xs
xsm
sm
md
lg

เปิดห้องเสื้อชุดไวรัล “ซุป'ตาร์ลูกทุ่ง”!! “ลำไย-จ๊ะ-แอน-กระแต” แห่จองคิว [มีคลิป]

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เปิดเส้นทางชีวิต นักตัดชุดคิวทองของ “ลำไย ไหทองคำ” จากแดนเซอร์ศรีวิชัยโชว์ สู่เส้นทางคอสตูมสุดปัง ไวรัลล้านวิว กับจุดขายที่เหล่าบรรดา “ซุป'ตาร์ลูกทุ่ง” แห่จองคิวจ้าง เพราะความเป๊ะที่ให้ได้อย่างที่วาดภาพไว้ พร้อมเสียงชื่นชมที่แลกมาด้วยความพยายามอย่างหนัก





คอสตูมสุดปัง!! กับไวรัลล้านวิว

“ของลำไยที่เป็นไวรัล มันเป็นไวรัลที่ชุดของที่นี่หมด จริงๆ ลำไยไม่ได้ตัดแค่ร้านเดียว แต่ส่วนใหญ่ที่เป็นกระแส มันเป็นกระแสอยู่ที่ร้านเราเกือบทุกชุด มันก็เลยกลายเป็นเหมือนคอสตูมลำไย ที่เขาตามหากันมากกว่า ก็ได้ความไว้ใจจากทางค่ายด้วย เวลามีงาน mv หรือว่างานถ่ายปก ถ่ายโปรไฟล์ ทางค่ายก็จะให้เราไปดูแลให้ตลอด หลักๆ ก็จะเป็นเรา”

“ป้อ-ไกรสิทธิ์ บานแย้ม” และ “เป้-จีรพันธ์ ภาคีธง” เจ้าของห้องเสื้อ “Kapor Dsign” หรือเป็นที่รู้จักในฐานะคอสตูมสุดปังของ “ลำไย ไหทองคำ” ที่แฟนๆ ยกให้เป็นเจ้าแม่ชุดสวย เพราะขึ้นโชว์ทีไร ก็สวยไปทุกชุด

ยิ่งได้เห็นภาพการแต่งตัวของลำไยในโซเชียลฯ แต่ละรูปบอกเลยว่าแฟชั่นเสื้อผ้าหน้าผม จัดเต็มไม่เบา นอกจากชุดที่โชว์ความเซ็กซี่ในแบบฉบับของเธอแล้ว ก็ยังมีลุคส์ที่โชว์ความสวยหวาน ลุคสายสปอร์ต ลำไยก็ทำได้ดีไม่มีตก

จนทำเอาบรรดาแฟน ที่ติดตามลำไย ยกให้เป็นเจ้าแม่แฟชั่นไปอีกหนึ่งทั้งองค์ประกอบไม่ว่าจะเป็นเสียงร้องเพราะๆ หรือจะเป็นการเต้นสุดเซ็กซี่ บวกกับคอสตูมสุดปัง ก็ทำให้แต่คลิปเวลาขึ้นออนสเตจ กลายเป็นไวรัลหลักล้านวิว ที่คนแห่เข้าไปชื่นชมเลยทีเดียว

ซึ่งป้อ เจ้าของห้องเสื้อ ก็บอกว่า ดีใจมากที่เห็นแฟนๆ ชื่นชมชุดที่ตัดให้กับลำไย และเขาไม่ได้ทำให้ชุด ให้แค่ลำไย ยังทำให้นักร้องลูกทุ่งชื่อดังอีกหลายคน ไม่ว่าจะเป็น แอน-อรดี, กระแต อาร์สยาม, เปาวลี, เบลล์-นิภาดา,จ๊ะ-นงผณี, ใบเตย อาร์สยามหรือแม้แต่ อิงฟ้า วราหะ ก็เคยเห็นใส่ชุดของ “Kapor Design” ขึ้นโชว์มาแล้ว

 

“ส่วนใหญ่เขาก็ชมนะ ว่าทำงาน ทำการบ้านมาดี วางแผนว่าน้องจะต้องใส่อะไร น้องใส่อะไรแล้วสวย แล้วก็ดีไซน์ใหม่ๆ ที่ทุกคนอยากเห็น

ก็เป็นคนชอบอ่านคอมเมนต์อยู่แล้ว ก็จะเห็นบ่อย ก็แอบดีใจเล็กๆ ส่วนใหญ่มันจะเป็นรวมๆ มากกว่าครับ เวลาเราเอาชุดไปให้น้องใส่ปุ๊บ พอน้องถ่ายลง หรือว่ามีคนเอามาถ่ายคลิปลง ก็จะแบบมีคนบอกว่า เออ..อยากเห็นคอสตูมลำไยจังเลย เราก็มีความคิดว่าอยากเปิดตัวนะ แต่เราก็แอบเขินๆ อยู่ ก็ให้เขาหากันเจอเอง”

เป้ (ซ้าย) ป้อ(ขวา)
เรียกได้ว่าถูกตาต้องใจ จน “อาจารย์ประจักษ์ชัย เนาวรัตน์” นายห้างใหญ่แห่งเจ้าของค่าย “ไหทองคํา เรคคอร์ด” ติดต่อมาเป็นประจำ ให้ตัดชุดกับนักร้องในค่ายไม่ขาดสาย

“ก็ตั้งแต่ผู้สาวขาเลาะ น่าจะประมาณ 4-5 ปี ขึ้น ช่วงนั้นป้อก็เพิ่งเริ่มทำเสื้อผ้าได้ไม่นานกัน แล้วน้องก็เพิ่งจะเริ่มดังเพลงผู้สาวขาเลาะ จริงๆ ป้อไปวัดตัวน้อง ก่อนที่ผู้สาวขาเลาะจะออกอีก ก็คือจะทำกันก่อนหน้านั้นแล้ว ช่วงนั้นน้องก็ช่วงเดินสาย

ช่วงนั้นน้องก็ดัง เป็นกระแสของเพลง แต่ไม่ได้ค้างฟ้าแบบนี้ ก็ไม่ได้สั่งทำกันบ่อย ก็จะนานๆ ทำที จนแบบว่า เหมือนกระแสน้องเริ่มมาเรื่อยๆ น้องก็เริ่มสั่งมา จะมีประมาณช่วง 2-3 ปีหลัง ที่จะสั่งเยอะหน่อย เพราะว่าช่วงนั้น เหมือนกระแสคอสตูมมันเริ่มมา

พอคอสตูมมาปุ๊บ จะบอกว่าค่ายไหทองคำ เขาจะเต็มที่กับการตัดชุดมาก คือเขาจะให้ความสำคัญกับลุคที่ลำไยขึ้นเวที ซึ่งถ้ารวมมูลค่าของค่าชุดแล้ว เทียบไม่ได้เลย กับไหทองคำที่เขาลงทุน


 

อาจารย์ประจักษ์ เจ้าของค่ายไหทองคำ เป็นคนติดต่อมาก่อน พอโทรมาเสร็จ อาจารย์ก็ตรงมาหาที่บ้านเลย ก็ได้ทำชุดให้ แกน่าจะเห็นจากโซเชียลฯ ก็จะมีเฟซบุ๊กสำหรับลงผลงาน ก่อนหน้านี้จะมีศิลปินที่ป้อทำชุดอยู่แล้ว ช่วงนั้นเราทำของอาร์สยามเยอะเลยครับ จะเป็นพวกพี่จ๊ะ, ใบเตย, กระแต

ใส่แล้วหุ่นดีประมาณนั้นมั้งครับ ใส่แล้วต้องสวย แล้วก็งานก็จะละเอียด มี detail อะไรใหม่ๆ เข้ามา จริงๆ คนจะดูออกเลย อย่างชุดที่วางอยู่ที่บ้านก็สักพักนึงแล้ว เวลาใครไปใครมาคุณจะรู้เลยว่าอ๋อ..นี่ชุดลำไยหรอ ทั้งๆ ที่เราก็ไม่ได้ทำลำไยคนเดียว เราก็อาจทำหลายคนด้วย มีทั้งแอน ทั้งอะไร แต่พอเห็นแบบนี้ปุ๊บ เขาจะรู้เลยว่านี่คือชุดลำไย

