xs
xsm
sm
md
lg

ตระเวนชายแดนให้พ่อ เป็นนางงามให้แม่ “ดาบนิกกี้” ตำรวจท่องเที่ยวพาทัวร์มิติ LGBTQ+ [มีคลิป]

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เปิดเส้นทางชีวิต “ดาบนิกกี้” ตำรวจท่องเที่ยวเมืองย่าโม เจ้าของไวรัล สวยก็ได้ หล่อก็ดี สานฝัน “เป็นตำรวจให้พ่อ เป็นนางงามให้แม่” พร้อมเปิดมุมมองตำรวจ 2 ลุค ที่คนสบประมาทว่าทำไม่ได้ กับตัวตนที่แท้จริง สู่การเป็นขวัญใจประชาชน



เจ้าของไวรัลแต่งหญิง ขวัญใจโซเชียลฯ

“พี่ดาบนิกกี้ จำได้นะ สวยมาก ขอถ่ายรูปด้วยค่ะ มีประทับใจในกรณีนี้ เราใส่ชุดธรรมดาบ้านๆ เดินซื้อของที่ตลาด ก็มีคนจำได้ครับ ไม่ว่าจะเวอร์ชั่นตำรวจ หรือเวอร์ชั่นแต่งหญิง มีคนจำได้หมดเลยครับทุกวันนี้”

“ดาบนิกกี้-ด.ต.เสรีชัย สุขมาก” ตำรวจท่องเที่ยวเมืองโคราช วัย 41 ปี ที่กำลังเป็นกระแส และเป็นขวัญใจชาวโซเชียลฯ อยู่ในตอนนี้

และที่ทำให้ตำรวจท่องเที่ยวเมืองย่าโมคนนี้ กลายเป็นขวัญใจไปทั่วโซเชียลฯ ก็เริ่มจากที่เจ้าตัว ได้ออกมาโพสต์คลิปผ่านช่องทาง TikTok @nick.thailand.2023 ของตัวเอง

ด้วยการสลัดลุคถอดชุดสีกากี ของนายตำรวจสุดหล่อ กลายร่างเป็นนางงาม สวมชุดราตรีหางยาว พร้อมกับขึ้นผมทรงฟาร่าห์ แบบสวยฉ่ำ เดินถือป้ายประชาสัมพันธ์ งานตรุษจีน จ.นครสวรรค์ จนกลายเป็นไวรัล มีคนเข้ามากดไลก์ กดแชร์ และเข้ามาแสดงความคิดเห็นชื่นชมในความสวยของดาบนิกกี้ กันอย่างล้นหลาม จนฮือฮาไปทั่วโซเชียลฯ

ซึ่งตำรวจขวัญใจประชาชนเจ้าของไวรัลก็ออกมาเปิดใจ พร้อมด้วยรอยยิ้ม ที่ดูจะแฮปปี้สุดๆ ว่า ไม่ได้คิดว่าจะกลายเป็นไวรัลในชั่วพริบตาได้ขนาดนี้ แต่ก็ดีใจที่ประชาชนชอบ และให้การตอบรับเป็นอย่างดี


“ไปช่วยงานตรุษจีนนครสวรรค์ปากน้ำโพนะครับ ก็มีสารวัตรสถานีตำรวจท่องเที่ยวนครสวรรค์ติดต่อมา อยากจะให้ไปช่วยประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยว ของจ.นครสวรรค์ แล้วก็ให้ไปถือป้ายประชาสัมพันธ์ของตำรวจท่องเที่ยวนครสวรรค์ให้ครับ

ผมอยู่โคราช ก็ได้รับโทรศัพท์ ออกเวรปุ๊บ ก็ให้ทำหนังสือขออนุญาต แล้วก็จะเดินทางไปช่วยครับ แล้วก็มีทีมงานพี่ๆ ช่างที่นู่น ที่เขาแต่งหญิง แล้วก็ทำวิก ทำอะไรให้ทุกอย่างเลยครับ ก็บริการดีมาก เราก็ไม่ได้คิดว่าจะดังขนาดนี้ แล้วจะมีคนดูเยอะขนาดนี้ ก็ตั้งใจไปครับ แล้วก็อยากจะไปช่วยงานที่นครสวรรค์ สถานีตำรวจท่องเที่ยวที่นั่นครับ

เขาบอกว่าไม่มีคนถือป้าย เพราะว่าถ้าให้มิสแกรนด์หรือว่าให้นางงามที่อยู่นครสวรรค์ จะค่าใช้จ่ายสูง แล้วก็ในการเดินประชาสัมพันธ์ จะเดินไกล ก็กลัวเหนื่อย เราอาศัยว่าเราแต่งหญิงได้ แล้วก็ช่วยประชาสัมพันธ์ได้ เพราะว่าเดินไกลแค่ไหน มันก็สามารถเดินได้”



[เดินถือป้ายประชาสัมพันธ์ งานตรุษจีน จ.นครสวรรค์ ]
นี่ไม่ใช่ครั้งแรก ที่ตำรวจขวัญใจประชาชนคนนี้ ที่สลัดลุคความหล่อ ขึ้นมาแต่งหญิง ก่อนหน้านั้นก็มีมาเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นงานประชาสัมพันธ์อื่นๆ หรือจะเป็นการขึ้นเวทีเดินสายไปประกวด ก็ทำมาแล้วทั้งนั้น

“ก่อนหน้านั้นก็มีเรื่อยๆ ครับ มีหลายๆ รายการครับ ก็ไปออกหลายรายการเหมือนกันครับ มีแต่งหญิงหลายที่มากครับ ในกรณีที่ประชาสัมพันธ์สถานที่ท่องเที่ยว แล้วก็แต่งหญิงในด้านการประกวด

เวลาออกเวร ไม่ได้แอบไปประกวดหรอก เรียกว่าไปช่วยเพื่อน ที่เป็นกลุ่ม LGBTQ แล้วก็สาวประเภทสอง เป็นงานบุญ งานกุศลที่วัด ก็ร่วมกิจกรรม แล้วก็แต่งหญิง เพื่อต้องการร่วมประกวดทั่วไป ถ้าไม่มีเวรนะครับ ก็จะไปช่วยเพื่อน เพราะสาวประเภทสอง เพื่อนๆ เยอะมากครับ

ส่วนมากไปในฐานะประชาชน ในนามของร้านที่ส่งเข้าประกวดทั่วไปครับ แต่ว่าประชาชน FC เขาจำเราได้ไปประกวดส่วนมากเป็นนางนพมาศของตำรวจด้วยกัน ก็จะติด 1 ใน 3 ตลอดนะครับ ตอนอยู่ใน 3 จังหวัดชายแดน แต่ว่าถ้าในกลุ่มเพื่อนข้างนอกอะไรแบบนี้ ก็จะมีน้องๆ สวยๆ เราไม่ได้เอาตำแหน่งครับ แต่เราเอาตำนาน (หัวเราะ)

เป็นเวอร์ชั่นที่ One man One woman แบบนี้ก็จะเป็นเวอร์ชั่นสวยก่อน เดี๋ยวก็มาถอดวิกออกเป็นเวอร์ชั่นหล่อ ก็จะติดท็อป 5 ในการตอบคำถาม อาจจะสู้น้องๆ เขาไม่ได้ เพราะว่าเราเริ่มแก่แล้ว แต่ว่าเราเอาตำนานครับ เอาประสบการณ์ครับ

