกปรก ตามตัวก็เป็นแผล มีเชื้อรา มีกลิ่นที่มันไม่พึงประสงค์ สำหรับคนทั่วไป ไปไหนก็โดนไล่ตี

เราสามารถเปลี่ยนชีวิตใหม่ของหมาตัวนึง ด้วยการทำให้เขาสะอาดๆ แล้วก็หาบ้านได้ ซึ่งพี่ยังไม่เคยพลาดเลยครับ หมาทุกตัวที่พี่เคยช่วยเหลือตัดขนอาบน้ำ แล้วโพสต์ลงเฟซบุ๊ก ขอผู้อุปการะบ้านใหม่ให้ ได้บ้านทุกตัว”


นอกจากนี้ เขายังใช้กระบอกเสียงของตัวเอง ผ่านช่องทางเฟซบุ๊ก ด้วยการโพสต์บอกกล่าว สื่อสารไปยังคนที่คอยติดตามให้ได้รู้ ว่ามีสถานที่พักพิง หรือมูลนิธิไหน ยังต้องการความช่วยเหลือในด้านอื่นๆ

“ส่วนมากทุกที่ก็ต้องการการขอรับบริจาคอาหาร แล้วก็ยารักษาโรค รวมไปถึงมีหลายพื้นที่ ที่พี่ไป ยังไม่ได้รับการทำหมันอะไรอย่างนี้ พี่ก็จะใช้ตัวเองเป็นสื่อในการประชาสัมพันธ์ให้คนได้รู้ว่า สถานที่แห่งนี้ยังต้องการความช่วยเหลืออะไรบ้าง

พอเราโพสต์ไป ทีมสัตวแพทย์เขาเห็น เขาก็ติดต่อมาลงพื้นที่ไปทำหมันให้ ก็มีหลายที่ ที่ได้รับการไปทำหมัน แล้วก็มีการไปพูดคุยแนะนำวิธีการเลี้ยงดูหมาแมวจำนวนมากๆ ว่าต้องเลี้ยงกันยังไงดูแลกันยังไง”

เขายังช่วยสอนทักษะความรู้ ในเรื่องของการตัดขนหมาตัวเอง ตัดเล็บ หรือตัวไหนที่เป็นโรคผิวหนัง ก็สอนการผสมยาสมุนไพรไทย รักษาโรคผิวหนังให้กับเจ้าของหมาแมว ซึ่งช่างอาสามองว่า มันจะได้เป็นการลดต้นทุนในการพาหมาแมวไปหาหมอ ใช้ภูมิปัญญาชาวบ้าน สมุนไพรไทยในการรักษาโรคผิวหนัง ก็ได้ผลเหมือนกัน แถมประหยัดด้วย

“พอเราแนะนำอะไรแบบนี้ไป มันได้ผลครับ โดยเฉพาะสมุนไพรที่ใช้สำหรับในการรักษาโรคผิวหนัง จากที่เป็นขี้เรื้อน มีแต่หนังสีดำ ไม่มีขนเลย มันเกิดการเปลี่ยนแปลงผิวหนัง จากสีดำด้านๆ มันเปลี่ยนสีเป็นสีขาวขึ้น แล้วก็เริ่มมีขนขึ้นเต็มตัว”




มีหลายครั้งที่โดนหมากัด

ช่างอาสา แชร์ถึงประสบการณ์ตลอดระยะเวลาหลายปี ที่ตัดสินใจเดินเส้นทางอาสาสมัคร ตัดขน ช่วยเหลือหมาจรจัด ยอมรับว่าถือเป็นงานที่หนัก เพราะต้องเจอกับสภาพขนหมาที่เป็นสังกะตังหนักๆ บวกกับความดุร้ายของหมาเป็นประจำ แต่เขาก็ไม่กลัว หรือไม่ได้สนใจในเรื่องความสกปรกของหมาเลย เพราะตั้งใจที่จะมาเจอแบบนี้เอง ถึงจะเคยโดนหมากัดมาแล้วหลายครั้ง แต่ก็ยังตั้งใจอยากจะช่วยเหลือต่อไป