ป้อว่ามันบอกเป็นคำพูดไม่ถูก คนน่าจะจะใช้เซ้นต์ของเขาเอง ว่านี่คือชุดร้านเรา จริงๆ มันก็มีร้านอื่นที่เอาแบบเราไปทำ ไป copy ซึ่งเราก็ไม่ได้ซีเรียสอะไร แต่ว่าเหมือนลูกค้าเขาจะดูออกเลยว่าอันไหนร้านเรา อันไหนงานที่ลอกเลียนแบบไป
 



 
 ลำไยน้องจะเป็นคนตัวเล็ก แต่ตัวเล็กก็เป็นคนเจ้าเนื้อด้วย เจ้าเนื้อคือบางทีจะตัวเล็กแค่ไหน ถ้าใส่อะไรที่มันรัดมากเกินไป มันก็จะมีเนื้อปลิ้นออกมา ทำยังไงก็ไม่หายเนอะ แต่เรามีวิธีเดียวก็คือทำให้ชุดช่วยน้อง ทำยังไงก็ได้ให้น้องใส่แล้วพอดี ไม่มีเนื้อส่วนเกินออกมา น้องชอบคอยังไง ชอบเปิดไหล่ยังไง เราก็จะรู้อยู่แล้วว่าน้องประมาณไหน เราก็จะออกแบบไปให้น้องได้

จากการทำงาน จากประสบการณ์เรื่อยๆ มากกว่า แรกๆ เราก็มีศึกษา ชุดแรกสองสามชุดแรก อาจจะมีถูกใจบ้าง ไม่ถูกใจบ้างผสมกันไป แต่เราก็ค่อยศึกษาไปเรื่อยๆ ไม่ใช่แค่ฝั่งเราศึกษา เขาก็ศึกษาเราเหมือนกัน ว่าเราถนัดประมาณไหน เขาก็จะให้เราทำในสิ่งที่เราถนัดด้วย

ทุกชุดมันต้องมีการปรับแก้อยู่แล้ว แต่ว่ามันก็มีชุดที่ไม่ได้แก้ก็มีเหมือนกัน แต่ชุดแก้ มันก็ไม่ได้ปรับแก้เยอะ มันก็นิดๆ หน่อยๆ”




จากแดนเซอร์ สู่เส้นทางคอสตูม

สำหรับเส้นทางชีวิต ของ 2 นักดีไซน์เนอร์เสื้อผ้าคู่นี้ ย้อนกลับไปก่อนหน้านั้นประมาณ 7-8 ปี พวกเขาเริ่มต้นมาจากการเป็นแดนเซอร์มาก่อน ซึ่งเป้บอกว่า พวกเขาอาศัยครูพักลักจำ

“ร้านชุด คือเริ่มต้นมาด้วยกัน แต่ผมเต้นตั้งแต่จบม.3 ผมมาอยู่กรุงเทพฯ ไปเต้นต่างประเทศ เป็นร้านที่สิงคโปร์ มาประมาณ 3 เดือนครับ กลับมาปุ๊บ ก็ไม่รู้จะไปไหนต่อ เพื่อนก็โทรมาว่าเอกชัยเขาเปิดรับแดนเซอร์ ก็เลยลองโทรไป เขาก็เลยบอกให้ลองมาดู ก็เลยได้มาเจอกันตอนนั้น”


 
ส่วนป้อนั้น ก็บอกว่า ตอนเด็กๆ อะไรที่ได้เงินทำหมด บวกกับที่ตัวเองเป็นคนชอบทำเกี่ยวกับงานประดิษฐ์ประดอย หรือว่างานศิลปะทุกแขนงเลย ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบ เขามีความหลงใหล และชื่นชอบมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว

“เริ่มเลยก็คือ ป้อเป็นคนใต้ ก็คือไปเจอกันที่ใต้ ก่อนหน้านี้เราเป็นแดนเซอร์ อยู่วงเอกชัยศรีวิชัยโชว์ ป้อเต้นได้ 2 ปี แล้วปีนึงมาเจอเป้ ปีนั้นจะเป็นปีที่เขามีกระแสว่า เขาจะปิดวง เป็นปีสุดท้ายแล้วนะ เขาจะไม่ทำต่อแล้ว ซึ่งเราก็คบกันเนาะตอนนั้น พอสั่งปิดวงปุ๊บ ก็ไม่รู้ว่าจะไปไหนดี จะทำงานที่ใต้ต่อดี หรือว่าเราจะไปตายเอาดาบหน้าที่กรุงเทพฯ ดีนะ ก็เลยตัดสินใจกันว่า โอเคงั้นเรา 2 คน ก็ขึ้นมากรุงเทพฯ กันดีกว่า มาบ้านเขาเนี่ยแหละ

มีเงินติดตัวอยู่พันสี่นิดๆ อันนั้นคือเราซื้อค่าตั๋วแล้วนะ เราก็ไม่รู้เลยว่าเราจะมาทำอะไร หรือว่าเราจะอยู่ยังไง แต่ว่ามันมีแค่ว่าซัพพอร์ตจากทางบ้านมีที่อยู่แค่นั้น แต่เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำยังไงดี

ตอนนั้นก็ขับมอเตอร์ไซค์หาโรงงานทำนะ ซึ่งไม่มีใครรับเลย ซึ่งเราสมัครไปสิบๆ โรงงาน เป็นแหล่งของโรงงานเลยนะตรงนี้ ไม่มีใครรับสักคน ก็แปลกเหมือนกันว่าทำไมไม่รับ

แล้วเมื่อก่อนที่ป้ออยู่ในวงเอกชัยใช่ไหม มันจะมีพวกขนนก หรือพวกเพชรที่มันหล่นตามพื้น ที่เวลาเขาเต้นเสร็จเขาวิ่งไปเปลี่ยนชุดมันหล่น นี่เป็นคนที่แบบว่าไม่ปล่อยผ่านเลย จะเก็บกลับบ้านมา ขนเส้นสองเส้นก็จะเก็บหมด เราเก็บมาไว้ ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าจะทำอะไร

จนไปเจอตุ๊กตาที่เขาขายตามงาน เราก็ซื้อมา ก็เลยเอาพวกที่เขาทำหล่นมาทำชุดเลย ชุดตุ๊กตา แต่มันเป็นชุดที่คนในวงใส่ ตัวเอกในวง พระเอกนางเอกในวง เราทำชุดใส่ จนพอเราจบวงมา เราเอารูปตุ๊กตาโพสต์ลงเฟซบุ๊ก เขาชอบก็ขอซื้อตัวละ 2 พัน

ซึ่งปกติเป็นคนที่ชอบวาดรูป ชอบเกี่ยวกับงานศิลปะอยู่แล้ว ชอบงานประดิษฐ์ทุกแบบ ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบก่อนหน้านี้ที่ป้อเรียนคอมพิวเตอร์ธุรกิจ ป้อก็ชอบออกแบบเว็บไซต์ ออกแบบภาพกราฟิก ป้อก็จะใช้ Photoshop เป็นคนออกแบบได้ทุกแบบ ได้ทุกอย่างอยู่แล้ว ณ ตอนนั้น แต่ทุกวันนี้ก็วาดมือ”




จากการทำเก็บเศษผ้า เศบขนนกหลังเวที ที่ร่วงหล่นในวันนั้น มาทำเป็นชุดตุ๊กตาขาย ก็นำมาซึ่งไอเดีย และโอกาสในการต่อยอดสู่เส้นทางนี้