แต่ว่าก็อยากให้น้องๆ เอารางวัลไป เราก็เน้นมวลชนสัมพันธ์ แล้วก็ได้พี่ได้น้อง ก็รู้จักคนมากขึ้นครับ สังคมรอบข้างยอมรับในสิ่งที่เราเป็นมากขึ้นครับ”




ส่วนจุดเริ่มต้นในการแต่งหญิงจริงๆ นั้น เจ้าของไวรัล ตำรวจขวัญใจประชาชน ก็บอกว่า ชอบแต่งหญิงมาตั้งแต่สมัยเด็กๆ แล้ว และเริ่มแต่งออกงานจริงๆ ก็ตอนที่ได้ไปประจำการเป็นตำรวจตระเวนชายแดน

“ตั้งแต่เด็กที่ได้แต่งผู้หญิง ที่ได้ใส่วิก ก็ตอนที่เป็นลูกเสือชาวบ้าน เพราะว่าเราเป็นตำรวจตระเวนชายแดนอยู่ 3 จังหวัดครับ ด้านมวลชนสัมพันธ์ แล้วก็เลยมีพี่ๆ เขาช่วยแต่งให้ แต่ว่าแต่งสไตล์แบบไทบ้าน แบบบ้านๆ อะไรแบบนี้ครับ ก็จะไม่มีเครื่องสำอางเยอะแยะมากมายเหมือนสมัยนี้ ชุดสมัยก่อน ก็จะเป็นชุดไทย สาวไทบ้าน ผ้าถุง แล้วก็เสื้อคอกระเช้าบ้าง แล้วก็เน้นวิกเอา

ก็ไปร้องเพลง แล้วก็เต้น ร่วมกิจกรรมกับลูกเสือชาวบ้านครับ ก็มีเพื่อนที่เป็นผู้ชาย ที่เป็นตำรวจด้วยกัน ก็เล่นแบบสไตล์ตลก แต่เราก็จะเป็นแบบสไตล์สวยหวานนะครับ ก็มีเพื่อนๆ ในทีมงาน 4-5 คน เพื่อร่วมกิจกรรมนันทนาการ มวลชนสัมพันธ์ให้ประชาชนเขาสนุกสนาน แล้วก็มีรอยยิ้มครับ

ตั้งแต่เป็นตำรวจ ก็ 20 ปีที่แล้วนะครับ ความรู้สึกมันสนุก แล้วเราก็ได้มวลชน ได้เพื่อนมากขึ้น แล้วก็ได้ร่วมกิจกรรม เห็นพี่ๆ น้องๆ เขามีรอยยิ้ม เรารู้สึกประทับใจ แล้วเราก็อยากจะให้กลุ่ม LGBTQ ยอมรับในตำรวจมากขึ้นนะครับ”

เป็นตำรวจให้พ่อ เป็นนางงามให้แม่

ตำรวจท่องเที่ยว ขวัญใจโซเชียลฯ ยังเปิดใจถึงความสุขในใจตัวเองอีกว่า จริงๆ แล้วนอกจากความชอบของตัวเองแล้ว ที่เห็นหล่อสวย ครบจบในคนเดียว คือตั้งใจจะเป็นตำรวจให้พ่อ แต่งนางงามให้แม่ด้วย

“เป็นตำรวจให้พ่อ แล้วก็เป็นนางงามให้แม่ เป็นประโยคที่ในคอมเมนต์เข้ามาเยอะมาก ตอนแรกเราก็คิดว่า เราอยากจะเป็นเวอร์ชั่นหล่อ แล้วก็เวอร์ชั่นสวยในร่างเดียวกัน

เป็นตำรวจให้พ่อ ก็คือสมัยก่อน พ่ออยากให้เป็นทหาร เป็นตำรวจ เป็นอะไรก็ได้ลูก ที่ได้รับราชการ ให้เหมือนญาติพี่น้องเรา พ่อเป็นอะไรที่ชอบมาก เพราะว่าพ่อไม่ได้รับราชการเหมือนเพื่อนๆ พี่ๆ เขา ก็เลยปลูกฝังให้ผมเป็นข้าราชการ เป็นตำรวจ ทหารนะครับ

ในมุมมองที่นั่งคุยกับแม่ในช่วงเย็น แม่ก็เล่าสมัยก่อน ว่าแม่อยากเป็นนางงาม อยากเป็นนู่น เป็นนั่น เป็นนี่ เราก็เลยพยายาม เออฉันจะทำให้ได้ทั้ง 2 อย่างเลย คิด ปลูกฝังตัวเองมาตั้งแต่ประมาณ 10 ขวบอะครับ

ก็คือฟังทั้งพ่อแม่พูด เวลาอยู่ด้วยกัน เขาก็จะเล่าเรื่องของเขาให้ฟังสมัยเด็ก เราก็เลยต้องการที่จะเก็บมา เพื่อทำให้พ่อประทับใจ แล้วก็แม่ประทับใจ ในคนๆ เดียวกันครับ

พ่อเป็นช่างตัดผม แม่ก็เป็นแม่บ้าน ทำสวนทำนา ทำไร่ ปกติครับ อาจจะเป็นตัวแทนบ้านที่ได้รับราชการคนเดียว เป็นแรงบันดาลใจ แล้วก็เป็นที่รักของที่บ้าน ดูแลทั้งพี่ทั้งน้อง แล้วก็หลาน แล้วก็พ่อแม่ เป็นเสาหลักคนนึง ที่คอยดูแลทางบ้านครับ”

[เป็นตำรวจ 2 ลุค เพราะอยากทำให้พ่อและแม่ประทับใจ]
ดาบนิกกี้ ยังเปิดใจถึงตัวตนที่แท้จริง สู่การเป็นขวัญใจประชาชนอีกว่า จริงๆ แล้ว รู้ว่าตัวเองมีความหลากหลากมาตั้งแต่เด็กแล้ว แต่สังคมสมัยก่อน อาจจะยังไม่ได้เปิดกว้างขนาดนี้ ตัวเองก็พยายามทำตามใจพ่อ เพราะพ่ออยากให้รับราชการ จึงพยายามทำให้พ่อกับแม่ภูมิใจ

“เรามีความรู้สึกก็ประมาณ 9-10 ขวบแล้ว แต่สมัยก่อนยังไม่ยอมรับในสังคมครับ เราก็เลยพยายามทำตามใจพ่อ แล้วก็อยู่ในกลุ่มเพื่อนผู้ชายเยอะ เพื่อนในกลุ่มผู้หญิง เราก็ไม่ได้ค่อยเล่นเท่าไหร่ เราก็พยายามไปเล่นฟุตบอล เล่นตะกร้อ เล่นปิงปอง ก็มีแอบอยู่ ม.1 ม.2 พ่อแม่ส่งไปเรียนกับลุงกับป้าครับ เริ่มเปิดมากขึ้นสมัยมัธยมครับ

ตอนอยู่ ม.1 ม.2 มีเพื่อนที่เป็นนักบอลเลย์ ที่โรงเรียน แล้วป้ากับลุงที่เราไปอยู่ด้วย เขาก็เริ่มรู้แล้วว่า อยู่กับคนนี้สบายใจ อยู่กับคนนี้เป็นตัวของเราเอง แกก็ไปแนะนำให้รู้จักเพื่อนที่เป็นกลุ่ม LGBT ด้วยกัน ก็เริ่มคุยกับเพื่อน ก็ไปเล่นกีฬาวอลเลย์บอล ตอนอยู่กับเพื่อนด้วยครับ”


