xs
xsm
sm
md
lg

ความบกพร่องไม่ใช่ข้อจำกัด!! “OZEEOOS” นักแต่งเพลงมือทอง เบื้องหลังความสำเร็จ “ธามไท”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้ไม่เคยให้ “ความบกพร่องทางสายตา” มาเป็นอุปสรรค เปิดชีวิต “OZEEOOS” แร็ปเปอร์-นักแต่งเพลงมือทอง ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จซิงเกิลสุดไวรัลของ “ธามไท” ที่คนแห่กัน cover ร้อง-เต้นทั่วบ้านทั่วเมือง เจาะตัวตนผ่านทริกกับพรสวรรค์ที่ไม่มีใครเหมือน


โยนมา 1 คำ สร้างไวรัลได้ 1 เพลง

“ถามว่าผมรู้สึกยังไงกับครับว่านักแต่งมือทองของผมในตอนนี้ จริงๆ ยังรู้สึกว่าตัวเองยังพัฒนาได้อีกครับ รู้สึกว่ายังมีอีกหลายคนที่เก่ง แล้วผมต้องเรียนรู้กับเขาอีกเยอะเลย

ผมไม่กล้าพูดขนาดนั้นเหมือนกัน เพราะว่าผมยังมีอะไรที่ยังต้องพัฒนาได้อยู่เรื่อยๆ ผมอยากทำให้มันดีขึ้นเรื่อยๆ ผมดีใจที่ทุกคนชอบ ที่ผมตั้งใจ ดีใจที่ทุกคนซัพพอร์ตพี่ชายผม พี่ธาม ดีใจที่ทุกอย่างมันโอเคไปหมดเลย”

“อู๊ด-อำนาจ ศรีสังข์” หรือ “OZEEOOS (โอซีอุส)” แร็ปเปอร์วัย 22 ปี ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จ แต่งเพลงสุดฮิต“Hit Me Up” ที่มียอดวิวในยูทูบสูงถึง 23 ล้านวิว และเพลง“เปิดใจไม่เปิดตัว” ที่มียอดวิวสูงถึง 34 ล้านวิว ของ“ธามไท แพลงศิลป์” ที่โด่งดัง กลายเป็นกระแสไวรัลที่มีแฟนๆ นำมา cover ทั้งร้อง ทั้งเต้นกันทั่วบ้านทั่วเมือง แถมใน Spotify ก็ฮิตติดลมบนเหมือนกัน

และไม่ใช่แค่ธามไทเท่านั้น ที่เขาแต่งเพลงให้ ยังมีศิลปินอีกหลายคนเลยทีเดียว ที่แฟนๆ อาจจะไม่รู้มาก่อน ว่านี่คือเพลงที่เขาเป็นคนแต่ง

แม้เขาจะมีความบกพร่องทางด้านสายตาตั้งแต่เกิด และเคยผ่าตัดมาแล้วถึง 11 ครั้ง แต่นั่นก็ไม่ใช่ข้อจำกัดในการสร้างสรรค์ผลงาน แถมทำออกมาดีด้วยซ้ำ

ส่วนเพลงฮิตที่กำลังไวรัลไปทั่วบ้านทั่วเมือง ที่เจ้าตัวเป็นคนแต่งให้ธามไทนั้นแร็ปเปอร์วัย 22 ปีคนนี้ เขาก็บอกด้วยรอยยิ้มว่า ดีใจมากที่เพลงกินใจทุกคนได้ขนาดนี้


“ก็ค่อนข้างดีใจ แล้วก็แปลกใจกับผลตอบรับ อย่างเช่น ‘Hit Me Up’, ‘เปิดใจไม่เปิดตัว’ มันอาจจะเป็นหลายๆ อย่างรวมกัน ด้วยคาแรกเตอร์ของพี่ธาม ด้วยความที่แกมีสกิลการเต้น ความ perform แล้วก็เสียง vocal ที่มันสุดยอดอยู่แล้ว บวกกับเนื้อเพลงที่ผมตั้งใจทำมากๆ มันก็เลยอาจจะกินใจทุกคนได้บ้าง

จริงๆ ไม่คิดว่าตัวเองจะไปแต่งเพลงให้คนอื่นได้เลย เพราะผมรู้สึกว่า แต่ละเพลงของผม ค่อนข้างที่จะเป็นตัวเองมากๆ ครับ น้อยคนที่จะเข้าใจ mood แล้วก็อารมณ์ฟีลของเพลง แต่ว่าพี่ธาม แล้วก็ทุกคนรับ feeling นั้นไปได้หมดเลย ดีใจมาก ผมรู้สึกว่าผมชอบเพลงตัวเอง ตอนที่คนอื่นร้องมากเลย”

[เพลงที่แต่ง ติด 2 อันดับแรกเพลงฮิตของธามไท บน Spotify]
แร็ปเปอร์ ผู้แต่งเพลงจนเป็นไวรัล เล่าถึงจุดเปลี่ยนสำคัญ ที่ทำให้เขากลายมาเป็นนักแต่งเพลงเกิดขึ้นในปี 2022 เมื่อธามไท ได้เห็นผลงานเพลง “Tome boy” ของเขาที่เป็นไวรัลใน TikTok จึงได้ทักไปหา ว่ารับเขียนเพลงหรือเปล่า

เขาบอกว่า ตอนแรกรู้สึกลังเลมาก เพราะไม่เคยแต่งเพลงให้ใครมาก่อน อีกอย่างคือ ไม่ค่อยไม่ใจว่าตัวเองจะทำได้ดีพอ แต่พอคิดว่านี่เป็นโอกาสที่ดี จึงอยากลองคว้าไว้สักครั้ง

“จริงๆ เป็นครั้งแรกที่ได้ทำเพลงกับพี่ธาม ปกติผมทำเพลงตัวเองอยู่แล้วครับ ก็คือทำกันเอง แล้วแบบทำลงๆ เฉยๆ แล้วมันมีเพลงนึงที่ชื่อว่า ‘Tome boy’ ที่มันเป็นไวรัลใน TikTok แล้วพี่ธามเขาก็น่าจะไปเจอ แล้วเขาก็เลย DM ใน IG มาว่า รับแต่งเพลงหรือเปล่า

ก่อนหน้านั้นผมก็ไม่ได้รับแต่งเพลงให้ใครเป็นงานหลัก ไม่ค่อยได้แต่งเพลงให้คนอื่นสักเท่าไหร่ ก็เลยไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่ว่าตัวเองจะทำได้ดีหรือเปล่า แต่ก็ลองโอกาสนั้นดู เพราะว่าพี่ธามก็เป็นศิลปินที่เราชอบส่วนตัวอยู่แล้วด้วย