แต่ก่อนหน้านั้น ด้วยความที่อาจจะไม่ได้มีโอกาสมากมายเหมือนคนอื่น เพราะต้องทำงานหาเงิน ไปเป็นแดนเซอร์ แต่ป้อก็ไม่เคยยอมแพ้ในเส้นทางที่ตัวเองชื่นชอบ พยายามทำทุกวิถีทาง เพื่อจะได้เรียนรู้ในสิ่งที่ชอบ ทั้งการเย็บผ้า การออกแบบ การตกแต่งดีไซน์ชุด

“ป้อเป็นคนที่คิดว่าถ้าเราไม่เก่ง ถ้าคนอื่นพยายามหนึ่ง เราต้องพยายามสอง ถ้าคนอื่นพยายามสอง เราต้องพยายามสี่ เราต้องพยายามให้มากกว่าคนที่เขาเป็นสองสามเท่า เราถึงจะเป็น ซึ่งจริงๆ ป้อก็อยากเรียน แต่ ณ ตอนนั้น ด้วยปัจจัยเรื่องงาน เรื่องเงิน เรื่องฐานะ การเป็นอยู่ของเรามันไม่ได้เอื้อกับการที่เราต้องไปเรียนด้วย เราต้องทำงานทุกวัน

โซเชียลฯ ยูทูบ คือครูเราเลยนะ เราก็เข้ากูเกิล แล้วก็ยูทูบเสิร์ชหา แล้วก็ป้าเย็บผ้าข้างบ้าน ที่เขาจะคอยบอกว่า เออ..มันเป็นอย่างนี้ๆ เราก็ลักจำมา แล้วก็มาทำเองที่บ้าน

เคยไปขอพี่ที่รู้จักช่วยงาน พี่หนูช่วยไหม แต่หนูไม่คิดตังค์นะ พี่ใช้หนูมาได้เลยทั้งวันหนูว่าง เขาให้เราเย็บเกาะอก ตอนนั้นเหยียบจักรอะไรไม่เป็นนะ แต่ต้องพยายาม เราต้องมีสมาธิ ก็ช่วยเขาไป สุดท้ายเราก็ได้วิชาเขามา

เขาเป็นคนที่ตัดชุดให้วงหมอลำทั่วไป ที่จะต้องใช้คนงานเยอะในการทำชุด เราเป็นคนชอบอาสา เมื่อก่อนจะเป็นคนที่แบบ ถ้าซ้อมเต้นเสร็จทุกคนก็จะไปนอนกัน แต่ป้อไม่นอน ป้อก็จะไปบอก พี่หนูช่วยทำชุดไหม ก็จะไปช่วยเขาทำชุดต่อทุกวัน เพราะว่าเรารู้สึกว่าเราไม่ได้ตังค์นะ แต่เรารู้สึกว่าเราได้วิชา เราได้ทำสิ่งที่เราชอบ”

แม้ในตอนนี้ไปขอเรียนรู้จากพี่ที่รู้จักกัน ในการเย็บเสื้อผ้า ก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองจะเดินสายอาชีพนี้ แต่ด้วยความชอบเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว กับอยากมีวิชาอะไรติดตัวบ้าง ก็เลยขอลองไปช่วยงานที่ร้านเขา

“อยากลอง อยากทำมากกว่า ไม่ได้คิดว่าเราจะต้องเอาไปใช้ แต่ว่าเราอยากทำ อยากช่วยเขา อยากมีวิชาติดตั แต่เราไม่รู้นะว่าอนาคตเราจะต้องไปเจอกับอะไร เพราะหลังจากนั้นเรายังต้องวิ่งขับมอเตอร์ไซค์ไปหาโรงงานทำอยู่เลย คือเราไม่รู้เลยว่าเราจะต้องได้ใช้ แต่สุดท้ายมันก็ได้ใช้จริงๆ แต่ว่าเราก็ไปหาประสบการณ์เพิ่มด้วย ป้อต้องไปแสวงเพิ่มด้วยอีก”

[อิงฟ้าก็เคยใส่มาแล้ว]
จนมีโอกาสได้ทำชุด ให้กับศิลปินคนแรก อย่าง “ฮาย-อาภาพร นครสวรรค์” นั่นถือเป็นจุดเริ่มต้น ที่ทำให้ศิลปินท่านอื่น เริ่มรู้จักพวกเขา

“ระหว่างที่เต้นตอนนั้น ทุกครั้ง เราจะต้องหอบกระเป๋า ตะกร้าใส่เพชร ใส่อุปกรณ์ ไปหลังเวที ไปเต้นด้วย ก็คือ เริ่มทำบอดี้สูท รับติดเพชร รับทำชุดนู่นนี่นั่น เราก็จะหิ้วตะกร้าเพชร ตะกร้าอุปกรณ์คนละมือไป

พอลงมาจากเต้นเสร็จ ลงมาปุ๊บ เราก็จะติดเพชรต่อ ถึงเวลาเต้น ก็ขึ้นไปเต้น ทำอย่างนี้ทุกวัน จนแดนเซอร์ของพี่ฮาย-อาภาพรเขาเห็น ก็เลยถ่ายส่งครูบอย ซึ่งครูบอย เป็นแดนเซอร์คู่ใจของพี่ฮาย ครูบอยก็จะติดต่อมาว่าทำชุดให้พี่ฮายหน่อย อันนี้ถือเป็นชุดแรกที่ป้อได้ทำชุดให้นะ ทำชุดบอดี้สูทติดเพชรทั้งตัวเลย

จริงๆ มันเป็นชุดบอดี้สูททั่วไปเลย มันจะเป็นโครงบอดี้สูท ซึ่งโครงงั้นป้อก็ไม่ได้ตัดเอง ป้อก็ไปจ้างเขาตัด ซึ่งมันน่าจะว้าวที่เราติดเพชร เราวางลายเพชร เราวางลายเส้นของเพชร เรากระจายเพชร ซึ่งมันฉ่ำอะไรประมาณนั้น

เขาให้งบเรามาชุดละ 3 พัน ซึ่งเราทำออกมาแบบ ถ้าตีราคา 8-9 พัน หมื่นนึงยังคิดได้เลย แต่เรายอมที่จะไม่เป็นไร ฉันไม่เอากำไร ฉันขอผลงาน ฉันขอโปรไฟล์

แค่พี่ฮาย-อาภาพร ซึ่งเขาเป็นศิลปินตัวแม่ เขาให้เกียรติมาทำชุดกับเรา ก็รู้สึกว่าเฮ้ย..เราจะต้องทำให้มันเต็มที่ ซึ่งเราไม่ได้หวังว่าชุดมันจะต้องไปต่อยอดอะไรเลย คือเราไม่ได้คิดเลยว่า เราจะมาได้ไกลขนาดนี้ แต่ด้วยความที่คนอื่นเขาไปเห็นผลงาน เขาอาจจะชอบลายเส้นของเรา ชอบงานที่เราทำ เขาก็เลยติดต่อกลับมา แต่คุ้มมาก มันประเมินค่าไม่ได้เลย”




จากโอกาสในวันนั้น ทำเอาหลายคนที่ได้เห็นชุดร้องว้าว จากความมุ่งมั่น ตั้งใจ ทุ่มเทแรงกาย แรงใจ เรียกได้ว่าปักจนมือเป็นรูของพวกเขา ก็ส่งผลให้วันนี้ พวกเขากลายเป็นที่รู้จักไปทั่ววงการ

“พี่ฮายก็เหมือนเขาได้ใส่ไปงานอะไรซักอย่าง ป้อก็จำไม่ได้ แต่งานนั้นไปเจอทั้งจ๊ะ,กระแต,ใบเตยส่วนใหญ่เป็นค่ายอาร์สยามที่เขาไปกัน เขาก็เห็นบอดี้สูทที่เราทำ เขาก็เลยขอ contact ติดต่อมา