“ถามว่างานไหนหนัก มันหนักคนละแบบครับ ถ้าจะเป็นงานที่ยาก ก็จะเป็นงานที่ คนประสานงาน ขอความช่วยเหลือจากเรามา พูดไม่ตรงกับความเป็นจริง ส่งภาพถ่ายมุมที่มันไม่ได้เป็นสังกะตังหนักๆ แล้วก็บอกเราว่า หมามันไม่ได้ดุอะไรมาก จับได้

พอมาหน้างาน หมาเป็นสังกะตังหนักมาก หมาดุมาก จับไม่ได้เลย แล้วก็ไม่มีคนช่วย ไม่มีสัตวแพทย์คอยช่วยเหลือเรา คอยวางยาสลบให้เรา ก็มีหลายครั้งที่เดินทางตั้งหลายร้อยกิโล จากบ้านศรีสะเกษไปถึงหน้างาน เพื่อที่จะช่วยเหลือพวกเขา

ถ้าจะให้เราหันหลังกลับ ทั้งๆ ที่เราก็เห็นสภาพของหมาพวกนั้นแล้ว ว่ามันเวทนาแค่ไหน มันทำไม่ได้ครับ โกรธก็โกรธนะ หลอกเรามา ทั้งๆ ที่เราก็ถามแล้วว่าหมาดุไหม ถ้าเขาบอกเราว่าหมาตัวนี้ดุ จับไม่ได้ แล้วถ่ายรูปสภาพของหมาที่เป็นความจริงๆ ให้เราดู เราเตรียมตัวได้ เราสามารถพาเพื่อนที่เป็นทีมจับหมาจรจัด ช่วยเป่ายาสลบ”



เจอเคสแบบนี้ บางทีเขาก็ยอมรับว่ารู้สึกท้อบ้าง เพราะถ้าหมาดุร้าย โอกาสโดนหมากัดมีสูงมาก ซึ่งเคสที่ว่านี้ ก็โดนกัดเข้าจริงๆ แต่ถึงจะโดนกัดยังไง พอได้เห็นสภาพของหมาแล้ว ยังไงก็ต้องหาวิธีช่วยไล่จับ เท่าที่อุปกรณ์ในการเซฟตี้จะมี ซึ่งส่วนมากก็จะมีแค่ เชือกฟาง มัดปาก แล้วก็ช่วยกันจับตัดขน ให้น้องหมาได้เข้ารับการรักษาจนได้

“ก็มีหลายครั้งที่โดนหมากัด ก็จะได้แผลกลับบ้านบ่อยเลย ทั้งๆ ที่เราไปช่วยฟรี แต่ว่าคนที่ขอความช่วยเหลือเรา เขาไม่ได้ซัพพอร์ตเรา ไม่ได้เซฟความปลอดภัยให้กับตัวเรา ตอนที่ติดต่อมาทางเฟซบุ๊ก พูดกับเราอีกแบบนึง พอมาถึงหน้างานอีกแบบนึง ความรู้สึกแบบนี้มีไม่บ่อย แต่ก็มีอยู่ ซึ่งก็พยายามทำใจเอาครับ

ทุกวันนี้ ทุกครั้งที่มีคนติดต่อขอให้ไปตัดขนให้กับหมาจรจัด หมาสภาพหนักๆ ต้องส่งคลิปของหมาตัวนั้นให้พี่ดูครั้ง แล้วก็ถ่ายรูปชัดๆ มาให้พี่ดู แล้วก็คุยกันให้ชัดเจนเลยครับ ว่าหมาตัวนี้กัดไหม ถ้ากัดต้องบอกว่ากัด ถ้าจับไม่ได้ ก็ต้องบอกว่าจับไม่ได้ พี่จะได้รู้ว่า พี่ต้องรับมือกับหมาตัวนั้นยังไง ต้องคุยกันให้ชัดเลย”