แม้สมัยนั้น สังคมจะไม่ได้เปิดกว้าง แต่ตำรวจขวัญใจชาวโซเชียลฯ ก็ไม่ได้รู้สึกว่าถูกกดดัน หรือเครียดอะไร และคุณพ่อคุณแม่เอง ก็ไม่ได้ต่อต้าน ในการแสดงออกเป็นตัวของตัวเอง

“ไม่ได้เครียดเลยครับ เพราะพ่อบอกว่า ถ้าจบ ม. 6 เดี๋ยวลองสอบดู ก็เล่นกีฬาด้านผู้ชาย เพราะว่าเราออกกำลังกายอยู่แล้ว วิ่ง ว่ายน้ำ Test ร่างกาย สอบตำรวจคงไม่ยาก สอบทหารคงไม่ยาก เราก็คิดมาตั้งแต่ตอนอยู่ ม.4-ม. 5 แล้วครับ

ก็มีคุณอา แล้วก็น้าๆ ส่วนมากจะเป็นทหาร ตำรวจ พยาบาล เป็นคุณครูครับที่บ้าน ก็ตั้งว่าจะเป็นอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ในอนาคต แต่เราก็ตั้งใจว่าจะเป็นทหารตำรวจให้พ่อ

จบ ม.6 แล้วก็มาสมัครทหารนะครับ เป็นทหารเกณฑ์ 1 ปี เอาวุฒิ ม.6 สมัคร เพื่อต้องการที่จะชนะใจพ่อ แล้วก็อยากจะเป็นทหารให้พ่อ เป็นทหารเสร็จ สอบนายสิบทหารติด แต่เรียน 2 ปี เราก็เลยไม่เลือก สมัยปี 2546 นะครับ เราก็เลยมาเลือกสอบตำรวจปี 2547 ก็สอบครั้งเดียว ก็สอบติดเลยครับ

คือพ่ออยากให้เป็นทหาร แล้วก็อยากให้เป็นตำรวจ ก็คือชนะใจพ่อแล้ว คือสอบตำรวจ สอบทหารได้หมดทุกอย่างแล้วครับ”




นอกจากคุณพ่อคุณแม่ ไม่ได้ต่อต้าน ในการแสดงออกของลูกชายแล้ว แถมยังยอมรับในตัวตนของลูกได้อีกด้วย ลูกจะเป็นอะไรก็ได้ เพียงแต่ขอให้เป็นคนดีเท่านั้น

“มีลูกหลายคนครับ แล้วก็น้องก็เป็นหล่อ LGBT นี่แหละฮะ น้องก็ทำงานที่เดียวกัน เป็นผู้ช่วยตำรวจ เป็นล่ามประชาสัมพันธ์ให้กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยวครับ

ทางครอบครัวเปิดกว้าง เพราะว่าสังคมรอบข้าง ก็มีแม่ๆ ที่เป็นสาวประเภทสอง ที่เป็นรุ่นๆ คุณแม่ก็มีแล้วสมัยนั้น แต่ว่าสังคมบ้านข้างเคียง อาจจะไม่ได้รับรู้มากมาย แต่ว่าแม่ก็ยังมีทีวีดู แล้วก็สื่อวิทยุ ก็เลยรับได้ ในสิ่งที่เราเป็นนะครับ เพราะแม่ก็รู้อยู่แล้ว ว่าเราสำอางมาตั้งแต่เด็ก

เป็นอะไรก็ได้ครับขอให้ลูกเป็นคนดี แต่ได้รับราชการ เขาจะได้ไม่ต้องห่วงเราครับ คือไม่ได้ปิดครับ แต่ว่าเราเป็นตัวของเราเอง แต่ว่าไม่ได้ออกมากมายที่จะเป็นเหมือนเพื่อนๆ กรี๊ดกร๊าดในกลุ่มเพื่อนๆ ส่วนมากเราจะเป็นเด็กเรียบร้อยมากกว่าครับ ด้วยสังคมสมัยก่อน”

และสิ่งที่ทำให้ดาบนิกกี้ กลายมาเป็นตำรวจขวัญใจประชาชน ได้อย่างมากมายขนาดนี้ ส่วนสำคัญก็มาจากการเลี้ยงดูของพ่อแม่ ที่ปลูกฝังแต่สิ่งดีๆ ให้มาตลอด

“สิ่งที่ได้คือการเลี้ยงดูนะครับ ก็คือพ่อ ก็คือแนะนำอาชีพในสิ่งที่ดีๆ ให้กับลูกนะครับ ก็อยากจะให้เป็นตำรวจที่ดีของประชาชน ก็ได้ความคิดดีๆ แล้วก็สอนสิ่งที่ดีให้กับตัวเราเองครับ

แม่ปลูกฝังเรื่องการเป็นคนธรรมะธัมโม ต้องรู้จักการทำบุญ รู้จักการให้อภัย แล้วก็เป็นข้าราชการที่ดีของประชาชนครับ แม่ก็จะบอกแบบนี้ครับ

การเป็นตำรวจของเราคือ เป็นตำรวจที่เข้าถึงประชาชน ให้ประชาชนรักเรามากขึ้น แล้วก็ให้ยอมรับในสิ่งที่เราเป็นนะครับ เป็นอะไรก็ได้ที่ประชาชนรักเรา แล้วก็ให้ประชาชนคิดถึงตำรวจท่องเที่ยว เพราะว่าเราเป็นตำรวจท่องเที่ยว เป็นตำรวจยิ้มครับ”


LGBTQ+ ไม่เป็นอุปสรรคในการทำหน้าที่

แน่นอนว่า แม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นขวัญใจชาวโซเชียลฯ แถมนักท่องเที่ยวหลายคนให้ความชื่นชอบมากมาย แต่ตำรวจขวัญใจประชาชน ก็บอกว่า เจอคำสบประมาทมากเหมือนกัน ว่าจะเป็นตำรวจไม่ได้

แต่ดาบนิกกี้ ก็มองว่า คำสบประมาทเหล่านั้น หรือการเป็นตัวของตัวเองแบบนี้ ไม่ได้เป็นอุปสรรคในการรับราชการเลย แต่ที่สำคัญคือ ต้องรู้จักวางตัวให้ดี และแยกแยะในการทำหน้าที่ให้ดีที่สุด

“เฮ้ย..มันจะทำได้เหมือนเพื่อนไหมวะ แต่ว่าเวลาฝึกเราก็อยู่ต้นๆ ของเพื่อน วิ่ง ว่ายน้ำ Test ร่างกาย เราก็อยู่ต้นของเพื่อนอยู่แล้ว เพราะว่าเราเป็นนักกีฬาสมัยมัธยมครับ ก็ทำได้เหมือนเพื่อน เพื่อนทำได้ เราก็ทำได้เหมือนเพื่อน แล้วก็จะต้องทำให้ดีกว่าเพื่อนด้วย

เป็นหลากหลายทางเพศในกลุ่ม LGBTQ ไม่ได้เป็นอุปสรรคในด้านที่รับราชการนะครับเพราะว่าเราเลือกมาแล้ว แล้วก็ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุดนะครับ รู้จักแยกแยะในการทำงาน แล้วก็รู้จักในการวางตัวนะครับ รู้จักว่าใครชอบไม่ชอบเรา เราก็ต้องวางตัว แล้วก็ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุดครับ ทำให้เพื่อนรอบข้างยอมรับในสิ่งที่เราเป็นครับ”


