xs
xsm
sm
md
lg

หมอฟันก็ทำ-หมอลำก็เป็น “หมอโมฮัล” ลูกชาวนาสำเร็จทุกฝัน สู้ชีวิต-คิดบวก-มีวินัย [มีคลิป]

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



หมอลำที่ทำฟันได้นิดหน่อย! เปิดใจ “หมอโมฮัล” เจ้าของไวรัลวางเครื่องมือแพทย์มาจับไมค์โชว์เพลงให้คนไข้ฟัง กับเบื้องหลังที่ขึ้นลงยิ่งกว่าโน้ตดนตรี จากนักร้องนำวงหมอลำ สู่ทันตแพทย์ที่ม่วนที่สุดในเวลานี้!!



คุณหมอมักร้อง คนไข้มักม่วน

กลายเป็นไวรัลที่ดูแล้วต้องอึ้ง เมื่อโลกออนไลน์ได้มีการแชร์คลิปวิดีโอจากช่อง TikTok @mohul63954289 เผยให้เห็นหมอฟันท่านหนึ่ง ที่วางมือจากเครื่องมือทำฟันเปลี่ยนมาจับไมค์ สวมวิญญาณนักร้อง พร้อมแดนเซอร์โชว์ประกอบเพลง ขับกล่อมคนไข้หลังทำฟันเสร็จ ราวกับเป็นมินิคอนเสิร์ตส่วนตัว จนโลกโซเชียลฯ ให้ฉายาว่า “หมอลำที่ทำฟันได้นิดหน่อย”

แถมบรรยากาศในคลินิกทำฟันก็ยังทำให้อึ้งอีกรอบ เพราะด้านในถูกออกแบบให้กลายเป็นถ้ำสีทองสุดอลังการ จนนึกว่าหลุดเข้าไปในป่าหิมพานต์ยังไงอย่างงั้น

ชาวเน็ตถามหากันทั่ว คุณหมอคนนี้คือใครกันแน่?! และในเวลาต่อมาก็ได้รู้ว่าเขาคือ “หมอโมฮัล” หรือ ทันตแพทย์โมฮัล ศกภูเขียว เจ้าของ “คลินิกทันตกรรมทันตแพทย์โมฮัล” ใน จ.อุบลราชธานี



คุณหมอเสียงใส บอกกับทีมข่าว MGR Live อย่างอารมณ์ดีถึงไวรัลที่เกิดขึ้นว่า ดีใจที่ได้รับการต้อนรับจากชาวเน็ตเป็นอย่างดี
“น้องๆ บอกว่าคุณหมอลองโพสต์ใน TikTok ดูสิ อย่างมากเราก็โพสต์แค่ Facebook ส่วนใหญ่จะเป็นคนที่รู้จักกัน ตัวเองไม่ค่อยรู้เรื่องทางพวกนี้หรอก

ประมาณเข้าปีที่ 2 (ยอดวิว) เป็นแสน เกิดอะไรขึ้น ตื่นเช้าขึ้นมา 900,000 แล้ว เราก็ไม่เข้าใจ ช่วงหลังๆ มาเริ่มรู้แล้วว่าคือไวรัล หมอลำทำฟันได้นิดหน่อย (หัวเราะ) เขาก็บอกว่าเป็นหมอลำปลอมตัวมาอะไรอย่างนั้น ก็ขำๆ นะครับ ก็เป็นคอมเมนต์ที่น่ารักๆ

มีบางคนขออนุญาตเอาไปโพสต์ในช่องของตัวเอง แล้วก็มี FC เราตามไปตอบด้วย มีคนส่งกลับมาให้เราดู เหมือนเล่าประวัติเลย คุณหมอคนนี้สู้ชีวิตมากเลยนะ คุณหมอเป็นลูกชาวนา เล่าๆๆ ของเขาไป

อีกอันนึงคือสื่อที่ออกเรื่องของถ้ำประกายทองทะลุมิติ ตอนนั้นออกเยอะแล้วเขาอยากมาชมถ้ำด้วย เขาบอกว่า ‘เห็นถ้ำก็ว้าวแล้ว มาเจอหมอยิ่งว้าวกว่า’ นี่คำพูดของคนไข้ (หัวเราะ) ว้าวตรงไหน ก็ไม่เคยมีหมอที่ไหนมาทำแบบนี้ อาจจะมี แต่เขาไม่ได้สัมผัส มาเจอโมฮัลก่อน”



[ มินิคอนเสิร์ตในคลินิกทำฟัน ]
สำหรับจุดเริ่มของการมาร้องเพลงให้คนไข้ฟัง เขาเล่าว่าเดิมทีตนเองเป็นคนที่หลงรักในเสียงเพลง จึงใช้การร้องเพลงเป็นสะพานเชื่อมความเป็นกันเองกับคนไข้

“พี่หมอก็ค่อยๆ ฝึกร้องเพลง แล้วก็ร้องเพลงให้คนไข้ฟังแต่ว่าไม่ได้ทุกเคส ช่วงนั้นก็มีนักข่าวของท้องถิ่นที่รู้จักกัน ‘ผมอยากให้คุณหมอใส่ชุดหมอลำ แล้วก็ร้องเพลงให้คนไข้ฟัง’ เราก็มันจะดีเหรอ เราก็เชื่อพี่เขา พอออกข่าวไปก็เป็นที่ฮือฮาอยู่ช่วงหนึ่ง ตั้งแต่นั้นมาก็เริ่มมีคนรู้จักมากขึ้นในนาม หมอฟัน-หมอลำ ครับ

ส่วนตัวพี่หมอค่อนข้างจะเป็นคนที่สร้างคอนเน็กชันได้เร็ว มีความเฟรนด์ลี่กับคนไข้ คนไข้รู้ว่าเรามีข่าวออกไปบ้าง ระหว่างรอยาชาออกฤทธิ์ก็คุยกัน ‘จะร้องเพลงให้ฟังนะ ชอบไหมเพลงลูกทุ่ง ฟังได้ไหม’ อันดับแรกเริ่มแบบนี้

บางคนพอรู้ว่าหมอร้องเพลงให้คนไข้ฟังก็มีคนที่ชอบ บางทีเขาก็ขอเลย บางครั้งเราร้องเพลงแล้วทำให้คนไข้ร้องไห้อยู่หลายครั้ง เป็นเพลงที่ไปสะกิดใจเขา มีครั้งนึงร้องแล้วก็เขาก็ลุกขึ้นมาแล้วก็น้ำตาไหล เขาบอกว่าพี่หมอร้องเพลงของคุณยอดรัก แล้วเขาเป็นแฟนคลับของคุณยอดรัก เขาก็ร้องไห้