เพลงแรกที่ทำไปก็เป็นเพลง‘ยังไม่ชิน’ ก็มีโปรเจกต์แรก โปรเจกต์สอง โปรเจกต์สามตามมา จริงๆ มันก็มีเซ็ตแรกที่ผมทำไปกับพี่ธามประมาณ 10 เพลง แต่ว่ามันเป็นช่วงที่เรายังไม่ได้เจอกัน เป็นช่วง Work จากที่บ้าน ก็คือพี่เขาส่งเนื้อหามา แล้วเราก็มาทำ

เพลง‘เปิดใจไม่เปิดตัว’ ก็เป็นหนึ่งใน 10 เพลงนั้นเหมือนกัน ที่ได้ทำเป็นเซ็ตแรก แล้วหลังจากนั้นประมาณอีก 1 ปี พี่ธามเขาก็เลยชวนไป Work Station ก็คือไปทำเพลงที่บ้านโปรดิวเซอร์ชื่อ MayoJames แล้วก็ได้ไปทำเพลงเซ็ต‘Hit Me Up’แล้วก็ปั้นอัลบั้ม EVERY TIME จนเสร็จ”


นอกจากนี้ เขายังเล่าถึงเบื้องหลังความสำเร็จในครั้งนี้ให้ฟังอีกว่า แต่ละเพลง ธามไทจะเป็นคนให้ concept มา และเพลงสุดฮิตอย่าง “Hit Me Up” ก็ใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง ที่ได้ทั้งเนื้อ ทั้งดนตรี พร้อมให้เจ้าของเพลงอย่างธามไท เข้าห้องอัดได้เลย

“อย่างตอนแรกที่คือที่ทำเซ็ต 10 เพลงแรกคือ ผมแต่งเนื้อร้องแล้วก็ทำนองคนเดียว คือพี่ธามส่งหัวข้อมา อย่างเช่น เฮ้ย..เพลงนี้แบบไม่ใช่แฟน ทำแทนไม่ได้หรอก เขาก็จะส่งข้อความเสียงมาประมาณนี้

ให้แกส่งคำคม หรือว่าอะไรก็ได้ที่พี่รู้สึกว่ามันจะเป็น topic ได้ แล้วผมก็จะมาหาคอร์ดกีตาร์ หาเนื้อร้อง ขึ้นฮุก ขึ้นเวิร์ส ขึ้นอะไรที่เหลือเอง แต่งอัดๆ แล้วก็ส่งไปให้เขาฟัง อย่างเพลง‘ยังไม่ชิน’เพลงแรกที่ได้ทำก็คือ แกบอกว่าการอยู่คนเดียวมันยังไม่ชิน”

ส่วนเพลง ‘เปิดใจไม่เปิดตัว’แกก็โยนเปิดใจไม่เปิดตัวมา ผมก็จะมาหาคอร์ดกีตาร์เหมือนเดิม ส่วนที่เหลือผมไปหาใส่เอง แล้วก็อย่างเพลง ‘Hit Me Up’ก็เป็นสเตชั่นที่สองแล้ว ที่ได้ทำกับพี่ธาม ก็คือเราไปเจอหน้ากัน ไป work กันที่บ้าน

เพลง‘Hit Me Up’จำได้ว่ามันเป็นเพลง พวกผมทำสเตชั่นกัน 3 วัน ทำไปประมาณ 7 เพลงวันนั้น 3 วันก็คือ ‘Hit Me Up’น่าจะเกิดมาในวันที่ 2 จริงๆ ผมแต่งรวมๆ”

ชื่อของ “OZEEOOS” เป็นที่รู้จักครั้งแรกตั้งแต่ปี 2018 ในรายการ The Rapper ซีซั่นแรก “คืนจันทร์” ของ “เสก โลโซ” มาแต่งเป็นท่อนแร็ป ทำให้โค้ชทั้ง 4 คนในรายการ เหยียบคันเร่งเพื่อคว้าตัวมาครอง ก่อนที่เขาจะกลายเป็นลูกทีมของโค้ชโต้ง Twopee

แม้จะไม่ได้เข้ารอบลึกๆ แต่ก็ต้องยอมรับว่า กระแสตอบรับของเขาดีมาก เขาเป็นที่รู้จักไปทั่วโซเชียลฯ หลายคนแห่ชื่นชมในความสามารถของเขาอย่างมาก และปัจจุบันเขาก็ยังปล่อยผลงานเพลงออกมาให้แฟนๆ ได้ชมอยู่เรื่อยๆ


พรสวรรค์วิ่งในหัว แต่งเพลงไม่ต้องจดเนื้อ

สำหรับวิธีการแต่งเพลงของอู๊ด ก็ดูเหมือนจะไม่เหมือนใครด้วย นักแต่งเพลงหลายคนอาจจะเลือกจดเนื้อเพลง หรือไอเดียลงบนกระดาษ หรือเครื่องมือสื่อสารต่างๆ แต่สำหรับเขาแล้ว เขาเลือกแต่งเพลงในหัว พร้อมกับจำเนื้อหาแต่ละประโยคไว้ในหัว จากนั้นก็ค่อยไปอัดหน้าไมค์อีกที และระหว่างที่นั่งสัมภาษณ์กันอยู่นั้น เขาก็บอกว่าได้มาแล้วอีก 1 เพลง

“วิธีการแต่งเพลงของผม ผมจะไม่ถนัดจดลงไปในกระดาษ หรือว่าพิมพ์เหมือนคนอื่นเขา ผมจะถนัดแต่งอัดไปทีละประโยคมากกว่า อย่างเช่น ‘Hey girl you feel me’ ได้เมโลดี้แล้ว เมโลดี้นี้ คำนี้ มันก็จะสามารถต่อไปเรื่อยๆ แล้วจำได้ว่าเพลง Hit Me Up น่าจะเป็นเพลงที่ทำเสร็จไวที่สุดในเสตชั่นแล้ว ประมาณไม่น่าเกิด 4 ชั่วโมงเสร็จ

ผมแต่งอัดหน้าไมค์ครับ อย่างเช่นผมหาคอร์ดได้ตรงนี้ เล่นกับฮุก เล่นกับกีตาร์มาก่อน แล้วผมค่อยไปแต่งเวิร์สต่อ อย่าง Hit Me Up สมมติมีบีทมาเปล่าๆ เลย ผมก็แต่งอัดไปทีละประโยคๆ เลย พอเราท่องประโยคนี้ได้ เราก็จะเพิ่มประโยคสองขึ้นมา แล้วเราก็ท่องประโยคนี้จนถึงประโยคสอง เราท่องประโยคสองได้ เราก็จะเพิ่มประโยคสามขึ้นมา แล้วก็แต่งเรียงอย่างนี้อยู่ในหัว