นอกจากนี้ ช่างอาสาคนนี้ เขายังช่วยสะท้อนถึงเรื่องปัญหาหมาจรในประเทศไทย ที่มีเยอะมาก จากเมื่อ 10 กว่าปีก่อน ที่เขาเริ่มทำงานอาสา ถือว่ามีน้อยมาก ส่วนมากจะเป็นพันธุ์ไทยขนสั้น แต่ทุกวันนี้คนทิ้งหมาเยอะมาก โดยเฉพาะหมาสายพันธุ์ดีๆ ที่เป็นหมาสวยงาม

“เอาตั้งแต่ปีแรกเลย ทุกคอกหมามีหมาสายพันธุ์ดีๆ ก็จริงนะครับ แต่ว่ามีคอกละตัว 2 ตัว เต็มที่ก็มีพุดเดิ้ลตัวนึง ชิสุ 2 ตัว แต่ว่าปัจจุบัน ผ่านมา 10 กว่าปี ทุกคอกหมา มีสายพันธุ์ดีๆ ซึ่งดูก็รู้นะครับว่าต้องซื้อมา พวกชิสุ พุดเดิ้ล หมาปั๊ก เซอร์เบียน ไซบีเรียน บางแก้ว อลาสกัน ชิวาว่าขนสั้นขนยาว เชาเชา สแตนดาร์ด บีเกิ้ล ทุกตัวราคาแพงหมดเลย แต่ว่ากระจายอยู่ตามคอกหมาจรจัดแต่ละคอก บางทีเป็น 100 ตัวเลยครับ

คือหมาโดนทิ้งเยอะมาก พี่ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า ในวันนึงที่ได้รับเขามาใหม่ๆ ทำไมถึงให้ความรัก ความเมตตากับเขาเต็มที่ พาเขาเดินเล่น เดินเที่ยว พาเขาเข้าร้าน อาบน้ำตัดขน พาเขาไปอวดคนนั้นคนนี้ ว่าหมาตัวเองน่ารัก

แต่พอมาวันนึง เมื่อหมาตัวนั้นอายุเยอะขึ้น ร่างกายจากหมาเด็ก พอเริ่มผ่านไปสัก 2-3 ปี ความน่ารักมันก็เปลี่ยนไปตามลักษณะแต่ละสายพันธุ์ บางทีมันไม่ได้น่ารักเหมือนตอนเป็นเด็ก เขาก็ไม่อยากจะเลี้ยงแล้ว ปัญหาเยอะ เขาก็ทิ้ง

ทุกวันนี้เข้าโซเชียลฯ มีแต่หมาสายพันธุ์ดีๆ ถูกทอดทิ้งเยอะมากครับ แล้วก็มีหลายที่ เป็นหมาปลดระวางจากเพาะพันธุ์ เอาลูกเขาขายนะครับ ส่วนมากเป็นตัวเมียด้วยครับ ที่ว่าโดนทิ้งครับ หมดประโยชน์ หมดความสามารถในการขยายพันธุ์ เขาก็ทิ้ง”


ถูกมองว่าบ้า แต่ก็ภูมิใจ

ถึงแม้ว่าหลายคนอาจจะมองว่า “บ้า” แต่เขากลับไม่สนใจคำพูดเหล่านั้น เพราะตั้งเป้าหมายไว้ชัดเจนในใจแล้วว่า อยากทำให้ได้เหมือนสารคดีชิ้นนั้นที่ได้ดู

“พี่จะถูกมองว่าเป็นคนบ้ามาตลอดแหละครับ ซึ่งเราก็ไม่สนใจ เราก็จะมองผ่านคำพูดแบบนี้ เพราะว่าอุดมการณ์ของเรา คือเราอยากทำให้ได้ เหมือนกับที่เราเห็นสารคดีที่ชาวต่างชาติพวกนั้นเขาทำ มันพูดยากนะ คือไม่มีใครที่เขาอยากทำอะไรแล้วไม่ได้อะไรตอบแทนหรอก

