เจาะชีวิตเจ้าของเพจ “ชีวิตติสชีวิตตัส” กับการตะลอนเที่ยวด้วย “2 ล้อเครื่อง” ข้ามประเทศ จากมหาสารคามไปแชงกรีล่า 2,000 กว่ากิโล เพื่อลุยหิมะตามฝัน คนแห่แชร์จนเป็นไวรัล “ประสบการณ์ชีวิตที่ไม่คิดว่าจะไปถึง” ประกาศหมุดหมายท้าฝันใหญ่ต่อไป “อยากขับมอเตอร์ไซค์ไปเอเวอเรสต์!!”
ขับ 2 ล้อ บันดาลใจลุยหิมะ
“ทุกคนมีฝัน ก็เป็นกำลังใจให้กับทุกคน จังหวะชีวิตของคนเรามันก็ไม่เหมือนกัน อย่าท้อครับ ตั้งใจ มีเป้าหมายที่แน่วแน่ก่อนอันดับแรกเลย แล้วเราจะได้ไปแน่นอนครับ”
“โลตัส-สาธิต ใหม่คามิ” เจ้าของเพจ “ชีวิตติสชีวิตตัส” วัย 34 ปี ที่กำลังเป็นที่สนใจในโซเชียลฯ โดยเฉพาะสายท่องเที่ยวที่หลายคนแห่แชร์โพสต์ถึง 3,000 กว่าครั้ง กับรีวิวชีวิตตะลอนเที่ยวด้วย 2 ล้อ ขับรถมอเตอร์ไซค์ดรีมคุรุสภา
ดูแล้วไม่น่าเชื่อว่าจะอึดได้ข้ามประเทศ แต่ตัสก็พิสูจน์จากต้นทางบ้านเกิด สตาร์ทที่มหาสารคาม บึ่งไปถึงแชงกรีล่า ประเทศจีน มาแล้ว ด้วยเวลา 9 วัน 2,000 กว่ากิโล เพื่อไปสัมผัสหิมะตามใจฝัน
อะไรคือแรงบันดาลใจ ที่ทำให้นักท่องโลกคนนี้ ผู้เดินทางท่องเที่ยวมาแล้ว 10 กว่าประเทศ มีประสบการณ์ตะลอนเที่ยวด้วยมอเตอร์ไซค์มาแล้ว 3 ประเทศ ตัดสินใจขับ 2 ล้อลุยหิมะอย่างที่เห็น ย่อหน้าต่อจากนี้คือแรงผลักเบื้องหลัง พร้อมความรู้สึกปลื้มใจสำหรับฟีดแบ็กดีๆ
“ก็ตกใจนะครับ ที่ให้ความสนใจดี เกิดมาก็ไม่เคยมีใครมาแชร์ มาคอมเมนต์ กดไลก์ให้เราเยอะขนาดนี้ ก็ดีใจครับ เป็นอีกหนึ่งกำลังใจที่ดี เป็นตำราให้กับคนได้เรียนรู้ครับ ว่าให้เขามาศึกษาเราได้ ว่าไปยังไง มันไม่ได้ยากอย่างที่คิดนะ มันมีวิธีขั้นตอน
เริ่มแรก มีคนมาชวนครับ เป็นรุ่นพี่ที่รู้จักบอกว่าจะไปจีน แต่ว่าก็ยังไม่ตอบตกลงว่าจะไป แล้วคราวนี้ก็ไปเห็นอินฟลูฯ ท่านหนึ่ง เขาโพสต์ไว้ว่ารับสมัคร ก็คือหาเพื่อนร่วมทริป ที่จะไปจอยทริปด้วยกัน เป็นทริปรถแม่บ้านประมาณนี้ครับ ซึ่งในทีมของเขาก็คือ เป็นรถแม่บ้านในราคา 65,000 เป็นรถฮอนด้า
ซึ่งผมเองก็มีรถฮอนด้าอยู่คันนึง จริงๆ ก็มีหลายคันอยู่ แต่ว่าผมมีรถฮอนด้าดรีมคุรุสภา ที่เป็นรถของผมเอง ชื่อผมเอง แล้วก็ขับประจำอยู่แล้ว ผมก็เลยคิดว่าอยากจะเอารถคันนี้ ที่เรามีอยู่แล้วไปจีน ซึ่งมันเป็นโจทย์ที่ท้าทายดี ตรงที่มันเป็นรถเก่า รถที่คนไม่คิดว่าคันนี้มันจะไปถึงได้ แต่ว่าเรามั่นใจในตัวรถ แล้วเราก็อยากจะทำให้ทุกคนเห็นว่า เฮ้ย..รถมันไปได้นะ มันไม่ได้เกี่ยวกับรถ มันอยู่ที่ใจ อยู่ที่ความตั้งใจเรามากกว่าครับ
มีความท้าทายในการที่จะเอาไป ก็คือเราจะได้ลบคำสบประมาทของคนอื่นได้ด้วยว่า มันเป็นรถจอดนะ มันเป็นรถที่มันไม่แรง แล้วมันเป็นรถสภาพแบบนี้ มันจะขี่ไปถึงจีนได้ไง
ก็เริ่มจาก จ.มหาสารคาม บ้านเกิดเลยครับ แล้วก็ไปข้ามด่าน อ.เชียงของ จ.เชียงรายครับ ข้ามไปลาว เป็นสิบสองปันนา แล้วก็ขี่ไปเรื่อยๆ ตามเมืองต่างๆ ครับผม ผมใช้เวลาประมาณ 4-5 วัน ถึงแชงกรีล่า
ก็คือมันดูเหมือนจะไกลนะครับผม แต่เราขับรถจริงๆ ขับวันนึงประมาณ 300 ไม่เกิน 400 กิโล ซึ่งไม่ใช่ทุกวัน แต่มันอาจจะค่ำทุกวัน ด้วยความที่เรายังไม่เคยไปกัน และมันเป็นรถเล็ก เราไม่สามารถที่จะทำความเร็วได้ครับ
เส้นทางที่เราขี่ก็คือเป็นเส้นทางชาวบ้าน เส้นทางปกติทั่วไป เราไม่ได้ขึ้นทางด่วน ซึ่งในจีน รถที่จะขึ้นทางด่วนได้ ต้องเป็นรถ 150 ซีซีเป็นต้นไปครับ ซึ่งรถพวกผมซีซีไม่ถึง ก็วิ่งรอบเมืองไปครับ ซึ่งมันก็จะได้อรรถรสอีกอย่างนึงในการขับขี่ มันก็จะได้เห็นวิถีชีวิตชาวบ้านที่ใกล้ชิดมากขึ้นครับ”