สมัยที่ร้องตอนนั้นยังไม่มีแดนซ์เซอร์ ส่วนใหญ่หมอก็นั่งร้องสดๆ กับคนไข้ เครื่องเสียงก็ยังไม่มีไมค์ แต่ช่วงหลังๆ มาก็พัฒนาขึ้น มีไมค์ ปัจจุบันภาพที่เห็นก็จะมีแดนซ์เซอร์ด้วย ก็คือพนักงานนี่แหละ เขาก็ฝึกกัน ตอนซ้อมของน้องๆ ก็หลังเลิกงานหรือว่าช่วงเที่ยงแล้วแต่โอกาสนะครับ เขาก็จะไปเปิดดูใน YouTube ท่าฟ้อนต้องฟ้อนแบบไหนหรือประกอบท่ายังไง”



ตัวคุณหมอและพนักงานว่าม่วนแล้ว ตัดภาพไปที่คนไข้ก็มักม่วนไม่แพ้กัน และไม่เพียงแค่คนไข้ในพื้นที่เท่านั้น หากแต่ยังมีหลายคนที่บินลัดฟ้าเพื่อมาเจอกับหมอฟันหมอลำคนนี้อีกด้วย

“แต่ถึงกระนั้น พี่หมอก็เขินอยู่ยืนร้องต่อหน้าคนไข้ บางคนก็จ้อง เราเขินอยู่นะ แต่ว่าทำไปแล้ว เราก็แฮปปี้ที่ได้ใช้ความสามารถที่เรามีส่วนหนึ่งให้กับคนไข้ คนไข้เขาก็ผ่อนคลาย เขารู้สึกดีมากเลยนะ

เมื่อวันก่อนมีเคสนึงมาขูดหินปูน พี่หมอไม่ได้ร้องเพลงทุกเคสอย่างที่บอก พอขูดเสร็จปุ๊บเราสวัสดีคนไข้ แล้วคนไข้หันมามอง ‘คุณหมอครับยังไม่ได้ฟังเพลงเลยครับ’ ก็ ‘อุ๊ย.. ขอโทษ อยากฟังเพลงด้วยเหรอถ้างั้นเดี๋ยวครั้งหน้านะ’

มารอบที่ 2 แกมาอุดฟัน เราก็ลืมอีกบอกให้แกรอ พอดีมีคุณแม่อีก 2 ท่านนั่งรอข้างนอก คุณแม่ท่านนี้ก็มาตามกระแสเหมือนกัน แม่บอกว่าอยากจะหาหมอที่ใจดี ไม่เจ็บ ก็เห็นกระแสอยู่ ก็เชิญคนที่มาอุดฟันแล้วไม่ได้ฟังเพลง มาฟังด้วยกัน

บางทีคนไข้มาทำคนเดียวแต่ว่ามากันทั้งครอบครัว 5-6 คนก็มี พี่หมอใช้คำว่ามินิคอนเสิร์ตในกรณีที่หลายๆ คน หรือบางทีก่อนทำฟันบางช่วงที่ไม่ใช่คนไข้ใหม่ พี่หมอก็จะเชิญมานั่งรวมกัน ‘วันนี้มีเพลงนำเสนอมินิคอนเสิร์ตก่อนทำฟันกันนะ’ อะไรอย่างนี้ แต่ว่าต้องย้ำว่าโมไม่ได้ร้องทุกคนนะ ไม่งั้นเล่น ไม่ได้ทำมาหากิน (หัวเราะ) 1 เพลงมันก็ใช้เวลาอยู่ครับ

อีกอย่างคนไข้พี่หมอชอบมาจากต่างประเทศ คนไทยไปมีครอบครัวแล้วก็พาสามี พาครอบครัวมาทำฟัน มีคนนึงบอกว่าฉันอยู่ที่สวีเดน 40 ปี เกิดมาไม่เคยเจอบรรยากาศแบบนี้ เขาแฮปปี้มาก บางคนมาจากอังกฤษ ‘ฉันจะกลับมาหายูอีก’

มีคอมเมนต์ว่า ‘ชาวต่างชาติจะฟังเพลงไทยรู้เรื่องเหรอ ทำไมไม่ร้องเพลงสากลให้เขาฟัง’ แหม… บ้านเขาก็มีฟังอยู่ มาบ้านเราทั้งทีก็นำเสนอวัฒนธรรมไทยสิ มุมมองของเรา มาถึงนี่ร้องฝรั่งอีกก็ไม่มีความต่าง”


[ “ถ้ำประกายทองทะลุมิติ” ]
และหากมองดูภายนอกก็จะเห็นว่าที่นี่เป็นคลินิกทำฟันครบวงจรไม่แตกต่างจากที่อื่น แต่เมื่อผลักประตูเข้าไปก็จะเจอกับ “ถ้ำประกายทองทะลุมิติ” ที่อยู่ในตัวอาคาร

“พอมาเปิดคลินิก ความฝันอยากเป็นนักร้องด้วยส่วนนึง ความฝันที่เรามีในใจ พี่หมอเป็นคนชอบงานศิลปะ ชอบวาดรูป ชอบแต่งเพลง แล้วก็รักความเป็นอิสระด้วย หลายๆ อย่างในระบบราชการอาจจะไม่เอื้อต่อสิ่งที่เราคิดหรือสิ่งที่เราอยากทำ

พี่หมอก็มีความฝันอยากจะมีสถาปัตยกรรมส่วนตัว เพราะมาอยู่ที่เมืองอุบลจะมีวัดวาเยอะ คนจะเที่ยวมากราบพระ ถ้าพูดถึงธรรมชาติก็จะต้องออกไปที่โขงเจียม ไกลๆ หน่อย ความรู้สึกส่วนตัวนะ รู้สึกว่ามันร้อน

เราก็เลยว่าเอ๊ะ… เราจะทำอะไรดีนะ ที่อุบลไม่ค่อยมีถ้ำเราก็เลยสร้างถ้ำชื่อว่า ถ้ำประกายทองทะลุมิติ เป็นถ้ำในตึกอาคารพาณิชย์ที่มีการออกแบบตามจินตนาการของพี่หมอ แต่จะมีอาจารย์ทางอาชีวะมาช่วย create ในรายละเอียดอีกทีนึง

สร้างเสร็จปุ๊บตอนนั้นสื่อน่าจะออกเยอะมากทั่วประเทศ หลายๆ คนคงได้เห็น คนมาเที่ยวเยอะนะครับ ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่เป็นความฝันหนึ่งที่เราทำได้สำเร็จ”

“จะเป็นนักร้องให้ดูให้ได้”