ผมรู้สึกว่ามันเป็นเพราะว่าความจำเป็นที่ต้องใช้มากกว่า ไม่ใช่ว่าผมจดไม่ได้นะ มันก็มีอักษรเบรลล์ที่เป็นของคนตาบอด แต่ว่าผมถนัดแต่งในหัวมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว วิธีการบางคนอาจจะถนัดกับการเขียน บางคนอาจจะถนัดกับการแต่งอัดหน้าไมค์ บางคนอาจจะถนัดหลายๆ อย่าง มันก็แล้วแต่วิธีการของแต่ละคน แต่ส่วนตัวผมเป็นคนถนัดแบบนี้มากๆ

ผมอาจจะรู้สึกว่า มันไม่ทันใจ บางทีความคิดเรามันออก ถ้าเราจับไม่ทัน มันก็จะพลาดแมสเสจสำคัญไปเลย ปัจจุบันผมเลยรู้สึกว่า ถ้าคิดอะไรได้ ผมก็อัดใส่ไมค์ไปเลย ดีที่ตอนนี้เราทำสตูดิโอแล้ว มันก็เลยสามารถแต่งอัดๆ ได้ เราจะได้ไม่ต้องไปจำทุกประโยค แต่ว่าเราต้องวาดแผนผังเพลงในหัวอยู่ดี ว่ามันจะต้องเป็นยังไง

ผมรู้สึกว่า มันคือความถนัดของผมมากว่า แต่ละคนฝึกฝนได้ สิ่งที่ผมทำ ทุกคนก็ทำได้ แต่อาจจะเป็นวิธีการที่มันแตกต่างกันแค่นั้นเอง แต่ว่าสุดท้ายเป้าหมายเราก็เหมือนกัน คือเราก็อยากได้เพลงเหมือนกัน ผมไม่ได้มองว่ามันพิเศษ มันเป็นอะไรที่แย่แล้วสำหรับผม สำหรับเรื่องสายตา

หลายๆ คนจะมองมองว่า จะมีผลกับการทำงาน จริงๆ ไม่เกี่ยวครับ ผมแทบจะไม่ได้ใช้สายตาในการทำเพลงเลย เพราะว่าสุดท้ายแล้วมันก็ขึ้นอยู่หัว กับปากเราแค่นั้นเอง

เป็นปกติที่เราจะไม่เข้าใจคนที่ต่างจากตัวเอง แต่ผมรู้สึกว่าสำหรับผมมันไม่ใช่ความต่าง เราก็แค่ต้องใช้วิธีการที่ต่างกัน เพื่อที่จะได้เป้าหมายเดียวกัน ก็คือประสบความสำเร็จเหมือนกันทุกคนแค่นั้นเอง”


นอกจากจะเป็นคนที่ความจำดี ที่เลือกวิธีแต่งเพลงในหัวแล้ว การแต่งเพลงของเขา ยังฉายแววมาตั้งแต่เด็กอีกด้วย เพราะเพลงแรกของเขา เริ่มมาตั้งแต่อายุ 10 ขวบ

“เพลงแรกที่ผมแต่งก็ประมาณ 10 ขวบ มันก็จำเป็นที่จะต้องจำเนื้อในหัวทั้งหมดเลย เพราะว่าตอนนั้นเราก็เล่นกีตาร์ไม่เป็นด้วย เริ่มจากเพลงป็อปทั่วไปครับ เพราะว่าผมเกิดช่วงยุค 2000s ช่วงเพลงป็อปร็อคกำลังมาเลย ได้ยินคนโน่น คนนี้เขาทำเพลงได้ ก็เลยคิดว่าทำไมเราจะทำไม่ได้ ก็ลองจัดเลย ลองมานั่งแต่งเอง

ตอนแรกเด็กๆ ก็ยังไม่มีใครเข้าใจว่าเราทำอะไร ครูหรือว่าเพื่อน ก็ยังไม่มีใครเข้าใจ แต่ว่าผมก็แอบๆ แต่งมาเรื่อยๆ ช่วงป.6 น่าจะมี 16 เพลงเป็นของตัวเอง แต่ว่าจริงๆ ตอนนั้นยังไม่เคยได้จดเป็นลายลักษณ์อักษร หรือว่าอะไรเลย แต่งแล้วจำไว้ในหัวอย่างเดียว”


แรงบันดาลใจจากความชอบฟัง

สำหรับจุดเริ่มต้นที่ทำให้ลุกขึ้นมาแต่งเพลง และอยากมีเพลงเป็นของตัวเอง เขาบอกว่า เริ่มมาจากความชอบฟังเพลง ชอบร้องเพลง

“เอาจริงๆ แค่ชอบเลยครับ ไม่ได้มีแรงบันดาลใจว่าต้องท้าทายศักยภาพอะไรเลย เราคิดแค่ในมุมเด็กๆ คิดแค่ด้านเดียวตรงๆ เลยก็คือ เราเห็นคนอื่นเขาแต่งเพลงได้ ทำไมเราจะแต่งไม่ได้ ก็เลยฮึมฮัมเป็นเพลงแรกของตัวเอง กลายเป็นเพลงอะไรไม่รู้ ทำนองลูกทุ่งใต้ จริงๆ ผมเป็นคนอีสานนะ แต่ว่าแต่งไปแต่งมา กลายไปเป็นทำนองเพลงใต้ได้ยังไงก็ไม่รู้

ลองศึกษาทำเองมาตลอด ผมไม่ได้เรียน หรือว่าไม่ได้ศึกษาการแต่งเพลงจากใครเลย ลองผิดลองถูก ลองจากการที่เราฟังเยอะๆ เข้าไว้”

ลองผิดลองถูก อาศัยจากการฟังเพลงเยอะๆ แล้วนำมาเป็นไอเดียในการสร้างสรรค์เพลงตัวเองตั้งแต่เด็ก โดยเริ่มแต่งจากเพลงป็อปทั่วไป จนได้มารู้จักกับศิลปินไอดอลคนโปรด ที่ชื่อ “อิลสลิก (Illslick)” จึงทำให้รู้จักกับเพลงแนว ฮิปฮอป จุดประกายเข้าสู่วงการแร็ปเปอร์