มันเหมือนเป็นตัวประหลาด สะพายเป้เดินไปทั่ว ค่ำไหนนอนนั่น ไม่มีใครเขาทำกันหรอกครับ นอนปั๊มน้ำมัน ถ้าเผื่อไปถึงตี 2 ตี 3 เราก็รอที่ขนส่งจนกว่าจะสว่าง เพื่อเดินทางต่อ บางพื้นที่มันห่างไกลความเจริญ มันก็ไม่ค่อยปลอดภัยหรอก เราก็ระวังตัวเอา

ส่วนมากก็จะได้กำลังใจจากเพื่อนๆ ในเฟซบุ๊กครับ ระยะเวลาในการพิสูจน์ตัวเองช่วงปี 2 ปีแรก จะถูกมองว่าบ้ามากและ ถูกมองว่าไร้สาระ ทำไปเพื่ออะไร ทำไปทำไม แทนที่จะเอาความรู้ความสามารถจากการตัดคนหมา เคยชนะการประกวดแข่งขันตัดขนหมาด้วย เคยได้รางวัล เป็นเงินหลักหมื่น แทนที่จะเอาความสามารถตรงนี้ มาอัพตัวเองในการเป็นรายได้ ดันไม่ทำ ทำให้ฟรี”


นอกจากจะไม่สนใจในคำพูดที่คนมองว่าบ้าแล้ว เขากลับรู้สึกภูมิใจ ที่ได้เปลี่ยนชีวิตหมาจรที่มันดูไร้ค่า ให้กลายเป็นหมาที่ใครๆ ก็อยากจะรับไปเลี้ยง

“พอเราทำแล้วเรามีความรู้สึกว่าเราภูมิใจ ที่เราได้ทำแบบนี้ ตามที่เราเคยอธิษฐานเอาไว้เมื่อหลายปีก่อน ถ้าวันใดพี่สามารถใช้มือตัดขนหมา ออกตะวนช่วยเหลือหมาจรจัด เหมือนที่พี่เห็นทีมอาสาต่างชาติพวกนี้เขาทำ ถ้าพี่ทำได้อย่างพวกเขา พี่จะไม่รับเงินจากคนที่เขาช่วยเหลือหมาจรจัดเลยแม้แต่คนเดียว จะช่วยเขาฟรีๆ แล้วพอวันนี้ พี่สามารถทำได้อย่างที่พี่อธิษฐานไว้ ก็รู้สึกว่าพี่ภูมิใจครับ ยังคงที่จะทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะไม่มีแรงเดินทางช่วยเหลือ”

“พี่เกิดมาครั้งนึงที่สามารถใช้ร่างกายนี้ ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ได้ไปช่วยเหลือสัตว์ด้อยโอกาสทั้งหลาย ที่โดนทอดทิ้ง มันดูไร้ค่าต่อสายตาหลายๆ คน ไปตรงไหนก็มีแต่คนรังเกียจ ไม่อยากเข้าใกล้ ไม่อยากให้เดินผ่าน เพราะว่าคุณภาพชีวิตของหมาพวกนั้นมันแย่ มันดูน่าเวทนา สกปรก ขึ้นชื่อว่าหมาจรมันก็เจ็บปวดหัวใจอยู่แล้วใช่ไหมล่ะ

แล้วก็ภูมิใจ ที่สามารถเอาตัวเองเป็นสื่อ ในการประชาสัมพันธ์ เพิ่มโอกาสให้คนที่เขาเสียสละตัวเอง มาดูแลหมาแมวจรจัดจำนวนมากๆ ให้เขาได้รับการช่วยเหลือ”

เห็นทำงานอุทิศตน อาสาช่วยเหลือสังคมอย่างนี้ แต่เขาก็ไม่คิดอยากจะเปิดมูลนิธิ เพื่อดูแลบรรดาหมาจร ที่ถูกทิ้ง แต่ขอทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ ดีกว่า