แต่กว่าที่หมอฟันหมอลำคนนี้ จะมีชีวิตที่ได้ทั้งทำงานที่ชอบและทำตามความฝันไปด้วย ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ย้อนไปในวัยเด็กของ ด.ช.โมฮัล ชาว จ.ชัยภูมิ ที่เติบโตขึ้นมาในครอบครัวชาวนา เขาต้องช่วยทางบ้านทำงานมาตั้งแต่จำความได้ ไปพร้อมๆ กับการตั้งใจเรียน ด้วยหวังว่าสักวันครอบครัวจะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

“ครอบครัวของพี่หมอเป็นครอบครัวชาวไร่ชาวนา คุณพ่อคุณแม่จบ ป.4 มีพี่น้องทั้งหมด 5 คน พี่เป็นคนที่ 2 นะครับ ตั้งแต่จำความได้ 4-5 ปี พี่หมอช่วยพ่อแม่ทำงานตั้งแต่เด็กเลย คือที่บ้านจะมีทำนา เลี้ยงควาย เลี้ยงวัว แต่ไม่ได้เยอะมีตัวสองตัว เรามีส่วนในการช่วยเหลือครอบครัวมาตลอด พี่หมอจะต้องลงไปหาปลาหรือเอาวัวเอาควายไปทุ่งนาก่อน


[ ด.ช.โมฮัล สมัยประถม (คนซ้ายสุด) ]
ไม่ได้มองว่าลำบากเลย สนุกดี ยิ่งย้อนกลับไปตอนนี้ เรารู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่ทำให้เรารู้สึกภูมิใจในวันนี้มากนะครับ เสาร์-อาทิตย์ก็ไปช่วยพ่อแม่ทำนา เลิกโรงเรียนมาปุ๊บก็วิ่งลงทุ่งไปหาปลา ไปหว่านแห ไปใส่เบ็ด ตามวิถีชีวิตของทางนู้นสมัยนั้น แต่ก่อนบ้านไม่มีไฟฟ้า ถนนแถวนั้นก็จะเป็นถนนดินแดง ถ้าหน้าแล้งก็จะมีฝุ่นคลุ้ง เสื้อจากสีขาวเป็นสีส้มเลย

เรื่องผลการเรียน ก่อนที่จะไปเรียน ม.ต้น ตอนนั้นไปสอบเข้าโรงเรียนระดับตำบล เรามีความรู้สึกตื่นเต้น เราสอบได้รู้สึกจะลำดับที่ไกลอยู่ 20 กว่าขึ้น แต่เห็นเพื่อนสอบได้ที่ 1 โอ้โห… ทำไมเขาเก่งจัง มีรุ่นพี่ ม.3 ที่เขาจะจบ เขาได้รางวัลผลการเรียนยอดเยี่ยม แล้วก็รางวัลคุณธรรม-จริยธรรมยอดเยี่ยม

เราก็มีความรู้สึกว่าชื่นชมมากๆ ตัวเราก็มาจากลูกชาวนา เราจะทำยังไงดี เราอยากมีผลการเรียนดีๆ ภาพตรงนั้นที่เห็นรุ่นพี่ได้รางวัล เราก็มีความตั้งใจ เทอมแรกเลยนะพี่หมอได้ที่ 3 ของรุ่น ม.1 แล้วหลังจากนั้นก็ที่ 1 ที่ 2 อะไรอย่างนี้ สุดท้ายผ่านไป ม.3 พี่หมอได้ 2 รางวัลนั้น เป็นภาพที่ติดอยู่ในตาในหัวที่เห็นว่าได้รางวัลนั้น

แต่เราไม่ได้มีความเครียดกับการทำนะ เราบอกตัวเองว่าจะต้องทำให้ดีเพราะพ่อแม่เราลำบาก เราอยากจะให้ชีวิตมันดีกว่านี้ เราก็ตั้งใจเรียน ด้วยความตั้งใจที่สม่ำเสมอแล้วทำอย่างต่อเนื่อง ก็เลยทำให้เราได้ประสบความสำเร็จตรงนั้น”

โมฮัลในตอนนั้น ใช้ชีวิตเรื่อยมา จนกระทั่งมาถึงช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อต้องเข้ามหาวิทยาลัย แต่ด้วยเงื่อนไขชีวิตต่างๆ ทำให้เขาไม่ได้เรียนต่อในคณะที่สอบเข้าได้



“หลังจากนั้นพี่หมอก็ไปเรียนที่โรงเรียนประจำจังหวัดชัยภูมิ ชื่อโรงเรียนชัยภูมิภักดีชุมพล ไปอยู่กับน้าที่เป็นตำรวจ ช่วง ม.ปลาย ก็ไม่ค่อยได้ใช้ชีวิตเหมือนคนอื่นเขาเท่าไหร่ น้าเลี้ยงเป็ด เลี้ยงไก่ เลี้ยงห่าน เราไปอยู่กับเขาก็ต้องคอยซักผ้า ทำกับข้าว ไปหาจอกหาแหนให้เป็ด ให้ห่าน

ยังจำภาพได้ว่าพี่หมอไปหาจอกหาแหนคลองข้างเทศบาล แล้วเพื่อนๆ เขาไปออกกำลังกาย ไปทำกิจกรรม นึกย้อนกลับไปมันเหมือนใน MV เพลงหรือในละคร ที่ตัวพระเอกไปหาปูหาปลา มองไปก็เห็นเพื่อนๆ เขาสนุกสนานกัน ถามว่าตรงนั้นเรามีความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจมั้ย ไม่ เราก็มองเฉยๆ เราก็ทำหน้าที่ของเราไป

ตอนที่อยู่ ม.ปลาย เพื่อนๆ ก็เชียร์ให้ลงสมัครประธาน อาจารย์ก็เชียร์ ก็ได้เป็นประธานนักเรียนอยู่โรงเรียนชัยภูมิภักดีชุมพลในปีนั้นครับ ผลการเรียนตอนนั้นก็อยู่ในระดับต้นๆ ของรุ่นแต่ก็ไม่ได้เก่งมาก อยู่ใน 1-30 ไม่เกินนี้ ของรุ่นของพี่หมอ

ม.6 ก็ไปสอบ Entrance ได้คณะสาธารณสุขศาสตร์ ของมหา‘ลัยขอนแก่น แต่ตอนนั้นไม่ได้เรียนเพราะแม่บอกว่าคงส่งไม่ไหว แม่บอกให้หาช่องทางที่จบมาแล้วทำงานดีมั้ย