เขาก็ถามว่าใครทำชุดนี้ครับ จ๊ะก็ถาม กระแตก็ถาม แล้ววันนั้นวันเดียว เขาก็โทรมาหาเราเลย จ๊ะโทรมาคนแรก ว่าขอทำชุดด้วย ซึ่งตอนนั้นเราไม่ได้มีพื้นฐาน เราไม่ได้มีความรู้เรื่องการตัดเย็บเลย แต่ว่าในเมื่อโอกาสมันมาแล้ว เราก็อยากจะคว้าไว้ ทำไม่ได้ เราก็ต้องทำให้ได้ ต้องพยายาม ก็โชคดีที่ว่าได้ป้าๆ ช่วย ป้าๆ ที่เขาตัดเย็บเป็น ก็ผ่านงานนั้นไปได้ด้วยดี

ต่อมาก็จะเป็นกระแต พอมาทำของอาร์สยามเสร็จปุ๊บ มันก็จะเริ่มมีลูกค้าเข้ามาเรื่อยๆ ก็เติบโตประมาณปีกว่าๆ เริ่มมีชื่อเสียงกับคนวงในแล้ว รู้จักว่าเราทำชุดนะอะไรอย่างนี้ เขาก็เลยเริ่มติดต่อมา ก็เลยรวมถึงอาจารย์ประจักษ์ชัย ไหทองคำเนี่ยแหละ ที่เขาเห็น เขาก็เลยติดต่อมาให้ทำชุดด้วย

หลังจากชุดพี่ฮาย จริงๆ เราก็มีออเดอร์ของเรากรุบกริบอยู่แล้ว เล็กๆ น้อยๆ ที่ทำไปเรื่อยๆ อยู่แล้ว จ๊ะเริ่มมา แล้วก็กระแตเริ่มมา แต่พี่ใบเตยน่าจะมาช่วงหลังๆ ที่เราเริ่มที่จะเติบโตแล้ว แต่ถ้าเป็นช่วงบุกเบิกก็จะมีประมาณนี้ครับ

คนที่ติดต่อมา เหมือนเขาจะพูดว่า ณ ตอนนั้นมันหาคนทำชุดแบบนี้ยากมาก ด้วยเขาเห็นราคาที่เขาบอกด้วยแหละ เขาก็เลยเริ่มสนใจ ว่าเฮ้ย…มันมีประมาณนี้อยู่นะ เขาก็เลยเริ่มติดต่อมา”
[จ๊ะ นงผณี]

[กระแต]


ชุดร้านนี้ ใส่แล้วแมส ใส่แล้วต้องสวย

สิ่งที่ทำให้ชุดของร้านเป็นที่พูดถึง และสะดุดตาผู้ชม โดยเฉพาะเวลาศิลปินใส่ขึ้นไปโชว์บนเวที ป้อบอกว่า น่าจะเป็นเรื่องของการตัดเย็บที่เนี๊ยบ และการดีไซน์ ที่คำนึงสรีระนักร้องเป็นหลัก ไม่ว่าใครจะใส่ ก็ต้องสวย

“น่าจะเป็นเรื่อง cutting ด้วย แล้วก็การตกแต่งด้วย หลักๆ เวลาป้อทำชุดนักร้อง ก็จะคำนึงถึงสรีระนักร้องเป็นหลักเลย เช่น นักร้องถ้าเขามีสรีระที่บกพร่องตรงไหน หรือว่าจุดเด่นตรงไหน เราจะชูยังไง เราจะโชว์ตรงไหน

ถ้าเขาบกพร่องตรงนี้ เราก็จะหาวิธีปิดอะไรให้เขา ทำยังไงก็ได้ให้คุณใส่แล้วรู้สึกหุ่นดี แล้วก็สรีระสวยที่สุด แล้วก็บวกกับการตกแต่งการดีไซน์ การตกแต่งเราพยายามจะหาอะไรใหม่ๆ มาตกแต่ง มาใส่เข้าไปในชุดตลอด พยายามไม่ให้มันเดิมๆ ซ้ำๆ อาจจะมีซ้ำบ้าง แต่ซ้ำในที่อาจจะเป็นอีกเวอร์ชั่นที่มันสวยกว่า”

แม้จะโดน copy ผลงานมานักต่อนัก ป้อกลับบอกว่า ไม่ได้ซีเรียสเลย เพราะเชื่อว่าคนมองออก ว่าชิ้นไหน คืองานของร้าน

“เราโดนทุกแบบ เราโดนแม้กระทั่งแบบแดนเซอร์ ชุดออกมาได้แค่หนึ่งวัน โพสต์ลงปุ๊บ อีกวันนึงเขามีแล้ว แต่เราไม่เคยโพสต์ว่าเขาหรืออะไรอย่างนั้นเลย ถือว่าช่วยกันวงการเดียวกัน ก็แบ่งปันกัน บางทีเรามีสีเดียว บางร้านมีทุกสีเลยนะ 7-8 สี โอเคไม่เป็นไร ถือว่าเป็นการกระจายรายได้ให้กับคนอื่น เพราะบางทีเขาก็มีตลาดของเขา เราก็มีตลาดของเรา ก็แยกกัน

บางทีก็ copy สีเลย แต่ป้อเข้าใจ ด้วยความที่เราทำงานกับศิลปิน ศิลปินเขาก็มีความเป็นไอดอลอยู่แล้ว ทุกคนเป็นต้นแบบเป็นไอดอล เขาก็อยากจะเป็นเหมือนศิลปินท่านนั้น เขาก็จะ copy อันนี้ก็ไม่แปลก แต่ป้อว่าทุกคนมมองออก ว่างานไหนมาจากที่เรา งานไหนที่ลูกค้า copy”


สำหรับแรงบันดาลใจ ในการออกแบบแต่ละชุด ป้อก็บอกว่า นอกจากสิ่งที่ลูกค้าบรีฟมาแล้ว ไอเดียส่วนใหญ่มาจากการไปเดินเลือกเสื้อผ้า พอเห็นผ้าลายสวยๆ หรือสีใหม่ๆ ก็จะเกิดไอเดียพรั่งพรูขึ้นในหัว

“อย่างชุดพี่ฮาย อันนี้ได้ reference มาจากครูบอย ที่เป็นเหมือนแดนเซอร์คู่ใจของพี่ฮาย เขาจะเป็นคนหา reference ของเขามาอยู่แล้ว ว่าเขาอยากได้ประมาณไหน เราก็มาดีไซน์เพิ่ม มาหาวัสดุเพิ่ม อะไรที่เราจะปักไปให้เขา เราก็ดีไซน์ไปให้เขา แต่เขาจะบอกอยู่แล้วว่าเขาอยากได้ประมาณไหนมากกว่า

ด้วยชุดที่ป้อทำไป มันจะเป็นงาน handmade ทุกตัว แล้วส่วนใหญ่ที่เขาเห็น ที่เขาทำกัน งานตัดเย็บ จะไม่มีงานตกแต่งอะไรเยอะหรือเปล่า อันนี้ป้อก็ไม่รู้ ความรู้สึกของเขา ณ ตอนนั้น แต่รู้สึกว่าเราทำงานทุกงานเต็มที่มากกว่า เขาก็เลยรู้สึกชอบงานของเรา

มันมีหลายอย่างที่ทำให้เราออกแบบ คือเหมือนบางทีป้อไปเดินซื้อผ้า ป้อเจอผ้าสวย มันก็จะแว๊บขึ้นมาในหัวเลยว่า ปุ๊บๆ ในหัว อยากได้ แล้วซื้อผ้ามา ณ ตอนนั้นผ้าที่ซื้อมา ยังไม่รู้นะว่าทำของใคร เราซื้อมาก่อน

มันจะเป็นความโชคดีของทางร้านด้วยแหละว่า บางทีเราซื้อผ้ามาเสร็จปุ๊บ เราจะไม่ค่อยได้ดอง ซื้อมาเสร็จเหมือนมันเป็นแรงดึงดูดว่า สมมติเราซื้อผ้าสีทองมา อยู่ดีๆ มันก็จะมีศิลปินมาสั่งชุดสีทอง อะไรอย่างนี้ตลอด ทุกครั้ง มันก็จะกลายเป็นไอเดียใหม่ๆ