ย้อนกลับไปก่อนหน้านั้น นักท่องโลกคนนี้ เขาเคยเป็นที่รู้จัก และเป็นไวรัลโด่งดัง ใน TikTok จากคอนเทนต์คลิปฟ้อน ซึ่งเป็นคลิปที่เขายืนออกสเต็ปฟ้อนแบบหมอลำ แบบสนุกๆ คนเดียว ตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ที่เขาได้ไปเยือน
“TikTok เก่าคนน่าจะรู้จักเยอะกว่านี้ครับผม แต่ตอนนี้คนน่าจะจำภาพเราขี่ดรีมไปจีนมากกว่า เคยเป็นไวรัลของคลิปฟ้อนมาก่อนหน้านี้ เป็นคลิปฟ้อน เต้นทั่วไป แต่ว่าเราไปเต้นตามสถานที่ต่างๆ มันเคยมีไวรัลแล้วครั้งนึง มีไวรัลเยอะๆ เลยนะ ที่คนดูเป็นล้านเลยนะ แต่ว่ามันหายไปแล้ว ก็ดีใจมากตอนนั้น แล้วอยู่ดีๆ ก็โดนแบนทั้งที่เราก็สร้างสรรค์สิ่งดีๆ เราก็ไม่รู้วิธีกดอะไรยังไง ก็อกหักไปช่วงนึงเลย”
ใจฟู!! พาป้ายทะเบียนไทยไปเหยียบหิมะ
แชงกรีล่า เป็นเป้าหมายในการเที่ยวที่นักท่องโลกคนนี้ ตั้งใจไว้ว่า อยากจะไปเยือนสักครั้งในชีวิต เพราะใครๆ ก็รู้ว่าเป็นเมืองแห่งความสวยงาม ไม่ว่าจะเป็นวัฒนธรรม และบรรยากาศที่งดงาม ที่เปรียบเสมือนเป็นยูโทเปีย แห่งเทือกเขาหิมาลัย
“เป็นเป้าหมายหนึ่งที่ผมอยากจะไป ซึ่งผมคิดเอาไว้ว่า มันเป็นทางที่ผมจะสามารถที่จะเอารถที่ผมรัก ที่ผมขี่ในไทย เที่ยวในไทยปกติเลยเนี่ย สามารถขี่ไปจีนได้ ใน budget ที่เราสามารถจ่ายไหว แล้ว ไม่จำเป็นต้องถอดป้ายทะเบียนรถ ก็คือใช้ป้ายไทยแล้วก็ขี่เข้าไปจีนได้เลย แล้วก็อยากเอารถไปถ่ายกับหิมะ แล้วก็เห็นป้ายทะเบียนรถจังหวัดของเราอยู่บนหิมะ”
นี่ไม่ใช่ครั้งแรก ที่นักท่องโลกคนนี้ ขับมอเตอร์ไซค์ตะลอนเที่ยวต่างประเทศ และก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้สัมผัสกับหิมะ แต่นี่เป็นครั้งแรก ที่เอาชนะความท้าทายตัวเอง ด้วยการขับมอเตอร์ไซค์ไปเที่ยวเมืองหิมะ จึงรู้สึกใจฟูที่สุด
“ไม่ใช่เป็นครั้งแรกครับ อันนี้เป็นประเทศที่ 3 ที่ผมเคยขี่รถมอเตอร์ไซค์ ก็คือประเทศแรกที่ผมไปก็คือประเทศลาว ประเทศที่ 2 ก็คือประเทศเวียดนาม ประเทศที่ 3 ก็คือประเทศจีน แล้วก็ไม่ใช่หิมะครั้งแรก แต่ว่ามันเป็นครั้งแรกของการที่ขี่มอเตอร์ไซค์ไปครับ
ก็ประทับใจนะครับ ประทับใจตรงที่ เราสามารถพารถไปได้ มันคือตอนแรกเลยที่ดีใจ ดีใจที่สุดเลยคือตอนที่เห็นหิมะปลายยอดภูเขา เล็กนิดเดียว อยู่ไกลด้วย แต่นั่นมันบ่งบอกให้เราเห็นว่า เนี่ยเรามาถึงแล้วนะ ซึ่งวันต่อมา หิมะตก หิมะ เยอะเลย ก็รู้สึกดี แต่ไม่ได้รู้สึกว้าวมาก เพราะว่าความรู้สึกแรกที่เราเจอหิมะมันใจฟูกว่า”
นอกจากรู้สึกใจฟู ที่สามารถพามอเตอร์ไซค์คู่ใจ ไปถึงสิ่งที่ฝันได้แล้ว นักท่องโลกคนนี้ บอกอีกว่า สิ่งที่ได้จากทริปนี้ก็คือ ความพยายาม และความใจเย็น
“มันรู้สึกว่าเฮ้ย..เราทำได้ เรามีความพยายามที่ไปให้ถึงจุดนั้นได้ เรามีความใจเย็นมากพอในระหว่างทาง เพราะว่าด้วยรถที่มันมีความเร็วประมาณ 20-70 คือเข็มไมล์ขึ้นเขาได้ 20 ทางตรงคืออย่างมากก็ประมาณ 70 ซึ่งมันอยู่ที่ใจเราด้วยนะ
ถ้าคุณใจร้อน เขาก็จะเค้นรถเพื่อที่จะไปต่อได้เร็วขึ้น แต่เราใจเย็นเพราะเรามองว่าถ้าเราเค้นรถมากไป รถอาจจะพังได้ แล้วการที่ขี่รถความเร็วที่ 20-30 ซึ่งถ้าคนใจร้อนไม่สามารถทำได้ มันก็ได้พิสูจน์หลายๆ อย่าง แล้วก็เป็นการที่ทำให้เราใจเย็นมากขึ้นด้วยครับ”
รถพัง-เครื่องรวน ผ่านมาหมดแล้ว
แม้จะมีประสบการณ์ตะลอนขี่มอเตอร์ไซค์เที่ยวมาแล้วถึง 3 ประเทศ แต่ทริปแชงกรีล่า ประเทศจีน นักท่องโลกคนนี้ เขาก็ยอมรับว่า มีความกังวลมากกลัวรถพังระหว่างทาง โดยเฉพาะกลัวเรื่องอาการลูกสูบติด แล้วจะทำให้รถดับ ไม่ขับต่อไปได้ พร้อมกับมีความกังวลแอบคิดว่า รถเก่าๆ ของตัวเองคันนี้ จะไปไม่ถึงฝันอยู่เช่นกัน