พอดีว่ามีญาติที่เป็นหมออนามัย แนะนำว่าให้ไปสอบตำแหน่งเจ้าหน้าที่ทันตาภิบาล เราก็ไปสอบ จริงๆ ต้องใช้คำว่าไม่เข้าใจเลยว่ามันจะต้องไปยังไง แต่โอเค ฉันเลือกอันนี้ ที่สำคัญระหว่างเรียนมันได้ทุนเดือนละ 600 ถ้าจำไม่ผิด บังเอิญโชคดีสอบได้ ก็ได้ไปเรียนที่วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินทร จ.ขอนแก่น เรียนอยู่ที่นั่น 2 ปีนะครับ”



เดิมทีนั้น โมฮัลเป็นคนที่มีเสียงเพลงในหัวใจ และมักจะร้องเพลงออกมาในยามที่ใช้เวลาอยู่กับตัวเอง และความสามารถนี้ก็ถูกค้นพบ เมื่อเพื่อนบังเอิญมาได้ยินเสียงร้องของเขาดังออกมาผ่านผนังห้องน้ำ

“จุดเริ่มต้นที่ทำให้พี่หมอมีความพยายามอยากจะเป็นนักร้องนะครับ ตอนที่เรียนอยู่ที่วิทยาลัย เพื่อนๆ จะมีวงดนตรี เขาก็จะซ้อมเพลง ตอนเย็นเราก็จะได้ยินเสียงจากห้องประชุม พี่หมอก็ชอบร้องเพลงในห้องน้ำ เราไม่รู้หรอกว่าการร้องเพลงมันต้องทำยังไง ต้องร้องแบบไหน แต่ว่าได้ยินจากเทป ได้ยินเขาร้องเราก็ร้องตามไป ชอบร้องในห้องน้ำ

เพื่อนก็บอกว่า ‘เสียงโมฮัลเสียงมันใสดี ไปเรียกมันมาร้องซิ’ จำได้เลยเพลงแรกที่ร้องคือเพลง สัญญาเมื่อสายัณห์ และเพลง ลารักสาวสวนแตง เพลงสัญญาเมื่อสายัณห์ ตอนนั้นที่ดังๆ คุณสันติ ดวงสว่าง เอามาร้อง แล้วเขาร้องหวานมาก

แต่เราไม่รู้ว่าร้องดนตรีช้าดนตรีเร็ว ไม่มีทักษะในด้านนี้เลย พี่หมอร้องได้ไม่เท่าเขาหรอก เขาทำแบบช้าๆ แต่คราวนี้เพื่อนทำดนตรีให้แบบเร็วๆ พี่ก็ร้องสไตล์พี่ แล้วคราวนี้เพื่อนก็มองหน้าเลยนะ ทุกคนหันมามอง

มีเพื่อนคนนึงพูด ขออนุญาตพูดเป็นภาษาเพื่อนๆ และเสียงนี้อยู่ในหูพี่จนมาถึงทุกวันนี้ ‘บักโม มึงร้องจังซี่พวกกูจะเล่นจังได๋?!’ หมายความว่า ‘มึงร้องแบบนี้ พวกกูจะเล่นดนตรียังไง?!’ เราก็ไม่เข้าใจ เขาบอกว่าเราร้องไม่ถูกจังหวะ ไม่ถูกคีย์ด้วยมั้ง

ณ วินาทีนั้นพี่หมอก็พูดกับตัวเอง ‘กูจะเป็นนักร้องให้พวกมึงดูให้ได้’ นับจากวันนั้นพี่หมอก็ฝึกฝนตัวเอง

ในขณะนั้นเวลามีงานของวิทยาลัย เพื่อนก็ให้ไปร้องอยู่ แต่เพื่อนก็จะมายืนกรอกหูข้างๆ คนที่ว่าเรา มันก็จะพาขึ้นพาลง แต่ระหว่างทางก็ไม่รู้เท่าไหร่ ก็ร้องตามเขา ตอนนั้นก็ช่วยกันแต่ก็สนุกดีนะครับ แล้วพี่หมอก็ฝึกฝนตัวเอง”

จากคณะหมอลำ สู่คณะทันตแพทยศาสตร์

Passion ในเสียงเพลงของเขานับวันจะยิ่งแรงกล้า แม้จะทำงานด้านสาธารณสุข แต่โมฮัลในตอนนั้นก็ยังมีอีกความฝัน คือการเป็นนักร้องบนเวที รายล้อมไปด้วยผู้ชมเบื้องหน้า และจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของชีวิตก็เกิดขึ้น เมื่อเขาได้รับโอกาสให้เป็นนักร้องนำ ประจำวงหมอลำชื่อดัง ความฝันที่วาดไว้เสมอได้กลายเป็นจริงขึ้นมาแล้ว

“พอจบจากวิทยาลัยสาธารณสุข พี่หมอก็ไปทำงานที่โรงพยาบาลบำเหน็จณรงค์ จ.ชัยภูมิ ก็จำได้ว่าตัวเองมีความตั้งใจสูงมาก เราจะต้องเป็นนักร้องให้ได้ ซึ่งตอนนั้น คุณยิ่งยง ยอดบัวงาม กำลังดัง ชื่อเพลง สมศรี 1992

พี่หมอก็เลย... ถ้าเราดังนะ ครอบครัวเราจากที่เคยลำบากอยู่ก็คงจะช่วยพ่อแม่ได้เยอะ พอไปอยู่ที่โรงพยาบาล พูดไปก็เหมือนจะ Over เช้า-กลางวัน-เย็น โมซ้อมเพลงอย่างเดียว ซ้อมแบบไม่มีครู เปิดเทปฟัง ฝึกทำลูกคอ ฝึกทุกอย่าง กลางวันบางทีก็รีบกินรีบขึ้นมาปิดห้องฟันร้องเพลง ตอนเย็นเขากลับก่อนเราก็ร้องเพลง ซ้อมๆๆ

ในระหว่างนั้นพี่หมอก็ไปสมัครเป็นนักร้องร้านอาหารตอนนั้นได้คืนละ 70 บาท ก็ร้องไม่เป็นหรอก ด้วยความที่ว่าเรามีความพยายาม ก็ฝึกฝนมาเรื่อยๆ เราอยู่ตรงนั้นประมาณ 5 ปี เคยไปประกวดแต่ไม่เคยชนะอะไรกับเขา ได้อย่างมากก็เข้ารอบรองชนะเลิศ ก็ถือว่าเก่งนะสำหรับงูๆ ปลาๆ ที่ไม่มีครูเลย ฝึกด้วยตัวเอง

พอปี 2542 เขามีการคัดเลือกนักร้องนำวงหมอลำชื่อดังของชัยภูมิ ชื่อว่า ไทยกันเองวาทะศิลป์ พี่หมอได้ยินข่าวก็บึ่งไปสมัครเลย มีคนมาสมัครหลายคนนะ เขาก็มีการคัด สุดท้ายเราโชคดีได้ถูกคัดเลือกเป็นนักร้องนำวง