 
 ส่วนใหญ่ลูกค้าที่มาสั่งชุดที่ป้อ ไม่ค่อยออกแบบมา เขาจะบอกมาแค่สี แล้วก็บอกว่าพี่ป้อทำให้หน่อยสีนี้ แล้วเราก็ออแบบไปให้เขา เขาจะชอบงานอะไรแบบนี้มากกว่า เขาจะรู้สึกว้าว

ถ้าพูดถึงศิลปิน เหมือนแอน เหมือนลำไย เขาจะบอกมาแค่สี ซึ่งเราเองจะเมมไว้ในหัวเลยว่า เขาจะใส่แบบนี้สวย เหมือนเรารู้ใจกันกับศิลปินมากกว่า แล้วก็จะทำออกมาเลย โดยที่ทุกครั้งที่เราไปทำชุดให้ เราก็ไม่ค่อยได้ส่งแบบให้

ก็จะเป็นคนที่แบบว่าดึงมาจากข้างในตรงนี้ (สมอง) หมดเลย ก็ดูก่อนว่าใครสั่ง ลำไยสั่ง โอเคเดาะเอวเข้าไป น้องชอบเดาะเอว ตรงนี้เซ็กซี่ ไม่โป๊นะ มีซีทรูอยู่ หรือการปักที่ทางค่ายชอบ ทางค่ายชอบงานปักงานอะไรที่เป็นแมสๆ เขาจะชอบ

ช่วงนี้ลำไยชอบใส่กระโปรงทรงเอสั้นๆ ก็ดีไซน์ใส่กระโปรงทรงเอสั้นๆ ไป ตามเทรนด์ที่น้องชอบด้วย เราก็คอยดูน้องไปด้วย ทุกชุดจะเซฟหมด เห็นเป็นกระโปรงอย่างนี้เราจะมีซับในเป็นกางเกงข้างในอยู่แล้ว เวลาเต้นยังไงก็ไม่โป๊ จะไม่ค่อยมีเรื่องแบบว่า อะไรโผล่นู่น โผล่นี่ เราจะเซฟ จริงๆ ชุดอย่างนี้ การใส่ต้องไปเซฟอีกทีนึง น้องก็จะไปใส่ตัวปิดบราเซฟอีกที

ส่วนใหญ่จะดูสรีระก่อนอันดับแรก แต่ว่าถ้าเป็น mv เราก็จะได้รับบรีฟมาจาก concept ของผู้กำกับ แต่ว่าถ้าเป็นชุดคอนเสิร์ต ส่วนใหญ่ก็จะให้เราออกแบบไปเลยมากกว่า พอออกมาแล้วคนรู้เลยว่าชุดลำไย อยากได้ความแมส คืออาจารย์ประจักษ์ชัย เขาจะบอกตรงนี้ตลอด ว่าทำยังไงให้มันมีความแมส

พอมันยิ่งแมส มันยิ่งยากนะ บางทีบางวันก็แอบคิดไม่ออกบ้าง ก็ไปหาวิธีผ่อนคลายอารมณ์ เหมือนไปเดินห้าง เดินอะไร ไปดูเสื้อผ้า หรืออะไรอย่างนี้ แล้วค่อยกลับมาทำ”


ส่วนขั้นตอนในการทำงานนั้น ป้อเราให้เห็นภาพชัดๆ อีกว่า เริ่มจากที่ตัวเองเป็นคนออกแบบ แล้วจะส่งมาที่เป้ และให้ทีมงานช่วยในเรื่องการตัดเย็บ ตกแต่งตัวไป ซึ่งป้อจะใส่ใจ และควบคุมด้วยตัวเองทุกกระบวนการทำงาน

“ป้อจะเป็นคนออกแบบก่อนอันดับแรกเลย คุยงานจะเป็นพ่อคุยงานส่วนใหญ่ ป้อคุยงานออกแบบเสร็จปุ๊บ ก็จะทำแพตเทิร์นก่อน ทำแพตเทิร์นเสร็จปุ๊บ ก็จะส่งงานไปที่ทางเป้ เป้ก็จะเป็นคนที่ดูแลเรื่องผ้า ตัดผ้าเลือกผ้าเสร็จ เป้ก็จะส่งให้ทางป้าๆ คอยเย็บ ป้อก็จะเป็นคนที่มา ช่วยบอกป้าๆ อีกทีนึง ตอนนี้มีช่างหลักๆ อยู่ 3 คน แล้วก็จะเป็นน้องที่เป็นเลขาส่วนตัวคนนึง ก็จะมีเด็กฝึกงาน 2 คน ตอนนี้ที่ช่วยกันอยู่ แล้วก็จะมีน้องสไปร์ท ที่เป็นเหมือนคอยดูแลโดยรวมให้

เย็บผ้าเสร็จก็จะเป็นแผนกแต่ง ก็จะช่วยๆ กันแต่งแล้ว ส่วนใหญ่ป้อก็จะออกแบบให้เขาแต่งก่อน ถ้ามีน้องฝึกงานก็จะบอกน้องฝึกงานว่าแต่งอย่างนี้นะ ก็ช่วยๆ กัน เพราะว่าส่วนใหญ่ ชุดที่มันออกมาเสร็จเร็ว มันอยู่ที่การเราวางแผนด้วย เราจะต้องซื้อผ้ายังไง เราจะต้องออกแบบชุดยังไง detail ควรมากได้แค่ไหน ลิมิตไหน ถ้าเป็นงานเร่งรีบ แต่ถ้าเป็นงานที่ค่อนข้างที่จะแบบซีเรียส หรือว่าซับซ้อนหน่อย ก็จะขอเวลาเขา ต่ำๆ 2-3 วัน



 



 

มันต้องใช้อารมณ์ด้วยนะ มันคืองานศิลปะอย่างนึง บางครั้งอารมณ์ไม่ดี เราจะมาทำชุดไม่ได้เลยนะ ป้อเคยลองแล้ว วันไหนที่เรารู้สึกจิตตกกับอะไรมา แล้วเราก็มาทำชุดต่อ มันทำไม่ได้เลย แม้กระทั่งออกแบบหรือแม้กระทั่งทำอะไรก็ตาม มันจะเชื่องช้าไปหมด

แต่ถ้าวันไหนเรามี passion ดีๆ หรือว่ามีความอยากทำ เราก็จะแป๊บเดียวเสร็จเร็วมากด้วย แล้วก็สวยด้วย สำคัญมากเลยนะกับการที่เรารู้สึกยังไงกับศิลปิน แล้วศิลปินรู้สึกยังไงกับเรา มันสำคัญจริงๆ กับผลงานที่มันออกมา

ทุกวันนี้ เวลาสำคัญที่สุด เพราะว่ามันต้องทำงานทุกวันด้วย แล้วก็ชุดมันก็ต้องออกตลอด เกือบทุกวัน จริงๆ ชุดจะออกทุกวัน มันอยู่ที่ว่าเราวางแผน ว่าวันนี้เราต้องทำวันไหน อะไรบ้าง แต่ว่าตอนนี้ก็จะมีวันหยุดให้กับป้าๆ แล้ว

วันนึงเป็น 10 ชุด ก็ยังมีนะ เคยรับมาแบบ 20 ชุด 2 วันก็มี เรามีหลายแผนกไง มันก็เลยช่วยกัน มันก็เลยเสร็จเร็ว ด้วยความที่เรามีคนช่วยด้วย เราก็ต้องพยายามที่จะต้องส่งออกตลอด เพราะไม่อย่างนั้นเงินภายในบริษัทมันจะช็อต เราก็ต้องหมุนแล้วจ่ายค่าแรงด้วย ค่าอะไรด้วย ต่างๆ นานา ค่ากินของคนในร้านด้วย”




เป๊ะเท่านั้น ทำงานกับ “กระแต”