“กังวลร้อยเปอร์เซ็นต์ครับ โดยส่วนตัวผมเองก็คือเป็นรถเก่า หนึ่งเลยกังวลว่ารถมันจะพังตอนไหนก็ไม่รู้ ก่อนไปเราก็เซอร์วิสไว้ดีแล้วแหละ ในระหว่างทางเราก็ไม่กล้าขับรถเร็ว เพราะว่าด้วยความที่มันเป็นลูกสูบ แล้วถ้ารถความร้อนสูงๆ มันสามารถทำให้ลูกสูบติดได้
แล้วเราก็ขี่ขึ้นเขาด้วย ที่จีนขึ้นเขาจะไม่เหมือนไทยครับ ก็คือพวกเขาที่จีนมันจะเป็นภูเขาเนิบๆ สูงเหมือนกัน แต่ว่ามันจะขึ้นเป็นเนิบๆ ขึ้นเรื่อยๆ แต่ถ้าบ้านเราจะเป็นภูเขาชันเลย ระหว่างทางก็กลัวลูกสูบติด ส่วนอุปสรรคตอนที่ขี่ ก็มีแค่ยางรั่วครั้งเดียวครับ ในส่วนของรถผมนะ รถไม่มีอาการพัง มีแค่อาการสะดุด สะดุดเหมือนขี่ม้า คือว่ามันเจออากาศเย็น แล้วเครื่องมันรวน
มันจะมีรถเก่าอยู่ 2 คันครับ คือสีขาวกับสีแดง คันสีแดงนี่คือเก่าสุด ซึ่งเป็นรถรุ่นพี่ที่เขาซื้อมา เพราะว่าป้ายทะเบียนสวย พอซื้อมาเสร็จปุ๊บเขาก็จอดทิ้งไว้ ไม่ได้ใช้เลย ก็คือพอจะไปจีน ผมก็ลองชวนเขา เฮ้ย..เนี่ยผมก็เอารถดรีมไปเหมือนกันนะ เขาก็เลยเอาไปเหมือนกัน เขาก็เลยเอารถมาล้างมาทำความสะอาด แล้วก็เซอร์วิส
ส่วนรถผม เป็นรถเก่าเหมือนกัน แต่ว่าเซอร์วิสใหม่ เพราะว่าใช้งานปกติ ขับออกทริป ไปบริจาคของ ท่องเที่ยวอยู่แล้วครับ ก็หลักๆ เป็นรถที่ไม่คิดว่าจะถึง ก็มีอยู่ 2 คัน เพราะว่ารถคันอื่นก็จะเป็นรถรุ่นใหม่ เป็นรถหัวฉีด มีเวฟ มีซุปเปอร์คัพ ซึ่งเป็นรถรุ่นใหม่อยู่แล้ว ซึ่งสามารถเดินทางไกลได้สบายๆ”
นอกจากจะช่วยแชร์ประสบการณ์ระหว่างการเดินทาง ที่เต็มไปความใจฟู และความกังวลอยู่ในใจแล้วนั้น นักท่องโลกคนนี้ เขายังช่วยแชร์ประสบการณ์ทางที่โหดที่สุดที่เจอในลาวอีกด้วย
“สำหรับทางที่โหดสุด น่าจะเป็นทางในลาวครับ ทางในลาวก็คือ จาก‘ด่านเชียงของ’มาที่‘บ่อเต็น’ เส้นทางในลาวก็คือมันยังไม่พัฒนามากเท่าที่ควร คือจะมีหลุมเยอะ ฝุ่นเยอะ แล้วก็รถพ่วงเยอะครับ
ส่วนการขี่ในจีนเส้นทางดีประมาณ 95% ได้ครับ ถึงจะเป็นทางชนบทแต่ว่าเป็นทางที่ดีมากครับ ถ้าสิ่งที่ระวังที่จีนก็คือเป็นรถพ่วงเหมือนกันครับ รถพ่วงก็เยอะ แต่ว่าถ้าเราขี่ด้วยความระมัดระวัง ไม่ได้ขี่เร็ว มันก็ปลอดภัยครับ”
โชคดีที่ทริปไปลุยหิมะของนักท่องโลกคนนี้ ไม่ต้องเจอกับประสบการณ์รถพัง แต่เขาก็ช่วยแชร์ประสบการณ์จากทริปอื่นให้ฟังอีกว่า เคยเจอประสบการณ์รถพังมาอยู่บ่อยครั้ง แต่ก็ยังไม่เคยคิดว่า จะเลิกขับรถมอเตอร์ไซค์ เพราะมองว่า เป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ชีวิตที่สนุก
“ประเทศลาวก็ขึ้นชื่อเรื่องถนนที่มันไม่ดี ถามว่าทรหดไหม มันก็ทรหด ก็คือขี่ไปแล้วรถพัง ขี่ไปแล้วถนนลื่นฝนตก แล้วก็ขอความช่วยเหลือจากชาวบ้านกว่าจะได้ ก็ทรหดลำบากดี แต่ว่าพอมันผ่านมาได้ก็คือสนุก แต่ก่อนมันสนุก มันก็ซีเรียสมาก่อน เป็นทริปที่ประเทศลาว ที่ปากเซ
ก็เป็นประสบการณ์นึง รถพังเราไม่สามารถซ่อมเองได้ เราก็ต้องหาวิธีการที่จะเอารถกลับมาซ่อมที่ไทยจนได้ ก็ทรหดตรงนี้มากกว่า ทรหดตรงที่หาทางเอารถกลับมา แล้วก็เอามาซ่อม
ก็คือมันเป็นที่เครื่องยนต์ครับ ก็คือระบบคลัทช์มันพัง เราไม่สามารถที่จะซ่อมได้เลย ก็คือต้องยกอย่างเดียว แล้วทีนี้เมืองที่เราไป มันอยู่ไกลจากตัวสะพานข้ามด่าน แล้วระหว่างทางมันก็ไปมาลำบาก ซึ่งเราจ้างรถให้เขายกไปส่ง เราให้ 4-5 พัน เขาก็ไม่ไปครับ