ในภาพที่จินตนาการก่อนหน้านี้ที่เราเคยซ้อมเพลงกับแม่อยู่ที่บ้าน เรายืนร้องแล้วก็ใช้สากเป็นไมค์ แม่ก็จะนั่งอยู่ผนังหรือเสากลางบ้าน เราก็จะซ้อมร้องเพลงแล้วก็จินตนาการว่าตัวเองอยู่บนเวที โบกไม้โบกมือ จินตนาการตรงนั้นมันคือความจริงและเกิดขึ้นกับเรา เราได้ไปเป็นนักร้องนำวงอยู่ที่วงไทยกันเองวาทะศิลป์

ก็ได้ทัวร์คอนเสิร์ตกับทางวงตลอดปี ตอนนั้นพี่หมอทำหน้าที่เป็นเจ้าหน้าที่ทันตาภิบาล ตอนเย็น 4-5 โมง เวลามีคอนเสิร์ตเขาก็จะมีรถมารับ มันเป็นเรื่องแปลกที่ว่าคนอื่นที่เขาไม่มีภารกิจอะไร หมายถึงว่าเขาเป็นนักร้องได้เลย แต่เราเป็นทั้งทำงานประจำแล้วก็ยังต้องร้องเพลง เขายังต้องจ้างคนมารับเรา เราก็งง สงสัยจะเป็นบุญสัมพันธ์กับเจ้าของวงนะครับ”



จากการทำงานประจำและเดินสายร้องเพลงไปกับคณะหมอลำอย่างแทบไม่มีเวลาพัก เวลาผ่านไปนานนับปี สิ่งที่นักร้องทุกคนไม่อยากให้เกิดก็เกิดขึ้นกับเขาจนได้ นักร้องนำแห่งไทยกันเองวาทะศิลป์ ประสบปัญหาเรื่องเส้นเสียงจนไม่สามารถร้องเพลงได้ ...

“ตอนเย็นไป ตอนเช้ากลับมา ตี 3 ตี 4 หรือถึงประมาณ 6 โมง ก็ล้างหน้าล้างตาไปทำงาน วนอยู่อย่างนี้เป็นปี สุดท้ายปลายๆ ปี พี่หมอมีปัญหาเรื่องระบบเสียง ร้องเพลงไม่ได้ มันควบคุมคีย์เสียงไม่ได้ ก็เลยได้ออกมา พอออกมาปุ๊บทำไงดี ตอนนั้นเสียใจมาก เหมือนทั้งชีวิตฉันไม่ได้เป็นนักร้อง แล้วฉันจะเป็นอะไรดี

ตอนนั้นยอมรับว่าผิดหวังจริงๆ คือเส้นเสียงบวม หมอบอกว่าห้ามพูดหรือว่าใช้เสียงดัง ห้ามอยู่ในที่มีฝุ่นละอองหรือที่มีเสียงดัง สรุปว่าผมอยู่บนเวทีไม่ได้เลย ถามว่าเสียใจไหม เสียใจมาก ก็เลยคิดว่ามันเป็นทางเลือกหนึ่งที่มีโอกาสในเวลานั้น

ตอนที่มีปัญหาเรื่องเส้นเสียง เราก็ตัดสินใจว่าจะไปทางไหนดี จริงๆ เราเป็นเจ้าหน้าที่ทันตาภิบาลอยู่ก็ได้ เพียงแต่ว่าช่วงนั้นมันมีโอกาสที่จะสอบเป็นทันตแพทย์ ซึ่งแม่มีความฝันว่าอยากให้ลูกไปเป็นทันตแพทย์ เราก็เลยใช้โอกาสตรงนั้นทำเต็มที่

จากความผิดหวังที่ไม่ได้เป็นนักร้อง ตอนนั้นมีความรู้สึกว่าเราจะเป็นนักร้องคงไม่ได้แล้ว เสียงมันร้องไม่ได้แล้ว แล้วไม่รู้มันจะหายหรือเปล่าด้วย มันแย่มาก ไม่มีใครเข้าใจเรา ก็เลยตัดสินใจที่จะมาสอบทันตแพทย์”



ปัญหาสุขภาพที่เกิดขึ้น ทำให้เขาต้องทิ้งความฝันของตัวเองจากคณะหมอลำ เพื่อมาตั้งใจสอบเข้าคณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น นับได้ว่าเป็นความฝันของแม่ ที่อยากให้ลูกชายของตนได้มีคำนำหน้าชื่อเป็นทันตแพทย์

“ก่อนหน้านี้มันมีโครงการที่ให้เจ้าหน้าที่ทันตาภิบาลไปเรียนทันตแพทย์ แต่ต้องสอบแข่งกันทั่วประเทศ จริงๆ เขาจะเอา 5 คน แต่ว่าโดยส่วนใหญ่อาจจะคะแนนไม่ถึงหรืออะไรก็ไม่รู้ ก็จะได้ปีละคนสองคน

ตอนนั้นเหลือเวลาแค่ 4 เดือนที่จะต้องอ่านหนังสือสอบ บอกแม่ว่าปีนี้จะสอบทันตแพทย์ให้แม่ จริงๆ แม่อยากให้สอบนานแล้ว แต่เราอย่างที่บอก อยากเป็นนักร้อง นับจากวันที่บอกแม่ เรากลับไปที่โรงพยาบาล

โชคดีมีคู่มือมีอะไรที่เราเก็บไว้หมด เราไม่ทิ้งเลยนะ เป็นคนรักหนังสือมาก เอา 7 วิชาที่ต้องสอบ Entrance มาเรียงกันตั้งแต่ ม.4 จนถึง ม.6 แล้วพี่ก็ไปนั่งดู จะเริ่มจากตรงไหนดี แต่พี่ก็รู้สึกอย่างเดียวว่าต้องได้นะ

ต้องใช้คำว่าทุกนาทีของช่วงเวลา 3-4 เดือนไม่ให้เปล่าประโยชน์เลย พี่หมอจัดตารางถี่ยิบ วันนี้จะต้องอ่านวิชาอะไร และที่สำคัญทุกการอ่านจะต้องมี Short Note และทำข้อสอบ Entrance ประเมินตัวเอง ต้องบอกว่ามีความพยายาม มีความตั้งใจสูงมาก พี่ๆ พยาบาลเข้าเวร โมฮัลก็ไปอ่านหนังสือเฝ้า

และเดือนที่ 4 ก็ไปสอบ ไม่อยากจะเชื่อว่าความตั้งใจอย่างแรงกล้า พี่หมอสอบได้คนเดียวด้วย ก็ไปเรียนกับรุ่นน้อง หมายความว่าตอนพี่หมอไปเรียนทันตแพทย์ เราอายุ 28 แล้ว คิดดูเด็ก ม.6 อายุ 18 เพื่อนเราห่างกัน 10 ปี