นอกจากคำสบประมาทในเพื่อนๆ ตำรวจด้วยกันแล้ว คอมเมนต์ด้านลบๆ ในโซเชียลฯ ก็มีมาด้วยเหมือนกัน แต่ด้วยความที่ทุกวันนี้สังคมยอมรับความหลากหลายมากขึ้น ดาบนิกกี้ก็บอกว่า ตอนนี้ก็มีหลายคนเริ่มเปิดใจ และมองมุมบวกมากขึ้น

“มีด้านบวกมากขึ้นครับ เมื่อก่อนอาจจะมีลบบ้าง มีต่อต้านบ้างเล็กๆ น้อยๆ แต่เราก็คิดบวก เราทำอะไรก็ได้ ที่ไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน เราก็ทำไป

ถ้าสมมติเพื่อนไม่ชอบเรา เราก็บอกว่า เราไม่ได้ทำให้เธอเดือดร้อน เธอก็ไม่ต้องมาว่าเราหรอก ก็มีเคืองเพื่อนบ้าง แล้วก็เถียงเพื่อนไปบ้าง แต่ว่าถ้าเป็นคนอื่น หรือว่าเป็นประชาชนคนอื่น เราจะไม่ได้เถียงเขา แล้วเราก็จะเงียบไป แล้วมันก็จบไปเอง เดี๋ยวก็มองผ่านไปเอง คือคิดบวกตลอดครับ

แต่อ่านข้อความแล้วรู้สึกประทับใจ ที่พี่ๆ น้องๆ ให้กำลังใจครับ เพราะว่าจะเป็นอะไรก็ได้ลูก ขอให้ลูกเป็นคนดี ก็มีคอมเมนต์เข้ามาเยอะมากครับ

มีคอมเมนต์ด้านลบนะครับ ถ้าสมมติว่า เป็นหน่วยงานเดียว ที่เขาไม่ชอบเรา มีบ้างครับ ก็จะให้เพื่อนพยายามถามว่า เขาเป็นใคร ทำไมเธอต้องเกลียดเราขนาดนี้ เราไปทำอะไรให้เขาเดือดร้อน เพราะว่าเราก็ประชาสัมพันธ์ให้หน่วยงานเรานะ ในด้านลบเราก็รู้จักแยกแยะนะว่าอันไหนดี อันไหนไม่ดี ก็มีตอบโต้ แล้วก็ให้เพื่อนช่วยคุยให้ แล้วก็ให้เขายอมรับในสิ่งที่เราเป็นครับ

ผู้ใหญ่ส่วนมากจะมองให้เป็นด้านบวกครับ เพราะว่าเป็นยุคสมัยใหม่แล้ว ก็จะพยายามให้แยกแยะว่า อันนี้คืองาน อันนี้คือนอกเวลาราชการ ก็คือเยอะแยะได้ครับ ก็ทำแบบนั้นมาตลอดครับ แยกแยะมาตลอด แล้วก็รู้จักการวางตัวให้มากขึ้น ในการที่จะมีเพื่อนๆ กลุ่ม LGBTQ มากขึ้น ไม่ว่าหน่วยงานไหนก็ตาม ทำให้เขารักเรามากขึ้นครับ”


ตำรวจท่องเที่ยว ขวัญใจประชาชนบอกอีกว่า ยอมรับเมื่อก่อนอาจจะยังไม่ค่อยมีการยอมรับ แต่เดี๋ยวนี้คนในองค์กร และผู้หลักผู้ใหญ่ ก็ให้อิสระเต็มที่ เพียงแต่ ก็ต้องทำอยู่บนความพอดีด้วย

และแม้ว่า จะเห็นเข้าร่วมกิจกรรม หรือไปงานเดินสายประกวดต่างๆ มากมาย ก็ไม่ได้เบียดบังเวลาราชการ ไปทําธุระส่วนตัวแน่นอน ส่วนใหญ่แล้วคือทำนอกเวลาราชการเท่านั้น หรือใช้เป็นการลาไปเท่านั้น

“สมัยก่อน เมื่อ 4-5 ปีที่ผ่านมา ก็เริ่มเปิดขึ้น สังคมยอมรับมากขึ้น แต่เมื่อ 20 ปีที่แล้ว ยังไม่มีโอกาส แล้วก็เปิดได้ขนาดนี้ แต่ก็ยังมีสื่อบ้าง ประชาสัมพันธ์บ้าง แต่ว่าเขาไม่ได้เปิดกว้างขนาดนี้ แต่ 4-5 ปีนี้ รู้สึกดีขึ้นๆ จนถึงปัจจุบันนี้มีคนยอมรับมากขึ้น ประชาชนให้ความยอมรับในด้านนี้ครับ

ประชาชนเข้าถึงเรามากขึ้น เพราะว่าเขาเห็นเราในด้านความสวยงาม ด้านความน่ารัก แล้วก็เป็นตำรวจมวลชนสัมพันธ์ แล้วก็ประชาสัมพันธ์ครับ ทำให้ประชาชนเข้าถึงได้ง่ายขึ้น แล้วก็ไม่ได้เกร็ง”


ล่าสุด ถือเป็นอีกก้าวสำคัญทางประวัติศาสตร์ หลังจากที่ประเทศไทย ผ่านร่างกฎหมาย “สมรสเท่าเทียม” ของสภาผู้แทนราษฎร พร้อมกับส่งต่อมาให้วุฒิสภา (สว.) พิจารณาต่อ ซึ่ง สว.ให้ผ่านวาระแรกแล้ว ซึ่งจะส่งผลให้ไทยกำลังจะเป็นประเทศที่ 3 ในเอเชีย ถัดจากไต้หวันและเนปาล และเป็นประเทศแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่มีกฎหมายแต่งงานของบุคคลเพศเดียวกัน

ในฐานะที่ดาบนิกกี้ ที่มีความหลากหลายอยู่ในตัว ก็รู้สึกดีใจในครั้งนี้เช่นกัน พร้อมกับบอกว่า อาจจะช่วยในแง่การท่องเที่ยว ดึงดูดให้ประชาชนอยากมาเที่ยวที่ไทยได้มากขึ้นด้วย เพราะมีความเปิดกว้างมากขึ้น

“ก็เพิ่งรับทราบ แล้วก็เพิ่งเห็นตามสื่อโซเชียลฯ ต่างๆ สมรสเท่าเทียม แล้วก็ยินดีกับพี่ๆ น้องๆ ในกลุ่ม LGBTQ+ คนที่มีความรัก แล้วก็คนที่มีเพศหลากหลายในด้านความรักนะครับ แต่ผมไม่ได้มีนะ แต่ก็ยินดีกับพี่ๆ น้องๆ ครับ เพราะว่าเราก็เป็นประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยว

เราไม่ได้มีแฟน แต่ว่าถ้าท่านไหนถ้าเขาอยากมีครอบครัว หรือว่าอยากจะจดทะเบียนสมรสกัน เพื่อที่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้ามาประเทศไทย ก็รู้สึกยินดีครับ แต่ก่อนที่จะจดทะเบียนสมรสก็ต้องดูให้ดีนะครับ