“ตอนที่ผมยังไม่รู้จักเพลงฮิปฮอป จริงๆ ตอนนั้นผมก็ยังไม่ได้แต่งเพลงฮิปฮอป แต่พอเจอศิลปินคนนึงชื่อ ‘อิลสลิก’ ผมเห็นเขาแต่งเพลง ช่วงนั้นไม่มีใครเอาโทรศัพท์ไปโรงเรียนได้ ผมอยู่เป็นโรงเรียนประจำ อยู่หอกัน ก็จะใช้ได้แค่ MP3 ลำโพงกับ แฟลชไดร์ฟ

ตอนแรกก็ต้องไปแอบฟังกับเขา เพราะว่าเรายังไม่มีตังค์ที่จะไปซื้อ ก็เห็นเขาเปิด คิดในใจว่าเฮ้ย..นี้มันเป็นแนวอะไรวะ พอรู้ว่ามันเป็นแนวฮิปฮอปก็ เฮ้ย..มันมีแนวเพลงแบบนี้ด้วยเหรอ ทำไมมันแปลกใหม่ แปลกหูจัง

พอฟังเพลงเขามากๆ ก็เลยลองแต่งเอง ลองฝึกกีตาร์ ทีนี้ก็เริ่มไปเป็นนักดนตรี เป็นนักร้องของวงโรงเรียน ก็เริ่มมาจากอะไรแบบนั้น ก้าวเล็กๆ”


นักแต่งเพลงไวรัล เขายังบอกอีกว่า รวมๆ แล้ว เขาแต่งเพลงมาน่าจะประมาณ 300 กว่าเพลงได้แล้ว และแต่ละเพลงที่แต่ง ก็จะบอกตัวตนของเขาในแต่ละช่วงชีวิตด้วย

“ผมรู้สึกว่าเพลงทุกเพลง จะบอกตัวตนของผมแต่ละช่วงเวลา เพลงนึงมันก็บอกแค่หนึ่งความรู้สึก ที่เรารู้สึกไนตอนนั้น อีกหลายๆ เพลงมันก็จะบอกความรู้สึกที่เรามีอยู่ในตอนนั้น ของแต่ละช่วงเวลาเหมือนกัน เพราะฉะนั้นทุกเพลงผมรู้สึกว่ามันบอกตัวตนผมไปในทุกเพลง รวมกระทั่งเพลงที่ผมแต่งให้คนอื่นด้วย ผมก็แอบแซมๆ เข้าไปเหมือนกัน

เพลงล่าสุดของผม ด้วยความที่บ้านผมชอบเปิดเพลงลูกทุ่ง แล้วก็เหมือนพ่อผมเขาร้องเพลงอยู่แล้ว ร้องเพลงเพราะมาก เขาชอบเพลงลูกทุ่งมาก ผมก็เลยนึกถึงบรรยากาศความเป็นบ้านนอก ก็เลยลองมาแต่งเพลงเป็นป็อปลูกทุ่ง ชื่อเพลงว่าลูกผู้ชายพันธุ์ข้าวเหนียว คือบ้านผมอยู่อีสานครับ”

นอกจากความชอบส่วนตัวตั้งแต่เด็กแล้ว ส่วนหนึ่งที่เป็นเขาได้ในทุกวันนี้ เขาก็บอกว่า ความชอบเหล่านั้น อาจจะส่งทอดมาทางสายเลือดด้วย เพราะคุณพ่อเป็นคนชอบอยู่แล้วด้วย บวกกับเขาเป็นคนที่ชอบฟังเพลงที่หลากหลาย ไม่ได้ยึดติดว่าต้องทำแนวไหน อยากลองทำทุกแนวด้วยซ้ำ

“ผมฟังหลากหลายมากครับผม ผมโตมากับลูกทุ่ง แล้วก็มาเพลงป็อปร็อคที่อยู่ในยุคที่ตัวเองเกิด เป็นเพลงสตริง ตอนเรียนก็มาเป็นเพลงอะแคปเปลลา เพลงแจ๊ส เพลงพระราชนิพนธ์ ตัวดนตรีเพลงพระราชนิพนธ์ ก็เป็นดนตรีที่เจ๋งมากสำหรับผมเหมือนกัน แล้วก็มาเป็นฮิปฮอป มาเป็น R&B เยอะมาก เพื่อชีวิต แนวดนตรีอะคูสติก ผมก็อยากลองทำดูเหมือนกัน อินดี้อะไรอย่างนี้

ผมรู้สึกว่าผมไม่ได้ตายตัว ว่าจะทำดนตรีฮิปฮอปหรือว่าอะไร แต่มันก็เป็นสิ่งที่คนอื่นมองเข้ามา มองว่ามันเป็นวิถีของพวกผม จริงๆ พวกผมมันคือวิถี วิถีชีวิต มันไม่ใช่แนวเพลงเสมอไป มันคือการแต่งตัว มันคือไลฟ์สไตล์ มันคือวิถีการเดินทาง ฮิปฮอปจึงเต็มไปด้วยคนที่พยายามมาจากศูนย์กันทั้งนั้นเลย”


เต็มที่คือหน้าที่ ที่เหลือคือคนฟัง

แม้จะเป็นครั้งแรก ในการมีโอกาสได้แต่งเพลงให้กับคนอื่น แต่กลับกลายเป็นว่า โด่งดังจนเป็นไวรัล ทำเอาแฟนเพลงหลายคนชอบอกชอบใจอยู่ไม่น้อย แต่เขาก็บอกว่า ไม่ได้นำความสำเร็จตรงนี้ มากดดันตัวเอง ในการสร้างสรรค์ผลงานอื่นต่อไป

“ผมไม่อยากคาดหวังครับ ผมรู้สึกว่าให้คนดูไปตัดสิน ผมทำหน้าที่ผมเต็มที่แล้ว ที่เหลือก็เป็นหน้าที่ของคนฟัง ที่จะบอกว่า มันดีหรือไม่ดี เพราะว่าติชมได้ มันก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่ละคนก็มีสไตล์ที่ชอบ มีสเป็ก มีแนวทางที่ชอบแตกต่างกันไป ผมก็เลยไม่กล้าบอกว่าเพลงต่อไปมันจะไวรัลหรือไม่ไวรัล เพราะว่าผมทำหน้าที่ของผมเรียบร้อยแล้ว

ทุกคนทำเพลงมันก็ต้องมีความหวังเล็กๆ อยู่แล้ว แต่มันก็ไม่หวังจนเกินไป จนเรามากดดันตัวเอง ว่ามันต้องไวรัลนะ มันต้องมานะ อะไรจะมาก็มา ถ้าไม่มาก็ไม่เป็นไร ก็ถือว่าเราทำมันเต็มที่แล้ว