แต่ตอนนั้นไปเราก็ไม่ได้คิดว่าเราแก่ ไม่ได้คิดอะไรเลย คิดแค่ว่าขอให้ได้ไปเรียน ไม่ได้มีความกังวลว่าจะเรียนจบหรือไม่จบ แต่คิดอยู่อย่างเดียวว่าฉันจะต้องทำให้ได้ ขอเข้าไปได้แล้วฉันจะตั้งใจเรียน”

มุ่งมั่นสุดพลัง ยังไงก็สำเร็จ

ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยขอนแก่น ของเฟรชชี่วัย 28 ปีคนนี้ ผ่านไปแต่ละวันอย่างคุ้มค่า ตอนนั้นเขาต้องทำงานเพื่อส่งตัวเองเรียนไปด้วย แต่การเรียนและกิจกรรมก็ไม่เคยขาดตกบกพร่อง

“พอไปเรียน ตอนนั้นก็มีกิจกรรม เนื่องจากว่าเราผ่านการร้องเพลง ผ่านหลายๆ อย่างมา เราก็เลยไปทำกิจกรรมที่มหาวิทยาลัย พาเพื่อนๆ น้องๆ ไปออกงาน พี่หมอก็ทำโครงการเพลงพื้นบ้านเพื่อสุขภาพ แต่งเพลง มาแปรงฟันกันเถอะ ลำซิ่งไม่กินหวาน แล้วก็รับงานรับเชิญในงานวิชาการต่างๆ

แล้วก็โชคดีว่าปี 2547 หมอถูกคัดเลือกจากคณะทันตะฯ เพื่อเข้าไปคัดเป็นนักศึกษาพระราชทานของมหาวิทยาลัย ทุกๆ คณะ เขาจะคัดคณะละ 1 คน อาจารย์ทุกคณะก็สัมภาษณ์ สรุปปีนั้นพี่หมอได้รับรางวัลนักศึกษาพระราชทานคนแรกของมหาวิทยาลัยขอนแก่น ก็เป็นความภูมิใจที่เรามาถึงขั้นนี้ได้ยังไง เราไม่คิดหรอกว่าเราจะมาถึงตรงนี้”



ตอนที่เป็นเจ้าหน้าที่ทันตาภิบาล อยู่โรงพยาบาลปีแรก พี่รู้ว่าพ่อแม่พี่กู้ ธกส. กู้เงินจากคนนั้นคนนี้มาเพื่อส่งพวกเราเรียน ตอนนั้นทางบ้านมีหนี้ ไม่เยอะหรอกถ้าเทียบกับคนมีเงินแต่มันก็เป็นหลักแสน

พี่หมอจำได้เลยว่ากู้เงินใช้หนี้ให้พ่อแม่ได้ 80,000 ตั้งแต่ทำงานราชการมาไม่เคยได้เงินเดือนเต็ม เหลือเงินเดือนพันกว่าบาทมาตลอดเลยนะ พี่หมอจำเป็นต้องไปร้องเพลงร้านอาหาร หรือขายของเครือข่ายด้วย หารายได้ส่งตัวเองเรียน

ตอนที่มาเรียนทันตแพทย์เหลือเงินเดือน 3,500 เริ่มเหลือเยอะแล้วแต่มันไม่พอ ค่าใช้จ่ายแต่ละเดือน พี่หมอต้องหารายได้เสริมกลับมาบางทีก็ตี 1 ตี 2 จนเพื่อนที่เรียนด้วยกันถามว่า ‘พี่โมทั้งทำกิจกรรมด้วยนะ พี่โมทำอะไรขนาดนี้’ แต่พี่กลับรู้สึกมีพลัง ไม่รู้เอาไฟมาจากไหน ไม่มีความรู้สึกท้อ ไม่มีมีความรู้สึกน้อยใจ ทำสนุกสนานอะเลิร์ตเบิกบาน แบบนี้มาตลอด

เรียนจบก็มาใช้ทุนเป็นอาจารย์ที่วิทยาลัยสาธารณสุขสิรินธร จ.อุบลราชธานี ช่วงนั้นเราก็จะได้รับเชิญไปงานต่างๆ เกี่ยวกับราชการ พี่หมอกับนักศึกษาไปพรีเซนต์สื่อการสอนเกี่ยวกับนวัตกรรมเชิงสุขภาพ ได้รับรางวัล Creative International ที่ภูเก็ตในระดับนานาชาติด้วย พี่หมอเป็นอาจารย์ได้ 5 ปี มีหลายอย่างที่ต้องตัดสินใจ ก็เลยลาออกแล้วก็มาเปิดคลินิก”


[ รางวัลการันตีความตั้งใจ ]
ชีวิตที่เดินทางมาถึงวันนี้ของหมอโมฮัล เรียกได้ว่าผ่านมาครบทุกรสชาติ เมื่อถามต่อถึงการตัดสินใจ ระหว่างทำตามความฝันกับเลือกความมั่นคงของชีวิต มีการชั่งน้ำหนักอย่างไร คุณหมอคนเก่งก็ตอบว่า จะทำอะไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือ ความรู้

“เล่าประสบการณ์ก่อน ตอนนั้นเชื่อพ่อแม่ว่าต้องเรียนก่อน ความรู้จะเป็นใบเบิกทาง อย่างน้อยๆ เรามีความรู้ในระดับหนึ่งที่เราจะพูดคุยกับคนอื่นได้ มันจะต้องเรียนเพื่อที่จะได้ไปสื่อสารไปเชื่อมต่อกับในสายอาชีพอื่นๆ ได้ ทุกวันนี้บางคนอาจจะไม่ได้เรียนสูงแต่ว่ามีโลกออนไลน์ สามารถศึกษาหาข้อมูลเพิ่มเติมได้และสามารถทำอาชีพทางออนไลน์ได้เยอะ

สิ่งสำคัญก็คือในส่วนตัวคิดว่าต้องทำในสิ่งที่ตัวเองรัก ใจเราเวลาทำมันจะมีความสุข พอเราทำมีความสุข มันก็มีพลังเติมเต็มในแต่ละครั้งที่เราได้ทำ มันจะทำให้เราสำเร็จได้ง่าย หากอะไรที่มันฝืนความรู้สึก ให้เราถามใจตัวเองว่ามันใช่หรือเปล่า