ในกลุ่มที่เปิดกว้างมากขึ้น ทำให้ พี่ๆ น้องๆ ประชาชน แล้วกลุ่ม LGBTQ+ ไม่ว่าจะเพศสภาพใดๆ นะครับ สังคมยอมรับมากขึ้น แล้วก็ทำให้เขารู้จักตำรวจมากขึ้น ตำรวจสามารถเข้าสื่อได้มากขึ้น แล้วก็ตำรวจสามารถเข้าถึงประชาชนได้มากขึ้น ในกรณีแจ้งความ หรือขอปรึกษา หรือในกรณีถ้ากลุ่ม LGBTQ+ มีปัญหา ในกลุ่มที่เป็นตำรวจ หรือในกลุ่มอื่น ก็จะเข้าใจกันมากขึ้น ในการช่วยเหลือพี่ๆ น้องๆ ประชาชน

อาจจะช่วยในเรื่องการท่องเที่ยวมากขึ้น เพราะว่าในกลุ่ม LGBTQ+ แล้วก็สาวประเภทสองในไทย มีแต่สวยๆ ครับ อาจจะกว้างมากขึ้น แล้วสาวประเภทสอง อาจจะมีแฟนชาวต่างชาติมากขึ้น อาจจะดึงดูดชาวต่างชาติมาเที่ยวประเทศไทยมากแน่นอนครับ”

นอกจากนี้ ยังแอบถามดาบนิกกี้ ไปถึงสเปคของแฟนในอนาคต อยากจะได้คนแบบไหนมาเป็นคู่ชีวิต ซึ่งก็ได้คำตอบที่ว่า ขอเป็นผู้ใหญ่ แล้วก็เป็นคนใจดี

“ถ้ามีโอกาสดีๆ นะครับ ถ้ามีผู้ใหญ่ใจดีจากต่างชาติมาดูแลก็ดีครับ”


ลุยมาแล้ว “ตระเวนชายแดน”

ตำรวจขวัญใจประชาชน ย้อนเล่าเส้นทางการเป็นตำรวจ ที่กว่าจะมาถึงวันนี้ หลายคนอาจจะไม่รู้ว่าก่อนหน้านั้น ตอนนั้นในวัย 21 ปี เขาเลือกที่จะไปเป็นตำรวจตระเวนชายแดน อยู่ที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ อยู่นานถึง 8 ปี ก่อนที่จะตั้งใจสอบชิงทุน เพื่อไปเรียนต่อที่ประเทศจีน ก่อนที่จะมุ่งมั่น สู่ตำรวจท่องเที่ยวได้สำเร็จ

“สอบนายสิบทหารบกติด แต่ว่าในหลักสูตร ก็เป็นอนุปริญญาเรียน 2 ปี แล้วต้องไปอยู่ไกลบ้านด้วยนะครับ เพราะว่าตอนนั้นก็น่าจะอยู่ที่ประจวบฯ เหมือนกับว่าใจไม่ไปแล้วด้านทหาร ขอแม่อีกปีนึงสอบตำรวจ เพราะว่าเพื่อนเพิ่งเรียนปริญญาตรีปี 1 เอง ก็คิดว่าเรารับราชการเป็นตำรวจ 1 ปี เราได้ทำงานแล้ว แต่เพื่อนต้องเรียนป.ตรี 4 ปี เราก็คิดว่าเออเราไปเร็วกว่าเพื่อนแน่นอน ก็ขอแม่อีกปีนึง เพื่อจะมาสอบตำรวจ ก็สอบติดเลยครับ เพื่อนยังอยู่ป.ตรีปี2 อยู่เลย

เหตุผลเพราะว่า ปริญญาตรีเรียนเมื่อไหร่ก็ได้ รับราชการแล้วก็มีงานเป็นหลักเป็นฐาน แล้วก็ทำให้พ่อแม่ประทับใจแล้ว ปริญญาตรีมาเรียนตอนที่ทำงานแล้วก็ได้ เสาร์-อาทิตย์ก็ได้

ก็อาจจะเป็นตัวอย่างดีๆ ให้กับน้องๆ เยาวชนดีกว่าเนาะ เพราะว่าที่บ้านก็มีรับราชการเยอะมาก แล้วก็มีน้าๆ ลุงๆ ป้าๆ เป็นกำลังใจให้ แล้วก็คอยแนะนำตลอดอยู่แล้วครับ ในด้านรับราชการ

อันแรกเราเลือกตำรวจตระเวนชายแดน เป็นอะไรที่ต้องอยู่ตามชายแดน แล้วก็ส่งลง 3 จังหวัดชายแดนใต้นะครับ เป็นอะไรที่น่ากลัว ทุกคนกลัวหมดเลยนะครับ ตอนนั้นเป็นเหตุการณ์ที่รุนแรงนะครับปี 2547

ก็เป็นเหตุการณ์ที่รุนแรง เปิดรับสมัครตำรวจลง 3 จังหวัดใช้แดนใต้ บอกพ่อบอกแม่ลงเลยเนาะ สอบได้แล้ว ไม่ต้องสละสิทธิ์แล้วนะ พ่อบอกอยู่ไหนก็ตายลูก เพราะว่าเราเป็นคนไทย ไม่ว่าเหตุการณ์มันจะเกิดตรงไหน มันก็เกิดทุกที่นะครับ

เป็นตำรวจตะเวนชายแดน ก็ยังเจอเพื่อนในกลุ่ม LGBT เยอะแยะมากมายเลยครับ ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดเลยนะครับ เพราะว่ากลุ่ม LGBT แล้วก็เพื่อนๆ สาวประเภทสองเปิดร้านเสริมสวยจากเรียนที่โรงเรียนในโคราชด้วยกัน แล้วก็เป็นรุ่นพี่รุ่นน้องในโคราชด้วยกัน ลงไปอยู่ 3 จังหวัดเยอะมาก

เป็นอะไรที่ตื่นเต้นมากกว่าครับ เพราะว่าได้เจอเพื่อน พี่ๆ น้องๆ แล้วก็ได้ไปมวลชนมากขึ้นนะครับ ก็เริ่มเปิดมากขึ้น เพราะว่าเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น แล้วก็เลยเริ่มแต่งตั้งแต่ลงไป 3 ชายแดนใต้ครับ

ทุกคนอาจจะมองว่าเป็นเหตุร้าย เหตุการณ์รุนแรงมีเกือบทุกๆ จังหวัดอยู่แล้วครับ แล้วก็มองว่าอยู่ที่ไหนก็ตาย เราไม่ได้กลัวอยู่แล้ว เราต้องการที่จะไปมวลชน เพื่อที่จะต้องการไปดูแลประชาชนจริงๆ ครับ ตั้งใจว่าอยู่ไหนก็ได้ครับ แต่ไปแล้วรู้สึกว่าประชาชนรักเรามากขึ้นนะครับ แล้วก็ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดครับ

อยู่ตำรวจตระเวนชายแดน 8 ปีนะครับ แล้วก็สอบชิงทุนไปเรียนที่ประเทศจีน เพราะต้องการที่จะตามใจพ่อมาอยู่กรุงเทพฯ อยากจะมาอยู่ใกล้พ่อ อยากจะกลับบ้าน แล้วอยู่ 3 จังหวัดชายแดน ก็จบปริญญาตรีแล้วเอกภาษาจีน ที่ราชภัฏยะลาครับ ทำงานไปด้วยแล้วก็เรียนไปด้วย