ผมรู้สึกว่ามันแล้วแต่กลุ่มคนฟังครับ อย่างตลาดความป๊อป คนก็จะชอบอะไรที่มันย่อยง่าย เนื้อหาน้อยๆ เมโลดี้จำๆ หน่อย จริงๆ ผมไม่คิดว่า Hit me up มันจะเป็นไวรัลด้วย เพราะว่ามันแอบออกไปทางตะวันตกจ๋าๆ มาเลย แล้วมันมีท่อนแร็ปรัวๆ แต่มันน่าจะมีท่อนที่มันติดหู up up แล้วก็ท่าเต้นด้วย สุดๆ ไปเลย”



ส่วนความความแตกต่างระหว่าง การแต่งเพลงให้ตัวเองกับแต่งเพลงให้คนอื่น เขาก็บอกว่า คือการพยายามทำความเข้าใจสไตล์ของแต่ละคนให้มากที่สุด

“ผมรู้สึกว่ามันอาจจะเป็นตรงที่เราพยายามทำความเข้าใจวิธีการ แล้วก็สไตล์ของแต่ละคน แล้วก็เอามาอะแดปกับเพลง ก็ต้องทำการบ้านศิลปินนิดนึง”

อย่างที่บอกว่า นอกจากธามไทแล้ว เขายังมีผลงานการแต่งเพลงให้ศิลปินท่านอื่นอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นURBOYTJ ในเพลง “คนขี้เหงา”, “การันตี” และ ”คิดไม่ถึง” เป็นเพลงจาก “URMAN” อัลบั้มล่าสุดของ URBOYTJ รวมไปถึงยังมีเพลง “ฝันร้าย” ของ“Percy”และเพลง “คุยไร” ของMEAN Band x TIMETHAI

แร็ปเปอร์มือทอง เขายังแอบกระซิบอีกว่า เร็วๆ นี้ น่าจะมีการแต่งเพลงให้กับ“กวินท์ ดูวาล” อดีตสมาชิกวง ทรี.ทู.วัน (3.2.1) อีกด้วย

“มีของพี่เต๋า ทีเจ(จิรายุทธ ผโลประการ) ครับ ที่ได้มาคุยกัน น่าจะประมาณช่วงปีที่แล้ว ก็คือพี่แกส่งเพลงในอัลบั้มให้มาทำ แต่อันนี้เรายังไม่ได้เจอหน้ากัน พี่แกชิลมาก แกดีเหมือนกัน ส่งเพลงมา แล้วผมก็อัดส่งไป หลายๆ เพลง

แล้วก็เร็วๆ นี้ น่าจะมีของพี่กวินครับ เหมือนผมไปทาง Kamikaze ผมอัดทาง Kamikaze หลายคนแล้ว แต่ผมชอบนะ เพราะว่าสมัยก่อนผมจะหาเพลงฮิปฮอปฟังยากมากเลย แต่ก่อนมันจะเป็น underground ส่วนใหญ่ ก็มีแต่ Kamikaze เนี่ยแหละ ที่จะหยิบจับแนวฮิปฮอปมาฟัง มีแร็ป มีอะไรให้ฟังเยอะมาก”


นอกจากนี้ แร็ปเปอร์มือทอง ยังบอกอีกว่า นอกจากความสนุกในการสร้างสรรค์ผลงานให้กับศิลปินอีกหลายคนแล้ว สิ่งที่สำคัญในการได้ทำงานร่วมกันนักร้องมืออาชีพคือ ได้เรียนรู้วิธีการทำงานที่เจ๋งมากๆ ของแต่ละคน แล้วนำมามาปรับใช้กับตัวเองได้เป็นอย่างดี

“จริงๆ พี่ธามก็ให้แง่คิด แล้วก็ให้วิธีการทำงานที่แบบเจ๋งมาก สำหรับผมเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าผมให้เพลงแกอย่างเดียว แต่แกก็ให้ attitude ผมหลายๆ อย่างเหมือนกัน

จริงๆ มันเป็นวิธีคิดแบบวิธีการมอง วิธีการชิลไปกับเพลง วิธีการหาสไตล์ หลายๆ เพลงที่ผมไม่เคยฟัง ผมก็ได้มาจากแกเหมือนกัน เพลงที่มันเมโลดี้สวยๆ แกจะชอบส่งมาให้ฟัง ผมชอบเวลาที่แกอยู่ในสตูแล้วแกชิล แกเป็นตัวเอง มันก็เลยทำให้เราไม่เกร็งด้วย มันเหมือนพี่น้องมานั่งแต่งเพลงกันชิลๆ แล้วพอมันออกมาได้ดีด้วย มันก็เริ่มสนุก อยู่ในสตูฯ พวกผมก็โดดกันยับเลยครับ

พี่เต๋า ผมรู้สึกว่าแกเป็นคนจริงจังกับการทำงานมาก จริงจังแต่ก็ไม่บรีฟเราจนเกินไป เหมือนแกเข้าใจวิธีการทำงานของเรา พอได้มาทำเพลงก็รู้สึกว่า พี่แต่ละคนชิลมาก เจ๋งๆ”


ปริญญาไม่ตอบโจทย์ ดร็อปมาเลือกชีวิตเอง

ดูเหมือนว่าอู๊ด จะค้นพบความชอบของตัวเองมาตั้งแต่เด็ก และพยายามพัฒนาตัวเอง จนมายืนในวงการนี้ได้สำเร็จ ซึ่งเขาบอกว่า กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ ก็ไม่ใช่เรื่อง่ายๆ

“ยากอยู่นะ จริงๆ ผมเคยคิดว่าอยากเป็นนักธุรกิจครับ ถ้าสมมติยังเรียนอยู่ ผมก็อยากจะเรียนบริหารธุรกิจต่อ อยากทำธุรกิจ ผมเรียนมาถึงมอปลาย แล้วผมก็ดรอปเรียนออกมาจากอัสสัมชัญ ดื้อ อยากลองทำฝันตัวเอง

ผมรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่ผมทำได้ดี แล้วผมคิดว่า มันก็จะดีได้กว่านี้อีก ก็เลยกล้าลอง วัดกับมันไปเลย แล้วผมคิดว่า ให้เพลงเป็นเหมือนสะพาน มันคือความสุขที่อาจจะพาเราไปที่ความฝันเรา ผมอาจจะเอาเงินตรงนี้ ไปทำธุรกิจอะไรของผมก็ได้