คือเงินมันไม่ใช่คำตอบสำหรับเขา แต่ระหว่างเส้นทางมากกว่าที่เขาไม่อยากไป เพราะว่ามันใช้เวลานาน ระยะทาง 200 กิโล ใช้เวลาประมาณ 9 ชั่วโมง กว่าจะหารถที่ไปส่งให้เราได้ มันก็ทรหด เพราะว่ากว่าจะหาคนที่ช่วยเราได้ ถ้ารถพังมันก็ไม่สนุกสักอย่างนึง ส่วนระหว่างทาง ทางไม่ดีเรายังมีวิธีแก้ไข แต่รถพังมันไปต่ออะไรไม่ได้เลย มันเฟลมากกว่าทาง
แต่ไม่ได้คิดว่าแบบ ไม่อยากขี่มอเตอร์ไซค์เที่ยว แต่คิดแค่ว่า เราไม่ควรเอารถประเภทนี้มาขี่ที่ตรงนี้มากกว่า ก็คือเราควรใช้รถ ให้มันถูกประเภท คันที่เอาไปจีนก็เคยจุ่มน้ำพังเหมือนกันครับ อันนั้นก็ทรหดตรงรถพังเนี่ยแหละ คือได้เข็นรถออกมาจากป่า แต่มันก็ความลำบาก มันก็ทำให้เราทนทานดีนะ มันก็สนุกไปอีกแบบ”
ทริกเตรียมตัว ก่อนเดินทางลุยหิมะ
นักท่องโลกคนนี้ เขาช่วยแชร์ประสบการณ์การเตรียมตัว สำหรับใครที่อยากขับมอเตอร์ไซค์ไปเที่ยวเมืองหิมะให้ฟังว่า นอกจากการเตรียมใจ เตรียมร่างกายให้พร้อมแล้ว สิ่งสำคัญเลยเงิน ซึ่งถือเป็นสิ่งสำคัญมากๆ เพราะการเดินทางท่องเที่ยวแต่ละทริป ต้องมีค่าใช้จ่าย ไม่ว่าจะค่าน้ำมัน ค่ากิน ค่าใช้ ค่าที่พัก ต้องเตรียมไปให้พร้อม
“ผมเป็นคนทั่วไป แค่ผมชอบท่องเที่ยว ผมไม่ได้เป็นอินฟลูฯ หรือว่าทำยูทูบเบอร์ หรือว่าทำช่องอะไรครับ ก็มีค่าใช้จ่ายส่วนตัวเองหมดเลยครับ ซึ่งค่าทริป จะแบ่งออกเป็น 2 ช้อยส์นะครับ ค่าทริปจริงๆ 38,000 บาท ส่วนค่าเอกสารรถ ฝั่งไทย ฝั่งลาว ฝั่งจีน 3 ประเทศ อยู่ที่ 14,000 บาท รวมกันอยู่ที่ประมาณ 52,000 บาท เราจะได้ที่พัก แล้วก็กินอาหารเที่ยง ส่วนตอนเย็นเราจะหากินเองครับ เป็นเงินของเราเองโดยอัตโนมัติ โดยที่เราทำงานหาเงินมาเพื่อที่จะเอามาซื้อทริป
จากจีนนี่ก็หมดเยอะอยู่ครับ ในการเตรียมตัว ด้วยความที่เราไม่เคยไป แล้วเราก็เป็นกระต่ายตื่นตูม เราก็ไปดูแล้วว่าสภาพอากาศเป็นยังไง เราต้องใช้เสื้อผ้าแบบไหน ถุงมือแบบไหน เราก็จะกดเสิร์ชเข้าไปดูในเฟซบุ๊กคนที่เคยไปเที่ยวมาก่อนหน้านี้ เขาแต่งตัวยังไง
บางทีเราอาจจะไม่ได้รู้จักเขา เราก็ไม่จำเป็นจะต้องไปถามเขาก็ได้ เราก็แอบเข้าไปดูรูปในเฟซบุ๊กเขาที่เขาแต่งตัวว่า เออเขาแต่งตัวแบบนี้นะในการขับรถ ส่วนของเราก็สามารถสั่งในพวกแอปฯ ส้มได้ อะไรประมาณนี้ ก็เตรียมตัว
อย่างทริปจีน เขาก็จะมีวันแต่ละวันที่ลิสต์ไว้เลยว่า วันนี้เราจะไปเมืองไหน ขี่ระยะทางกี่กิโล เราก็จะมาเสิร์ชแล้วว่า เมืองนี้สภาพอากาศกี่องศา ถนนนี่เราไม่รู้อยู่แล้ว เราก็มาดูว่าเมืองนี้เป็นสไตล์ไหน ผมก็จะแต่งตัวตามนั้นอีกทีนึงครับ
ก็คือจัดชุดตามวัน เราก็ดูก่อนว่า เราอยากแต่งตัวแบบนี้นะ การแต่งตัวของผม จะเป็นตัวของตัวเองที่สุด ก็คือเราชอบแบบไหน ก็แต่งแบบนั้นเลย เราจะไม่ตามคนอื่น”
แล้วก็ปัจจัยก็สำคัญครับ ผมก็จะตั้งงบไว้เลย ก็คือวันละไม่เกิน 1,500-2,000 บาท ซึ่งมันเป็นค่าใช้จ่าย Standard อยู่แล้ว ถ้าเกิดเป็นรถเล็กผมตีให้ 1,000 บาท ถ้าเป็นรถใหญ่ตีให้ไปเลย 1,500-2,000 บาท เพราะว่ารถเล็ก เราขี่ไม่เกินวันละ 500 กิโล เราจะใช้ค่าน้ำมันอยู่ที่ประมาณ 600-700 บาทก็คือเหลือด้วย
หลังจากนั้นก็จะไปเป็นค่าห้อง เราก็ไปแชร์กับเพื่อน หรือถ้าเราไปคนเดียว ค่าห้องก็ตีขั้นต่ำคือ 700 บาท รวมกิน 3 มื้อก็ไม่เกิน 500 บาท ประมาณนี้หลักๆ ครับ”
นักท่องโลกคนนี้ เขายังบอกอีกว่า ยังมีลูกเพจ ที่คอยติดตามการเดินทางของเขา คอยเข้ามาถามไถ่อยู่เสมอระหว่างการเดินทาง
“ก็มีเรื่อยๆ ครับ ก็เข้าไปตอบ เข้าไปแนะนำบ้าง การเตรียมตัวก็เคยมี แล้วก็ถามเรื่องระหว่างทางครับผม ถ้าเราไปที่ตรงนี้ เราจะต้องเตรียมตัวยังไงบ้าง เส้นทางทำยังไงบ้างประมาณนี้ครับ