ป้อ ยังช่วยแชร์ประสบการณ์กับเหล่าบรรดาศิลปินคนดัง ที่เคยร่วมงานด้วยให้ฟังอีกว่า แต่ละคนมีตัวตน และจุดเด่นที่แตกต่างกัน เพราะฉะนั้น concept ในการทำชุดของแต่ละคน ก็ต้องต่างกันออกไป นอกจากลำไย ที่ต้องทำให้ชุดแมสแล้ว อย่าง แอน-อรดี ก็จะมาในแนวเรียบหรูดูแพง

“เราก็จะดูจากรูปลักษณ์ของเขาด้วยว่า รูปลักษณ์เขาประมาณนี้นะ เป็นหมอลำสาวสวยที่ดูแพง concept ของแอนก็พยายามแต่งยังไงก็ได้ให้ดูแพง แต่ว่าบางชุดก็อยากให้มีกลิ่นอายของความเป็นอีสานอยู่ เราก็จะใส่ผ้าความเป็นอีสานเข้าไป ให้รู้ว่าเขามาจากที่ไหน

ก็จะดูรูปลักษณ์เขาเป็นหลักเลยว่า เขาใส่อะไรสวย เพราะว่าแอนเขาจะเป็นคนที่สามารถเซ็กซี่ช่วงบนได้ แต่ช่วงล่างก็อาจจะต้องเซฟให้เขาหน่อย เราก็จะทำตามที่เขาใส่ได้มากกว่า”

[แอน-อรดี กับ concept เรียบหรูดูแพง]


หรือแม้กระทั่ง กระแตที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นอีกหนึ่งควีนออฟแดนซ์เมืองไทย กะป้อดีไซน์ ก็ได้มีโอกาสไปทำชุดสวยๆ ให้โชว์บนเวทีมาแล้วหลายงาน ซึ่งป้อ เล่าถึงประสบการณ์ในการทำงานกับกระแตว่า นอกจากความสามารถที่เก่งกาจ เธอยังมีความเป็น perfectionist สูงมาก ทำให้การทำงานด้วยกัน นอกจากความสนุกแล้ว ยังมีความดุเดือดพอสมควร

“ก็มีพี่แต ถ้าทุกคนเห็น พี่แตจะเป็นคนที่สุดทุกอย่าง จะทำอะไรที่แบบเว่อวังอลังการของเขาทุกอย่างอยู่แล้ว เรื่องเสื้อผ้าก็เช่นกัน ถ้าบอกว่าลำไยยาก แอนยาก พี่กระแตคูณสามคูณสี่ไปเลย

คือทำงานกับพี่แต ชุดแต่ละชุดที่ออกมา เราต้องให้เวลากับพี่แตค่อนข้างเยอะ คือเราจะต้องไปคุยกับเขา ไปกกอยู่กับเขาเลยนะ เหมือนไปอยู่กับเขาทั้งวัน เปิดหา inspiration หา concept หรือ reference ก็จะช่วยๆ กันหา

กว่าจะออกแบบไม่ใช่แค่วันเดียวนะ 2 วัน แล้วคุยกันกลางคืน บางครั้งก็ 1 ทุ่มถึงตี 5 เช้า พี่แตจะเป็นคนแบบนี้นะ เป็นคนแบบสุดมาก ถ้าทุกคนเห็นในผลงานที่เขาสุด ตัวจริงเขาสุดกว่า เขาจะเป็นคนแบบว่า ไปสุดติ่ง สุดโต่งไปเลย ถ้างานพี่แต ได้ทำอะไรใหม่ๆ ลองอะไรใหม่ๆ อะไรที่คนอื่นไม่ใส่ พี่แตใส่ได้ อะไรที่คนอื่นไม่กล้าทำ

 

เหมือนเขาซึมซับวัฒนธรรมของฝรั่งมา แล้วเขาก็อยากทำงานนอก ซึ่งเขาก็มาให้เราช่วยทำ เราก็ได้ทำอะไรใหม่ๆ ด้วย มันสนุกด้วย แล้วก็เหนื่อย พี่แตจะเป็นคนที่เป๊ะมาก เป๊ะในชนิดที่แบบว่า เราเอาชุดไป สมตติจะเป็นแบบเอวลอย หรือเอวต่ำ เป็นเส้นขึ้นมา เส้นนั้นต้องเป็นเส้นที่ต้องอยู่ในตำแหน่งที่เขาวาง ถ้าเส้นไม่ตรง กลับไปแก้ให้พี่หน่อยค่ะ อย่างนั้นเลย ถ้าทุกคนเห็นชุดพี่แตจะแบบเซ็กซี่ แล้วก็ลายเส้นมันจะเป๊ะ เบื้องหลังสุดๆ บางทีมันเห็นเป็นชุดอะไรง่ายๆ แต่ลายเส้นที่เขาวางไว้มันต้องเป๊ะจริงๆ

ซึ่งจริงๆ วิชาที่ป้อได้มา ว่าการดูสรีระของคนใส่อะไรแล้วสวย ได้จากพี่แตมาเยอะมาก พี่แตจะเป็นคนชอบให้ความรู้เราด้วย คุยกันเยอะ ไปเรื่อยเลย คุยกันแบบว่าทั้งคืน ก็จะนั่งๆ นอนๆ อยู่ในห้องเขา ก็คือคลุกคลีกัน คอนเสิร์ตว่าหนัก mv ยิ่งหนักกว่า

อันนี้น่าจะไปถ่ายรายการไมค์ทองคำ เพลงสะบัด อันนั้นแก้เยอะมาก แก้แล้วแก้อีก ด้วยความที่แกอยากจะโชว์ท่าเต้นใหม่ด้วย แล้วก็โชว์ดนตรี เรียกว่าทำใหม่หมดเลย เขาอยากทำให้เต็มที่ ซึ่งเขาก็เลยมาเต็มที่กับเสื้อผ้าด้วย ตอนนั้นเราก็ไม่ได้นอนกันเนอะ ปักกันทั้งวัน

ต้องสะบัดสวยด้วย แล้วก็ต้องคว้านเอว เส้นมันต้องตรงกับที่แกต้องการ ต้องมานั่งปักใหม่ ถ้าเราปักเสร็จปุ๊บ ถ้าชุดมีแก้ เราก็ต้องแก้ออก ก็ทั้งปักทั้งรื้ออะไรอย่างนั้นเลย

รู้สึกว่าทำกัน 3 วัน แดนเซอร์ 8 ชุด พี่แตอีกชุดนึง แล้วก็มันจะมีอุปกรณ์พวกผ้าออกมา ยากมาก ณ ตอนนั้นมันไม่ได้นอนด้วย ก็เลยรู้สึกว่าเป็นงานที่ค่อนข้างที่จะจดจำอยู่ แต่ก็ภูมิใจทุกชุดทุกโชว์ที่ทำออกไป”

[กระแต กับชุดเพลงสะบัดที่ทั้งปักทั้งรื้อกว่าจะได้มา]
ออกแบบชุด ขายโชว์ ครบวงจร

ด้วยความที่ทั้งคู่ มีประสบการณ์ในการเป็นแดนเซอร์มาก่อน โดยเฉพาะเป้ ที่เริ่มเต้นมาตั้งแต่อายุ 15 ปี แถมยังมีโอกาสที่ต่างประเทศ ทำให้นอกจากจะขายชุดแล้ว ห้องเสื้อนี้ ยังรับออกแบบโชว์ให้กับศิลปินอีกด้วย เรียกได้ว่าครบ จบที่เดียวเลยจริงๆ ซึ่งเป้บอกว่า หลักๆ ตอนนี้ก็ทำทั้งชุด และดูแลโชว์ให้กับ ทีมแอน-อรดี และหมอลำใจเกินร้อย

 
 “คือเขาจะเป็นแบบเหมือนตัวเฮดหลักครับ ออกแบบทุกอย่าง ส่วนใหญ่ผมจะถนัดเป็นฟีลเต้นมากกว่า พวกเต้น พวกทำโชว์มากกว่า ก็จะเป็นฟีลนี้