ยังไงก็ตามสิ่งที่อยากจะฝากไว้คือ สิ่งที่เราทำนอกจากจะรักแล้ว จะต้องเป็นสิ่งที่ถูกต้องดีงาม ไม่ใช่พระเอกนะแต่นี่สำคัญมาก จะยึดถือสิ่งนี้เวลาบอกสอนกับลูกศิษย์หรือคนอื่นๆ ที่มาขอคำแนะนำ เราก็จะบอกว่าสำคัญที่สุดคือคุณธรรม ไม่ว่าจะอาชีพอะไรเราจะต้องมีคุณธรรมนำหน้า คุณจะประสบความสำเร็จได้ง่ายและยั่งยืนขึ้น



พี่หมอทำฟันมา 10 กว่าปี คนไข้ก็จะเวียนมาตั้งแต่รุ่นแรก จนบางคนตั้งแต่นักศึกษาจบออกไปแต่งงานมีลูกก็พาลูกมา พาพ่อพาแม่พามา เพราะเราใช้หลักนี้หลักคุณธรรมจริยธรรม คำว่าใจเขาใจเรา ตรงนี้สำคัญ

และการทำอะไรก็ตามต้องทำด้วยความมุ่งมั่นสุดพลังจริงๆ จำได้ทุกอย่างที่พี่หมอทำมา ตอนแรกที่ว่าอยากจะได้รางวัลนักเรียนเรียนดี ตั้งใจมากเลยนะ ไปเลี้ยงวัวเลี้ยงควายยังเอาหนังสือไปอ่าน เราก็ทำได้ เราอยากจะสอบทันตแพทย์เราก็ทำได้ เราอยากเป็นนักร้อง โบกไม้โบกมือ มีแดนซ์เซอร์ 70 - 80 คน ใจเรามันเต็มร้อย มันเกินมันมีพลังมากที่ทำตรงนั้น

จนถามตัวเองว่าเราเอาพลังจากไหนอ่านหนังสือสอบทันตแพทย์ มันมี 7 วิชาใช่ไหม มีเวลา 3 เดือน จะต้องอ่านยังไงเพื่อจดจำให้ได้ นั่นแหละพลังความเชื่อมั่นว่าเราจะต้องสำเร็จให้ได้ มีเป้าหมายที่ชัดเจน เพราะว่าถ้ามีเป้าหมายชัดเจน มีพลังภายในที่สิ่งที่เรารักและเราส่งต่อออกไป ทำอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ ความสำเร็จจะเกิดขึ้นแน่นอน”



และอีกสิ่งที่ไม่พูดถึงไม่ได้ก็คือเรื่องของการดูแลตัวเอง แม้ในตอนนี้คุณหมอจะเข้าสู่วัย 50 กระรัตแล้ว แต่ก็ยังดูสดใส แม้จะทำงานหนักมาอย่างต่อเนื่อง

“ปีนี้ ก.ค.นี้จะ 51 มีหลายๆ คนชอบถามอายุ คนไข้ตั้งแต่ปีแรกจนถึงปีนี้ คุณหมอไม่ได้เจอกันเกือบสิบปีคุณหมอยังเหมือนเดิม จริงๆ ก็คงจะเปลี่ยนไปบ้างแหละ แต่ว่าด้วยความที่ว่าเป็นคนที่อารมณ์บันเทิงอยู่ตลอด เป็นคนหัวเราะง่าย แต่เวลาทำงานจริงจังนะ เป็นคนจริงจังเต็มที่กับทุกสถานการณ์ และที่สำคัญพี่หมอไม่ดื่มแล้วก็ไม่เที่ยว ไม่ค่อยนอนดึก

สมัยเรียนก็เหมือนกัน เพื่อนจะเข้าใจว่าโมฮัลนอนเร็ว ไม่ดื่ม ไม่เที่ยว แล้วก็อาหารการกินค่อนข้างจะพิถีพิถัน ช่วงหลังๆ มานี้ไม่ค่อยกินอาหารเย็นด้วย แต่ก็มีนะไม่ใช่ไม่กิน หมายความว่าถ้ามีงานเลี้ยงหรือว่าไปอันโน้นอันนี้ก็กินอยู่ แต่ส่วนใหญ่ถ้าไม่มีกิจกรรมก็ไม่ได้กินอาหารเย็น ก็ประมาณนี้ ดูแลตัวเอง มีอาหารเสริมบ้าง แต่สำคัญคือจิตใจ

แล้วก็เป็นคนชอบปฏิบัติธรรม ที่คลินิกจะมีการสวดมนต์ปฏิบัติธรรมเป็นประจำ เราจะมีการอธิษฐานจิตว่า ขอให้ข้าพเจ้ามีใบหน้าอ่อนเยาว์วัย อายุขัยยาวนาน มีผิวพรรณใบหน้าเปล่งปลั่งผ่องใสดุจวัยหนุ่มสาวตลอดหมดสิ้นอายุขัย อะไรอย่างนี้ ก็จะพูดทุกวัน”

ขอบคุณตัวเอง พาชีวิตมาไกลเกินฝัน

นอกจากจะเป็นทั้งหมอฟัน เป็นทั้งนักร้อง หมวกอีกใบที่ชายคนนี้ต้องสวม คือการเป็นเสาหลักแห่งบ้านศกภูเขียว ดูแลทุกคนในครอบครัว

“ตั้งแต่นานมาแล้วพี่หมอดูแลครอบครัว แม่พี่หมอเป็นโรคเบาหวาน ความดัน หลายอย่าง พี่หมอส่งเงินให้ทางบ้าน สรุปว่าเป็นเสาหลักทุกอย่าง ตอนที่แม่ป่วย เราก็ตัดสินใจออกรถให้แม่ แล้วก็ให้น้องออกจากงาน 2 คน มาเพื่อที่จะเป็นพยาบาลประจำตัวแม่แล้วก็ให้เงินเดือนน้อง น้องก็ดูแลจนถึงทุกวันนี้

ด้วยที่ว่าค่านิยมของคนสมัยก่อนก็จะมีความชื่นชม ชื่นชอบข้าราชการมากกว่า แต่ตอนที่พี่หมอตัดสินใจลาออกข้าราชการ แม่บอกว่าให้เราตัดสินใจเองเพราะตอนนี้โตแล้ว

ถ้าเลือกระหว่างนักร้องกับทันตแพทย์ ยังไงการเป็นนักร้องทุกวันนี้ทุกอาชีพสามารถทำได้ โลกมันเปิดกว่าแต่ก่อนมาก เราต้องขอบคุณครอบครัวที่ตอนนั้นเราไม่ดันทุรังไปเป็นนักร้องก่อน เรายังเชื่อพ่อแม่มาเรียนหนังสือ