ตอนไปจีนก็มีคนทักมาเหมือนกันครับ ก็จะมีทั้งคนที่เข้ามาอวยพรให้เดินทางปลอดภัยนะ บางคนก็จะทักถามว่าเราไปทัวร์ไหน เราต้องใช้งบเท่าไหร่ เส้นทางเป็นยังไงบ้าง”
นอกจากที่ชอบท่องเที่ยวแล้ว นักท่องโลกคนนี้ เขายังชื่นชอบรถมอเตอร์ไซค์เป็นชีวิตจิตใจ โดยตอนนี้เขามีรถมอเตอร์ไซค์ ในการออกทริปด้วยกันทั้งหมด 4 คัน
“ตอนนี้มี 4 คันครับ ก็เปลี่ยนรถปีละคันถึงสองคันครับผม บางทีก็เปลี่ยน บางทีก็ขาย แล้วก็เก็บตังค์ไว้ก่อน ก็คือถ้าเจอรุ่นที่ชอบในราคาที่เราจ่ายได้ ก็เราเหลือเก็บเราก็ถึงซื้อครับผม ก็คือเราจะไม่ซื้อจนหมดเลยครับผม”
“เวียร์” ไอดอลในการขี่มอเตอร์ไซค์
สำหรับจุดเริ่มต้นของนักท่องโลกคนนี้ ที่ทำให้ลุกขึ้นมาขับมอเตอร์ไซค์ท่องเที่ยว เขาบอกว่า ก็คงจะเหมือนคนทั่วๆ ไปคือ เมื่อก่อนชวนเพื่อนๆ ไม่ค่อยว่างไปเที่ยวด้วยกัน อาจจะด้วยภาระ หน้าที่การงาน บวกกับตัวเองทำงานฟรีแลนซ์ จึงมีเวลาเป็นของตัวเอง เมื่อมีโอกาส จึงตัดสินใจออกเดินทางท่องเที่ยว และอีกย่างคืออยากเที่ยวในตอนที่ยังมีโอกาสได้เที่ยว เพราะไม่รู้ว่าวันข้างหน้าสภาพร่างกายจะเป็นยังไง
“ถ้าเริ่มเที่ยวจริงๆ น่าจะประมาณสักปี 2558-2559 ได้ครับ เพจนี่ทำมานานแล้วครับ ตั้งแต่สมัยเรียนแล้วครับ ส่วนเพจจริงๆ เอาไว้เก็บรูปไว้ดูเฉยๆ ครับ ไม่ได้คิดว่ามันจะดัง หรือว่ามีคนมาติดตามเยอะหรืออะไรยังไง เพราะผมก็ไม่ค่อยได้อัพด้วยเหมือนกันครับ
ถ้าทริปแรก ตอนนั้นซื้อบิ๊กไบค์มา ก็ขี่ไปภูทับเบิกครับจากมหาสารคาม ขี่ไปคนเดียว ขี่ไปเที่ยว ซึ่งตอนนั้นยังทำงานอยู่กรุงเทพฯ อยู่เลย แล้วพอกลับมาบ้านก็มาขี่รถ แล้วก็ไปเที่ยวต่างจังหวัด แล้วก็มีความฝันอยากขี่รถมอไซค์จากบ้าน ไปบริจาคของ แล้วก็เริ่มท่องเที่ยวมาเรื่อยๆ ครับ ส่วนมากจะชอบไปทางภาคเหนือครับ
ขี่รถมันก็สนุกดีนะครับ ก็ไปเรื่อยๆ ทริปแรกก็จะมหาสารคามไปภูทับเบิก หลังจากนั้นก็หาสถานที่ใหม่ๆ ไปเที่ยว มันก็เริ่มสนุกกับการเดินทาง ระหว่างทางเราก็ฟังเพลงไปด้วย ก็ผ่อนคลายดีครับ
ถ้าส่วนใหญ่จริงๆ ก็ไปเที่ยวคนเดียวครับ เพราะว่าเพื่อนไม่ค่อยว่างครับ เรียนจบประมาณปี 2556-2557 ก็ทำงาน ก็เริ่มเก็บเงินแล้วก็ซื้อรถมอเตอร์ไซค์ ก็เริ่มไปเที่ยว
ชวนใครแล้วก็ไม่มีใครไปสักที ซึ่งเรามองว่าถ้าเราจะรอคนอื่น เราก็ไม่รู้ว่าคนอื่นเขาจะคอนเฟิร์มมาตอนไหน มีแต่รอคนอื่น เราก็ไม่ได้ไปสักที พอมีโอกาสก็จะเริ่มเดินทางได้เลย ก็คือไม่ชอบรอครับ มีโอกาสไปเที่ยวก็คือไปเที่ยวเลย ตอนที่มีกำลังครับ
ก็จริงนะครับ อย่างผมตอนนี้อายุ 34 ปีแล้ว ก็คือมันก็แล้วแต่คนด้วยครับ ซึ่งสภาพร่างกายของเราตอนนี้ ก็ใช่ว่าจะดีมากครับ ด้วยความที่เราตัวอ้วนมากขึ้นด้วย ก็เหนื่อยมากขึ้น เราสามารถขี่รถเที่ยวได้นะ แต่เราจะไปสถานที่ที่ขึ้นเขา เดินขึ้นบันไดไปชมวิวอย่างนี้ มันก็เหนื่อยหรือขึ้น บางทีเราก็ขี้เกียจขึ้น ก็ไม่ขึ้นดีกว่า กำลังแล้วก็ลดลง”
นอกจากนี้ แรงบันดาลใจสำคัญอีกอย่าง ของนักท่องโลกคนนี้ ที่ตัดสินใจเดินทางท่องเที่ยว ด้วยการขับมอเตอร์ไซค์ เพราะมีแรงบันดาลใจ จากพระเอกชื่อดัง อย่าง “เวียร์-ศุกลวัฒน์ คณารศ” ด้วย
“มันเป็นความฝันในวัยเด็กเนาะ เราก็เป็น FC ดาราท่านนึง เวียร์-ศุกลวัฒน์ครับ เขาไปบริจาคของบนดอย เขาก็ขี่มอเตอร์ไซค์ไปเหมือนกัน ผมเห็นแล้ว อยากไปทำกิจกรรมอย่างเขาบ้าง มันเป็นความฝันที่ผมคิดไว้ตั้งแต่แรก ถ้าเรามีมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์ คือเราอยากขี่รถมอเตอร์ไซค์ไปเชียงใหม่”