ตั้งแต่อายุ 15 ปี ประสบการณ์เป็นแดนเซอร์ค่าตัว 300 บาท เมื่อก่อน ตอนนี้ก็ไม่ได้เต้นแล้ว รอทำโชว์อย่างเดียว เรียกเป็นครูก็ได้ครับ”

ด้วยความถนัดทางงานดีไซน์ของป้อ เขาก็จะเป็นคนดูแลในส่วนของเรื่องชุดเป็นหลัก เรียกได้ว่าส่งเสริมกัน จนแตกเป็นอีกหนึ่งธุรกิจเลยก็ว่าได้

“เขาจะเป็นครูสอนเต้น เขาจะเป็นคนทำโชว์ให้กับแอน-อรดี หมอลำใจเกินร้อย ที่กำลังจะเปิดวง 1 เดือนข้างหน้า ก็จะไปซ้อมแล้ว เพราะว่าหลักๆ แล้วป้อจะเป็นคนจัดการเรื่องชุด แล้วเขาก็จะเป็นคนที่จัดการเรื่องแดนเซอร์ หรือว่าทีมแดนเซอร์ต่างๆ เพราะว่าทีมแดนเซอร์ของแอน-อรดี เขาเป็นคนดูแลอยู่ จริงๆ ก็ดูหลายทีมอยู่ที่ส่งเด็กไป ยูกิ ไหทองคำ ธัญญ่า อาร์ สยาม เบลล์-นิภาดา

เพราะเราได้ทำชุดให้กับศิลปินหลายๆ คน ก็จะมี connections ที่สามารถใช้งานต่อได้ จะไม่ได้แค่ขายงานชุด แต่เราจะสามารถขายงานโชว์ของเรา ที่เราก็สามารถทำได้เหมือนกัน เพราะว่าประสบการณ์มี ใช้ประสบการณ์ล้วนๆ”

[เบลล์-นิภาดา]
[ธัญญ่า อาร์สยาม]




นอกจากนี้ ป้อยังบอกถึงแพลนอนาคตว่า พวกเขาตั้งใจอยากขยายธุรกิจของกะป้อดีไซน์ ให้มีแบบครบวงจร ซึ่งมองว่า ในอนาคตอาจจะเป็นข้อได้เปรียบทางการตลาด

“ถ้าเกิดมองว่าทุกอย่างมันครบ ในที่เดียวตรงนี้ คือเราได้ทั้งชุด-โชว์ มันลิงก์กันทุกอย่าง ซึ่งที่อื่นอาจจะทำโชว์เก่ง แต่ยังไม่มีคนทำชุด ซึ่งบางคนทำชุด แต่ยังไม่มีใครทำโชว์ แต่เรามี 2 อย่างรวมกัน มันก็ช่วยกัน เกื้อกันมากกว่า มันก็เลยเป็นข้อดีของตรงนี้ ที่เด่นๆ เลยนะ คือมันทำงานร่วมกัน แล้วก็เหมือนลูกค้ามา แล้วก็จบในที่เดียว มันก็เลยเป็นข้อได้เปรียบมากกว่า

ป้อมีความหวังว่า อยากจะสร้างเป็นตึก ในการทำธุรกิจในชื่อของกะป้อดีไซน์นี่แหละ แล้วมีครบทุกวงจร เช่น มีทั้งชุด สอนการแสดง สอนทำโชว์ หรือว่าอะไรต่างๆ นานาที่เกี่ยวกับการแสดงเรื่องโชว์ หรือว่าเป็นโปรดักส์ชั่นเลยด้วยซ้ำ อันนี้คือเป้าหมายต่อไปที่อยากจะทำ แต่ตอนนี้ทุกอย่างเราก็พอใจที่เราเป็นอยู่แล้วแหละ แต่ว่ามันก็ยังไล่ระดับอยู่ อะไรอย่างนี้มากกว่า”


ส่วนความท้าทายในเรื่องชุดที่อยากแตกแขนงไปอีก ป้อบอกว่า คือการทำชุดราตรี ซึ่งในอนาคต ไม่แน่ว่ากะป้อดีไซน์ อาจตีตลาดชุดราตรีให้แมสอีกก็ได้

“ก็อยากจะลองทำราตรีดู จริงๆ มันไม่ได้เกิดจากป้ออยากทำร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ว่ามันเกิดจากที่เด็กๆ ยุ อยากให้พี่ป้อทำ เราก็แอบเอามาคิดอยู่ เราก็อยากจะทำต่ออยู่

จริงๆ มีมาเรื่อยๆ แต่เราไม่ได้ทำ ด้วย ณ ตอนนั้น คือเรารู้สึกว่า เวลาหรือคิวเรามันไม่ได้ด้วย แล้วก็เราไม่อยากจะทำสิ่งไม่ถนัด โดยที่เรายังไม่ถนัด แล้วให้ลูกค้าไปกลัวว่าเขาจะไม่โอเค ก็กลัวว่าเดี๋ยวเขาจะได้งานที่ไม่เต็มที่ไปมากกว่า ก็เลยไม่ได้รับ

หลายคนบอกว่าช่วงบนป้อสามารถเป็นชุดราตรีได้หมดเลย แต่ว่ามันต่างตรงที่ว่า ชุดราตรีเขาก็จะมีเหมือนเอกลักษณ์ของเขา ชุดยาว หรือว่างานปัก ซึ่งเรายังไม่ได้มีเวลาไปศึกษาตรงนั้นด้วย ก็เลยยังไม่ได้เริ่มทำ แต่ว่าในอนาคต ป้อว่ามีแน่นอน เพราะว่าคิดไว้แล้วแหละว่าต้องทำ แต่ว่าจะทำในรูปแบบไหน จะทำอะไร ที่เป็นชุดราตรีแนวใหม่หรือเปล่า อันนี้ต้องรอดู”

[เปาวลี]
ส่วนเรื่องเรทราคา สำหรับใครที่อยากจะตัดชุดกับกะป้อดีไซน์ ป้อก็บอกว่า จะมีหลายราคาที่แตกต่างกันไป ราคาก็ขึ้นอยู่กับ concept ในแต่ละชุดด้วย แต่หลักๆ จะอยู่ที่หลักหมื่นขึ้นไป

“ก็จริงๆ ก็จะมีหลักหมื่นอัพขึ้นไปเลย 1 หมื่น หมื่นห้า 2 หมื่น จนถึง 4 หมื่นก็ยังมีต่อชุด ศิลปินก็อีกราคานึง แดนเซอร์ก็อีกราคานึง แล้วก็ถ้าศิลปินนอกที่ไม่ได้มี concept ซับซ้อนก็อีกราคานึง

ป้อยังไม่เคยทำชุดถึงแสนนะ แต่ก็อยากได้ มีโอกาสก็อยากจะทำอยู่ ชุดราคาหลักแสน อยากรู้ว่ามันจะเป็นยังไงนะ เราจะต้องอัดเข้าไปตรงไหนบ้าง แต่จริงๆ แล้วราคาที่เราทำอยู่ตอนนี้ก็พอใจแล้วครับ

ชุดที่แพงที่สุดน่าจะเป็นชุดผ้าไหมแพรวาของลำไย พรีเซนเตอร์ของไฮยีน เป็นชุดผ้าไหมแพรวาแท้ จะอยู่ประมาณ 4 หมื่น เพราะว่าผ้าแพง เฉพาะผ้าก็หมื่นกว่า เกือบ 2 หมื่นแล้ว บวกค่าตัดอีกอะไรอีก ซึ่งถ้าเรามาหักลบจริงๆ กำไรมันก็พอๆ กันกับชุดอื่นแหละ แต่ด้วยความที่วัตถุดิบมันค่อนข้างแพงมาก ก็เลยราคาสูงอยู่