ยิ่งช่วงโควิด เห็นได้ชัดว่าเราโชคดี เพราะว่าช่วงนั้นศิลปินหรือว่าหลายๆ อาชีพที่เกี่ยวกับวงการบันเทิง รายได้ขาดตกไปกันเยอะ ก็ถือว่าโชคดีที่ได้ทำ 2 หน้าที่ในเวลาเดียวกัน เป็นทั้งหมอฟันเป็นทั้งนักร้องของคนไข้”


[ หมอโมฮัลและคุณแม่ ผู้ซัพพอร์ตทุกเส้นทางที่เลือก ]

จากเด็กชายที่อยากพาครอบครัวให้หลุดพ้นจากความลำบาก ในวันนี้เขาสามารถทำได้สำเร็จ จากความตั้งใจและน้ำพักน้ำแรงของตัวเองล้วนๆ

“พี่หมอมีความภูมิใจกับการที่ตัวเองได้ทำหน้าที่ลูก ตอนที่จบมายังไม่เปิดคลินิก เงินเดือนของอาจารย์ทันตแพทย์ไม่เยอะ หมื่นกว่าบาท พี่หมอไปเป็นหมอมือปืนแล้วก็เก็บเงินๆ ใช้หนี้ใช้สินทุกบาททุกสตางค์ให้พ่อแม่

พี่หมอทำงานมาเป็นหมอฟันมา 16 ปี น่าจะใช้หนี้ให้หมดภายใน 2-3 ปีแรก ขยันมาก ไม่มีวันหยุดเลย จนพี่หมอบอกว่า ‘โมฮัล เธอเชื่อพี่เถอะเธอต้องหาวันหยุดบ้างนะ’ ตอนนั้นมีไฟมาก ฉันจะต้องใช้หนี้ให้หมดเร็วๆ แต่มันก็เป็นความสุขใจ

พี่หมอจำได้นะว่าเคยถีบจักรยานพาแม่ไปขายยาสมุนไพรซองเล็กๆ ซองละ 5 บาท 10 บาท แล้วตอนเย็นๆ เราก็เอาเงินมานับรวมกันได้ 200 - 300 ก็ดีใจ บางทีก็ต้องเอาหน่อไม้ไปแลกข้าว แล้วก็เอาข้าวไปขายเพื่อส่งเราเรียน


[ ครอบครัว “ศกภูเขียว” ]

หน้านาทำนาเสร็จ แม่ก็จะหาของป่าไปขายตลาด มันอยู่ในความทรงจำภาพติดตา ไม่อยากให้พ่อแม่ลำบากอีกต่อไปแล้ว ในเมื่อเรามีโอกาสมาถึง วันนี้ที่เราจะทำได้ หนี้สินก็หมดไปนานแล้ว พ่อแม่ก็ไม่ได้ทำงานมา 10 กว่าปีแล้ว

ถ้าพูดถึงจากมุมมองของคนอื่น เขาก็จะมองว่าพี่หมอประสบความสำเร็จ พี่ว่ามันยังมีบางอย่างที่พี่ยังจะต้องทำต่อไปอยู่ แต่ว่าทุกวันนี้พี่มีความรู้สึกพอใจ ภูมิใจนะ บางทีก่อนนอนเราก็จะมีการพูดคุยกับตัวเอง ขอบคุณนะวันนี้ขอบคุณ เรามีความสุข ชีวิตนี้เราคิดว่าเราได้ทำในระดับที่เกินภาพที่เด็กคนหนึ่งจะมาถึงวันนี้ได้ เราก็ขอบคุณตัวเองเป็นระยะ”

มาถึงวันนี้ ชีวิตของหมอฟัน-หมอลำ นามว่าโมฮัล ได้กลายมาเป็นแรงบันดาลใจให้กับหลายๆ คน เขายังได้ฝากคำแนะนำไปถึงที่กำลังวิ่งตามความฝันว่า ให้ทำในสิ่งที่รัก ควบคู่ไปกับการมีคุณธรรม สักวันความตั้งใจนี้ต้องประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน



“สำหรับคนที่มีความฝัน คนที่กำลังเริ่มคิดหาช่องทาง หรืออยากจะทำอะไรซักอย่างนึงในชีวิต สำหรับน้องๆ ที่กำลังค้นหาตัวเอง สิ่งที่เรารัก สิ่งที่เรามีความถนัดสามารถสร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้กับเราได้ สิ่งสำคัญก็คือเราจะต้องมีอยู่ในหลักศีลธรรม คุณธรรม จริยธรรมที่ดีงามควบคู่กันไป แล้วก็ความมุ่งมั่น เราต้องมีความสม่ำเสมอ มีวินัยในตัวเอง

จริงๆ มันเป็นหลักพื้นฐานที่ทุกคนจะต้องมี คนที่ประสบความสำเร็จไม่มีใครทำวันหยุดไป 2 วัน ทำ 2 วันไป 3 วัน เท่าที่พี่ได้สัมผัสกับคนที่เขาประสบความสำเร็จมา มีแต่ความมุ่งมั่น ใจเด็ดเดี่ยว คิดอย่างเดียวว่าต้องสำเร็จให้ได้

แน่นอนทุกเส้นทางมันไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ไม่ว่าคนจะรวยจะจน มันจะต้องมีเจอปัญหาและอุปสรรค แม้ว่าคุณจะเดินทางไหนมันจะต้องเจอขวากหนามแน่ๆ แต่สิ่งนั้นอย่าไปมองว่าเป็นปัญหา ให้มองว่านี่แหละคือวัคซีนที่ดีเลย คือภูมิคุ้มกันที่ดี ที่จะทำให้เราเข้มแข็งในอนาคต เรามีความเข้มแข็งมากขึ้น

พี่หมอคิดว่าทุกครั้งของการผิดพลาด ครั้งต่อไปฉันจะทำให้ดีขึ้นๆ เกิดข้อผิดพลาด นั่นคือสิ่งที่ดี นั่นคือจะเป็นโจทย์ทำให้เราได้ฝึกสมอง ฝึกคิดให้เราได้เจอช่องทางหรือวิธีการที่มันดีขึ้น พี่หมอคิดว่าทุกอาชีพมันมีปัญหาอยู่แล้วในทางเดินของการก้าวสู่เป้าหมาย แต่ขอให้มองบวก พยายามคิดบวกให้ได้ในทุกๆ สถานการณ์นะครับ”











สัมภาษณ์ : ทีมข่าว MGR Live
เรื่อง : กีรติ เอี่ยมโสภณ
คลิป : นลธวัช กาญจนสุวรรณ์
ขอบคุณภาพ : เฟซบุ๊ก “โมฮัล ศกภูเขียว” และแฟนเพจ "คลินิกทันตกรรมทันตแพทย์โมฮัล"



** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **




กำลังโหลดความคิดเห็น