อย่างเช่นสตูนี้ มันก็เป็นหนึ่งในผลประกอบการ เงินจากเพลงที่พวกผมทำกันมา แล้วมันอาจจะเป็นหนึ่งธุรกิจรับคนมาอัดเพลง รับแต่งเพลง จริงๆ มันก็คือธุรกิจเล็กๆ ของผมนะ”

แม้เขาจะตัดสินใจลาออกจากการเรียน เพื่อวิ่งตามความฝันของตัวเอง แต่เขาก็ยังมองว่า การศึกษายังสำคัญอยู่มากสำหรับคนที่ยังค้นหาตัวเองไม่เจอ ว่าอยากจะทำอะไร แต่สำหรับเขา เขามองว่ามันคุ้มแล้วที่แลกมา

“บางคนก็อาจจะมองบางคนเป็นเป็นไอดอลซะทุกอย่าง ผมว่าแต่ละคนมีดีมีไม่ดีอยู่ในตัวเป็นธรรมดา แต่ว่าอันไหนที่เป็นส่วนดี เราก็ดูเป็นเยี่ยง แต่อันไหนที่ไม่ดีก็อย่าไปเอาอย่าง ก็แค่นั้นเองครับ

เราต้องตอบตัวเองให้ได้ก่อนว่า เราพร้อมรับความเสี่ยง กับการที่มันอาจจะไม่เป็นอย่างที่เราฝันหรือเปล่า เพราะว่าเส้นทางนี้ ผมว่ามันเหมือนเดินอยู่บนเส้นด้าย พลาดไปมันก็ตก ตกไปมันก็ไม่มีอะไรมารองแล้วครับ

คุณต้องรักมันมากๆ พอที่คุณจะทุ่มเทให้กับมันได้ทั้งเวลา ทั้งความสุขระหว่างวัย ที่คุณควรจะมี ซึ่งผมก็โยนมันทิ้งไปเยอะมากเหมือนกัน

จริงๆ วัยผมตอนนั้นก็อาจจะแค่เรียนไป ก็ทำตามๆ กันไป แล้วก็ไปเรียนจบได้ใบปริญญา แต่ว่าสำหรับผม ใบปริญญามันไม่ได้ตอบว่าผมจะประสบความสำเร็จหรือเปล่า แต่ผมรู้สึกว่า สิ่งที่ผมได้จากการทำงานที่ผมรัก มันสามารถตอบแทนผมได้ เลี้ยงที่บ้านผมได้ ตอบแทนให้สิ่งที่ผมอยากจะได้ มันเป็นรูปธรรมมากกว่า แค่นั้นเองครับ

ทั้งนี้ทั้งนั้น ผมก็ยังคิดว่า การเรียนเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ สำหรับคนที่ยังตอบตัวเองไม่ได้ ว่าตัวเองอยากจะทำอะไรดี ว่าตัวเองอยากจะเป็นอะไร ว่าตัวเองต้องการอะไรในชีวิต ผมรู้สึกว่าการเรียนในพื้นฐาน มันก็ยังให้ประสบการณ์หลายๆ อย่าง บางทีผมอาจจะพลาดอะไรหลายๆ อย่างไปกับการเรียนก็ได้ แต่ผมรู้สึกว่า มันคุ้มแล้วที่ผมแลกมา”

 [ดร็อปเรียนจากอัสสัมชัญสมุทรปราการ เพื่อมุ่งหน้าตามฝัน]
ยอมรับว่าตอนนั้นตัวเองค่อนข้างที่จะดื้อ เพราะอยากวิ่งตามความฝันให้สำเร็จ จึงตัดสินใจออกมุ่งมั่นทำเพลง จนได้เป็นที่รู้จักในการ The Rapper จนค้นพบว่านี่คืออาชีพที่ใช่

“เราจะเหยียบเรือสองแคมไม่ได้แล้ว เราจะตื่นเช้าไปเรียน แต่ตอนกลางคืนเรากลับมาทำสตูเนี่ยนะ มันเป็นจุดที่แย่สำหรับผมเหมือนกันนะ ผมก็เลยไม่ได้ไปโรงเรียนอีกเลย

ตอนนั้นผมคิดหนักมาก ถ้าสมมติผมจะเรียน ผมจะไม่ทำเพลงแล้ว มันก็ต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ผมยังรู้สึกว่า ผมยังรักเพลงมากๆ ยังรู้สึกว่าไม่ได้พิสูจน์ตัวเองเลย มันยังไม่ได้เป็นมิชชั่นที่สูงสุดเลย เอาวะลองวัดกันดู

แล้วเพื่อนก็เลยบอกว่า เฮ้ย..มึงพิสูจน์ตัวเองอย่างนี้ดิ ถ้าสมติเพื่อนจบม.6 ขึ้นมหา’ลัย มึงก็ต้องมีอะไรที่ภูมิใจ ตอนเพื่อนจบม.6 มึงไม่ได้มีอะไรที่น้อยหน้าไปกว่านั้น พอดีมันก็มาตรงกับช่วงที่ผมได้งานพี่ธามทำเพลงตัวเองด้วย แล้วก็เพลงพี่ธามเป็นไวรัลพอดีเลย ก็เลยรู้สึกว่า นี่แหละ That's my plan

ที่เป็นไวรัลตอนแรก เรายังไม่คิดครับ แค่รู้สึกว่า เพลงเรามันก็ได้อยู่นะเฉยๆ ครับ แต่พอหลังจาก The Rapper นั่นแหละ มันก็เริ่มมีงานเล็กๆ น้อยๆ จากนู่นจากนี่ ก็เริ่มได้เก็บตังค์ แล้วก็เริ่มมีผู้ติดตามในยูทูบ เริ่มปล่อยเพลง ได้ขึ้นเป็น 10 ล้านวิว ก็เริ่มได้ตังค์จากตรงนู่น เก็บๆ มา ก็เลยรู้สึกว่า เฮ้ย..หรือนี่มันจะเป็นอาชีพเราได้นะ จริงๆ หลังจาก The Rapper นั่นแหละครับ หลังจากที่ได้เงิน ก็เริ่มรู้สึกว่า มันก็น่าจะเป็นอาชีพเราได้นะ”


เคยดิ่งสุด แต่ก็กลับมาได้

อู๊ด เล่าถึงประสบการณ์ที่เคยลำบากสุดๆ ให้ฟังว่า ช่วงนั้นเป็นช่วงการระบาดของโควิด-19 เงินที่มีอยู่ก็เริ่มหมดไป หนักสุดคือต้องนับเหรียญไปกินมาม่า