และความฝันที่ว่านั้น ในการอยากไปบริจาคของให้คนด้อยโอกาส นักท่องโลกคนนี้ ก็พยายามทำตามฝันที่มีมาตั้งแต่เด็กตลอดเมื่อมีโอกาส
สร้างเพจไม่หวังรวย แค่อยากเก็บภาพไว้ดู
แม้จะชื่นชอบในการท่องเที่ยว นักท่องโลกคนนี้ เขาก็ยังไม่ได้เรียกตัวเองว่าเป็นอินฟลูเอนเซอร์ เหมือนคนอื่นๆ ที่มีเพจเป็นของตัวเอง เพราะเขาบอกว่า แรงบันดาลใจในการสร้างเพจของเขา เพียงแค่อยากเก็บภาพความทรงจำไว้ดูแค่นั้น
“ตอนที่เปิดเพจ น่าจะประมาณปี 2 ปี 3 อายุประมาณ 22 ปีครับ ตอนนั้นเรียนนิเทศ เอกวารสาร อยู่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม แล้วก็เคยได้เข้าไปทำงานสายวงการบันเทิงด้วยส่วนนึง ก็เลยอยากทำเพจด้วย แต่ก่อนก็มี FC ก็ได้ทำเล่นๆ ไปครับ
แรงบันดาลใจในการทำเพจ ก็คือชอบท่องเที่ยวส่วนนึง แล้วก็คืออยากเก็บรูปไว้ในเพจส่วนนึงครับ ก็คือเฟซบุ๊กก็อัพรูปเหมือนกัน แต่ว่าเพจเราก็อยากมีไว้เหมือนกันครับ บางทีคนที่มาติดตามใหม่ๆ เขาก็จะถามว่า มีเพจให้ติดตามไหม มีช่องให้ติดตามไหม ผมก็บอกแค่ว่า ผมมีแค่เพจ แล้วก็เฟซบุ๊กส่วนตัวแล้วก็ TikTok นิดหน่อย
ซึ่งตัวผมเอง ไม่ได้ทำเป็นสายยูทูบเบอร์ เป็นสายท่องเที่ยว ก็คือเหมือนเราเป็นคนธรรมดา แต่เราชอบท่องเที่ยวพักผ่อนทั่วไปเฉยๆ ครับผม
ส่วนมากผมชอบลงภาพนิ่งครับ วิดีโอไม่ค่อยได้ลงมากครับ จริงๆ อยากลงนะ แต่ว่าลองหัดพูด หัดทำ พอเอาเข้าจริงๆ แล้วมันไม่ใช่ มันยังไม่ได้ครับ”
แม้จะไม่มีรายได้จากการทำเพจ ก็ยืนยันจะทำต่อไปเรื่อยๆ เพราะจุดเริ่มต้นจริงๆ ไม่ได้หวังรายได้อยู่แล้ว และแม้จะคิดอยากจะทำ ก็มองว่าตัวเองไม่ถนัด และเคยลองทำแล้ว รู้สึกความสุขในการท่องเที่ยวมันหายไป
“ก็ทำเรื่อยๆ ครับ ผมก็อัพลงเรื่อยๆ ครับ แต่ว่าตอนทริปจีน เราก็ได้ไปเห็นอินฟลูฯ หลายๆ คน เราก็ได้ไปพูดคุย เขาก็สอนเราเหมือนกัน เราก็มีความคิดที่เราอยากจะทำ ซึ่งวันนึง ถ้ามันเป็นรายได้ขึ้นมาก็ดี แต่ถ้ามันไม่ได้เป็นรายได้มันก็ไม่เป็นไร เพราะว่าจุดประสงค์เราก็คือไม่ได้มุ่งหวังที่จะให้เกิดรายได้ที่มาก หรือน้อยอยู่แล้ว เราทำเพจขึ้นมาเพื่อที่จะเอาไว้เก็บรูปมากกว่า แล้วก็แชร์ประสบการณ์ที่เราไปเที่ยวครับ
คิดอยากจะทำ แต่เราไม่ได้ถนัด แล้วก็อีกอย่างนึงรู้สึกว่า พอเราลองจริงจังกับงานพวกนี้ แล้วเรารู้สึกว่ามันคิดเยอะเหมือนกันนะ ใช่อยู่ว่ามีคนบอกว่าก็ทำในสไตล์ของเรา ก็คืออัดไปเลย พูดไปเลย แล้วก็ลง ถ้าเกิดคนชอบเขาก็จะมาติดตามเราเอง
พอเราเริ่มจริงจังปุ๊บ เราต้องทำให้คนติดตามเราให้ได้ ซึ่งมันก็คือรายได้ มันก็คืออาชีพเราแล้ว เราก็ต้องทำให้คนติดตามเรา คิดว่ามันยากอยู่ตรงนี้ สเต็ปแรกมันอาจจะง่ายนะ แต่ว่าสเต็ปต่อไป มันต้องคิดเรื่อยๆ มันก็คืองาน ซึ่งการท่องเที่ยวของผมมันคือการพักผ่อนมันไม่ใช่การทำงาน มันก็เลยขัดกับความคิดที่ผมอยากจะทำเพจ หรือว่าทำช่องในการท่องเที่ยว แล้วก็ได้เงิน”
#มึงรวยไม่เท่ากูว่าง เตือนตัวเอง
“มึงรวยไม่เท่ากูว่าง”นี่เป็นแฮชแท็กที่นักท่องโลกคนนี้ มักใช้โพสต์ไว้ในเฟซบุ๊กส่วนตัว เพื่อเตือนตัวเอง ในการให้โอกาสตัวเองตะลอนเที่ยว
“มึงรวยไม่เท่ากูว่างใช่ไหมครับ ก็คือว่ามันอาจจะดูเป็นคำที่แรง บางคนที่ฟังนะ แต่สำหรับผม ถ้าเราลองมาอธิบาย มันอาจจะเข้าใจ แล้วก็ซอฟต์มากขึ้น ก็คือว่าคุณอาจจะรวย สำหรับบางคนอยากจะไปเที่ยวเหมือนเรานะ แต่เขาก็มีตังค์เหมือนกัน แต่เขาไม่มีเวลาเท่าเรา