จากนั้นก็สอบชิงทุนไปเรียนประเทศจีนครับ มหาวิทยาลัยหัวเฉียวประเทศจีนอีก 2 ปีครับ ทุนสมาคมวัฒนธรรมเศรษฐกิจไทยจีน ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้ทุนครับ ไปเรียนกลับมา 2 ปีครับ ถึงมาสอบตำรวจท่องเที่ยว”


สิ่งที่จุดประกาย ให้อดีตตำรวจตระเวนชายแดนคนนี้ หันมามุ่งมั่น ตั้งใจ ศึกษาเล่าเรียนในด้านภาษาจีน ก็มาจากคำแนะนำจากผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ที่เป็นหัวหน้างานของเขาในตอนนั้น

“มีนายตำรวจท่านนึงนะครับ ที่เป็นหัวหน้าอยู่ที่เบตงนะ พ.ต.อ.ปรีชา วังปรีชา เป็นผู้แนะนำนะครับ เพราะว่าเห็นพี่ๆ น้องๆ เรียนภาษาจีนมา แล้วท่านบอกว่าประมาณ 10 ปีจะได้ใช้ ให้เรียนไว้แล้วก็สะสมไว้ เพราะว่าภาษาอังกฤษ ภาษาจีน ได้ใช้แน่นอนในอนาคต ท่านก็เป็นคนแนะนำให้เราเรียนภาษาจีนครับ เรียนยากมากครับ ต้องจินตนาการอย่างเดียวถึงจะจำได้ เป็น Mind Map อย่างเดียว”

หลังจากเรียนจบกลับมาจากประเทศจีนแล้ว ดาบนิกกี้ก็ได้นำความรู้ที่ตัวเองเรียนมา โดยเฉพาะในเรื่องของภาษาจีน ไปต่อยอดสมัครเข้ารับราชการอีกครั้ง ในฐานะตำรวจท่องเที่ยวอย่างที่หวัง

“เราก็พยายามศึกษาข้อมูลว่าตำรวจท่องเที่ยว เขารับภาษาอังกฤษไหม ภาษาจีนไหม เพราะว่านานๆ ครั้ง ตำรวจท่องเที่ยวจะเปิดรับภาษาจีนครับ ส่วนมากจะเปิดรับภาษาอังกฤษ เราก็เลยต้องไปเรียนต่างประเทศก่อน เพื่อต้องการมีคุณวุฒิ เพื่อมาเทียบสอบเข้าตำรวจท่องเที่ยวครับ

เหตุผลที่มาตำรวจท่องเที่ยวเพราะว่า เราได้ใกล้ชิดนักท่องเที่ยว เราได้ถ่ายรูป ได้ออกสื่อ ได้ประชาสัมพันธ์ในสิ่งที่เราเรียนมา เราได้ใช้ภาษาครับ เพราะว่านักท่องเที่ยวประเทศจีน เดินทางเข้ามาเที่ยวประเทศไทยเยอะมาก เรารู้สึกว่ามันต้องได้ใช้

แล้วเราก็อยากมาอยู่ท่องเที่ยวด้วย เพราะว่านักท่องเที่ยวน่ารักเยอะ ถ่ายแล้วก็ลงโซเชียลฯ ให้เพื่อนๆ เห็นว่า เราได้คุยภาษาอังกฤษนะ ภาษาจีนนะ แล้วก็ตรงกับที่ตัวเองเรียนมาด้วยครับ”


ตำรวจท่องเที่ยว = ตำรวจยิ้ม

ตำรวจขวัญใจประชาชน ก็ย้ำหน้าที่สำคัญให้ฟังว่า ตำรวจท่องเที่ยว คือตำรวจยิ้ม เพราะเป็นตำรวจในงานด้านบริการ อีกทั้งยังต้องพบเจอกับนักท่องเที่ยวมากหน้าหลายตา เพราะฉะนั้นรอยยิ้มจึงสำคัญ ในการพบปะผู้คน

“นักท่องเที่ยวสามารถสังเกตอะไรได้บ้าง เผื่อจะบ่งบอก ว่าเป็นตำรวจท่องเที่ยว สามารถสังเกตอาร์มตำรวจท่องเที่ยวจะเป็น Tourist Police ครับ แล้วก็ลักษณะตำรวจท่องเที่ยว จะเป็นลักษณะที่เป็นมิตร คอยดูแลนักท่องเที่ยว และส่วนมากตำรวจท่องเที่ยวจะดูง่ายๆ เอกลักษณ์คือ ตำรวจยิ้ม เพราะพวกเราเป็นตำรวจในงานบริการประชาชนครับ”

สำหรับหน้าที่ของตำรวจท่องเที่ยวนั้น เจ้าของไวรัล ขวัญใจคนทั่วโซเชียลฯ ก็บอกว่า หน้าที่หลักๆ คือ ดูแลนักท่องเที่ยว
“ตำรวจท่องเที่ยวในหน้าที่ของผม หน้าที่หลักก็คือ ดูแลนักท่องเที่ยวทั่วไปนะครับ ไม่ว่าชาวต่างชาติ ชาวไทย แล้วก็ช่วยประชาสัมพันธ์หน่วยงาน ให้เขารู้จักตำรวจท่องเที่ยวมากขึ้น แล้วก็เข้าถึงประชาชนนะครับ

ในการปฏิบัติหน้าที่ของต่างจังหวัด ก็จะเข้าเวรสลับกันบ้าง เข้าเวร 24 ชั่วโมง แล้วก็อาจจะพัก 48 ชั่วโมง เวลาพักเวร 48 ชั่วโมง เราสามารถไปไหนก็ได้ อยู่ในบริเวณไม่ได้ไกลมากที่จะขอความช่วยเหลือ ในกรณีถ้าเกิดเหตุปกติ

หรือถ้าเกิดเหตุร้ายอะไร เราก็ต้องกลับมาช่วยให้ทัน 2 ชั่วโมง 3 ชั่วโมง ก็ไม่ได้ออกไปไกลครับ นอกซะจากเขียนใบลาเวลาไปต่างจังหวัด ก็จะต้องขออนุญาต หรือว่าออกไปเฉพาะวันหยุดจริงๆ หรือว่าไม่มีส่วนราชการครับ”


นอกจากต้องมีใจรักด้านงานบริการแล้ว สิ่งสำคัญที่ตำรวจท่องเที่ยวต้องมีคือ ความรู้ทางด้านภาษาด้วย เพราะเวลาเจอกับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ก็จะได้สื่อสาร หรือแนะนำได้ง่ายขึ้น

“ภาษาหลักคือภาษาอังกฤษครับ รองคือเป็นภาษาจีนนะครับ ถ้าสมมติว่าเรามีเอกลักษณ์เป็นภาษาจีน นักท่องเที่ยวเขาก็จะมาขอเราถ่ายรูปนะครับ เราก็เลยชอบตรงนี้อยู่แล้วด้วย เราก็อยากเป็นสายเอนเตอร์เทน สายประชาสัมพันธ์ครับ

มีประสบการณ์นะครับแค่ยืนสนามหลวง แล้วก็พูดทักทายหนี๋ห่าว สวัสดี นักท่องเที่ยวจีนที่เดินลงมาเป็นคณะทัวร์มาขอถ่ายรูป ยิ้มจนเหงือกแห้งเลยครับ ชอบมากเลยครับ เพราะว่าเขาเห็นมหาวิทยาลัยหัวเฉียวติดอยู่ เขารู้เลยว่าตำรวจคนนี้พูดภาษาจีนได้ แล้วก็จบมาจากมหาวิทยาลัยหัวเฉียว ประเทศจีน