“แอบดื้อนิดนึง ช่วงโควิดตอนนั้นผมออกจากโรงเรียนประจำ ก่อนหน้านั้นผมเรียนอยู่โรงเรียนสอนคนตาบอดกรุงเทพฯ มาตั้งแต่อนุบาล ถึงป.6 แล้วก็ออกไปเรียนกับคนปกติที่อัสสัมชัญ สมุทปราการ แต่ว่าก็ยังพักอยู่ที่หอ ที่โรงเรียนคนตาบอดได้อยู่ แล้วก็ไป-กลับ อยู่อย่างนี้ แล้วก็วนกับการแต่งเพลงในหัวไป

หลังจากแข่ง The Rapper ก็ยังเรียนอยู่ แล้วก็ไปทำงานบ้าง แล้วก็พักอยู่ที่โรงเรียน พอทีนี้ผมเริ่มรู้สึกวัยรุ่นเหมือนฟีลอยากหาประสบการณ์เอง ก็เลยออกมาจากโรงเรียนประจำ แล้วก็ไปเช่าหออยู่เองกับเพื่อนๆ แล้วก็เล่นดนตรี

ช่วงที่เบรกไปก็คือช่วงโควิด ผมเหมือนเริ่มใหม่เลย เพราะว่าผมทุกบาททุกสตางค์ ที่ได้จากยูทูบ ผมก็เอาไปทำเพลงต่อ มันก็เหมือนเงินหมุนเวียน พอเอาไปทำเพลงซะเยอะ มันก็ไม่พอใช้ในชีวิตประจำวัน ก็เลยไปหาเอาจากอย่างอื่นด้วย จากการเปิดหมวก จากการนู่นนี่นั่น หนักครับ ช่วงโควิดเป็นช่วงที่รู้สึกว่าหนักมากในชีวิต นับเหรียญไปกินมาม่า”

แม้จะเคยเจอประสบการณ์ที่ยากลำบากมาได้ แต่ก็ยังผ่านมา ยอมรับว่าท้อ แต่ก็คิดว่า ถ้ายังอยากมีชีวิตต่อ ก็ต้องลุกขึ้นสู้เท่านั้น ในตอนนั้น เขาจึงเลือกหาเงินมาจุนเจือตัวเอง ด้วยการออกไปเปิดหมวกร้องเพลงกับเพื่อนๆ

“ท้อมากๆ จริงๆ ถ้าจะให้กลับไปบอกที่บ้าน ว่าขอเงินที่บ้าน จริงคิดว่าไม่น่ามีปัญหา แต่ว่ามันไม่ได้จริงๆ ก็บอกแม่ว่าสบายดีครับ ผมรู้สึกว่า มาได้ขนาดนี้แล้ว

พอมาถึงปัจจุบันผมก็เริ่มคิดว่า จริงคนเราก็อ่อนแอได้บ้างแหละ แต่มันก็ยังดีที่ยังมีคนอยู่ข้างๆ เรา ตอนนั้นเราพยายามแบกทุกอย่างมาไว้บนหลังจนเกินไป เรื่องเรียนด้วย เพราะว่า พอโควิดปุ๊บ มันก็ต้องเรียนออนไลน์ ผมรู้สึกว่า ผมจะเรียนช้ากว่าเพื่อนประมาณสัก 2 ปี แล้วผมไม่มีอุปกรณ์ในการที่จะเรียนออนไลน์ได้ถนัด บางทีก็เริ่มหายๆ จากการเรียนช่วงนี้เหมือนกัน เริ่มไม่อยากไปโรงเรียน เพราะว่าถ้าไปโรงเรียน แล้วจะเอาตังค์ที่ไหนกิน

แค่รู้สึกว่า ถ้ายังอยากมีชีวิตอยู่ในวันพรุ่งนี้ มันก็ต้องบ้า มันก็ต้องสู้ต่อไป ทำอะไรก็ได้ ผมไปเปิดหมวก อย่างบางทีเปิดหมวก แบบว่าไปกับเพื่อน ได้วันละประมาณ 200-300 บาท ยังไม่พอค่ารถเลย ช่วงโควิดมันไม่ค่อยจะมีใครอยากจะออกมาหรอกใช่ไหมครับ พวกผมก็ไม่อยากออกไป แต่ว่ามันก็ช่วยไม่ได้ ต้องทำทุกอย่าง เท่าที่ทำได้ แต่ผมรู้สึกดีใจ ที่ผมก็สามารถจ่ายค่าห้องได้ไม่ค้างค่างวดเลย

แล้วพอทีนี้ ผมก็ได้มารู้จักกับเพื่อนๆ ผม ทาง W.R.P. ก็เป็นพี่ชายผมอีกบ้านนึงที่ทำสตู ก็คือให้ผมไปทำเพลงที่ฟรี ให้ผมสามารถกินนอนอยู่ได้

ตอนแรกผมคิดว่าผมน่าจะมีงานรองรับช่วงโควิดได้อยู่มั้ง แต่ไม่คาดคิด ต้องออกไปเล่นดนตรีเปิดหมวก เพื่อที่จะหาตังค์มาจ่ายค่าหอให้ได้ หาตังค์มาจ่ายค่าข้าว ค่าอะไรตัวเองให้ได้ โดยที่ไม่อยากรบกวนที่บ้าน เพราะตั้งแต่ผมออกมาจากรายการ The Rapper ผมบอกว่า ผมจะไม่ขอเงินแม่อีกตั้งแต่อายุ 16 ปี ผมดีใจ ที่ผมก็รักษามันได้ มาจนถึงปัจจุบัน ตอนนี้ผม 22 ปี ประมาณ 7 ปี แล้วครับ”

 [สู้จนมีเงินเก็บหลักล้าน ดูแลครอบครัวให้สุขสบายได้]
จากนักสู้ในตัวของเขาในวันนั้น ทำให้ในวันนี้ เขาสามารถมีเงินเก็บหลักล้าน ในการดูแลตัวเอง และดูแลครอบครัวให้สุขสบายได้แล้ว

“ผมจำได้ ตอนเด็กๆ ช่วงที่ผมแต่งเพลงเอง ผมมาจากบุรีรัมย์ เพื่อที่จะมาเรียนประจำที่กรุงเทพฯ ผมเคยคุยกับลุงว่า ลุงวันนึงผมจะเป็นนักแต่งเพลง แล้วก็ทำเงินหลักล้านให้ได้เลย ด้วยความที่เราอินกับไอดอลเรามาก เพราะเขาทำเงินได้ ผมเอาแค่ส่วนที่ความพยายามของเขา มาเป็นแรงบันดาลใจให้กับตัวเอง