แต่สำหรับเราไม่ได้รวยมาก แต่เรามีเวลาที่เยอะกว่าเขา เปรียบเทียบก็คือ เขารวยเงิน แต่เขาไม่รวยเวลา ส่วนเรารวยเวลา แต่เราไม่ได้รวยเงิน
บางคนทำงานอย่างเดียวเลย ทั้งชีวิตทำงาน เขาได้พักผ่อน 1 ชั่วโมง ก็คือการพักผ่อนแล้ว แต่ว่าบางคน เขาไม่ให้โอกาสตัวเองเลย เขาทำแต่งงาน ผมมองว่าทุกคนมีเวลาเท่ากัน เหนื่อยก็มีเวลาได้เหมือนกัน แต่เขาไม่ได้ให้ความสำคัญกับการที่จะไปท่องเที่ยว แล้วโฟกัสจุดที่จะไปมากกว่า
ก็คือเราไม่ได้มีเป้าหมายอย่างเดียว สมมติว่าวันศุกร์นี้เราจะไปภูทับเบิก แต่พอถึงวันจริงๆ อาจจะมีธุระอื่นเข้ามา ซึ่งเราไปให้ความสำคัญของธุระอื่นมากกว่า นั่นแสดงว่าภูทับเบิกเราไม่ได้แน่วแน่กับสิ่งที่เราให้ความสำคัญ เป้าหมายแรก คนเราก็เลยไม่ได้ออกไปเที่ยว ไม่ได้ออกไปใช้ชีวิตมากกว่าครับ จริงๆ แล้วมันต้องให้โอกาส แล้วก็ให้ความสำคัญกับสิ่งที่เราตั้งเป้าไว้ครับผม
เรามีโอกาส เราให้โอกาสตัวเอง งานทุกงาน ธุรกิจทุกธุรกิจ ถ้าเราปล่อยวางไม่ได้ เราก็จะอยู่กับมันไปตลอด แต่ถ้าธุรกิจลงตัวแล้ว เรากล้าที่จะปล่อยวาง แล้วปล่อยให้มันรันไปเอง แล้วใช้คนทำงานแทนเรา เราก็จะมีเวลามากขึ้นไปอีกครับ ถ้าเป็นเจ้าของธุรกิจเนาะ เรามีเงินเดือนสักแสนสอง จ้างพนักงานที่เก่งๆ เลย 3 หมื่นบาท เราเหลือ 9 หมื่น แต่เราได้ใช้ชีวิตมากขึ้น คนเราจะกล้าเสี่ยงตรงนี้หรือเปล่า เนี่ยแหละคือจุดที่คนเราไม่สามารถปล่อยวางได้
แต่ถ้าคนเราปล่อยวางได้ ผมคิดว่า คนเราก็จะมีเวลามากขึ้น แล้วก็ได้ใช้ชีวิตมากขึ้น แล้วก็ได้มีโอกาสออกไปท่องโลกกว้างเยอะครับ แล้วก็ถ้ามีโอกาสก็คือรีบไป”
หลายคนอาจจะสงสัยว่า ที่เห็นเขามีเวลาออกไปท่องโลกมากขนาดนี้ เขาแบ่งเวลาในการทำงานยังไงบ้าง ซึ่งนักท่องโลกคนนี้เขาก็บอกว่า เมื่อก่อนทำงานฟรีแลนซ์ จนตอนนี้หันมาทำธุรกิจส่วนตัวเป็นของตัวเอง จึงอาจจะมีเวลามากกว่าคนอื่น
“ก่อนหน้านั้น ผมทำฟรีแลนซ์ ก็คือทำพวกนายแบบ นักแสดง อีเวนต์ ช่างภาพ สตาฟ ขายของอะไรก็ขายอยู่หลายปีแล้ว ก็คือทำหลายอย่าง อะไรที่มันได้เงินเราก็ทำ เราทำตั้งแต่ตอนเรียนจนจบ แล้วก็จนถึงทุกวันนี้ แต่ตอนนี้ก็คือ งานที่กรุงเทพฯ เราไม่ได้ทำแล้ว เพราะด้วยสภาพร่างกายเรามันไม่ได้แล้วครับ
ผมทำฟรีแลนซ์มาตั้งแต่ตอนเรียนแล้วครับ แล้วก็พอเรียนจบ เราก็เลยชอบในงานสายนี้ มันก็เป็นงานที่อิสระดี แต่ว่าเราต้องเก็บ (เงิน) ในแต่ละเดือนเราก็จะตั้งเป้าหมายไว้ว่า เราจะต้องได้เงินเดือนเท่านี้นะ หรือเราได้งานประมาณนี้นะ ถ้าเกิดเราได้ครบตามยอดแล้วเราถึงจะหยุดทำได้ครับ แล้วฟรีแลนซ์มันก็อยากทำก็ทำ ไม่อยากทำก็พัก มันก็เหนื่อยบางอย่าง สบายบางอย่าง ได้เงินเยอะ แต่มันก็ต้องดูแลตัวเองมากกว่าคนอื่น
ตอนนี้ก็ทำธุรกิจส่วนตัวครับผม มีขายของออนไลน์ทั่วไป หลักๆ ก็สามารถโพสต์ออนไลน์ได้ประมาณนี้ ก็มีคนช่วยขาย ซื้อมาขายไป ซื้อของทั่วไป เสื้อผ้า รถมอเตอร์ไซค์บ้าง”
นอกจากนี้ นักท่องโลกคนนี้ เขายังบอกอีกว่า เป้าหมายที่สำคัญของเขาก็คือ การให้โอกาสตัวเอง ให้โอกาสตัวเองได้ใช้ชีวิต โดยเฉพาะในการท่องเที่ยว ที่ควรจะรีบไปในตอนนี้
“ถ้าเป้าหมายก็คือ มีโอกาสก็คือรีบใช้ รีบใช้ชีวิตมากกว่าครับ เพราะว่าเราก็ไม่รู้ว่า พรุ่งนี้เราจะเป็นยังไงเนาะ ซึ่งตอนนี้เราก็พอจะมีกำลังทรัพย์ แรงกายที่แข็งแรง และมีโอกาสที่ได้ไปเที่ยว ก็ไปครับ แต่เราก็ต้องดูด้วยว่าเราว่างหรือเปล่า
ด้วยความที่ผมอาจจะว่างกว่าคนอื่น คนอื่นเขาก็อาจจะมีงานของเขา มันก็ไม่เหมือนกัน ก็ไม่ได้เข้าใจคนอื่นไปซะทุกเรื่องหรอก เราแค่อยากให้คนอื่นให้โอกาสตัวเองบ้าง ไม่ใช่ทำงานเก็บเงินอย่างเดียวครับ