“ไม่มีความคิดในเรื่องของการทำมูลนิธิ หรือทำอะไรทั้งนั้นเลย พี่จะทำแบบนี้แหละ จะทำแบบที่พี่ทำ จะไปคนเดียวแบบนี้ จะไม่เข้าร่วมกับองค์กรไหนทั้งนั้น ไม่เป็นมูลนิธิ ไม่เป็นองค์กร ไม่อะไรกับใครทั้งนั้น ใครจะว่าเรายังไงก็ช่าง แต่เราพอใจที่อยู่ตรงจุดนี้ จะเป็นแบบวันแรกที่เราอธิษฐานไว้ จะทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ”





โซเชียลฯ ตั้งฉายาให้ “ฮีโร่หมาจร”




“เขาตั้งให้เกียรติเรามั้งครับ เพราะว่าพูดถึงอาสาสมัคร ที่ตระเวนเดินทางไปเกือบทั้วประเทศ สะพายเป้ หิ้วกระเป๋าเครื่องมือไปตัดขนหมาฟรี ตามบ้านพักพิง ตามมูลนิธิ แล้วก็ทำแบบต่อเนื่องเกือบทุกวัน เดือนนึง 200-400 ตัว ต่อตารางงาน ทำแบบนี้เรื่อยๆ ตัดให้ฟรี น่าจะมีพี่คนเดียวมั้ง


คนก็เลยให้เกียรติด้วยการใช้คำพูดอะไรที่เรารู้สึกดี แต่ในความเป็นจริงแล้ว มันก็แค่ช่างตัดขนหมาครับ ที่เอาเวลาส่วนตัว ไปช่วยเหลือ ตัดขนให้กับหมา


ไม่ได้เป็นฮีโร่ ไม่ได้เป็นอะไรเลย แค่มีทักษะในการช่วยเหลือหมา ที่เป็นขนเสีย สังกะตังหนักๆ ไปช่วยตัดให้ แค่นั้นเองครับ ไม่มีอะไรมากกว่านี้เลย”




อุทิศให้อดีตแฟน-น้องชายที่เสียชีวิต




“ก็จะทำบุญให้แฟน ทำบุญให้น้องชายด้วย ทุกครั้งที่เราช่วยเหลือสัตว์ นอกจากเราจะสวดมนต์ให้กับหมา ตัวที่เรากำลังตัดขน ให้มันอยู่รอดปลอดภัย หายเจ็บหายป่วย อย่าเร่ร่อนแบบนี้อีกเลย ให้ได้มีบ้านใหม่ที่ดีๆ ที่พร้อมจะดูแล ยามเจ็บไข้ได้ป่วย ก็พร้อมที่จะรักษา ก็จะอธิษฐานให้กับหมา ตัวที่เรากำลังตัดขนให้ด้วย


แล้วก็หลักๆ ก็จะอธิษฐาน อุทิศส่วนกุศลให้กับแฟน แล้วก็อุทิศส่วนกุศลให้กับน้องชายครับ แล้วก็ขอพรให้พ่อกับแม่ มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง อายุยืนยาว ไม่เจ็บไม่ป่วย ก็จะอธิษฐานวนๆ ให้อยู่แค่นี้แหละครับ ให้แฟน ให้น้อง ให้พ่อแม่ ให้กับพวกหมาแมว ให้กับหมาจรที่อยู่ตามวัดที่เราไปอาศัยหลับนอน ให้เขามีความสุข


ทั้งคู่เสียนานแล้วครับ 10 กว่าปี เสียก่อนที่พี่จะเริ่มเป็นอาสาสมัครไม่นานครับ ป่วยทั้ง 2 คนครับ แต่ก็มีเวลาเฝ้าดูแลกัน นานพอสมควร ได้มีโอกาสดูแลกันเต็มที่ครับ ก่อนที่จะจากกัน”



สัมภาษณ์ : ทีมข่าว MGR Live
เรื่อง : พัชรินทร์ ชัยสิงห์
ขอบคุณภาพ : เฟซบุ๊ก “เกรียงไกร ธาตวากร”



** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **




กำลังโหลดความคิดเห็น