ถ้าชุดสะบัดพี่แต เวอร์ชั่นที่ไปแสดงไมค์ทองคำ ก็อยู่ประมาณสามหมื่นห้าเนาะ ความพิเศษของชุดก็ ง่ายๆ เลย ปักทั้งชุด ปักทุกอณู มันก็เลยใช้เวลาค่อนข้างนาน แล้วก็ปรับแก้กันค่อยข้างเยอะ มันก็เลยแพงอยู่ ก็เลยค่อนข้างมีมูลค่าอยู่ครับ”




“ไม่มีทุกคน ไม่มีเราในวันนี้”

เรียกได้ว่าเป็นนักตัดชุดคิวทองเลยทีเดียว สำหรับกะป้อดีไซน์ เพราะไม่ว่าใครต่อใคร ก็อยากต่อคิวเข้ามาขอใช้บริการกันให้วุ่น
เจ้าของห้องเสื้ออย่างป้อเอง ก็ยอมรับว่าตอนนี้คิวแน่นทุกวัน บางวันก็แทบจะไม่ได้นอน เพราะก็เกรงใจลูกค้า ที่อยากได้ชุดจากร้านเราไปใส่ จึงต้องพยายามจัดสรรเวลาได้ดีที่สุด

“คิวที่ได้ไปจากป้อไป เขาจะรู้สึกว่ามันสำคัญมากกับเขา คือเขาจะต้องทำยังไงก็ได้ให้ได้คิวมา แล้วหลังจากนั้น เขาจะสั่งแบบเอาตาย เหมือนอาจารย์ประจักษ์ชัย พอเป็นแดนซ์เซอร์ ป้อก็ทำไปเลยครั้งละ 10 เซ็ต คือไม่จำกัดเวลา ป้อจะทำในเวลาหนึ่งเดือนแล้วเขาก็จ่าย หรือป้อจะทำในหนึ่งเดือน 20 เซ็ตเขาก็จ่าย

แอนก็เหมือนกัน 10 ชุดเขาก็จ่าย 20 ชุดเขาก็จ่าย ใหม่-พัชรี ล่าสุดก็ทำไป 10 ชุด คือเขาพร้อมจ่ายเรามาก แต่เรามีลูกค้าหลายคน ก็เห็นใจคนที่ยังไม่ได้ด้วย

ก็พยายามจัดสรรเวลา ในการทำให้แต่ละคนด้วย แต่หลักๆ ก็จะทำให้ไหทองคำกับแอนเป็นหลักอยู่แล้ว ซึ่งถ้ามีโปรเจกต์มา สองเจ้านี้จะ จะไม่หลุดไปจากคิวเลย พอหลังจากที่ไม่มีโปรเจกต์แล้ว คิวป้อก็จะพยายามรันให้กับทุกคน ก็เกรงใจอยู่นะ”


แม้จะมีศิลปินมากหน้าหลายตา ตบเท้าเข้าไปใช้บริการในการตัดชุดอยู่บ่อยๆ ป้อและเป้ ก็ยังบอกอย่างถ่อมตัวว่า ไม่กล้าที่จะเคลมว่าเป็นคอสตูมให้กับศิลปินท่านไหนเป็นหลัก เพราะเข้าใจว่า ด้วยงานในการโชว์ตัวของศิลปินแต่ละท่าน ไม่สามารถตัดชุดแค่ร้านๆ เดียวได้

“เรายังไม่กล้าบอกว่า เป็นคอสตูมของห้องเสื้อใครเป็นหลัก ด้วยศิลปินคนนึง เขาก็ไม่ได้ใช้แค่หนึ่ง เขาใช้วนเวียนกันไป ตาม detail งานที่เขาต้องการมากกว่า เพราะว่าบางทีดีไซเนอร์แต่ละคนเขาจะมีลายเส้นที่แตกต่างกัน ลูกค้าก็จะเลือกอีกที

ถ้าบ่อยๆ หลังจากนั้น ก็จะเป็นลำไย เป็นแอน-อรดี อะไรอย่างนี้แล้ว ถ้าเป็นช่วงหลังๆ ก็จะมีประจำอยู่แล้วบ้าง แต่ประจำก็ไม่ได้หมายความว่าจะตัดแค่ที่นี่อย่างเดียวนะ เราก็เข้าใจงานตรงนี้ ว่าบางทีลูกค้าต้องการงานแบบไหน บางทีก็อาจจะไปตัดที่อื่นด้วย ผสมกับของเรามากกว่า

ป้อว่าชื่อเสียงในความรู้สึกป้อ มันมาจากผลงานของเรามากกว่า มันมาจากทุกชิ้นทุกอันที่เราเต็มที่กับมันมากกว่า มันไม่ได้อยู่ที่ว่าใครจะมาการันตีให้เราว่าเป็นที่หนึ่งของเวทีนั้น อยู่ที่การสะสมผลงานต่างๆ มากกว่าครับ

ความสำเร็จของป้อมันไม่มีที่สิ้นสุด มันสามารถขึ้นไปได้อีกเรื่อยๆ มากกว่า ถ้าย้อนกลับไปตอนที่ป้อทำ เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเราจะมาถึงจุดนี้ แต่พอเรามาอยู่จุดนี้ได้จริงๆ เราก็อยากไปอีกจุดนึง เราก็อยากค่อยๆ เติบโตไปดีกว่า ซึ่งจริงๆ แล้วถ้าเรียงไทม์ไลน์มา ร้านจะโตขึ้นทุกปี

ก็ขอบคุณลูกค้าทุกคนเลย ไม่ว่าจะเป็นศิลปินหรือว่านักร้องที่ใช้บริการกับทางร้านเรา ทุกงานที่ออกไป เราตั้งใจทำให้อย่างเต็มที่ทุกงานอยู่แล้ว ก็อาจจะมีชอบบ้างไม่ชอบบ้าง เราก็พร้อมที่จะทำงาน แล้วก็แก้ไขให้มันเต็มที่ที่สุด

ขอบคุณทุกประสบการณ์ ที่ได้ทำงานตรงนี้ ศิลปินหลายคน ไม่ว่าจะเป็นลำไย, แอน-อรดี, พี่กระแต เบลล์-นิภาดา, เปาวลี, ใหม่-พัชรี แล้วที่สำคัญน้องแป้งร่ำ-ศิวนารี ที่เป็นคนพาเข้าไปในค่ายแกรมมี่เลยนะ

จริงๆ หลายๆ คนที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ทุกคนล้วนและสำคัญหมด เพราะกลัวว่าจะพูดชื่อไม่หมด รู้สึกขอบคุณทุกคนจริงๆ เลย ที่ทำให้เรามีทุกวันนี้ จริงๆ ไม่มีทุกคนก็จะไม่มีวันนี้เหมือนกัน”





ดูโพสต์นี้บน Instagram

โพสต์ที่แชร์โดย LIVE Style (@livestyle.official)




@livestyle.official ...จาก "แดนเซอร์ศรีวิชัยโชว์" สู่ "นักตัดชุดคิวทอง" เจ้าของคอสตูมสุดปัง ไวรัลล้านวิว 1 ในดีไซเนอร์หลักของ “ลำไย ไหทองคำ” และ “ซุป'ตาร์ลูกทุ่ง” อีกมากมาย @kapor_krisit @eaysupansa @kt_kratae8... . #LIVEstyle #LIVEstyleofficial #ข่าวTikTok #longervideos #tiktokวีดีโอยาว #มากกว่า60วิ #kapordesign #กะป้อดีไซน์ #ลําไยไหทองคํา #กระแตอาร์สยาม #แอนอรดี #ลูกทุ่ง #นักร้องลูกทุ่ง #ดีไซเนอร์ #นักออกแบบ #ออกแบบชุด #ห้องเสื้อ #ช่างตัดชุด ♬ เสียงต้นฉบับ - LIVE Style


สัมภาษณ์ : ทีมข่าว MGR Live
เรื่อง : พัชรินทร์ ชัยสิงห์
ภาพ : พลภัทร วรรณดี
ขอบคุณภาพเพิ่มเติม : แฟนเพจ “Kapor Dsign” อินสตาแกรม “@kapordesign”



** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **




กำลังโหลดความคิดเห็น