หลังจากที่คุยกับลุงเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ตอนนี้ผมก็ทำหลักล้านได้แล้วครับ รวมๆ ประมาณครึ่งปีได้ประมาณล้าน ตอนนี้ก็น่าจะมี 2-3 ล้านบาท ก็มีได้จากลิขสิทธิ์เพลงด้วย แล้วก็ได้จากเพลงที่เราทำต่อ รายได้จากยูทูบเพลงของเราด้วย

ล่าสุดน้องสาวก็เพิ่งเข้าโรงเรียน ก็น่าจะมีช่วยเรื่องค่าเทอม ค่าชุด ผมเป็นลูกคนที่ 3 จาก 4 คนครับ มีน้องสาวคนเล็ก แล้วก็มีพี่สาวคนโต พี่ชายคนรอง

ตอนนี้พี่ๆ ก็ทำงานกันแล้ว ก็ช่วยๆ กัน แต่ว่าผมก็บอกแม่ตลอดว่า ถ้าเกิดมีอะไร อยากได้อะไร หรือว่าขาดตกอะไรก็ให้บอกผมได้เลย ถ้าพี่ๆ ยังไม่มีก็บอกผม

ก็แบ่งเงินไว้เป็นส่วนๆ ครับ ก็จะมีเงินที่เราจะต้องเอามาลงทุนทำเพลงต่อ อันนี้เป็นเงินซื้อความสุขของตัวเองนะ ส่วนเล็กๆ ส่วนนึง แล้วก็เป็นเงินเก็บ พยายามจะ manage มันดีๆ”


จะทำจนกว่าจะทำไม่ไหว

สำหรับเส้นทางในอาชีพนี้ อู๊ด ก็วางแพลนไว้ว่า อยากจะทำไปเรื่อยๆ จนกว่าร่างกายจะทำไม่ไหว และก็ไม่ได้จำกัดด้วยว่าจะทำเพลงไหน อยากลองทำผลงานดนตรีทุกแนว ให้กับแฟนๆ ด้วยชมด้วยซ้ำ

“ผมก็ยังจะทำจนกว่าผมจะทำมันไม่ไหว จนกว่าที่ผมจะหมดแพชชั่นกับมันแล้ว แต่ผมคิดว่ามันคงไม่หมดหรอก นอกจากร่างกายมันไม่สู้แค่นั้นเอง เพราะเพลงตอนวัยรุ่นเราทำไว้บ้ามาก คีย์ R&B ขึ้นไปสูงๆ ไม่รู้ว่าโตไปมันจะไปเป็นแนวอะไร แล้วก็ไม่ judge สักทางครับ วันนี้อยากทำอะไรก็ทำ พรุ่งนี้อยากทำอะไรก็ทำ แล้วก็ทำทุกวันให้ดีที่สุด ดูแลคนที่เรารักให้ดีที่สุดแค่นั้นเอง

แล้วก็ดีใจ ที่ความสนับสนุนของทุกคนในวันนั้น ได้มาเป็นผมในวันนี้ แล้วก็ด้วยความสนับสนุนพี่ผมในวันนั้น พี่บอล ที่เป็นผู้จัดการจนถึงปัจจุบัน ก็ทำให้เป็นผมในวันนี้เหมือนกัน หลายๆ คนเพื่อนๆ ผมทุกคน ที่ทำกันมาตั้งแต่กินมาม่าหม้อเดียวกัน กินข้าวผัดใส่ซีอิ๊วอย่างเดียว”

ส่วนใครที่กำลังมองแร็ปเปอร์ และนักแต่งเพลงคนนี้ เป็นไอดอล หรือเป็นแรงบันดาลใจในการวิ่งตามความฝัน เขาก็ฝากบอกว่า อยากให้มองในมุมความพยายาม และเต็มที่กับสิ่งที่ตัวเองรัก

“เป็นไปได้ก็อยากให้มองในมุมของความพยายาม อยากให้มองในมุมว่ามันไม่เกี่ยวว่าเราจะเกิดมาเป็นยังไง ไม่เกี่ยวว่าใครจะมองเราว่าเป็นยังไง ไม่เกี่ยวว่าเราจะมีเท่าไหร่ แต่มันเกี่ยวที่ว่าเราจะทำมันเท่าไหร่ เราอยากจะเต็มที่กับสิ่งที่เรารักเท่าไหร่แค่นั้นเอง

หลังจากที่เราได้เปิดหูเปิดตา มองโลกกว้าง ผมรู้สึกว่าสุดท้ายมันก็ขึ้นอยู่ที่ทัศนคติของเรา ถ้าสมมติเขามองเข้ามา เราเป็นแบบนี้ แล้วเราดันคิดว่าเราเป็นแบบนี้ ตามที่เขามอง มันก็ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ ผมรู้สึกว่ามันไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้เราไม่ใช้ชีวิตต่ออย่างเต็มที่ เพราะฉะนั้นอะไรที่ผมอยากจะทำ ผมทำหมด ไปปีนเขา เดินป่า ไปแคมป์ปิ้ง ไปหมดเลย อยากทำอะไรก็ทำ ล่าสุดอยากลองเล่นบันจีจัมป์”

ท้ายนี้ อู๊ด ยังบอกถึงความฝันสูงสุดในชีวิตไว้ว่า แค่อยากเป็นคนที่มีอิสระทางการเงิน และอิสระในการใช้ชีวิตเท่านั้น พร้อมกับฝากบอกว่า อยากให้แฟนๆ ได้ติดตามผลงานไปเรื่อยๆ เพราะยังมีความมหัศจรรย์ และความสนุกอีกเยอะ

“จุดสูงสุดของผม ผมคิดแค่ว่า มีอิสระทางการเงิน แล้วก็มีอิสระในการใช้ชีวิต อยากทำอะไรก็ได้ทำ อยากกินอะไรก็ได้กิน อยากไปไหนก็ได้ไป นี่คือจุดสูงสุดครับ ก็อยากบอกว่า อย่าลืมติดตามนะครับ ความสนุก ความมหัศจรรย์ยังมีอีกเยอะ”


สัมภาษณ์ : ทีมข่าว MGR Live
เรื่อง : พัชรินทร์ ชัยสิงห์
ภาพ : พลภัทร วรรณดี
ขอบคุณภาพเพิ่มเติม : เฟซบุ๊ก “Amnart Srisang”, อินสตาแกรม “@ozeeoos.ood”



** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **




กำลังโหลดความคิดเห็น