เฉพาะข้าราชการทุนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แล้วก็ข้าราชการทุนทั่วประเทศไทยที่ไปเรียนมหาวิทยาลัยหัวเฉียวเท่านั้นครับ ถึงจะได้ป้ายนี้มาติดหน้าอกครับ เขาจะรู้ว่าเราจบมาจากมหา’ลัยนะ สามารถสื่อสารได้นะ สามารถให้ความช่วยเหลือได้

เขาก็จะเข้ามาหาเราแล้วก็รู้สึกประทับใจ เพื่อนๆ ตำรวจที่ยืนรอบๆ เขาจะอึ้งเป็นแถบเลย เพราะว่าตำรวจหล่อๆ เยอะ เขาไม่ขอถ่าย แต่ว่ามาขอทางเรา”

นอกจากใจรัก และความสามารถด้านภาษาแล้ว ดาบนิกกี้ยังบอกอีกว่า ต้องมีการฝึกปฏิบัติอีกหลายส่วน โดยเฉพาะเรื่องการเป็นจักรยานสายตรวจ เพื่อจะได้ให้เข้าถึงประชาชนได้อย่างทั่วถึง

“ก็มีทบทวนประจำเดือน ทบทวนภาษาอังกฤษ แล้วก็ออกไปฝึกปฏิบัติหน้าที่ ก็จะมีไปเป็นจักรยานสายตรวจ ต้องออกไปฝึกจักรยานสายตรวจ ฝึกยิงปืน ทบทวนประจำปี มีทุกที่เลยครับ มีหลายหลักสูตรครับ ก็ออกไปครับ ล่าสุดก็ออกไปอบรมหลักสูตรของจักรยานครับ ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผมก็โดนคัดเลือกไปครับ

แต่ละจังหวัดจะต้องมีสายตรวจจักรยาน เพราะว่าจะเข้าไปถึงประชาชนได้ง่าย แล้วก็ใช้ความเร็วในกรณีที่เกิดเหตุนะครับ แต่ว่าจักรยานนี่จะใช้ความเร็วได้ง่ายกว่าครับ เข้าไปถึงพื้นที่ได้ เช่นในงานเทศกาลต่างๆ

ส่วนมากนักท่องเที่ยวจะถามสถานที่ท่องเที่ยว แล้วก็ร้านอาหารที่อร่อย ก็สามารถหาข้อมูลมาก่อนที่จะตอบนักท่องเที่ยว นอกเหนือจากการที่ดูกูเกิลแล้ว เราก็สามารถช่วยประชาสัมพันธ์ แล้วก็สามารถบอกเส้นทางได้ง่ายขึ้นครับ บอกเส้นทางให้ตรงได้ง่ายขึ้น”


และที่สำคัญ นอกจากความรู้ด้านภาษาที่เรียนมาแล้ว พี่ดาบขวัญใจนักท่องเที่ยว ก็บอกอีกว่า ส่วนนึงคือชอบเที่ยวอยู่แล้ว รู้สึกมีความสุขทุกครั้ง เพราะการทำงาน ก็เหมือนได้เที่ยวไปด้วย

“ไลฟ์สไตล์ของผมคือ ไปทำงานเหมือนได้ไปเที่ยว เป็นสไตล์ที่ออกไปปฏิบัติหน้าที่ ไปดูแลนักท่องเที่ยวแต่ละจังหวั ดเหมือนเราได้ไปเที่ยวไปด้วยไปในตัวครับ ไปทำงาน แล้วได้ไปเที่ยวด้วย แล้วก็ได้ไปคุยกับนักท่องเที่ยวด้วย ได้ไปถ่ายรูปด้วย

นอกเหนือจากได้เป็นคุยกับประชาชนเสร็จแล้วเรายังมีเวลาประมาณ 5-10 นาที ก่อนที่เราจะขึ้นรถไปปฏิบัติหน้าที่ต่อไป เรายังมีเวลาถ่ายคลิปวิดีโอได้ด้วยครับ

ชอบเที่ยวอยู่แล้ว ในโอกาสที่บางครั้งบางที เราไม่ได้มีโอกาสจะได้ไปนะครับ เราได้ไปทำงานจุดตรงนั้น เรารู้สึกประทับในสิ่งที่เราได้ไป”

นอกจากนี้ ตำรวจขวัญใจประชาชน เขายังบอกอีกว่า ทำงานมา ก็รู้สึกประทับใจพื้นที่รับผิดชอบ ที่ประจำการ จ.นครราชสีมา ซึ่งก็คือบ้านเกิดตัวเอง เพราะมีสถานที่ท่องเที่ยว พร้อมให้นักท่องเที่ยว ทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติได้ไปเยือน

“ประทับใจในพื้นที่รับผิดชอบ ต้องแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวของโคราชก่อนนะครับ ก็เป็นบ่อน้ำผุดที่ปากช่อง ประทับใจว่ามีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ แล้วก็ประชาชนคนไทยเข้าไปเที่ยวเยอะมากครับ เพราะว่าช่วงนี้ใกล้เทศกาลด้วย เขาก็จะเดินทางไปเล่นน้ำนะครับ แล้วก็ไปดูวิว ชมภูเขา แล้วก็มีคาเฟ่เยอะแยะมากมายเลยครับ เป็นบ้านเกิดเลยครับ

ไปโคราชต้องไปกินขั่วหมี่นะครับ ผัดหมี่ไม่ว่าจะเป็นร้านไหนอร่อยทุกที่เลยครับ พิมายก็อร่อยนะครับ แนะนำเป็นปราสาทหินพิมาย มีสถานที่ท่องเที่ยวสวยงาม เป็นแหล่งโบราณคดีที่ใหญ่ที่สุดด้วยครับ ที่โคราชส่วนมากจะเป็นนักท่องเที่ยวสิงคโปร์ มาเลเซีย แล้วก็ไต้หวันนะครับ ที่เดินทางมาเที่ยวนะครับ”

[รับหน้าที่จักรยานสายตรวจ ]
ภาพลักษณ์ตำรวจ กับวิธีรับมือกับนักท่องเที่ยว

ในฐานะที่เป็นตำรวจ จึงให้ดาบนิกกี้ สะท้อนถึงอาชีพตำรวจ ที่มักถูกมองว่าเป็นอาชีพที่ต้องบริการประชาชน เป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ แต่ในช่วงที่ผ่านมา กลับมีกระแสแง่ลบมากมายเกี่ยวกับตำรวจ ถึงแม้มีแค่ไม่กี่คนทำผิด แต่ก็ต้องบอกว่า ทำให้ภาพลักษณ์ขององค์ตำรวจเสียหาย และถูกเหมารวมไปด้วย

ดาบนิกกี้ จึงอยากสื่อสารไปถึงไปถึงสังคมว่า อยากให้ลองเปลี่ยนมุมมองดูบ้าง โดยเฉพาะตำรวจท่องเที่ยว ที่มีแต่คนน่ารัก และบริการประชาชนด้วยใจจริงๆ

“สำหรับที่มุมมองของประชาชนใช่ไหมครับ เป็นภาพลักษณ์ที่ไม่ดีของตำรวจ อยากจะให้เปลี่ยนมุมมองความน่ารักของตำรวจ เปลี่ยนมุมมองในด้านบวก ให้คิดบวก แล้วก็ให้ดูหลายๆ หน่วยงานนะครับ เพราะว่าหน่วยงานบางหน่วยงาน เขาอาจจะไม่ได้เข้าใจ อาจจะเหมารวมทั้งหมดก็ได้

แต่เราเป็นตำรวจท่องเที่ยว เป็นตำรวจยิ้ม เป็นตำรวจด้านประชาสัมพันธ์ ก็อยากให้ประชาชนมองภาพลักษณ์ตำรวจน่ารัก แล้วก็ยอมรับในสิ่งที่ตำรวจเขาทำงานเพื่อประชาชนจริงๆ ครับ ให้ประชาชนยอมรับในสิ่งที่ดีๆ ของตำรวจ เพราะว่าการปฏิบัติหน้าที่ คนเราแตกต่างกันไปครับ

อยากจะสื่อสารในกรณีที่เขาประทับใจเรา ส่วนมากเขาประทับ เขาก็จะเต็มใจให้เราเอง ส่วนมากเขาก็จะซื้อนู่น ซื้อนี่ เป็นของขวัญให้มากกว่าครับ ในกรณีถ้าเราบริการดีนะครับ ส่วนมากผมก็จะเจอแบบนี้มากกว่า ไม่มีการรับสินบนใดๆ ทั้งสิ้นเลยครับ เพราะว่าตำรวจท่องเที่ยวบริการด้วยใจมากกว่าครับ”


แน่นอนว่าบางครั้ง ก็อาจจะเกิดปัญหาที่ตำรวจไม่ทันได้ตั้งตัว อาจจะรับมือกับนักท่องเที่ยวได้ยาก แต่สิ่งที่ตำรวจขวัญใจประชาชนคนนี้ทำคือ จะพยายามสื่อสารให้ประชาชนเข้าใจ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่อาจจะไม่ได้รู้วัฒนธรรมของคนไทย

“ในกรณีนักท่องเที่ยวจีนที่เสียงดัง อาจจะมาในกรุ๊ปทัวร์ครับ แล้วก็คนไทยอาจจะไม่เคยเจอวัฒนธรรมของประเทศจีนที่เสียงดัง แต่ว่าเราเข้าใจ เพราะว่าเราไปเรียนต่างประเทศมา เราจะเข้าใจคนจีนมากขึ้น

ในกรณีนี้ ก็จะคอยบอกประชาชนว่า อันนี้เป็นวัฒนธรรมเขาอาจจะเสียงดังบ้าง แต่เขาก็รู้จักกาลเทศะ รู้จักในการวางตัว บางคนเขาอาจจะไม่เข้าใจนะครับ เราก็พยายามบอกประชาชน เขามาเที่ยวบ้านเรา เขาไม่ได้รู้ว่าการใช้เสียงดัง เราอาจจะไม่ชอบ แต่เราก็บอกว่า เป็นวัฒนธรรมบ้านเขาครับ

ก็มีบอกกับไกด์ทัวร์ หรือกรุ๊ปทัวร์นะครับ แล้วก็มีกระซิบบอกกับนักท่องเที่ยวจีนด้วย ในกรณีถ้าเสียงดัง หรือว่าการต่อแถว รู้จักระเบียบวินัยของประเทศไทย ก็จะแนะนำเขา แล้วก็บอกเขานะครับ

บางครั้งเขาอาจจะไม่มีการต่อแถวบ้าง เวลาในการซื้อของ ก็อาจจะมีแทรกคิวกันบ้าง ก็พยายามบอกนักท่องเที่ยว แล้วก็พยายามบอกกรุ๊ปทัวร์ บอกไกด์ให้เขาช่วยบอกนักท่องเที่ยวให้ต่อแถว”

แล้วลองให้ดาบนิกกี้พูดภาษาจีน ก็พูดให้ฟังอย่างคล่องแคล่ว เลยทีเดียว ซึ่งแปลเป็นภาษาไทยได้ว่า

“ยินดีต้อนรับสู่ประเทศไทยนะครับ มาเที่ยวประเทศไทยนะครับ ยังมีสาวประเภทสองที่เต้นคาบาเรต์ ประชาสัมพันธ์ที่สวยงามมาก ก็ยังมีทั้งภูเก็ต เชียงใหม่ แล้วก็พัทยา ก็อยากจะให้มาเที่ยวประเทศไทยครับ แล้วก็ยังมีอาหารอร่อยด้วยนะ

จุดขายส่วนมากก็จะเป็น มวยนะครับ สาวประเภทสองเต้นคาบาเรต์ ส่วนมากคนจีนจะชอบไปดูที่พัทยา แล้วก็อาหาร ส่วนมากจะเป็นอาหารพวกซีฟู้ด ที่คนจีนเขาจะชอบ”


สุดท้าย ตำรวจ เจ้าของขวัญใจชาวโซเชียลฯ บอกอีกว่า ไม่ว่าจะเป็นนักท่องเที่ยวในประเทศ หรือต่างประเทศ ในฐานะตำรวจท่องเที่ยว ก็ดูแลอย่างเท่าเทียมกันหมดทุกคน

“ไม่ว่าจะชาวต่างชาติ ไม่ว่าประเทศอะไร เราก็ดูแลกันหมดครับ ในกรณีที่ประชาชนขอความช่วยเหลือ แล้วสื่อสารไม่ได้ สามารถโทรศัพท์มาที่ตำรวจท่องเที่ยว 1155 เพื่อต้องการที่จะคุยสาย คอยช่วย มีทั้งหมด 5 ภาษา ที่คอยช่วยแปล ช่วยเป็นล่ามให้ครับ

ในกรณีที่อยู่ต่างจังหวัด แล้วสื่อสารไม่ได้ ไม่เข้าใจ ตำรวจท่องเที่ยวก็ช่วยประสานให้ แล้วก็สามารถคุยทางโทรศัพท์ให้ว่า ความต้องการของนักท่องเที่ยวประเทศนี้ เขาต้องการอะไร”















ดูโพสต์นี้บน Instagram

โพสต์ที่แชร์โดย LIVE Style (@livestyle.official)





@livestyle.official ...เปิดมุมตำรวจ 2 ลุค ที่คนสบประมาทว่าทำไม่ได้ กับตัวตนที่แท้จริง ขวัญใจประชาชน @nick.thailand.2023 @tpb.212korat212 ... #LIVEstyle #LIVEstyleofficial #ข่าวTikTok #longervideos #tiktokวีดีโอยาว #มากกว่า60วิ #ดาวtiktok #tiktoker #contentcreator #ตำรวจท่องเที่ยว #พี่ดาบท่องเที่ยว #ชุดตํารวจ #การท่องเที่ยวประเทศไทย #ท่องเที่ยว #ท่องเที่ยวไทย #ททท #ตำรวจไทย #LGBTQ ♬ original sound - LIVE Style


สัมภาษณ์ : ทีมข่าว MGR Live
เรื่อง : พัชรินทร์ ชัยสิงห์
คลิป : ชยพัทธ์ พวงพันธ์บุตร
ภาพ : พลภัทร วรรณดี
ขอบคุณภาพเพิ่มเติม : แฟนเพจ “พี่ดาบนิกกี้ พี่ดาบท่องเที่ยว”
ขอบคุณสถานที่ : กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว



** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **




กำลังโหลดความคิดเห็น