xs
xsm
sm
md
lg

อันตราย คอนเทนต์ล้างสมอง!! หาพวก “หลอกฟัน-แย่งแฟน-ปั่นหัวเพื่อมีบ้านน้อย” #ครูตี๋สอนจีบสาว

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



แห่วิจารณ์ “กล้าคิด กล้าทำได้ยังไง”!! กับคอนเทนต์สอน “3 ขั้นตอนเทรนผู้หญิงยอมให้คุณมีบ้านหลังที่ 2”!! ของ “ครูตี๋สอนจีบสาว” นักจิตวิทยาวิเคราะห์แนวคิดแบบนี้ ทำไมยังมีคนดู?

คิดว่ากล้าแล้ว ทำออกมากล้าเกินควร!!

กลายเป็นกระแสดราม่า เมื่อ “ครูตี๋สอนวิธีจีบสาว”ไลฟ์โค้ชรายนึงได้สอนวิธีจีบหญิง ผ่านช่องทางสื่อออนไลน์อย่าง TikTok ซึ่งก็มีคนติดตามกว่า 5 แสนคน

แต่การสอนกลับเต็มไปด้วยวิธีแปลกๆ อย่าง “รู้แค่นี้หลอกฟันผู้หญิงได้สบายๆ ง่ายนิดเดียว”, “ต้องการแย่งแฟนคนอื่นให้ทำตามนี้”และที่เป็นประเด็นทัวร์ลงมากที่สุดคือ “3 ขั้นตอนเทรนผู้หญิงยอมให้คุณมีบ้านหลังที่ 2(เมียน้อย)”


                                                                                { “ครูตี๋” เจ้าของทริคที่สังคมรุมวิจารณ์ }

โดยขั้นตอนคือ ทำให้ผู้หญิงชินกับความเชื่อว่า ตัวผู้หญิงเองนั้นเป็นฝ่ายผิด งี่เง่า เอาแต่ใจ ผู้ชายเลยต้องไปหาคนอื่น ทั้งที่จริงๆ แล้วผู้ชายเป็นฝ่ายหลอก หลังจากคลิปนี้แชร์ออกไปก็กลายเป็นดราม่าหนักมาก

แม้แต่ “ไอซ์ พาร์ดี้” ไอซ์-ภาวิดา ชิตเดชะบล็อกเกอร์ดังจากช่องยูทูป “icepadie” ยังอดรนทนไม่ไหว ออกมาแสดงความเห็นบน TikTok“@icepadie” พร้อมแคปชันว่า “จะบ้าตายกับคอนเทนต์ที่ไม่มีความรับผิดชอบต่อสังคม เห็นแล้วอึ้ง! อย่าเรียกตัวเองว่าครูค่ะ ขอร้อง”

                                            { "ไอซ์-ภาวิดา"-บล็อกเกอร์ดังจากช่องยูทูป “icepadie” }

ไอซ์ขอวิจารณ์อย่างตรงไปตรงมาผ่านคลิปว่า “กล้าคิด แล้วกล้าทำออกมาได้ยังไง”ไม่คิดว่าจะมีคอนเทนต์แบบนี้บนโลก นี่เป็นการทำคอนเทนต์ชุ่นๆ แล้วถ้าคนที่มาดูเป็นเด็ก หรือคนที่ยังไม่มีวุฒิภาวะพอ คุณต้องมีส่วนผิดชอบต่อ สังคม “ทำแบบนี้ไม่ได้”

                                                                 { “ไอซ์-ภาวิดา” ทนไม่ไหวกับคอนเทนต์แบบนี้ }

คอนเทนต์แบบนี้ก็มีบนโลก!!

อีกหนึ่งมุมมองที่น่าสนใจ คือความคิดจาก “ครูลูกกอล์ฟ”คณาธิป สุนทรรักษ์ พิธีกรดังเจ้าของและครูประจำสถาบันสอนภาษาอังกฤษ ‘Angkriz’ ที่ออกมาแสดงความคิดเห็นเช่นกัน ผ่าน TikTok“@ploukgolf”

ย้ำชัดว่า “ไม่คิดว่าจะมีคอนเทนต์แบบนี้บนโลก” เพราะสิ่งที่ผู้พูดสื่อสารเต็มไปด้วย “Gaslighting”(การปั่นหัวให้สามารถควบคุมบงการอีกฝ่ายได้) ซึ่งเป็นการกระทำที่ไม่ควรทำกับคนอื่น

                                   {“ครูลูกกอล์ฟ”-พิธีกรดังและเจ้าของสถาบันสอนภาษาอังกฤษ ‘Angkriz’}

และมุมมองของคนที่มีชีวิตคู่ วิธีที่ควรทำคือจับเข่าคุยกันว่า ถ้าอยากมีความสัมพันธ์ที่มากกว่า 2 คนขึ้นไป ทั้งคู่ยินยอมหรือไม่ ถ้าไม่ก็จบ แล้วไปหาคนที่มีรสนิยมตรงกันแทน

“แต่ไม่ใช่ไปล้างสมองคนที่อยู่กับคุณ ไปหาคนที่แมตช์กับคุณสิ”

                                                                         { “ครูลูกกอล์ฟ” เตือนอีกเสียง เนื้อหาปั่นหัว }

เพื่อให้ได้คำตอบที่เฉพาะทางมากขึ้น ทางทีมข่าวจึงชวน สิริพร เอมอ่อน นักจิตวิทยาคลินิกชำนาญการ กลุ่มงานจิตเวชและยาเสพติด โรงพยาบาลหัวหิน และนักจิตวิทยาจากOOCA telemedical บริษัทให้คำปรึกษาด้านสุขภาพจิต ช่วยวิเคราะห์เกี่ยวกับปรากฏการณ์นี้

ได้คำตอบว่าหากวัดจากโครงสร้างทางจิต ตามหลักของ “ซิกมุนด์ ฟรอยด์” (Sigmund Freud) ประกอบด้วย “Id” “Ego”และ “Superego”

“Id” คือ ความต้องการภายใน เป็นแรงขับให้เราอยากทำหรือเป็นอะไรบางอย่าง “Ego”คือ ตัวที่คอยบาลานซ์ ความต้องการของเรา กับ “กฎเกณฑ์ บรรทัดฐานของสังคม”หรือก็คือ “Superego”

                                                      { “สิริพร”-นักจิตวิทยาคลินิกชำนาญการ }

“เช่น เรามีแฟนอยู่แล้ว แต่อยากมีเพิ่มอีกหนึ่งคน Superego ก็จะ เฮ้ย..ไม่ได้ คนเราต้องผัวเดียวเมียเดียว”

ย้อนกลับไปสิ่งที่ไลฟ์โค้ชรายนั้นพยายามสอน มันคือIdหรือความต้องการของคน ส่วนEgoจะเป็นตัวคอยสมดุลว่าทำได้หรือไม่ เพื่อให้เชื่อมโยงกับSuperegoหรือ กฎเกณฑ์ทางสังคม

“แต่ว่าไอ้สิ่งที่เขากำลังทำเนี่ย มันเป็นเรื่องของการสร้างบรรทัดฐานของสังคมใหม่ เพื่อให้เกิดการยอมรับมากขึ้น”

เหตุผลเบื้องหลัง เพราะอยาก “หาพวก”?

“สร้างบรรทัดฐานทางสังคม?” นักจิตวิทยาท่านอธิบายเพิ่มเติมว่า แต่ก่อนคนเราจะรู้สึกว่าการทำแบบนี้มันไม่ดี แต่การสอนของครูคนนี้ลงบนสื่ออย่างTikTokจะทำให้มันกระจายออกไปเรื่อยๆ เหมือนจะสร้างการยอมรับในสังคมให้เยอะขึ้น

และคำอธิบายจากนักจิตวิทยาคลินิกชำนาญการรายเดิม ก็ตอบคำถามที่หลายคนสงสัยแล้วว่า “ทำไมยังมีคนฟัง คนเชื่อหรือยอมรับ สิ่งที่ครูตี๋สอน” เพราะ “บางคนก็มีความคิดแบบนี้อยู่แล้ว” และนี่คือสิ่งที่ซัพพอร์ตIdที่อยากเป็น-อยากมีอยู่เดิม

“เขาก็จะยกอันนี้มาเป็นตัวอย่าง ซัพพอร์ตเขาให้ทำต่อไปเรื่อยๆ มันก็ไม่เห็นเป็นอะไรเลย คนอื่นก็ทำ จะเห็นว่า ถ้ามันกระจายไปเรื่อยๆ มันก็สร้างบรรทัดฐานใหม่ในสังคมได้เหมือนกัน”



เดิมทีคนเราอาจจะไม่กล้าทำเพราะขัดกับ “บรรทัดฐานของสังคม”แต่เมื่อมีสื่อแบบนี้ คนก็จะกล้าทำมากขึ้น เพราะในตัว “มนุษย์” เองนั้น มีทั้ง “ขาวและดำ” ในคนเดียวกัน อยู่ที่ว่าเราจะตัดสินใจทำหรือไม่ทำบางอย่าง

โดยมีปัจจัยทางจิตวิทยา 3 อย่างคือ 1.Bio ร่างกายและพันธุกรรม 2.Psycho การเลี้ยงดูและสภาพจิตใจ 3.Social คือสังคม
“สังคม ก็เป็นปัจจัยหนึ่ง ที่ทำให้เราเลือกที่จะทำ หรือจะเป็นอะไรบางอย่าง”

“คนที่ความคิดเหมือนกับเขา ลึกๆ อยู่แล้วเขาก็จะรู้สึกว่า ทำแบบนี้แหละโอเค คนอื่นเขาก็คิดแบบนี้กัน”

และนี่เอง คือ“หลักความคิดของมนุษย์” เริ่มจากคนหนึ่งที่มีแนวคิดใหม่ แล้วกระจายออกไป พอหลายๆ คนเริ่มคิดเหมือนกัน ก็กลายเป็นบรรทัดฐานของสังคม

“คนบางคนจะบอกว่า มันก็เป็นสิทธิของเขาที่จะทำหรือไม่ทำ แต่สุดท้ายเราต้องอยู่บนพื้นฐานที่ว่า สมมติง่ายๆ ถ้าสิ่งที่คุณทำ เวลาคนอื่นมาทำกับคุณ คุณโอเคไหม ง่ายๆ แค่นั้น”



“อันตราย” คอนเทนต์แบบนี้

การสอนของ “ครูตี๋” มีการบอกวิธีทำ “Gaslighting” ซึ่งสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง กูรูด้านจิตวิทยาอธิบายว่า มันคือการทำให้อีกฝ่ายเชื่อว่า “ตัวเองไม่ดี” โดยพูดหรือทำซ้ำๆ ไปเรื่อยๆ จนเหยื่อเริ่มเชื่อแบบนั้นจริงๆ

“ถ้าเราถูกGaslightไปเลย มันจะให้เราไม่มั่นใจ สับสน รู้สึกมีคุณค่าในตัวเองน้อยลง”

“อันตรายไหม อันตรายนะคะ สื่อแบบนี้” นักจิตวิทยาจากOOCAบอกว่า ยิ่งกับเด็กหรือเยาวชนที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ อาจต้องมีผู้ปกครองคอยกำกับ เพราะการวิเคราะห์แยกแยะข้อมูล เขาอาจยังไม่ดีพอ

“ถ้าเห็นว่าเด็กกำลังดูคอนเทนต์แบบนี้ อาจจะต้องคุยกัน ต้องสอนกันแหละ”



“การสอนวิธีมีบ้านที่2” ของ “ครูตี๋” ซึ่งมีคนที่ได้รับผลกระทบเรื่อง “สุขภาพจิต” เยอะมากจากความสัมพันธ์แบบนี้ นักจิตวิทยาเล่าว่า จากหลายๆ กรณีพบว่า “ไม่มีใครคิดว่า เขาจะต้องมาอยู่ในสถานการณ์แบบนี้”

“หลายคนก็รู้สึกอึดอัดจนตัดสินใจออกมา หรือถ้าอยู่ ก็อยู่แบบไม่ได้มีความสุข”

และส่วนมากพอเจอกับ “ปัญหาสุขภาพจิต”จากความสัมพันธ์ในลักษณะนี้แล้ว เขาอาจปรับตัวไม่ได้ จนผลักให้มีความทุกข์มาก จนไม่สามารถจัดการความรู้สึกได้ แต่บางคนอาจหาทางออกโดยปรึกษาเพื่อน “แต่สุดท้ายแล้วเคสที่หลุดมา คือมันไม่ไหวแล้ว”

“ส่วนมากไม่ได้ถึงขั้นที่จะวินิจฉัยว่าเป็นโรคนะคะ แต่จะกระทบเรื่องความสุขในชีวิต ไม่มีสมาธิในการทำงาน ส่วนมากจะอยู่เหมือนเป็นทุกข์ทุกวัน คือไม่ตาย แต่อยู่อย่างไม่มีความสุข”



สกู๊ป : ทีมข่าวMGR Live
ขอบคุณภาพ : lifestyle.campus-star.com, TikTok @kru_teesonjeebsaw, @icepadie,@ploukgolf”และอินสตาแกรม@loukgolflg, @icepadie



** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **




กำลังโหลดความคิดเห็น