ทุกคนมีฝัน ก็เป็นกำลังใจให้กับทุกคน จังหวะชีวิตของคนเรามันก็ไม่เหมือนกัน อย่าท้อครับ ตั้งใจ มีเป้าหมายที่แน่วแน่ก่อนอันดับแรกเลย แล้วเราจะได้ไปแน่นอนครับ”
ฝันอยากขับรถไปเอเวอเรสต์
“คืออยากไปเอเวอเรสต์ครับ ก็ขี่มอเตอร์ไซค์จากบ้านเราไปเหมือนกันครับผม ก็ใช้งบเยอะเหมือนกันครับผม ก็อยู่ใน budget ประมาณ ที่ผมเห็นทัวร์ที่เขาจัดอยู่ตอนนี้นะครับ ก็ประมาณ 120,000 บาทได้ครับ เราอาจจะไม่ได้ขึ้นเขาครับ ไปเนปาล แต่ว่ามันอยู่ในโซนประมาณนั้น ก็เป็นอีกหนึ่งฝัน อันนี้ก็ฝันไกลเหมือนกันครับ แต่ว่า budget มันก็แพง ก็ 120,000 บาท นี่ยังไม่รวมการเตรียมตัวเราอีกครับ ซึ่งตอนแรกแชงกรีล่า ก็เป็นความฝันที่ไกลเหมือนกันนะ เป็นความฝันที่อยู่ประมาณ 7-8 ปีได้ เพราะก่อนหน้านี้ผมเคยมีรุ่นพี่ที่รู้จัก ตอนนั้นยังขี่รถบิ๊กไบค์ใหม่ๆ อยู่เลย เราไปเชียงใหม่ แล้วเราก็เห็นเขากำลังจะไปแชงกรีล่า ผมก็เลยถามเขาว่า พี่มันไปยากไหม แล้วการเตรียมตัวเป็นยังไงบ้าง ผมแค่ฟังเรื่องการเตรียมตัวกับค่าทริป ผมก็รู้สึกแล้วว่า ในตอนนั้นเราคงไม่มีโอกาสได้ไปหรอก เพราะว่ามันหมดประมาณเป็นแสนได้ ช่วงนั้นเราก็ทำงาน แล้วก็เก็บเงินไม่ได้เยอะ เราก็คิดแค่ว่า มันก็เป็นความฝัน แต่ว่ายังไม่เป็นความจริง ซึ่งมันย้อนกลับไปเวลาผ่านไป 7-8 ปี มันก็มีจังหวะของเรา จังหวะชีวิตคนเรามันก็ไม่เหมือนกัน เราก็ไม่ได้คิดเหมือนกันว่าเราจะมีโอกาสได้ไป อย่างที่เราเคยถามเขาไว้ตอนแรกครับ” |
แนะนำ “เวียดนาม” ช่วยฮีลใจ
“ก็น่าจะเป็นเวียดนามครับ ถ้าส่วนตัวนะครับ ผมชอบสีเขียวมากกว่าสีขาว สีเขียวก็คือต้นไม้ที่มันอุดมสมบูรณ์ด้วยธรรมชาติล้วนๆ ส่วนสีขาวก็คือเป็นหิมะ ที่ผมก็เคยได้ไปเห็นมาแล้ว ซึ่งเวียดนามที่ผมได้ไปเห็นมา ภูเขามันสวย สวยเหมือนยุโรปพวกนี้เลยครับ เวียดนามพวก 'ซาปา' เส้น 'มาปิแลงพาส' ที่ผมเคยไปขี่มอเตอร์ไซค์นะครับ มันสวยดี ผมชอบสีเขียวมากกว่า มันฮีลใจได้ดีนะ มันก็ชาร์จพลังได้ดีกว่า ส่วนรองลงมาก็คือเป็นสีขาว เป็นหิมะ ถ้าเป็นหิมะ ก็คง 'เลห์ ลาดัก' ที่ผมเคยไป ที่ประเทศอินเดีย ก็สวยดีครับ ซึ่งผมจะไปอีกทีนึงก็เดือนกรกฎาคมนี้ครับ แต่ว่าบินไป แล้วก็ไปเช่ารถขี่อะไรอย่างนี้ครับ ไปอีกรอบนึง” |
ดูโพสต์นี้บน Instagram
...“ถ้าคุณใจร้อน เค้นรถมากไป รถอาจพัง มันพิสูจน์หลายๆ อย่าง”...
>>> https://t.co/pu8pXgCRBO
.
ตะลอนเที่ยวด้วย 2 ล้อเครื่อง ข้ามประเทศ จากสารคามไปแชงกรีล่า 2 พันกว่ากิโล ลุยหิมะตามฝัน “ประสบการณ์ชีวิตที่ไม่คิดว่าจะไปถึง”#ชีวิตติสชีวิตตัส #แชงกรีล่า #ตะลอนเที่ยวสองล้อ #ท่องเที่ยว pic.twitter.com/UD3pxeOx01— livestyle.official (@livestyletweet) May 10, 2024
@livestyle.official ...“ถ้าคุณใจร้อน เค้นรถมากไป รถอาจจะพังได้ มันพิสูจน์หลายๆ อย่าง” @lotus_beboy2... . #LIVEstyle #LIVEstyleofficial #ข่าวTikTok #longervideos #tiktokวีดีโอยาว #มากกว่า60วิ #tiktoker #contentcreator . #ชีวิตติสชีวิตตัส #ดรีมคุรุสภา #มึงรวยไม่เท่ากูว่าง #แชงกรีล่า #รถเล็กลุยแชงกรีล่า #เอเวอเรสต์ #สองล้อตะลอนเที่ยว #เที่ยวจีน #ท่องเที่ยว #ริมทาง #rimthang ♬ เสียงต้นฉบับ LIVE Style
สัมภาษณ์ : ทีมข่าว MGR Live
เรื่อง : พัชรินทร์ ชัยสิงห์
คลิป : ชยพัทธ์ พวงพันธ์บุตร
ขอบคุณภาพ : Facebook “ชีวิตติสชีวิตตัส”, Instagram @lotus_beboy และ TikTok @lotus_beboy2
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **