เปิดเส้นทางชีวิต “ผู้กองมิ้น” จากอดีตตำรวจ สู่ผู้ให้อนาคตเด็ก อะไรที่ทำให้ยอมเสียสละดาวบนบ่า เพื่อสร้างดาวอีกหลายดวง ด้วยการทุ่มเงินส่วนตัวเช่าอาคาร เปิด “บ้านสร้างฝัน” สอนหนังสือ และให้ที่พักพิงแก่เด็กใฝ่ดี แต่ด้อยโอกาสฟรี แม้คนจะหาว่า “บ้า” และ “สร้างภาพ” ก็ไม่สน เพราะเชื่อว่า การศึกษาสามารถเปลี่ยนสังคมได้
จุดเริ่มต้นจากอดีตตำรวจ สู่ผู้ให้อนาคตเด็ก
“ผมเชื่อว่า มีคนคิดว่าผมสร้างภาพ บางคนก็บอกว่าผมสร้างภาพ แล้วผมทำแบบนี้มา 7 ปี แทบจะไม่มีวันหยุดเลย”
นี่เป็นคำพูดจากปากของ “ผู้กองมิ้น-ร.ต.อ.อภิชิต ภัณฑะประทีป” อดีตตำรวจวัย 34 ปี สู่ผู้ให้อนาคตเด็ก ที่ยอมทุ่มเงินส่วนตัวเช่าอาคาร เปิด “บ้านสร้างฝัน” สอนหนังสือ ติวหนังสือ ให้ที่พักพิงแก่เด็กยากจน และใฝ่ดี แต่ด้อยโอกาสฟรี เพื่อหวังว่า การศึกษาจะช่วยเปลี่ยนแปลงสังคมได้
ผู้กองมิ้น เป็นอดีตรองสารวัตร (สอบสวน) สภ.เมืองบุรีรัมย์ ที่ตัดสินใจลาออกจากข้าราชการตำรวจ มุ่งมั่นทุ่มเทแรงกาย แรงใจ และแรงทรัพย์ เพราะมีแรงบันดาลใจ จากที่ตัวเองเป็นเด็กบ้านนอกคนนึง ที่มองเห็นความเหลื่อมล้ำการศึกษาไทย
และเห็นถึงความแตกต่างของการเรียนการสอนของโรงเรียนในเมืองกับต่างอำเภอ เพราะเด็กต่างอำเภอถ้ามีความรู้พื้นฐานไม่ดีจะสอบแข่งขันคัดเลือกศึกษาต่อสู้เด็กในเมืองไม่ได้ แต่ผู้กองมิ้นก็มองว่า ถ้าปูพื้นฐานให้เด็กด้อยโอกาสและใฝ่ดีเหล่านี้ให้ดี ก็จะมีโอกาสมากขึ้น
ผู้กองมิ้น เล่าถึงจุดเริ่มต้น ของบ้านสร้างฝันแห่งนี้ ให้ฟังชัดๆ ว่า บ้านแห่งนี้ เป็นบ้านที่เปิดสอนหนังสือและติวให้เด็กยากจนฟรี เพียงเพราะอยากให้เด็กเหล่านี้ที่มีความฝัน ได้มีอนาคตที่ดีตามที่ฝันไว้
แต่จริงๆ ก็ไม่ใช่เพียงแค่เด็กยากจนเท่านั้น ที่จะสามารถเข้ามาเรียนได้ เด็กทั่วไปก็สามารถมาเลยได้ ขอเพียงแค่มีความประพฤติดี ขยัน อดทน และมีความฝัน
“จริงๆ ผมเคยเป็นตำรวจมาก่อน ก็จริงๆ เห็นคนยากจนมาเยอะครับ แล้วก็อยากช่วย โดยเฉพาะคนเร่ร่อน ปกติเราไปตรวจในท้องที่ ที่ทำงานที่แรกของผมก็คือ สน.ชนะสงคราม ก็คือพื้นที่สนามหลวง ถนนข้าวสาร ก็จะเจอคนเร่ร่อนเยอะครับ ก็อยากช่วยนะครับ แต่ช่วยไม่ได้ บางทีเราช่วยได้แค่เอาอาหารไปให้ แล้วก็ให้เงิน
แต่ว่ามันก็ไม่ได้ช่วยเปลี่ยนชีวิต แต่ผมคิดว่า ทางเดียวที่ลงทุนน้อยที่สุด แล้วก็ยั่งยืน มีผลระยะยาวที่สุด ก็คือ เรื่องของการช่วยเหลือตั้งแต่ต้นเหตุ ต้นเหตุของเรื่องนี้ก็คือ การศึกษา
ผมคิดว่าถ้าเกิดว่าทางผู้ใหญ่ หรือผู้ปกครองไม่ว่าจะเป็นคุณพ่อคุณแม่ คุณปู่คุณย่า คงไม่ต้องมาหางานทำที่กรุงเทพฯ หรือว่าไม่เป็นคนเร่ร่อน ถ้าเกิดว่าลูกหลานเขามีอาชีพที่ดี แล้วก็ดูแลพ่อแม่ได้ ก็เลยเริ่มต้นที่ลูกหลานมากกว่า เริ่มต้นที่เด็กครับ คิดว่ามีทางเดียวที่จะช่วยได้ง่าย แล้วก็ลงทุนน้อยที่สุด ก็คือในเรื่องของการศึกษาครับ
จริงๆ ผมก็เป็นเด็กตามชนบทนะครับ ถึงแม้ว่าพ่อแม่จะเป็นข้าราชการ ก็คือคุณพ่อรับราชการทหาร แต่ว่าเป็นทหารชั้นผู้น้อยนะครับ ยศจ่าสิบเอก แล้วก็ early ออกมาที่ร้อยตรี คุณแม่ก็เป็นคุณครู สอนที่โรงเรียนแถวบ้านครับ ตามชนบท เพราะฉะนั้นก็จะเห็นเด็กกลุ่มพวกนี้อยู่แล้วตั้งแต่สมัยเด็กๆ จนถึงการสอบติดเตรียมทหาร หรือว่าเป็นนักเรียนนายร้อย ก็มีโอกาสสัมผัสปัญหาชุมชนด้วย มันมีในหลักสูตรในโรงเรียนนายร้อยตำรวจด้วย แล้วก็จริงๆ เรื่องพวกนี้ ก็อยู่ในหัวตั้งแต่สมัยเป็นนักเรียนแล้วนะครับ ก็ตั้งใจว่าถ้าจบมา ก็อยากจะทำอะไรสักอย่าง”
ผู้กองมิ้น เริ่มรับราชการมาตั้งแต่ปี 2555 โดยประจำอยู่ที่ สน. ชนะสงคราม กรุงเทพฯ จนถึงปี 2559 ก็ได้มีโอกาสย้ายมาที่ จ.บุรีรัมย์ บ้านเกิด
และจุดเริ่มต้นการทำประโยชน์เพื่อสังคมครั้งยิ่งใหญ่นี้ จริงๆ ก็มาจากการที่ได้ลงพื้นที่ไปทำคดี แล้วไปเจอกับเด็กคนนึงที่ชื่อว่าน้องเต้ ที่บ้านอยู่ในชนบท จึงเกิดเป็นแรงบันดาลใจสำคัญ อยากช่วยเหลือ รับมาอุปการะ
“ก็เริ่มทำตั้งแต่ที่ผมย้ายมาบุรีรัมย์ครับ ก็ตั้งใจว่าจะเริ่มทำที่นี่ พอดีว่า ไปทำคดีแล้วไปเจอเด็กคนนึงอยู่ชนบทนะครับ อยู่ใน อ.เมือง แต่ว่าเขาอยู่นอกเมืองไปหน่อย ก็จะเป็นเกี่ยวกับคดีนะครับ แล้วพอดีได้ไปคุยกับครอบครัวเขา มีลูกอยู่ 2 คน ลูกคนโตก็อยู่ประมาณ ม. 5 นั่นเป็นเด็กคนแรกของบ้าน ก็เลยรับมาดูแล
ตอนนั้นยังไม่มีโต๊ะเรียน ยังไม่มีอะไรนะครับ ก็เริ่มสอนจากหนังสือเล่มเดียว แล้วก็นั่งเรียนกับพื้น ไม่ได้มีไวท์บอร์ด แต่ว่าตอนนี้เขาก็เป็นตำรวจไปแล้วนะครับ ก็เด็กคนแรกของบ้าน
พอมีเด็กคนแรก เด็กคนอื่นก็ค่อยๆ ตามมา ก็เราประกาศทางเฟซบุ๊ก ก็ค่อยๆ ตามมา ตอนปีแรก มีประมาณ 5-6 คนครับ
กรณีของน้องเต้เนี่ย มาช่วงแค่ปิดเทอม ทุกช่วงเลย ช่วงปิดเทอมใหญ่ ปิดเทอมเล็ก จนกระทั่งเขาจบ ม. 6 พอจบ ม. 6 ก็ดูแลเขาตลอดทั้งปี จนถึงเวลาที่ต้องลงสนามสอบนายสิบตำรวจ ก็ได้ตั้งแต่ปีแรก”
เชื่อว่าการศึกษาเปลี่ยนสังคมได้
การที่ตัดสินใจลาออกจากราชการ ที่เป็นอาชีพที่มั่นคงแบบนี้ นอกจากแรงบันดาลใจ ที่มองเห็นความเหลื่อมล้ำในระบบการศึกษาแล้ว เพราะผู้กองมิ้นเชื่อว่า การศึกษาจะเปลี่ยนสังคมได้
“ผมพูดชัดเจน ก่อนหน้านี้ตั้งแต่ปี 2560 ตั้งแต่ก่อนลาออก ผมพูดชัดเจนว่าผมอยากเปลี่ยนสังคม ตัวผมเองจบโรงเรียนนายร้อยมา โรงเรียนเตรียมทหารมา หลายๆ คนน่าจะรู้จักอยู่ ความเหลื่อมล้ำมันเกิดจากตรงไหน แรงบันดาลใจมันเกิดจากตรงที่ว่า มันไม่มีใครทำแบบจริงจัง ต้องบอกว่ามันมี แต่สถาบันที่ค่าใช้จ่ายมันสูง แล้วคราวนี้คนที่จะเข้าโรงเรียนเตรียมทหาร หรือโรงเรียนนายร้อยได้ มันเลยกลายเป็นว่า ส่วนใหญ่คนที่ได้เปรียบ คือคนที่มีเงิน บางที่ติวเป็นแสน บางที่ติวเกือบล้าน มันแพงเกินนะครับ
ต่อให้เด็กยากจนพวกนี้ขายที่ขายทาง ขายวัว ขายควายไปเรียน ต่อให้กำเงินเป็นแสนไปเรียน หรือยังไม่มีใครบอกเลยว่าถ้าพื้นฐานเขาไม่ดี 1 ปีเขาไม่ทัน เสียเงินเปล่า แล้วก็แทบจะไม่มีที่ไหนที่จะลดค่าใช้จ่ายให้กับเด็กกลุ่มนี้ เพราะฉะนั้นตัวผมเอง จบโรงเรียนเตรียมทหาร โรงเรียนนายร้อย ตัวผมเองก็รักโรงเรียนนะครับ อยากให้โรงเรียนได้บุคลากรที่มีคุณภาพ เพราะฉะนั้นผมคิดว่ามันไม่มีใครทำ
ผมอยากจะทำให้เด็กได้เรียนฟรี แล้วก็อยากจะส่งเสริมเด็กดีๆ เข้าโรงเรียนเตรียมทหาร ถ้าเด็กคนไหนไม่ดี ต่อให้ให้เงินมาเท่าไหร่ผมก็ไม่รับ อยากจะส่งเสริมให้เด็กชนบท เด็กระดับรากหญ้า เขาสามารถมีความรู้ไปแข่งขันกับสถาบัน หรือว่าโรงเรียนดังๆ โรงเรียนที่ค่าใช้จ่ายแพงๆ แล้วก็มีพื้นฐานวิชาการที่ดีมากๆ ถ้าเกิดว่าเราสามารถทำให้เขาไปแข่งขันได้ มันจะทำให้ตัวเลือกในโรงเรียนเตรียมทหาร โรงเรียนนายร้อย มันมากขึ้น เขาจะมีตัวเลือก เขาจะได้เด็กที่มาจากความยากลำบากจริงๆ
เด็กที่ถึงแม้พื้นฐานเขาจะไม่ดี แต่เขาเข้ามาได้ด้วยความพยายามของเขาจริงๆ บวกกับผมคิดว่า ถึงแม้ว่าผมจะส่งเขาเข้าไป สมมติผมส่งเข้าไปได้ 100 คน ผมไม่ได้มั่นใจว่าเด็กจะดีทุกคน แต่ผมมั่นใจว่า อย่างน้อยเด็กพวกนี้ ส่วนใหญ่ก็ค่อนข้างดี
ผมไม่ได้ดูแค่เรื่องของการเรียน ผมดูเรื่องของพฤติกรรม ผมจะบอกเด็กที่นี่ว่า ถ้าใครพฤติกรรมไม่ดี ผมไม่ส่งเสริม ผมต้องการส่งเด็กดีๆ เข้าโรงเรียนเตรียมทหารให้มากที่สุด ถ้าใครไม่เหมาะสมก็จะไม่สนับสนุน เพราะฉะนั้นแรงบันดาลใจตรงนี้ก็อาจจะเกิดจากที่เราเห็นปัญหา แต่มันไม่มีใครแก้ปัญหาอย่างจริงจัง”
ผู้กองมิ้นยังบอกอีกว่า แม้จะเติบโตมาในครอบครัวข้าราชการ ที่มีพ่อเป็นทหาร แม่เป็นครู และตัวเองกับพี่ชาย ก็ยังเป็นตำรวจด้วย ก็ไม่ได้เติบโตมาอย่างสุขสบาย เหมือนที่หลายๆ คนอาจจะเข้าใจ ดังนั้น จึงทำให้มองเห็นความลำบากของเด็กๆ ยากจนเหล่านั้นด้วยเช่นกัน เพราะตัวเองก็เติบโตอย่างลำบากมาก่อน
“ตัวผมเองเป็นลูกค้าราชการก็จริง แต่ผมอยู่แบบลำบาก เพราะว่าเป็นข้าราชการชั้นผู้น้อย อยู่แบบลำบากมาก เพราะฉะนั้นถ้าเกิดว่าเราส่งเด็กพวกนี้เข้าไปในโรงเรียนที่ผลิตผู้นำ ก็บอกว่าไม่ใช่โรงเรียนที่ผลิตผู้นำก็ไม่ได้ เพราะว่าเขาจบออกมา เขาต้องเป็นผู้นำ อย่างน้อยก็นำชั้นประทวน ก็คือเป็นระดับสัญญาบัตร ที่ต้องปกครองดูแลผู้ใต้บังคับบัญชาที่เป็นชั้นประทวน
ถ้าใครไม่ได้เคยผ่านความยากลำบาก ก็อาจจะไม่เข้าใจตรงนี้ ผมคิดว่า แค่คนเดียวอย่างน้อยก็เปลี่ยนแปลงได้ ผมก็จบโรงเรียนนายร้อยมา เราเข้าใจ ตัวเราเองยังทำได้ขนาดนี้ ผมก็บอกกับน้องๆ ว่า ตัวพี่เองยังทำได้ขนาดนี้ ถ้าเกิดน้องๆ ช่วยกัน มันน่าจะเปลี่ยนแปลงได้เยอะกว่านี้ครับ”
เพราะฉะนั้น ผู้กองมิ้นจึงมองว่า การให้โอกาสเป็นสิ่งที่สำคัญมาก โดยเฉพาะการให้โอกาสทางการศึกษา
สอนฟรี ส่งเสียอุปการะเด็กยากจน
หลายคนอาจจะสงสัยว่า ผู้กองมิ้น มีรายได้จากไหน มาจุนเจือให้กับเด็กๆ เหล่านี้ได้เรียนฟรี เพราะในตอนนี้ ก็ไม่ได้มีรายได้จากอาชีพตำรวจแล้ว
“ประเด็นนี้น่าจะมีคนสงสัยพอสมควรใช่ไหมครับ เพราะตอนแรกผมดูแลเด็กยากจนอยู่แค่ประมาณหลัก 10 คน ประมาณแค่ไม่ถึง 10 คน ตอนแรกรับจ้างเข้าเวร ตอนนั้นยังเป็นตำรวจอยู่ เพราะว่าค่าใช้จ่าย ค่าเช่าตึก ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่ากินอยู่ด้วย ก็คือเด็กไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใช่ไหมครับ ช่วงแรกเราเน้นรับเด็กยากจนมา แต่ต้องพฤติกรรมดีนะครับ ยากจน พฤติกรรมดี ตั้งใจเรียน 3 อย่าง
ถามว่าคอร์สแรกมีไหม ที่คนมาขอเรียน แล้วเขาช่วยเรื่องค่าใช้จ่าย ก็มีเหมือนกัน ก็มี 3 พันบาท ต่อเดือนนะครับ ปิดเทอมนึง 3 พัน 5 พันก็มี แต่ว่าหลักๆ ส่วนใหญ่ 80% ก็เป็นเด็กที่ไม่ได้เสียค่าใช้จ่ายช่วงแรก
แล้วคราวนี้รายได้ ได้มาจากไหน ก็ต้องรับจ้างเข้าเวร แล้วมันก็ไม่ไหว เพราะว่าเวลารับจ้างเข้าเวร ตำรวจเข้าเวร 24 ชั่วโมง มันอาจจะดูเหมือนไม่ค่อยเหมาะสมนะครับ แต่ว่ามันก็จำเป็น แล้วคราวนี้ด้วยความที่เป็นพนักงานสอบสวน การรับจ้างเข้าเวร หรือว่าเข้าเวรแทนคนอื่นเยอะๆ ภาระงานมันจะเยอะขึ้น กลายเป็นว่างานหลวงไม่ดี แล้วก็งานดูแลเด็กก็ได้แค่เงินมาดูแลเด็ก แต่เราก็จะไม่ค่อยมีเวลาเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นช่วงแรกก็จะดูแลเด็กได้จำนวนนึง หลังจากนั้นพอผลการสอบเขาเริ่มดี
ช่วงหลังก็จะมีกำลังจากผู้ปกครองที่ช่วยค่าใช้จ่าย แต่เราบอกทุกคนว่า ผมตั้งใจมาทำบ้านหลังนี้ เพื่อช่วยกลุ่มผู้ปกครองที่อยู่ในระดับรากหญ้า เพราะว่าราคาของการติวสอบเตรียมทหาร หรือว่านายร้อย หรือไม่ใช่แค่นายร้อย นายสิบก็ค่อนข้างแพง แพงมากๆ อยู่ในระดับที่เดือนนึงก็ 2-3 หมื่น อย่างต่ำก็หมื่นกว่า
แต่ผู้ปกครองที่มาช่วยเนี่ย เขาช่วยหลักพัน แล้วเราก็จะดูเกณฑ์ฐานะผู้ปกครองว่า ถ้าผู้ปกครองบางคนลำบากก็ช่วยเดือนละพันนึง พันห้า 2 พัน 2 พันห้า 3 พัน อะไรอย่างนี้ครับ ก็ได้กำลังจากพวกนี้มาช่วยเด็กยากจนได้มากขึ้น
ทุกวันนี้เราก็ช่วยเด็กยากจนที่เรียนดีก็ประมาณ 40 กว่าคนครับ ใช่ครับเด็กฟรีก็ 40 กว่าคนเลย เราเปิดรับทุกปีครับประมาณ 30-40 คน ปีนี้ก็จะเปิดรับอีก 40 คน แล้วก็จะรวมกับเด็กเก่าที่ยังอยู่ต่ออีกประมาณ 20 คน ที่ยังตกค้าง ที่ยังไม่ถึงเวลาสอบ หรือว่าอาจจะมีการสอบ แล้วยังพลาด เพราะฉะนั้นปีหน้าก็อาจจะมีอยู่ประมาณ 60 คน ที่เป็นเด็กที่เรียนฟรีครับ
จริงๆ เรากำหนดขั้นสูง ปกติรวมค่าใช้จ่ายกินอยู่ ที่อื่นจะอยู่หลักหมื่น แต่เราบอกว่า เราช่วยกลุ่มผู้ปกครองที่อยู่ในระดับรากหญ้า ให้มีโอกาสทางการศึกษาเด็กที่เท่าเทียมขึ้น ได้ของดีราคาถูก เราก็มีการตั้งเกณฑ์ราคา สูงสุดของเราก็คือ 6,500 บาท
ถ้าเด็กที่มาอยู่ระยะยาวกับเรามากกว่า 1 ปี เขาก็ให้เราที่ 5,500 บาท อันนี้คือสูงสุดนะครับ เพราะฉะนั้นถ้าเกิดผู้ปกครองที่เป็นพ่อค้า แม่ขายมา เราก็จะถามว่า ผู้ปกครองไหวไหม ถ้าผู้ปกครองไม่ไหว ผู้ปกครองไหวที่ราคาเท่าไหร่ ที่ไม่ทำให้ลำบากนะครับ อย่างบางเคสก็อยู่ที่ 5,000 ก็มี 2,000 บาท ก็มี เพราะฉะนั้นเราก็ตอบไม่ได้ว่าแต่ละคนเท่ากัน แต่ไม่เกินนี้แน่ๆ ซึ่งค่าใช้จ่ายตรงนี้มันรวมกินอยู่นอนด้วย ซึ่งผู้ปกครองก็เข้าใจ ว่านี่คือเราช่วยได้เต็มที่เท่านี้
อย่างเช่นเด็กฟรีของเราที่อยู่ประมาณ 40 คน ค่าใช้จ่ายเฉพาะกลุ่มนี้ ก็เดือนละเป็นแสน แล้วพอจำนวนเด็กอยู่กันเยอะๆ เราก็มีเรื่องค่าเช่าตึกด้วย เราไม่ได้มีที่ของตัวเอง ค่าเช่าตึกก็ตกเดือนละ 7 หมื่นกว่า ค่อนข้างเยอะ”
สำหรับบ้านสร้างฝันแห่งนี้ ก็รับสอนเด็กๆ ตั้งแต่ชั้น ม.1 ไปจนถึง ม. 6 ที่ไม่อายุไม่เกิน 25 ปี และส่วนใหญ่ก็จะเป็นเด็กที่มีความฝันเป็นข้าราชการ ทหาร ตำรวจ รวมถึงแพทย์ วิศวะ ก็มีติวให้ด้วยเช่นกัน ขอแค่มีความฝัน
“จริงๆ ส่วนใหญ่เป็นทหารตำรวจครับ แต่ว่าเราตั้งที่นี่ว่าเป็นบ้านสร้างฝัน ก็ตามความฝันของเด็กนะครับ ถ้าเด็กอยากเป็นแพทย์ เนื้อหาที่ติวมันก็คล้ายๆ นายร้อยนะครับ แต่ว่ามันต้องต่อยอดของ ม. 5 ม. 6 ไปอีก เพราะฉะนั้นถ้าเกิดพื้นฐานดีในระดับนายร้อย ก็สามารถสอบแพทย์ได้ ก็มีกลุ่มที่จะสอบแพทย์ แล้วก็มีกลุ่มที่จะสอบทหารตำรวจ แล้วก็วิศวะ
เด็กที่จะสอบแพทย์ส่วนใหญ่ก็จะเป็นผู้หญิง แล้วเด็กส่วนใหญ่ ก็จะเป็นเด็กที่ผมส่งเรียนด้วย ส่งเรียนหมายความว่าเราจะให้ค่าใช้จ่าย จ่ายค่าเทอมให้ ให้ค่าใช้จ่ายในการไปโรงเรียน ปกติผมจะให้เขาใช้เดือนละ 2 พัน ใช้ซื้อขนม ใช้ไปโรงเรียน อุปกรณ์การเรียนก็อาจจะแยกต่างหาก
ก็จะมีเด็กกลุ่มที่มาเรียนฟรีประมาณ 40 คน แล้วก็จะมีเด็กกลุ่มที่เรียนฟรีด้วย แล้วผมส่งเรียนด้วย ก็อย่างเช่นน้องต้นกล้า สอบติดเตรียมทหารไปแล้ว ผมก็ยังดูแลค่าใช้จ่าย น้องฟลุ๊คจริงๆ ผมก็ต้องดูแลค่าใช้จ่าย แต่ว่าพอดีเขาได้ทุนระหว่างเรียน ก็เลยไม่ได้ดูแลค่าใช้จ่าย แล้วก็มีเด็กที่เรียนมหา’ลัยด้วย 2 คนที่เราส่งค่าใช้จ่ายให้ทุกเดือน มีพักอยู่ในบ้านคนนึงก็มีเรียนมหา’ลัย เรียนครู จ่ายค่าเทอมให้ จ่ายให้ทุกอย่างครับ ก็เป็นเหมือนผู้ปกครองเลย”
และส่วนใหญ่ ผู้กองมิ้น จะเป็นคนติวให้กับเด็กๆ เอง โดยเฉพาะวิชาคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ แล้วก็กฏหมาย ส่วนวิชาอื่นก็จะมีคุณครูท่านอื่น แล้วก็มีครูอาสาท่านอื่นมาช่วยสอนด้วย และยังมีจ้างคุณครูมาสอนภาษากฤษให้กับเด็กๆ โดยเฉพาะ เพราะผู้กองมิ้นบอกว่า ตัวเองไม่ค่อยถนัด จึงจ้างครูมาสอน เพราะอยากให้เด็กๆ ได้ความรู้อย่างเต็มเปี่ยม
ส่วนวิธีคัดเลือกเด็กๆ ที่จะเข้ามาเรียนในบ้านแห่งนี้นั้น ผู้กองมิ้นบอกว่า นอกจากตั้งใจและใฝ่ดีแล้ว ที่สำคัญห้ามมีเรื่องสิ่งเสพติดเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
“มีเด็กที่ต้องถูกออกระหว่างทางด้วย ถ้ามีเรื่องสิ่งเสพติดผมเอาออกเลย ถ้ามีเรื่องลักขโมยผมก็เอาออก เรื่องการพนัน เรื่องทะเลาะวิวาท เรื่องชู้สาวที่นี่จะมีผู้หญิงด้วย เพราะฉะนั้นที่นี่ก็เลยค่อนข้างจะเป็นระเบียบ เพราะผมเด็ดขาด ตกลงกับผู้ปกครองว่าห้ามทำเรื่องพวกนี้ อาจจะให้โอกาสในบางกรณี แต่ถ้ามันเลวร้ายเกินไปก็ต้องให้ออก เพราะฉะนั้นการดูแลระบบตรงนี้ ที่นี่สอนให้เด็กลำบากนะครับ
การที่เด็กจะประสบความสำเร็จไม่ใช่ไปอัดๆ ให้เขาเรียน อัดๆ ให้เขาเรียน แต่เขาไม่มีความรับผิดชอบ เขาไปนั่งเรียนเฉยๆ เขาไม่เอาความรู้เข้าไป เพราะฉะนั้นก็ช่วยอะไรไม่ได้ แต่เด็กที่นี่ สิ่งที่ทำให้เด็กประสบความสำเร็จก็คือ เด็กมีความรับผิดชอบ เมื่อเด็กมีความรับผิดชอบส่วนรวม รู้จักเสียสละ รู้จักทำเพื่อส่วนรวม เขาเหนื่อยเพื่อส่วนรวมได้ เขาจะเหนื่อยเพื่อส่วนตัวได้
เด็กที่ไม่เคยทำอะไรเลย ไม่เคยทำความสะอาดบ้าน ไม่เคยทำกับข้าว ไม่เคยล้างจาน ไม่เคยซักผ้า ถามว่าเวลาเรียน เขาจดไหม เขาไม่จดเหรอกครับ เขาก็นั่งเรียนไปอย่างนั้นแหละครับ แต่เด็กของผม เขาจด เขายอมเหนื่อยได้ เพราะเขาเหนื่อยเพื่อคนอื่นได้ เหนื่อยเพื่อตัวเอง เขาก็ทำงานได้ เพราะฉะนั้นจุดเริ่มต้นต้องอยู่ที่ความรับผิดชอบของเด็ก ถ้าเด็กมีความรับผิดชอบ เด็กจะเรียนได้ดี ต่อให้คุณมารูปแบบไหน คุณมาพื้นฐานแย่ขนาดไหน คุณก็ประสบความสำเร็จได้”
คนหาว่า “บ้า-สร้างภาพ” ก็ไม่สน
แม้สิ่งที่ผู้กองทำ หลายคนอาจจะมองว่า เป็นสิ่งที่ดี และมีประโยชน์ต่อประเทศชาติมาก แต่ก็ยังมีอีกบางกลุ่ม ที่มองว่า สิ่งที่ผู้กองมิ้นกำลังทำอยู่ตอนนี้ เป็นการสร้างภาพ ซึ่งผู้กองมิ้น ก็มองว่า ตลอดระยะเวลา 7 ปี ที่ทำมา น่าจะทำให้หลายๆ คนเข้าใจได้แล้วว่า สิ่งที่กำลังทุ่มเททำอยู่นี้ ไม่ใช่เป็นการสร้างภาพ เพราะความสำเร็จของเด็กๆ หลายๆ คน น่าจะตอบคำถามนี้ได้เป็นอย่างดี
“ผมเชื่อว่า มีคนคิดว่าผมสร้างภาพ แล้วผมก็ไม่เคยเปิดเรื่องแนวทางที่ผมทำ เดี๋ยวคนมาถามว่าผู้กองเอาเงินมาจากไหน ผมไม่ตอบนะครับ เพราะตอบไปก็มีประเด็น ผมก็พูดจริงๆ นะครับว่า บางคนก็บอกว่าผมสร้างภาพ ผมเคยโพสต์รับสมัครคุณครู มีคนแชร์แล้วก็มีคนมาคอมเมนต์ว่า ธาตุแท้เริ่มออกแล้ว ผมถามจริงๆ คือจะให้ผมสอนถึงตี 1 ตี 2 เหรอครับ ช่วงนี้ช่วงใกล้สอบ ผมสอนถึงตี 1 ตี 2 ทุกวัน
แล้วผมทำแบบนี้มา 7 ปี แทบจะไม่มีวันหยุดเลยสอน จันทร์-เสาร์ แล้ววันอาทิตย์ก็ต้องไปสอนว่ายน้ำเด็ก หรือพาเด็กไปทำนั่นทำนี่ จนแทบไม่มีวันหยุด น้องๆ รู้ครับ แต่คนที่ด่าผมเขาไม่รู้หรอก ถามว่าอยากให้น้องๆ ประสบความสำเร็จอยากให้น้องๆ มีการศึกษาที่ดี แต่จะให้ผมมานั่งสอนคนเดียวภาษาอังกฤษ ผมก็พอได้ภาษาอังกฤษบ้าง แต่ไม่สามารถสอนให้เด็กประสบความสำเร็จได้
เราก็ต้องจ้างครูสอนภาษาอังกฤษ คอมพิวเตอร์เราสอนไม่ได้ เราก็ต้องจ้างครูคอมพิวเตอร์ แล้วคนที่ช่วยค่าใช้จ่ายผมคือใครก็คือร้าน MJ SPORT ก็คือน้าช่วย เราไม่ได้เอาเงินบริจาคจากไหนมา ต่อให้เป็นเงินบริจาคแล้วเอามาช่วยจ้างคุณครูแล้วมาสอนเด็กมันก็เป็นสิ่งที่ควรทำ
ถ้าอยากเข้าใจผม ลองเอาเด็ก 1 คน ไปดูแล แล้วอย่าแค่ดูแลให้เขามีกิน มีอยู่ แค่เรียนจบนะครับ ขอให้เขาประสบความสำเร็จด้วย จะได้เข้าใจว่ามันยากขนาดไหน
คนที่มีลูกถึงจะเข้าใจว่าการเลี้ยงลูกคนนึงให้ดี แค่ดีก็ยากแล้ว ต้องดีแล้วก็ประสบความสำเร็จด้วย อันนี้ก็ยิ่งยากกว่า ถ้าใครจะด่าผมก็ด่าได้เลยครับ ถ้าด่าผม ผมก็จะช่วยให้มากขึ้นไปอีก แล้วตั้งใจแล้วว่าจะช่วยให้ถึงหลัก 500 คน หมายถึงเด็กเรียนฟรีนะครับ วันนี้อาจจะยังช่วยไม่ได้ แต่วันข้างหน้าอาจจะช่วยได้ ผมตั้งเป้าสูงตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เพราะว่าหลายคนอาจจะคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ แต่ผมคิดมาตลอดครับว่าเป็นไปได้
ก็มีหลายคนโทรมาปรึกษาผมว่า อยากเป็นอย่างผู้กอง อยากทำอย่างผู้กอง มีทางลัดไหมครับ ผู้กองมีทางลัดไหมครับ ที่จะประสบความสำเร็จเหมือนผู้กอง ผมเป็นอะไรอ่ะ ผมไม่ได้เป็นอะไร ยศถาบรรดาศักดิ์ก็ไม่มี ผมบอกเด็กว่าผมไม่ต้องการให้ใครมาชื่นชมผมนะครับ ผมต้องการให้เด็กประสบความสำเร็จ
เพราะฉะนั้นหลายคนในที่นี้ จะรู้ว่าผมไม่ค่อยออกหน้าเท่าไหร่ ทำอะไรหลายๆ อย่างไม่ค่อยออกหน้า แต่ต้องออกกล้อง ลงเพจ เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้กับเด็กคนอื่น ให้เชื่อว่าเด็กกลุ่มนี้อยู่กับเรา แล้วเราช่วยให้ประสบความสำเร็จได้ เขาจะได้เข้ามาหาเรา ถ้าเขาไม่มีความเชื่อมั่นในตัวเรา เขาจะไม่มาหาเราแน่ๆ
อยากจะบอกกับสังคมนะครับ หลายๆ คนโทรมาบอกอยากจะทำแบบผม แต่ของผมมันไม่มีทางลัด ผมทำมา 7 ปี มันรับไม่ง่ายเลยครับ ถ้าคุณมองหาแต่ทางลัด มันจะไม่ประสบความสำเร็จหรอกครับ แต่คนที่ประสบความสำเร็จเขาไม่ได้มองหาทางลัด เขาค่อยๆ ทำไป ปรับปรุง พัฒนาให้มีคุณภาพ แล้วก็รักษามาตรฐาน ให้มันดีขึ้นๆ ไปอีก
ต่อให้ผมมองย้อนกลับไปผมก็ไม่เดินทางลัดนะครับ ผมพูดจริงๆ นะครับ ผมทำโดยที่ผมไม่ได้รวยเลย แต่ผมมีวิธีการ แล้วก็ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน แล้วก็ไม่ได้คิดจะรับเงินบริจาค เราสู้กับน้ามา จนมาถึงทุกวันนี้ นี่คือแนวทางของเรา ถ้ารอเวลา ถ้ารอความพร้อม มันไม่มีทางพร้อมหรอกครับ ต่อให้พร้อมในวันนั้นแล้วก็อาจจะลืมความตั้งใจในวันนี้ก็ได้ ถ้าวันนี้ตั้งใจ ก็เริ่มทำมัน จะมากหรือจะน้อยก็ขอให้เริ่มทำมัน”
นอกจากนี้ ผู้กองมิ้น ยังบอกอีกว่า นอกจากที่หลายคนอาจจะมองว่า การทำแบบนี้ เป็นการสร้างภาพแล้ว ตอนที่ตัดสินใจลาออกจากราชการ ยังมีหลายคนบอกอีกว่าทำไมโง่ และบ้า
“บางคนก็ตอนผมลาออก เขาก็บอกว่าบ้าบ้าง โง่บ้างก็มี ก็ได้ยินมา โดยเฉพาะว่าบ้า ผมก็บอกน้องๆ ว่าไม่เป็นไรหรอก คนอื่นจะบอกว่าพี่บ้า พวกเราไม่ได้ว่าพี่บ้านิ พวกเรารักพี่ อันนี้ก็ยอมได้ ต่อให้เขาว่าบ้ายังไง ผมก็ทำให้เห็นแล้วว่า วันนี้ผมไม่ได้เป็นคนบ้านะ เพียงแต่ว่าเรามองไปไกลว่าเราไม่ได้อยากช่วยเด็กเพียงแค่ 1 หรือ 2 คน เราอยากช่วยเด็กให้มากที่สุดเท่าที่ความสามารถเราจะทำ
แล้วก็ไม่รู้ว่าจะมีกำลังช่วยไปได้อีกกี่ปี วันนึงเจ็บป่วยก็ไม่รู้ว่าใครจะมาทำตรงนี้ต่อ เพราะฉะนั้นต้องพยายามช่วยเด็กให้มากที่สุด เพราะคิดว่า วันนึงเราเจ็บป่วยหรือว่าวันนึงเราทำตรงนี้ไม่ไหวแล้ว อย่างน้อยก็มีตัวเลือกเด็กมากขึ้นที่เขาจะมีโอกาสที่จะมาทำตรงนี้ต่อจากเรา มรดกตรงนี้มันเป็นเหมือนมรดกที่ให้น้องๆ กับ บ้านสร้างฝันทุกคน ไม่ได้ให้กับครอบครัว”
ถ้าทำควบคู่อาชีพตำรวจ ก็ไม่สามารถเปลี่ยนชีวิตเด็กได้
หลายคนอาจจะสงสัยว่า ทำไมผู้กองมิ้น ไม่ทำหน้าที่สอนเด็กๆ ควบคู่ไปกับอาชีพตำรวจ แต่ผู้กองมิ้นก็ให้เหตุผลว่า ทำแบบนั้น ไม่สามารถเปลี่ยนชีวิตเด็กได้
จากที่ก่อนหน้านี้จะใช้เวลาที่ว่างจากการทำหน้าที่ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์มาสอนหนังสือให้แก่เด็กๆ เท่านั้น แต่เด็กที่มาเรียนหรือติวในช่วงที่ผ่านมามีผลการเรียนที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ที่สำคัญนอกจากผลการเรียนจะดีขึ้น สิ่งที่ภาคภูมิใจคือ เด็กที่ขาดโอกาสเหล่านี้มีระเบียบวินัยและความรับผิดชอบมากขึ้นด้วย
“ไม่ได้หรอกครับ ทำแบบนั้นไม่สามารถเปลี่ยนชีวิตเด็กได้ มันก็เหมือนกับมูลนิธิหลายๆ ที่ ทำไปก็แค่ประคองชีวิตเด็ก แต่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงชีวิต มีมูลนิธิบางมูลนิธิให้ผมไปคุย ผมถามจริงๆ การที่รับเด็กมาดูแลหรือส่งเด็กให้ไปอยู่กับครอบครัวที่เราไม่รู้ว่าดีหรือไม่ดี ผมถามจริงว่าช่วยเด็กหรือฆ่าเด็ก เอาคำตอบจริงๆ ของเขานะ เขาบอกว่า เหมือนฆ่าเด็กเลย แต่มันไม่ใช่แนวทางของพี่เขาคิด แต่มันเป็นแนวทางของผู้ใหญ่ที่เขาคิด
เพราะเด็กของผมอยู่กับผมเนี่ยเกือบ 100% สอบติดกันหมดเลย แต่ตรงนั้นถามว่ามีสักกี่คนที่ประสบความสำเร็จ สอบติดข้าราชการได้ แต่ของเรามาท่องสูตรคูณไม่ได้ ก็สอบติด พื้นฐานแย่ขนาดไหนมา ก็สอบติด ประสบความสำเร็จ แต่ตรงนั้นดูแลใช้ค่าใช้จ่ายสูงมาก แต่ไม่ประสบความสำเร็จ
สิ่งสำคัญในการช่วยเด็กไม่ใช่เงินหรอกครับ มันอยู่ที่ใจมากกว่า มันอยู่ที่ใจ แล้วก็เรื่องเวลา เงินเป็นปัจจัยรอง แต่พอจำนวนเด็กเยอะๆ เงินเป็นปัจจัยที่สำคัญเหมือนกัน
ผมแค่ถามกลับว่า เงินเดือนผม 35,000 บาท ตอนที่ผมลาออก ผมถามว่าผมช่วยเด็กได้กี่คน เอาทั้ง 35,000 บาท ไม่เก็บเงินให้ตัวเองเลยนะผมช่วยเด็กได้กี่คน ผมช่วยเด็กได้ไม่ถึง 20 -30 คนด้วยซ้ำ แต่วันนี้ผมช่วยเด็กร่วมเป็นร้อยๆ คน แถมส่งเด็กเรียนได้ด้วย ผมมองว่าปีนึง ผมทำงานได้เดือนนึง 3 หมื่นกว่าบาทต่อเดือน แล้วปีนึง 3-4 แสนบาท ไม่เหลือให้ตัวเองเลย ดูแลเด็กได้กี่คน ส่งเด็กได้กี่คน สามารถส่งเด็กเรียนมหา’ลัยได้ไหม
ผมดูแล้วมันเดินต่อไม่ได้ครับ มันไม่ยั่งยืน ถ้ามองเรื่องปัจจัยที่บอกว่าเป็นน้ำเลี้ยง ตอนนี้ผมก้าวข้ามตรงนั้นมาแล้ว ตอนนั้นผมพูดอะไรกับใครไม่มีใครเชื่อหรอก เพราะว่ามันไม่ได้จริงๆ แล้วเป็นข้าราชการตำรวจ มาเปิดติวแบบนี้ เขาห้ามทำ จะเดินต่อก็ไม่ได้ ออกสื่อก็ไม่ดีอีก
ลืมไปหรือเปล่า คำว่าเด็กยากจนพวกนี้ พื้นฐานเขาไม่ดี เพราะฉะนั้นเด็กที่บ้านสร้างฝัน ก็เลยค่อนข้างเรียนหนัก แล้วก็ต้องเรียนต่อเนื่องด้วย ถึงจะสามารถแข่งขันกับคนอื่นได้ เด็กของผมไปสอบ 10 คน สอบติดทั้ง 10 คนนะครับ เราก็พอจะตอบได้ว่าแนวทางของเรามันถูกต้องคุณจะเอาแนวทาง หรือคุณจะเอาความสำเร็จของเด็ก เพราะฉะนั้นผมมั่นใจในแนวทางของตัวเอง
มันเหมือนยืน 2 ขา แต่ยืนคนละข้าง คนละฝั่ง ขาข้างนี้ยืนข้างเด็ก ขาข้างนี้ยืนข้างข้าราชการ งานหลวง ปรากฏว่ามันไม่ดีทั้งสองฝั่งเลย งานหลวงก็ไม่ดี เพราะว่าพอรับจ้างเข้าเวร สำนวนมันก็ค้าง มันก็ล่าช้า ประชาชนก็ลำบากไปอีก ในส่วนของงานเด็กก็มีเงินให้เขา แต่ไม่มีเวลาให้เขา ต้องใส่ใจดูแลเขา ถึงจะประสบความสำเร็จ ผมก็เลยบอกผู้กำกับว่า ผมขอเลือกเด็กครับ ผมก็เลยยื่นใบลาออก แกก็พยายามยื้อแหละครับ แต่ผมก็ตัดสินใจชัดเจนแล้ว”
นอกจากนี้ ในฐานะที่เคยเป็นตำรวจ ผู้กองมิ้น ยังช่วยสะท้อน ที่ในตอนนี้ แวดวงตำรวจ ที่ค่อนข้างจะมีเรื่องราวด้านลบๆ ที่ปรากฏต่อหน้าสื่อให้เห็นอยู่บ่อยๆ แต่ผู้กองมิ้นก็เชื่อว่า ยังมีข้าราชการน้ำดีอีกหลายคน ที่อยู่ในแวดวงตำรวจ เพียงแต่สังคม อาจจะยังมองไม่เห็นแค่นั้นเอง
“ทุกคนโตแล้ว น่าจะรู้ว่ามันมีทุกองค์กร คนดีไม่ดี ตำรวจเนี่ยเชื่อไหมครับว่าผมเจอคนดีๆ เยอะแยะมากมาย แต่เขา ไม่ได้มีหน้ามีตาในสังคม สิ่งที่เขาทำดี เขาไม่ต้องมานั่งบอกโพสต์เฟซบุ๊ก ว่าเขาทำดีจริงๆ นะครับ
สิ่งที่ผมทำในตอนนี้ ผมก็ไม่ได้อยากโพสต์เฟซบุ๊ก ว่าผมทำดีอะไร มีหลายอย่างที่ผมทำผมก็ไม่ได้บอก ว่าผมส่งเด็กเรียนนะ ผมสัญญาว่าเด็กจบมาจะเปิดคลินิกให้นะ มีเด็กอยากเป็นสัตวแพทย์ ผมสัญญาว่าผมจะส่งเรียนนะ แล้วก็จบมา ผมสัญญาว่าผมจะเปิดคลินิกให้ แต่ขออย่างเดียวช่วยรักษาหมาจรให้ฟรีหน่อย เพราะไม่ค่อยเห็นที่รักษาหมาจรฟรี ผมก็ช่วยรักษาหมาจรด้วย ช่วยคนด้วย
จริงๆ คนดีๆ มีเยอะอย่างที่ผมทำงานมาก็เจอคนดีๆ แล้วเขาช่วยคนอื่นด้วยนะครับ แต่เขาไม่เคยบอกใคร แล้วก็ไม่มีใครมาสนใจในสิ่งที่เขาทำด้วย ยกเว้นคนที่ได้รับผลประโยชน์ หรือว่าได้รับการช่วยเหลือตรงนี้ แต่ว่าภาพเสียมันกระจายไปง่ายแล้วก็บวกกับภาพลบ ที่บางคนเขาเกลียดตำรวจด้วย
บางคนเขาก็ไม่ได้ชอบตำรวจ แม้กระทั่งตำรวจหลายๆ คนที่ทำดีมาตลอด แต่มีตำรวจบางคนทำไม่ดีที่อยู่ใกล้ชิดกัน เขาก็อาจจะได้รับผลกระทบตรงนี้ไปด้วย เพราะฉะนั้นผมคงไม่มีสิทธิ์พูดอะไรหรอกครับ แค่อยากให้ใช้วิจารณญาณ หรืออย่าเอาอคติส่วนตัวมาใส่ตำรวจ หรือข้าราชการบางคน”
ประทับใจสร้างเด็กให้ประสบความสำเร็จ
ผู้กองมิ้น ช่วยเล่าเคสที่ประทับใจที่สุด ที่ทุ่มเท สร้างเด็กหลาย 100 กว่าชีวิต ให้ฟังว่า ถ้าเป็นเคสประทับใจที่สุด ก็คือลูกศิษย์ที่ชื่อว่า “เป๊าะ” และเคสนี้ผู้กองบอกอีกว่า น่าจะเป็นเคสที่ใกล้เคียงคำว่า สามารถเปลี่ยนแปลงสังคมได้มากที่สุด
“เป๊าะเป็นเด็กที่ขายโดนัทอยู่ที่แยกไฟแดง เป๊าะเนี่ยเป็นเคสที่อยากจะเล่าให้กับอีกหลายคนฟัง คุณน้าของเปาะมาฝากน้องชายของเป๊าะขึ้น ม. 1 แต่ว่าน้องชายยังไม่อยากมาอยู่ แล้วไปเล่าถึงเป๊าะ คือเด็กที่ไปเรียนอยู่โคราช บ้านอยู่ อ.ปะคำ จ.บุรีรัมย์
แม่ไม่มีบ้านต้อง อยู่บ้านของญาติ เป็นบ้านไม้แบบสังกะสีหลังเล็กๆ แล้วเขาไปเรียนที่โคราชไปพักอยู่บ้านญาติ แต่เขาต้องทำงานส่งตัวเองเรียน ก็คือขายโดนัทอยู่แยกไฟแดงที่โคราช น้าเขาบอกว่า เขาอยากไปเป็นนายร้อย จปร.แต่ว่ามีเงินไปสอบแค่เหล่าเดียว ผมก็เลยสนใจเด็กคนนี้ เพราะว่าเขาขยันนะครับ
ทุกวันหยุดเขาจะต้องไปขายโดนัทได้มาวันละ 350 บาท ในระหว่างเรียนด้วย ก็เลยเสนอเขาว่า เอาอย่างนี้ดีไหม ทางคุณน้าไปบอกเป๊าะว่า เดินทางมาเรียนกับผม ถ้าเปาะไม่เรียน เปาะสอบไม่ติดหรอก โอกาสปีสุดท้ายตอนที่เขากำลังจะขึ้น ม.5 ไปบอกเขา ถ้ามาเรียนกับผม ผมให้วันละ 300 บาท แค่มาเรียนหนังสือกับผม แล้วค่าเดินทางผมจะให้แยกต่างหาก
เพราะฉะนั้นถ้าหยุดเสาร์-อาทิตย์ เขาจะได้ 600 บาท บวกกับค่ารถอีก เป็น 700 บาท ตอนแรกน้าไปบอกเขา เขาก็ไม่เชื่อนะครับ เหมือนจะทะเลาะกับน้าเลย ว่ามันมีด้วยเหรอคนแบบนี้ เหมือนจะจ้างไปเรียน ปกติไปเรียนแล้วเสียตังค์ ผมว่าเด็กคนนี้มีความตั้งใจ แล้วก็มีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะเป็นนักเรียนนายร้อย นี่แหละที่ผมจะบอกว่ามันจะเกิดการเปลี่ยนแปลงยังไง เด็กคนนึงก็เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ครับ
เพราะฉะนั้นผมชอบเด็กคนนี้ แล้วเขาตัดสินใจมาช่วงปิดเทอม เราติวช่วงปิดเทอมพื้นฐานเขาดี ภาษาอังกฤษเขาดี แต่คณิตศาสตร์ไม่ดี แต่ผมสอนวิชาคณิตศาสตร์อยู่แล้ว ผมก็เลยเติมคณิตศาสตร์เข้าไป คราวนี้พอเขาเปิดเทอมค่านั่นค่านี่ ผมก็จ่ายให้หลายๆ อย่าง ก็ช่วยเขา แล้วเขามาเรียนเสาร์-อาทิตย์ แล้วก็วันหยุด อย่างเช่น วันหยุดหนึ่งวัน เขาก็มานะครับ ใน 365 วัน มันน่าประทับใจตรงที่ว่า เด็กคนนี้ไม่มีวันหยุดเลย
วันหยุดที่คนอื่นได้พัก ได้เล่น เขาจะเดินทางมาที่บ้านสร้างฝัน เขาเดินทางมา โดยที่เขาได้เงิน โดยที่ไม่ต้องทำงาน แล้วเขามีเงินทุนไปโรงเรียน แล้วก็ได้ความรู้
เขาเดินทางมาถึงอย่างเช่นวันศุกร์ เขาไม่ได้พักนะครับ เขานั่งเรียนจนถึงตีหนึ่งตีสอง แล้วก็ตื่นเช้ามานั่งเรียนต่อ วันเสาร์ เรียนจนถึงเที่ยงคืน ตีหนึ่งตีสอง วันอาทิตย์ก็ตื่นเช้ามาเรียนต่อ นอนวันนึงไม่กี่ชั่วโมง แล้วเขาเรียนจนถึงประมาณ 6 โมงทุ่มนึง เขาก็เดินทางกลับ
ผมถามเขาว่าเดินทางกลับแล้วไปทำอะไรตอบเขาบอกว่าทำการบ้านครับ ผมถามเขาว่า ได้พักบ้างไหมเนี่ย เขาก็บอกว่าก็ไม่ได้พัก แต่ก็ไหวอยู่ครับ กลายเป็นว่าพอประกาศสุดท้ายมา เปาะสอบติดอันดับดีที่สุด
เขาเหมาะสม ที่จะเป็นนักเรียนนายร้อย จปร. สำหรับผม ผมจบโรงเรียนนายร้อยตำรวจนะครับ แต่เหล่าทัพที่ผมชื่นชมมากก็คือเหล่า จปร. ผมคิดว่าเป็นเหล่าทัพที่ค่อนข้างได้รับการยอมรับมากที่สุด สำหรับวงการผู้ชายนะครับ ที่อยากจะเป็นทหาร มันก็ต้องทหารบก เหมือนเขามีแรงผลักดันสูงมาก คนนี้เป็นคนที่ผมชื่นชมมากที่สุดคนนึง จริงๆ มีเยอะครับ”
“น้าแมว” หนึ่งแรงซัพพอร์ตสำคัญ
อีกหนึ่งแรงผลักดัน ผู้ที่อยู่เบื้องหลัง บ้านสร้างฝันแห่งนี้ นั่นก็คือ “น้าแมว-พนิตตา พลหล้า” ผู้ที่เป็นแรงซัพพอร์ตสำคัญ โดยเฉพาะเรื่องค่าใช้จ่าย
“ทุกคนเป็นห่วงเรื่องเงิน แต่ผมมีแต่ผมมีคนนึงที่ช่วยผม ก็คือคุณน้า แต่ไม่ใช่น้าแท้ๆ นะครับ แกเปิดธุรกิจร้านเสื้อครับ MJ sport อยู่ในบุรีรัมย์ครับ น้าเนี่ยคือคนที่อยู่เบื้องหลังมาตลอด คือคนที่ช่วยเหลือผม ช่วยเหลือบ้านสร้างฝัน ทุกวันนี้ก็ช่วยเหลือ ค่าน้ำมัน ดูแลเด็กเดือนละเป็นหมื่น สองหมื่น น้าเป็นคนจ่ายให้
คุณน้าเป็นคนแถวบ้าน ที่ อ.ประโคนชัย รู้จักกับแม่ จริงๆ คุณน้าก็เห็นผมตั้งแต่เด็กแล้วครับ ผมก็นับถือเหมือนแม่คนนึง ท่านช่วยเหลือเด็กมาตลอด แนวทางที่ผมได้ก็มาจากท่านด้วย
ก็ซัพพอร์ตค่าเช่าตึก เพราะว่าช่วงแรกๆ ตอนช่วงที่ผมลาออก ลำบาก น้าก็ช่วยตั้งแต่เรื่องค่าเช่าตึก ค่าน้ำ ค่าไฟ ทุกอย่างครับ แล้วก็เงินที่ช่วยในการดูแลเด็กด้วย แต่ก็มีคนช่วยมาบ้าง แต่ช่วงหลังๆ ไม่มีแล้ว มันเป็นแค่ช่วงที่มีกระแส ช่วงปี 2560-2561
แต่หลังจากนั้นเราต้องย้ายเพราะค่าเช่าที่แพง ย้ายตึกมาอยู่ที่นี่ที่ปัจจุบัน เดือนนึงค่าใช้จ่ายไม่กี่พันต่อเดือนนะครับ ตอนที่ตัดสินใจย้ายมาปี 2561 ครับ ตอนนั้นเราลำบากเรื่องค่าใช้จ่ายด้วย เพราะว่าค่าเช่ามันแพง ค่าเช่าตึกเดือนละหมื่นห้า 2 หมื่น ก็ย้ายมาที่นี่ก็ได้มาเริ่มตั้งต้นใหม่”
และนอกจากน้าแมวแล้ว อีกหนึ่งคนสำคัญของผู้กองมิ้นก็คือ แฟนสาวคนสำคัญ ที่คอยให้กำลังอยู่ข้างๆ มาโดยตลอด ในวันที่ตัดสินใจทำบ้านสร้างฝันแห่งนี้ขึ้นมา
“จริงๆ หลักๆ ก็เป็นผมคนเดียวครับที่ดูเด็ก เพราะว่าแฟนทำงานอยู่ที่ธนาคารออมสินที่โคราช แฟนก็จะมาในช่วงวันเสาร์-อาทิตย์ หรือว่าช่วงพาเด็กไปสอบ เขาก็ช่วยตั้งแต่ตัดสินใจที่จะทำตั้งแต่ตอนแรกเลย
ถามว่าเห็นด้วยไหม อันนี้ผมก็ไม่ทราบว่าเขาจะเห็นด้วยแบบ 100% ไหม แต่เขาไม่ได้คัดค้านเลยครับ เขาเป็นคนที่คอยซัพพอร์ตมาตลอด แล้วเขาก็ไม่ได้รู้สึกเสียดายที่เราออกมาเลย เรารักกันเราก็ไม่ได้รักกันที่ยศถาบรรดาศักดิ์ เรารักกันที่เราเป็นอะไรอย่างนี้ครับ
ทุกคนในตอนแรก น่าจะรู้สึกกังวลว่า ถ้าเกิดว่ามาทำแล้วมันล้มเหลวหรือว่ามันทำไม่ได้จริงๆ ก็จะเดินต่อยังไงอะไรอย่างนี้ครับ แต่ว่าเขาก็พยายามช่วยอย่างเต็มที่ จนมาถึงทุกวันนี้ได้ ส่วนนึงก็คือเขาที่คอยอยู่ข้างๆ ตลอดครับ”
ผู้กองมิ้นเล่าอีกว่า ทางด้านของคุณพ่อคุณแม่เองก็ห้ามตั้งแต่แรก แต่ด้วยความแน่วแน่ ก็ตัดสินใจไปคุยกับที่บ้านในแนวทางที่อยากทำแบบจริงจัง แต่ทุกวันนี้คุณพ่อคุณแม่ก็มีความสุขดี
“ก็ห้ามแหละครับ เพราะตอนตัดสินใจทำ ตอนนั้นตัดสินใจลาออกบอกว่าอยากเป็นครู อยากมาสอนหนังสือ ก็พูดกับคุณพ่อคุณแม่แรงนิดนึง ก็อาจจะมีคำพูดที่สะเทือนใจท่านบ้าง แต่ว่าก็คงบอกไม่ได้
ถามว่าตอนนั้นก็ไม่มีใครเห็นด้วยหรอกครับ ญาติพี่น้องก็ไม่มีใครเห็นด้วย แล้วก็เพื่อนๆ ก็ไม่มีใครเห็นด้วยคนที่รู้ก็โทรมาแต่ผมก็ยังยืนยันคำเดิมว่าผมตัดสินใจถูกแล้วแล้วก็วันนี้ผมก็ตอบ ผมไม่ต้องตอบด้วยคำพูด ก็คงน่าจะเห็นว่าผมตัดสินใจถูก ทุกวันนี้พ่อแม่ก็มีความสุขก็ได้ช่วยเหลือเด็กๆ ด้วย คุณแม่ติดต่อมา ว่าจะทำกับข้าวมาให้เด็ก เขาก็ยังทำกับข้าวมาเลี้ยงเด็กบ่อยๆ ครับ”
[คุณพ่อ-คุณแม่]
แรงบันดาลใจ จากในหลวง ร.๙
“ถ้าบอกว่าคนที่เป็นแรงบันดาลใจให้ผม ก็คือในหลวงรัชกาลที่ ๙ ครับ ก่อนที่จะมีละครช่อง 7 ช่อง 3 สมัยเด็กๆ จะมีพระบรมราโชวาทในหลวง ร.๙ ที่บอกว่า บ้านเมืองเรามีทั้งคนดีและคนไม่ดีปะปนกันไป พระบรมราโชวาทนี้น่าจะมีหลายคนคุ้นหู แล้วก็เคยได้ยิน มีทั้งคนดีและไม่ดีปะปนกันไป แต่ว่าการที่จะทำสังคมให้ดีได้ ก็คือการสนับสนุน หรือส่งเสริมให้คนดีปกครองบ้านเมือง ก็มีในหลวง ร.๙ เป็นแรงบันดาลใจครับ ก็เลยได้ทำตรงนี้ด้วยส่วนนึง” |
สัมภาษณ์ : ทีมข่าว MGR Live
เรื่อง : พัชรินทร์ ชัยสิงห์
ขอบคุณภาพเพิ่มเติม : เฟซบุ๊ก “Apichit Pantaprateep”, แฟนเพจ “บ้านสร้างฝัน
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **