xs
xsm
sm
md
lg

หลากหลายมุมของชีวิต “จ๊ะจ๋า-แดนดาว” กว่าจะมารับบท “อึ่ง” บ่าวตัวตึง ครองฟีดโซเชียลฯ [มีคลิป]

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เปิดชีวิตหลากหลายมิติ ของ “จ๊ะจ๋า-แดนดาว” ผู้รับบท “อึ่ง” เจ้าของฉายา “ไลฟ์โค้ชแห่งอยุธยา” ที่ครองฟีดโซเชียลฯ ไม่แพ้ “โป๊ป-เบลล่า” กว่าจะมีวันนี้ ของบ่าวคนซื่อ ที่กลายเป็นขวัญใจแฟนละคร ต้องแบกความกดดัน ดำว่า “เด็กเส้น” พิสูจน์ความสามารถ ลบคำสบประมาท จนสำเร็จไปอีกขั้น พร้อมเปิดอีกมุมกับความหลงใหลในรอยสัก จนเกิดเป็นอาชีพ



ครองฟีดโซเชียลฯ ไม่แพ้พระเอก-นางเอก

ครองฟีดโซเชียลฯ และได้รับกระแสความนิยมแบบถล่มทลายเลยทีเดียว สำหรับละครเรื่อง “พรหมลิขิต” ละครภาคต่อของ “บุพเพสันนิวาส” ที่ออกอากาศทางช่อง 3

เรื่องนี้ นอกจากพระเอกนางเอกคู่ขวัญอย่าง “โป๊ป-ธนวรรธน์ วรรธนะภูติ”และ “เบลล่า-ราณี แคมเปน” ที่มาสร้างความสนุก จนบรรดาแฟนละครติดกันงอมแงมแล้ว

ภาคนี้ ยังมีอีกตัวละคร ที่ได้รับความสนใจ และครองฟีดโซเชียลฯ จากแฟนๆ ไม่แพ้คู่พระนางเลยทีเดียว หนึ่งในนั้นก็คือบท “อึ่ง” บ่าวคนซื่อ ตัวตึง ประจำบ้านยายกุย ที่เข้ามาดูแล “พุดตาน”ที่รับบทโดยเบลล่า ตั้งแต่ข้ามภพมากรุงศรีอยุธยา

และนักแสดง ผู้รับบทอึ่ง นั่นก็คือ นักแสดงน้องใหม่ วัย 27 ปี “จ๊ะจ๋า-แดนดาว ยมาภัย” ที่วันนี้ เราได้มีโอกาสไปพูดคุยกับเธอ ที่ค่ายบรอดคาซท์ ไทย เทเลวิชั่น จำกัด

กับหลากหลายมุมของชีวิต กว่าจะมารับบท “อึ่ง” บ่าวตัวตึง ครองฟีดโซเชียลฯ ซึ่งฟีดแบ็กในครั้งนี้ เธอเอ่ยปากบอกว่า ดีเกินคาด ไม่คิดว่าคนจะชอบมากขนาดนี้


“ก็ค่อนข้างดีเกินคาดนะคะ ตอนที่แสดงเอง ก็ไม่คิดว่าคนจะชอบขนาดนี้ ก็เซอร์ไพรส์เหมือนกันค่ะ น่าจะเป็นเพราะความซื่อในบทของอึ่ง และก็ความกวนนิดๆ พอน่ารัก น่าจะทำให้คนชื่นชอบ แล้วก็ประโยคคำคมต่างๆ

อยู่ๆ ก็ได้เป็นไลฟ์โค้ชอยุธยา ก็ค่อนข้างสนุกนะคะเวลาเราเข้าไปไล่อ่านดู แล้วเห็นว่า เออเหมือนคนดูเขาก็จะเห็นในมุมที่เรานึกไม่ถึงมาก่อน ว่าอ๋ออันนี้มันเป็นแบบนี้ มันเป็นแบบนี้ แต่พอคนดูเอามาลงมันก็ตลกจริงๆ แต่พอเราดูเราก็ไม่ได้คิด หรือตอนที่เราแสดงเอง ก็ไม่ได้คิดว่ามันจะเป็นมีม หรือว่าเป็นโควทให้คนมาอ่าน

ช่วงแรกๆ ก็จะพูดถึงเรื่องคำคมเยอะ แล้วก็บอกว่าอยากมีเพื่อนแบบอึ่ง อยากมีเพื่อนซื่อๆ แบบนี้ แล้วก็ดูจริงใจอย่างนี้ค่ะ แล้วคนก็ชอบเวลาทำหน้างง ทำหน้าตลก

ในทวิตเตอร์คนก็พูดถึงเยอะใช่ไหมคะ แล้วก็มียอด follow ที่เพิ่มขึ้นค่อนข้างเยอะเหมือนกันค่ะ สูง แล้วก็มีในTiKTok มีทุกแพลตฟอร์มเลยค่ะ ที่พูดถึงอึ่ง ก็ขอบคุณทุกคนมากค่ะ

ตอนที่ได้บรีฟมา ก็เป็นบ่าวที่รักนายค่ะ คาแรกเตอร์เนี่ยก็จะคล้ายๆ พี่ผิน พี่แย้ม ก็ให้ดูพี่ผินพี่แย้มเป็นตัวอย่าง แต่ว่า ก็ให้เป็นอึ่งในแบบของเราเอง แต่ว่าก็จะมีความซื่อๆ ตาใส พูดแล้วตรงๆ จะเป็นประมาณนี้

ยากนะคะ ช่วงแรก ติดกับบทพูด เพราะมันคือภาษาอยุธยาสมัยก่อน มันค่อนข้างจะซับซ้อนนิดนึง แล้วก็เราอาจจะไม่ชินปากค่ะ ตัวจ๋าก็ใช้เวลาท่องบทอยู่นานกว่าที่จะเข้าปาก กว่าที่จะรู้สึกว่าตัวเองเป็นอึ่งจริงๆ

การเป็นบ่าว ด้วยความยุคสมัยนั้นเขามีบ่าว แต่ยุคสมัยนี้เราไม่มีทาส แล้วก็จะค่อนข้างต้องศึกษาว่า การเป็นทาสมันควรจะเป็นยังไง แต่ว่าในช่วงแรกๆ ก็ค่อนข้างติดกับการเป็นทาสตามที่เราคิดไว้ค่ะ

การเป็นทาสต้องสงบเสงี่ยม ก้มหัว แต่จริงๆ คือถ้าไม่จำเป็นจะต้องสงบเสงี่ยม บางทีทาสอาจจะแบบว่ากระโดดถีบผู้ชายได้เลย อะไรอย่างนี้ค่ะ ไม่จำเป็นจะต้องสำรวมอย่างเดียว สามารถแสดงความรู้สึกนึกคิดออกมาได้”


แม้จะยอมรับว่า เป็นบทที่ยาก แต่ก็ยังบอกว่าสนุก และท้าทายตัวเองมาก เพราะรู้สึกว่า บทนี้ ได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ มากมายหลายอย่างเลยทีเดียว

“สนุกนะคะ ท้าท้าย เหมือนกับได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ หลายๆ อย่าง อย่างจ๋า ได้เข้าฉากกับพี่เบลเยอะ พี่รอนอะไรอย่างนี้ค่ะ พี่ๆ ก็แนะนำสิ่งต่างๆ มากมาย เหมือนได้ไปโรงเรียน เหมือนได้เรียนการแสดง แล้วก็ได้นุ่งโจงกระเบน

ถ้าไม่มีโอกาสได้มาเล่นเรื่องนี้ ก็ไม่มีโอกาสได้ใส่ชุดไทยค่ะ แล้วก็มีทำอาหาร ซึ่งในชีวิตจริง จ๋าทำอาหารไม่เก่งเลย ต้องบอกก่อนตรงนี้เลยว่าแย่มาก แต่ว่าในละครดูโปร ทอดปลาแบบไม่กลัวน้ำมันกระเด็น แต่จริงๆ แล้ว อ๊าก! น้ำมันกลัวมาก ต้องใส่ปลาทูเข้าไปแบบใกล้กระทะมาก ก็ถือว่าเป็นสกิลทดลองการทำอาหารอีกขั้นนึง”

แม้จะถือว่าเป็นนักแสดงน้องใหม่ แต่เธอก็บอกว่า การได้มารับบทนี้ และทำให้คนชื่นชอบ ถือปลดล็อกความกดดันที่แบกมา และประสบความสำเร็จไปอีกขั้น ในฐานะนักแสดงแล้ว

“ก็ถือว่าประสบความสำเร็จขึ้นมาอีกขั้นนึง เพราะมีคนชื่นชอบ ถามว่ามีคนชื่นชอบก็ดี ก็รู้สึกดีใจ และเป็นปลื้มมากๆ ค่ะ แต่ว่าสิ่งที่ทำให้เราภูมิใจอีกอย่างก็คือ เวลาที่คนชมการแสดงของเรา ว่าแสดงออกมาได้ดี เพราะเราเรียนการแสดงมาด้วยค่ะ แล้วเวลาที่คนมาชม วิธีการแสดงของเรา มันทำให้เราค่อนข้าง เหมือนรู้สึกเติมเต็มในหัวใจ

แสดงออกมาน่ารัก เป็นธรรมชาติ เล่นดูเข้าขากับพี่เบล เล่นดูเป็นคนสมัยนั้นจริงๆ ทั้งที่เราไม่ใช่คนสมัยนั้น แล้วก็ทุกอย่างมันใหม่สำหรับเรา เราได้อ่านคำชม แล้วก็คำพูดพวกนี้ มันก็ทำให้เรามีกำลังใจในการทำงานมากขึ้นค่ะ

แล้วก็เห็นมีพี่ๆ หลายๆ ท่านอย่างพี่เอ๋อะไรอย่างนี้ค่ะ ที่เป็นนักแสดง แล้วก็พี่ฮันนี่ คือมีหลายๆ คนที่เขาชมมา หรือบางคนชมผ่าน พี่หน่อง-อรุโณชา มา บางคนก็ชมผ่านพี่เบลล่ามา มันก็ทำให้เราตื้นตันใจมากๆ แล้วก็ต้องขอบคุณ ก็ปลดล็อกค่ะก็รู้สึกว่าปลดล็อกกับวันๆ แรกที่เราแบกความกดดันไว้”


พิสูจน์ความสามารถ ลบคำสบประมาทคำว่า “เด็กเส้น”

นอกจากความสามารถ ที่เข้าถึงบทบาทตัวละคร จนกลายเป็นขวัญใจแฟนละครแล้ว หลายคนน่าจะรู้แล้วว่า เธอนั้นก็ยังมีดีกรีไม่ธรรมดาอีกด้วย เพราะเธอเป็นหลานสาว ของนักแสดงอาวุโสคนดังอย่าง “คุณย่าบรรเจิดศรี ยมาภัย” และยังเป็นหลานสาวของ “ป้าแดง-ศัลยา สุขะนิวัตติ์” นักเขียนบทคนดัง ผู้เขียนบทละคร บุพเพสันนิวาส และพรหมลิขิตอีกด้วย

นั่น จึงทำให้เธอถูกมองว่าเป็นเด็กเส้น ซึ่งเรื่องนี้เธอก็ยอมรับว่า ที่ได้มีโอกาสเล่นละครเรื่องนี้ ก็เพราะคุณป้า เป็นป๋าดันให้ได้รับโอกาส แต่ก็ตั้งใจ และพิสูจน์ความสามารถให้เต็มที่ เพื่อจะให้ทุกคนได้เห็นว่า ไม่ได้ดีแค่คำว่าเด็กเส้น 

[ป้าแดง-ศัลยา สุขะนิวัตติ์ ผู้คอยผลักดันหลานสาว]
“ก็เราก็เป็นเด็กเส้นจริงๆ แต่ว่าเราก็เป็นเด็กเส้น ก็มีความสามารถนะคะ ก็ถือว่าได้พิสูจน์ให้คนได้เห็นกันแล้วค่ะว่า เรื่องนี้เป็นเด็กเส้น แต่ว่าก็ดึงความสามารถ ออกมาใช้ได้อย่างเต็มที่แล้ว ก็ตั้งใจทำการบ้านมากๆ ตั้งใจกับเรื่องนี้มากๆ อยากให้ทุกคนช่วยมองว่าหนูใช้ความสามารถนะคะ

ป้าแดงเขียนบท ถ้าถามจริงๆ คือจ๋าเล่นละครที่ป้าแดงเขียนบทมาโดยตลอด มันก็เลยทำให้ จ๋าก็ไม่แน่ใจว่ามันคือสิ่งที่คนอื่นเขาจะคิดแบบนี้จริงๆ หรือเปล่า แต่ว่าตัวจ๋าคิดตลอด ว่าตัวเองเป็นเด็กเส้น เหมือนเราฝังหัวตัวเองไว้ว่าเราเป็นเด็กเส้น จะทำอะไรเราต้องระมัดระวังตัวเองให้มากๆ

อย่าทำให้คนอื่นเขาคิดว่า อุ้ย เด็กเส้นคนนี้ นิสัยไม่ดี แสดงก็ไม่ดี อะไรอย่างนี้ค่ะ จ๋าก็เลยต้องพยายาม ก็ทำการบ้านหนักเหมือนกัน ทั้งเรื่องบท เรื่องการแสดง แล้วก็เรื่องการวางตัวเวลาอยู่ในกอง

แต่ตอนแรกก็ไม่คิดว่าคนจะรู้เยอะว่าเป็นหลานคุณป้า สรุปคือทุกคนรู้กันหมดแล้ว จริงๆ ก็ไม่ได้อยากให้คนรู้เยอะว่าเป็นหลาน เพราะอย่างที่บอกไป ไม่อยากให้คนคิดว่าเป็นเด็กเส้น แต่ก็พยายามที่สุด ที่จะใช้ ความสามารถของตัวเองที่มีเพื่อที่จะแสดงออกมา อยากให้ทุกคนเห็น ว่าจ๋าก็ทำผลงานออกมาดีได้ โดยที่ไม่ได้เป็นเด็กเส้น หรือไม่ได้เส้นคุณป้าค่ะ

คุณป้าเป็นป๋าที่ดันมาตลอด แต่ว่าตอนนี้คุณป้าก็คงคิดว่า สำเร็จไปอีกหนึ่งขั้นกับการเป็นป๋าดัน เพราะว่าเริ่มมีคนรู้จักมากขึ้น แล้วก็มีคนเห็นผลงานมากขึ้น”

[คุณย่าบรรเจิดศรี ยมาภัย]


เธอยอมรับว่า กดดันมากๆ กับคำว่า “เด็กเส้น” แต่ก็สามารถข้มผ่าน และปลดล็อกตัวเองมาด้วยคำชื่นชมของแฟนๆ ละคร

“กดดันมาก ด้วยความที่ทุกคนน่าจะทราบกันแล้ว คือจ๋าเป็นหลานของป้าแดง ที่เป็นคนเขียนบทละครเรื่องนี้ใช่ไหมคะ อันนี้น่าจะเป็นความคิดของจ๋าเองนะคะ จ๋าคิดว่า คนเขาคงจะคิดว่าเราเป็นเด็กเส้น เวลาที่จ๋าไปกองถ่าย จ๋าค่อนข้างเงียบ เงียบกว่าปกติ เหมือนจะสำรวมมากกว่าปกติ

ด้วยความที่ ไม่รู้ว่าคนอื่นจะคิดกับเรายังไง ก็เลยไม่กล้าที่จะเป็นตัวเองมากขนาดนั้น ก็กดดันมากๆ เพราะตอนนั้นเราไม่รู้ว่าฟีดแบ็กมันจะออกมาเป็นยังไงด้วย

ยังไม่รู้ ว่าจะมีคนชื่นชอบในตัวอึ่งขนาดไหน มันก็เลยทำให้เราวางตัวสงบเสงี่ยมในมุมเล็กๆ ของตัวเอง แล้วอีกอย่างคือต้องเล่นกับ พี่เบลล่า แล้วก็พี่โป๊ป ทุกคนเป็นเบอร์ต้นๆ ของประเทศไทย มันก็เลยทำให้จ๋าเกร็ง และกดดันกว่าเดิม และยิ่งต้องเข้าฉากกับพี่เบลบ่อยมากในช่วงแรกๆ

ในช่วงต้นยังไม่มีพี่รอนมา ก็คือเข้ากับพี่เบล 2 คนอย่างเดียวเลย แล้วเหมือนคนเรายังไม่รู้จักกัน มันก็จะมีระยะห่าง มี space ที่มีเส้นบางๆ กั้นไว้ ยังไม่สนิท มันก็ยิ่งทำให้กดดัน และเกร็งขึ้นไปอีก

แต่ต้องบอกก่อนว่าพี่เบล เป็นคนที่ทำให้ไม่กดดันเหมือนกันนะคะ ในช่วงแรกก็กดดัน เพราะเขาเป็นเบอร์ใหญ่ แต่สุดท้ายพอได้เล่นกับพี่เบลไปเรื่อยๆ ก็รู้ว่า พี่เบลน่ารักมาก แล้วก็เป็นคนคอยช่วย คอยสอน คอยบอกน้องต่างๆ มากมาย

ถามว่าจริงๆ ก้าวผ่านได้ไหม ตอนแรกก็ยังก้าวผ่านไม่ได้ค่ะ จนถ่ายละครจบก็ยังมีความกังวลอยู่ว่าเราเป็นเด็กเส้น พอละครออนไปแล้ว ทุกคนชื่นชมค่ะ ทุกคนชื่นชมว่าน้องอึ่ง แสดงออกมาได้ดีมากๆ ก็ทำให้เราคลายกังวลเรื่องที่เราคิดว่า เราจะทำได้ดีหรือเปล่า

และก็มีอีกอย่างนึง ก็คือมีละครเรื่องนึงกำลังถ่ายทำค่ะ เรื่อง ก็รักมันปักใจ นี่เป็นเรื่องแรก ที่ป้าแดงไม่ได้เป็นคนเขียนบท เรื่องนี้ต้องขอบคุณพี่นายผู้กำกับที่มองเห็นแวว ตอนที่จ๋าแสดงเป็นอึ่ง แล้วก็เห็นว่าจ๋ามีความเหมาะสมกับบทในเรื่องนี้ แล้วก็ได้มาชวนให้มาเล่น แล้วก็เลยเป็นละครเรื่องแรก ที่ป้าแดงไม่ได้เป็นคนเขียนบท

เหมือนตอนนี้เริ่มชินแล้ว ก็จะเล่นตัวเองไว้ก่อนว่าอ๋อใช่ค่ะ เราเป็นเด็กเส้นค่ะ อะไรประมาณนี้ แต่ก็ไม่ได้หนักเท่ากับช่วงแรก แต่มันก็จะไม่ได้ทำให้เรากดดันมาก เพราะทุกคนก็จะบอกว่า แต่ความสามารถ การแสดงก็ดี ลบคำสบประมาทที่เป็นเด็กเส้นค่ะ”


เกือบถอดใจจากบท “อึ่ง” เพราะกลัวเป็นภาระ

เธอเล่าให้ฟังว่า เกือบจะไม่ได้เล่นบทนี้แล้ว เกือบถอดใจ ถอนตัวออกไปแล้ว เพราะวันที่เทสต์หน้ากล้อง เธอรู้สึกว่า ไม่สามารถทำได้ กลัวจะเป็นภาระให้กับนักแสดงคนอื่น

“พอบทมาปุ๊บ ทุกอย่างเรียบร้อยปั๊บ คุณป้าก็บอกว่าออกจากงานนะ ละครกำลังจะเปิดกล้อง ก็เลยโอเคออกจากงานค่ะ จ๋าก็ได้มีโอกาสมาลอง Work Shop คือทางผู้ใหญ่ เรียกให้มาลอง Work Shop ดู แต่ว่าก็เป็นการเทสต์หน้ากล้องไปในตัว

แล้วตอนนั้น เหมือนจ๋ายังไม่ได้เตรียมพร้อมมาเพื่ออ่านบท หรือเพื่อมาเล่นละคร คือเราไม่ได้ทำการบ้านมา แล้วทางผู้ใหญ่ก็ให้ลองเล่นให้ดูก่อน แต่ตอนนั้นเรารู้สึกไม่มั่นใจเลย ด้วยความที่เราไม่ได้ทำการบ้านมา ไม่ได้เตรียมตัวอะไรมาเลย เหมือนเราคิดว่า แค่มาเจอผู้ใหญ่อะไรอย่างนี้ค่ะ สุดท้ายก็ตัวเรานั่นแหละที่ทำไม่ได้ เราเล่นไม่ได้ เราท่องบท เรากังวลบท เรากังวลภาษา จ๋ากังวลกับทุกอย่าง ท่าทางกับการเป็นบ่าว เหมือนมันใหม่มาก ก็เลยรู้สึกว่า น่าจะทำไม่ได้มั้ง ก็เลยบอกคุณป้าไปว่า ไม่เล่นดีกว่าค่ะ


ด้วยความที่เราอาจจะไม่เข้าใจคำว่า Work Shop ด้วย เราเข้าใจว่า Work Shop เหมือนที่เราเคยเจอก็คือ ฟีลเหมือนมาพูดคุยเล่นๆ เหมือนมาละลายพฤติกรรม แต่ว่าอันนี้คือมีการอ่านบท มีการเทสต์หน้ากล้องแบบจริงจังมาก ก็เลยทำให้เราค่อนข้างตกใจ และตื่นเต้น พอเห็นกล้องวางไว้ใจก็เลยแป้วไปแล้วหนึ่ง

แล้วให้อ่านบทตรงนั้นเลย ให้ท่องบทตรงนั้นเลย ถามว่าทำได้ไหม มันก็ทำได้ แต่ว่ามันไม่ได้ดีขนาดที่จะเป็นอึ่ง แล้วอีกอย่างนึงคือ วันนั้นเราอาจจะแต่งตัวเป็นปัจจุบันมาก ด้วยความที่เรามีแบบรอยสัก ใส่ตุ้มหู เป็นคนแต่งตัวค่อนข้าง ลุยอะไรอย่างนี้ค่ะ

เขาก็เลยบอกว่า ดูเป็นเด็กสมัยใหม่มาก แล้วก็วิธีพูด อะไรต่างๆ จ๋าก็มีความเสียงเหิน หรือว่าพูดเหมือนเด็กสมัยใหม่ ที่ฟังแล้วไม่เหมือนคนอยุธยา เขาก็เลยบอกว่าต้องใช้เวลา เล่นได้ แต่อาจจะต้องใช้เวลา จ๋าก็เลยรู้สึกว่าจ๋าไม่อยากเป็นภาระเขา เพราะเขาบอกว่าจากวันนั้น ที่มา Work Shop จนถึงวันเปิดกล้อง ระยะเวลาน่าจะ 2 เดือนค่ะ แล้วมันน้อยมากสำหรับ ก็เลยบอกป้าว่า ไม่อยากทำตัวเป็นภาระ ก็เลยบอกว่าไม่เล่นดีกว่า ขอกลับไปทำงานอย่างอื่นดีกว่า ไม่อยากเล่น กลัวไปทำละครเขาพังอะไรอย่างนี้ค่ะ”


หลังจากเทสต์หน้ากล้องครั้งแรก เธอยอมรับว่า กลับไปแล้วเครียด จนตัดสินใจร้องไห้ไปบอกคุณป้า น่าจะไม่เหมาะ แต่ดีที่คุณป้าและครอบครัว ช่วยพูดให้ได้สติ เธอจึงตัดสินใจคว้าโอกาสนี้ไว้ แล้วตั้งใจไปฝึกฝนตัวเองใหม่ ไปเรียนการแสดงเพิ่ม เพื่อที่จะมาลองเล่นให้ผู้ใหญ่ดูอีกครั้ง ว่าเธอทำได้

“ก็ร้องไห้อยู่เหมือนกันนะคะ มันเครียดค่ะ คือพอมันเป็นละครฟอร์มยักษ์ เหมือนทุกคนก็อยากให้เราได้เล่น เหมือนที่บ้านเค้าก็รู้สึกว่าเป็นโอกาสที่ดีของจ๋านะ จะได้ลองเข้าไปอยู่ในวงการบันเทิง แต่ตัวจ๋าเองกลายเป็นว่ากดดัน เป็นหลานคนเขียนบทก็กดดันแล้ว พอมาเจอบทที่มันเป็นพีเรียดอีก ทุกอย่างมันถาโถมเข้ามา ก็เลยร้องไห้บอกคุณป้า

แต่คุณป้าก็บอกว่า ให้ลองคิดดูนะ ว่าจะมีใครที่มีโอกาสแบบนี้ แล้วหลายๆ คน เขาอยากจะมาอยู่ในจุดๆ นี้จะตาย ทำไมเรามีโอกาสเราถึงไม่ใช้โอกาสให้เกิดประโยชน์ ไม่ทำให้เต็มที่ ไม่ทำให้สมกับที่เราได้โอกาสมา คุณป้าพูดขนาดนี้แล้ว จ๋าก็เลยโอเคงั้นลองสู้ดูสักตั้ง บวกกับคนรอบข้างก็ให้กำลังใจค่ะว่าทำได้อยู่แล้วอุตส่าห์เรียนการแสดงมา จะทิ้งการแสดง แล้วไปทำอะไรที่ไม่ตรงสาย มันก็เสียดายนะ ไม่ลองทำดูก่อนหรอ

ถ้ามันไม่ใช่ก็ค่อยถอยออกมาก็ได้ ไม่ได้เสียเวลา หรือว่าไม่ได้เสียเปล่า ก็เลยตัดสินใจ ตอนนั้นก็เลยลองไปหาที่ Work Shop ของตัวเองเองค่ะ แล้วกะว่าจะมาแสดง ให้ผู้ใหญ่ดูอีกสักรอบนึง เพื่อให้เขามั่นใจว่า น้องคนนี้น่าจะแสดงได้

พัฒนาสุดๆ ค่ะ จ๋าก็เลยค่อนข้างทำการบ้านหนัก เอาจริงๆ ถึงขั้น ซ้อมใส่โจงกระเบนอยู่ที่บ้าน ลองนุ่งเองที่บ้าน แล้วก็คลานขยับเคลื่อนไหวให้ชินกับการใส่โจง ทั้งๆ ที่ตอนนั้นก็ยังไม่รู้ว่าจะได้เล่นหรือเปล่า

แล้วก็ฝึกภาษาก็มีค่ะ ฝึกพูดควบกล้ำให้ชัดค่ะ แล้วก็ฝึกพูดให้ช้าลง แล้วก็ท่องจนมันเข้าปากค่ะ ท่องจนคำพูดติดอยู่กับปากเรา ส่วนใหญ่ก็จะเป็นท่องบท แล้วก็ฝึกพูดควบกล้ำ”


ผิดคิว แต่พี่เบลช่วยปลอบ

การแสดงละคร แน่นอนว่า มันก็ต้องมีบางครั้ง ที่นัดแสดงมีผิดคิวบ้าง แต่ในเคสนี้ จ๊ะจ๋าเล่าว่า ด้วยความที่เป็นเด็กใหม่ และเกร็งและกดดันเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว มีอยู่ครั้งนึง ที่มีการผิดคิวกับเบลล่า ถึงขั้นเบลล่า มีเลือดไหลออกมาจากนิ้ว แต่กลับเป็นว่า ครั้งนั้น ยิ่งทำให้สนิทกันมากขั้น และได้เห็นมุมน่ารักๆ ของเบลล่าเพิ่มขึ้นไปอีก

“อย่างที่เห็นคือมันจะมีพี่เบลโดนปิดประตูทับนิ้ว คือมันเป็นการผิดคิวเล็กน้อยค่ะ ผู้กำกับ อยากให้มียื้อแย่ง เหมือนตัวอึ่ง ต้องรักนายมากๆ อยากให้เข้าไปในบ้าน เพื่อป้องกันไม่ให้ใครมาทำร้ายเจ้านายของเราได้ แต่ระหว่างที่เรายื้อประตูกันไปมา มือพี่เบล เหมือนไปอยู่ระหว่างประตูกับชั้นวางของ แล้วก็เป็นจังหวะที่พอดีเสียบเข้าไปในช่องนั้น

แต่พี่เบลมีสปิริตมากค่ะ ก็แสดงไปจนจบ แล้วพอแสดงเสร็จพี่เบลก็โอ๊ย แล้วพอจ๋าหันไป คือเลือดมันเยอะมาก ตอนนั้นคิดว่าพี่เบลน่าจะต้องเย็บ หรือไม่ก็อาจจะเล็บหลุดแน่นอน แต่พี่เบลก็ยังถ่ายต่อ แค่ล้างแผล แล้วก็ถ่ายต่อ ซึ่งจ๋าก็ใจเสียไปแล้วตอนนั้น จ๋ารู้สึกผิดมากๆ

จริงๆ ไม่ได้ตั้งใจจะไปทับ ยื้อกันไปยื้อกันมา จนสุดท้าย มือพี่เบลก็เหมือนพลาดไป คือจ๋าก็ไม่เห็นตอนที่มือเขาไปโดน แต่ว่าพี่เบลเล่าให้ฟังว่า เหมือนมือเข้าไปช่องประตูกับชั้นวางของ ที่กำลังยื้อแย่งกัน มันก็เลยคงขัดกับนิ้วได้ พี่เบลบอกว่า แค่เนื้อเปิด แล้วก็ไม่ได้เล็บหลุด แล้วก็แผลดูน่ากลัวมากๆ ใช่ ก็เลยใจเสียไป

ซึ่งพี่เบลก็บอกว่าไม่เป็นไร เพราะว่าการถ่ายละคร มันเป็นปกติที่ต้องเกิดอย่างนี้อยู่แล้ว แล้วก็มันเป็นสิ่งที่ ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นค่ะ แล้วก็พี่เบลก็บอกว่า ไม่เป็นไรนะ กลายเป็นว่า พี่เบลต้องมาปลอบเราที่ขวัญเสีย”


พอเริ่มได้เข้าฉากด้วยกันบ่อย นักแสดงสาวน้องใหม่คนนี้ เธอช่วยเล่าถึงความสนิทสนมกับเบลล่าให้ฟังอีกว่า จากเหตุการณ์ในวันนั้น ก็เริ่มสู่การสนิทกันนอกจอ เริ่มมีการกล้าเล่น กล้าแซว และมีการชวนกันไปทำบุญด้วยกันอยู่บ่อยครั้ง

“ก็เป็นการแซวกันมากกว่า เหมือนพี่เบลเริ่มแซว เริ่มหยอกล้อ มันก็เลยทำให้เรา เป็นการละลายพฤติกรรมของเราไปด้วย จ๋าก็ค่อยๆ หายเกร็ง พอพี่เบลแซวมา ก็ค่อยๆ ตลก ขำ หัวเราะ ก็มีชวนกันเต้น TikTok กันบ้าง มันก็เลยเหมือน จ๋าก็รู้สึกสนิทกับพี่เบลมากขึ้น แล้วก็สบายใจที่ได้อยู่กับพี่เบล

พี่เบลทำงานด้วยง่ายมากค่ะ แต่หลายคนอาจจะคิดว่าพี่เบลเป็นซุปตาร์เบอร์ใหญ่อาจจะต้องเรื่องเยอะแต่จริงๆคือพี่เบลไม่เรื่องเยอะเลยค่ะทุกคนอะไรก็ได้ง่ายๆ

ทุกอย่างคือพี่เบลติดดินมากกว่าที่คิดไว้ พี่เบลเขาเป็นคนลุยๆ เป็นสายลุย แล้วก็เฟรนลี่ค่ะ พี่เบลน่ารักมาก กลายเป็นว่า ลบภาพเก่าที่เราคิดไว้ ว่าพี่เบลอาจจะต้องนิ่งๆ หยิ่งๆ อะไรอย่างนี้ค่ะ แต่จริงๆ เขาไม่หยิ่ง จ๋าคิดว่าตอนเจอพี่เบลจะต้องนิ่งมากๆ แล้วก็ต้องทำหน้าดุๆ แต่พี่เบลใจดีมากค่ะ น่ารักค่ะ”




ไม่กลัวคนติดภาพ “บ่าว” พร้อมรับบทท้าทาย

แม้จะโด่งดังมาจากบทของบ่าว แต่เธอก็บอกว่า ไม่ได้กลัวว่าคนจะติดภาพจำ ว่า ต่อไปจะต้องรับบทเป็นบ่าวเท่านั้น ซึ่งเธอไม่ได้ยึดติดเลย

หรือแม้กระทั่ง มีคนมาคอมเมนต์ ว่าเรื่องต่อไป ต้องรับบทนางเอกบ้างแล้ว แต่ก็บอกอีกว่า ไม่ได้รู้สึกว่าอยากเป็นนางเอกเลย แต่ถ้ามีโอกาสในบทที่เหมาะสม ก็พร้อมทำเต็มที่

“ไม่ติดนะคะ ยินดีมากๆ ค่ะ ถ้าผู้ใหญ่คนไหนเห็นแววหรือว่าสะดุดตา อยากให้จ๋าเล่นเป็นบ่าวอีก ก็สามารถรับเชิญได้ จริงๆ รู้สึกว่าการเป็นบ่าวมันสนุกมากค่ะ มันสนุกกว่าการเป็นตัวพระตัวนางด้วยซ้ำ เพราะเราจะสามารถทำอะไรได้มากกว่า หมายถึงว่า เป็นพระนางก็จะต้องมีความห่วงรูปลักษณ์นิดนึง ห่วงสวยนิดนึง แต่ว่าเราเป็นบ่าว เราสามารถทำอะไรได้เต็มที่เลยค่ะ

ไม่ได้เคยคิดว่าอยากเป็นนางเอกค่ะ จริงๆ ก็ไม่ได้รู้สึกว่าอยากเป็นนางเอกเลย รู้สึกว่าชอบบทที่เป็นเพื่อนนางเอกมากกว่า ชอบลุยๆ เหมือนรู้สึกว่า เราก็แฮปปี้กับจุดนี้ ที่เราเป็นอยู่แล้วค่ะ

ตอนเห็นคนมาคอมเมนต์ว่า อุ้ยอยากให้เป็นนางเอก หรือเรื่องหน้าต้องเป็นนางเอกนะ ก็ขอบคุณนะคะ แต่อยู่ตรงบ่าวเนี่ยแหละค่ะ น่าจะเหมาะสมกว่า”


นอกจากนี้ เธอยังบอกอีกว่า ถ้ามีโอกาส ก็อยากลองเล่นอะไรใหม่ๆ ดูบ้าง อยากลองบทที่แตกต่างไปจากเดิมที่เคยเล่นมา เพราะก็อยากชาเลนจ์ความสามารถตัวเองด้วยเหมือนกัน ว่าจะทำได้หรือเปล่า

“อยากเล่นเป็นเด็กที่มีปัญหาค่ะ หมายถึงว่าบทที่ไม่ได้เป็นโก๊ะๆ อย่างนี้บ้าง อยากลองฉีกไปบ้าง อาจจะเป็นแบบว่า อยากรับบทที่เครียดกับชีวิตมากๆ อะไรแบบนั้น แล้วก็อยากรับบทที่เป็นเด็กพิเศษอะไรอย่างนี้ค่ะ

อยากลองนะคะ แต่ว่าไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะทำได้ไหม ก็รู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่ค่อนข้างท้าทาย หรือว่าบทบาทใหม่ๆ แต่จริงๆ ก็ถ้าถามว่าชอบแบบไหน ก็คือแบบที่เข้ากับคาแรกเตอร์ตัวเองก็คือ โก๊ะๆ กวนๆ อะไรอย่างนี้ค่ะ แต่ถ้าเกิดมีโอกาสก็อยากลองหลายๆ บทบาทที่เข้ามาค่ะ”


ส่วนเป้าหมายในวงการบันเทิง เธอก็มองว่า ยังรู้สึกสนุกกับการเป็นนักแสดงอยู่ และก็ยังอยากเล่นละครต่อไปเรื่อยๆ ถ้ามีโอกาส และความฝันอีกอย่างนึง ที่อยากทำให้สำเร็จก็คือ อยากแสดงละครบรอดเวย์ดูบ้างสักครั้ง

“เป้าหมายในวงการบันเทิงเหรอคะ ก็อยากแสดงละครต่อไปเรื่อยๆ อยากได้รับบทที่ท้าทายขึ้น อยากชาเลนจ์ตัวเอง
ในความสามารถตัวเอง จริงๆ ถามว่าแฮปปี้กับการแสดงไหม

มันก็สนุกนะคะ เพราะว่าอาจจะเป็นสิ่งที่เราชอบ แล้วก็เป็นสิ่งที่เรามีความสุข เวลาที่เราได้ทำอะไรอย่างนี้ค่ะ แล้วก็เวลาได้เจอกับทุกคนในกอง ได้เจอพี่ๆ ทีมงาน หรือว่าผู้จัดทุกคน ทำให้ชีวิตของเรามีสีสัน แล้วก็สนุก ก็รู้สึกว่าเอ็นจอยกับการใช้ชีวิตแบบนี้ ก็มีโอกาสก็อยากเล่นละครต่อไปเรื่อยๆ ค่ะ

มีอีกอย่างนึง ความฝันที่อยากเป็น ก็คืออยากลองเล่นละครเวทีจริงๆ ที่เป็นละครเวที ที่แบบว่าเป็นโปรดักชั่นใหญ่ๆ ที่ไม่ใช่แค่เล่นในมหาวิทยาลัยที่เราเคยเล่นมา ก็อยากเล่นละครเวที อยากลอง เป็นแบบบรอดเวย์ เลยก็ได้ค่ะ แล้วก็อยากลองพากย์เสียงดูอะไรประมาณนี้ อยากลองเป็นนักพากย์ดูบ้าง”


จุดเริ่มต้นวงการบันเทิง

สำหรับจุดเริ่มต้น ในวงการบันเทิงของเธอนั้น นักแสดงวัย 27 ปี คนนี้ เธอย้อนเล่าให้ฟังว่า จริงๆ นั้น เธอเคยเล่นละครมาแล้ว ตั้งแต่สมัยเด็กๆ

และเรียกได้ว่า เธอนั้นมีเลือดนักแสดงอย่างเต็มเปี่ยม เพราะนอกจากคุณย่าของเอจะเป็นนักแสดงแล้ว คุณพ่อของเธอ อย่าง “ดอน พฤกษ์พยุง” ก็เคยเล่นละครมาแล้วหลายเรื่อง

“จริงๆ เคยเล่นละครเมื่อนานมามากแล้ว เคยเล่นกับช่อง 7 ค่ะ ก็คือเราตามคุณป้าไป คุณป้าเราไปไหนเราก็จะมีโอกาสได้ไปเล่นตามช่องนั้นๆ ค่ะ ช่วงเด็กๆ ป้าแดงเขียนให้ช่อง 7 จ๋าก็ได้เล่นของช่อง 7 พอช่วงโตขึ้นมานิดนึง ป้าแดงเขียนให้ช่อง 3 ก็ได้เล่นของช่อง3 มีช่วงนึง ที่ป้าแดงได้ไปเขียนให้ GMMTV ก็ได้ไปแจมกับ GMMTV เหมือนกัน

จริงๆ ถ้าให้พูดถึงคือ ที่บ้านค่ะ คุณย่าของจ๋าเป็นนักแสดงอยู่แล้ว อย่างที่ทุกท่านทราบ แล้วก็มีป้าแดงที่เป็นคนเขียนบท แล้วตอนที่จ๋าเด็กมากๆ คุณพ่อเคยเป็นนักแสดงค่ะ คุณพ่อเคยเล่นละครหลายเรื่องเหมือนกัน แล้วพอจ๋าเริ่มโตขึ้นคุณพ่อก็หยุด

แต่ว่าช่วงที่คุณพ่อเล่นละครเป็นเรื่องแรก จ๋ามีโอกาสได้ไปเล่น คือเล่นเป็นลูกสาวคุณพ่อ ซึ่งตอนนั้นเด็กมาก ยังพูดไม่รู้เรื่อง จำความไม่ได้ว่าอายุเท่าไหร่ เรื่อง “คู่เขยคู่ขวัญ” ค่ะ เข้าไปเหมือนแค่รับเชิญ เข้าไปเรียกแค่ว่า พ่อ แล้วพอเสร็จปุ๊บ ก็โตกว่านั้นอีกนิดนึง แล้วมีไปเล่นเป็นลูกของนางเอกกับพระเอก เรื่อง “ดุจฟ้าไร้ดาว” อันนี้ก็คือเป็นแบบแป๊บเดียว ไม่ได้พูดอะไรเยอะ เขาแค่ถามว่า ชอบกินไอติมรสอะไรคะ จ๋าก็บอกว่า รสวนิลาค่ะ แค่นี้ก็คือจบ

แต่ถ้าถามว่า เริ่มเล่นละครจริงๆ ก็คือเรื่อง พรพรหมอลเวงค่ะ ช่อง 7 อันนี้เป็นรับบทเต็มรูปแบบคือต้องมีการอ่านบท ต้องมีการจำ ซ้อมบท แล้วก็มีร้องไห้ มีดราม่า คือมีหลากหลายอารมณ์มาก เป็นเรื่องแรก ที่เล่นเต็มแบบรูปแบบ

ตอนนั้น 7 ขวบค่ะ ป.1 ตอนนั้นก็ต้องขาดเรียนบ่อย เพราะต้องไปถ่ายละคร พอจบจากเรื่องนั้น ก็มีไปเล่นอีกเรื่องนึง แต่ว่าสั้นๆ นิดเดียว แล้วหลังจากนั้น ก็คือคุณพ่อให้หยุดงานในวงการ เนื่องจากไม่อยากให้ขาดเรียนเยอะ แล้วก็อยากให้ทุ่มเทกับการเรียนมากกว่า ก็เลยห่างหายจากการถ่ายละครไปเลยจนจบ ม.6”


เธอบอกว่า จริงๆ แล้ว ไม่ได้มีความคิดว่าอยากเป็นนักแสดงเลย แต่ด้วยความที่ซึมซับมาตั้งแต่เด็กจากครอบครัวที่เป็นสายเลือดนักแสดง บวกกับที่ตัวเอง เป็นคนกล้าแสดงออกมาตั้งแต่เด็กอยู่แล้ว เวลามีกิจกรรมอะไรที่โรงเรียน เธอก็มักที่จะไม่พลาดในการเข้าร่วม

หลังจากนั้น พอเรียนจบ ม.6 เธอก็ได้มีโอกาส ได้เล่นละครเรื่อง“กลลวงทวงหนี้รัก” กับทางช่อง3 โดยเธอรับบทเป็นเพื่อนนางเอก แต่พอถ่ายทำเสร็จละครกว่าจะออกก็เกือบ 4 ปี ทำให้ตอนนั้น เธอจึงไม่รู้ว่าฟีดแบ็กที่เธอเล่นนั้น เธอจะสามารถมุ่งไปทางนี้ได้ไหม 

ในตอนนั้น จึงตัดสินใจพักงานในวงการบันเทิงไว้ก่อน แล้วหันหน้าตั้งใจ สอบเข้าเรียนที่คณะศิลปกรรมศาสตร์ เอกการแสดงและกำกับการแสดง มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ซึ่งเป็นการเรียนเกี่ยวกับละครเวทีโดยตรง

“พอปี 4 ละครที่เคยถ่ายไว้ก่อนเข้า ปี1 ออนแอร์ค่ะ เราก็เลยได้ดูผลงานตัวเอง แล้วก็หลังจากนั้น ก็ได้มีโอกาสเล่นละครของ GMM ที่ป้าแดงเขียนบท จ๋าก็เลยได้เข้าไปเล่นแป๊บนึง ก็ประมาณเป็นเพื่อนนางเอก เหมือนเราเป็นสายเพื่อนนางเอกค่ะ ก็มีคนคอมเมนต์ มีคนชื่นชม แต่ว่าคาแรกเตอร์มันอาจจะยังไม่ได้สะดุดตา ไม่ได้เป็นที่จับตามองเท่ากับอึ่ง ก็เลยไม่ได้มีคนพูดถึงต่อ หรือว่ามีผู้ใหญ่มาทาบทาม จ๋าก็เลยหยุดจากงาน วงการบันเทิงไปอีก

ไม่ได้ท้อแท้ หรือว่าอะไรนะคะ แต่ว่าคิดว่าลองหาทางอื่น ลองทำอย่างอื่นดูบ้างดีกว่า เผื่ออาจจะมีอะไรที่เราชอบ แล้วก็แฮปปี้กับมันมากกว่า”


ช่วงที่เรียนจบ เธอบอกว่า เป็นช่วงที่กำลังหาตัวตนตัวเอง ว่าอยากจะทำอะไรดี เธอลองทำมาหลายอาชีพ แต่สุดท้าย ด้วยพรหมลิขิตอีกครั้ง เธอก็มีโอกาส กลับเข้ามาสู่วงการบันเทิงอีกครั้ง จนได้รับเสียงชื่นชมจากบทอึ่ง

“สุดท้ายจ๋าก็เลยไป Work and travel ที่อเมริกาค่ะ ประมาณ 5 เดือน ตอนนั้นไปเป็นแคชเชียร์ แล้วก็ไปเป็นแคชเชียร์ที่ซุปเปอร์มาร์เก็ต แล้วก็ได้เพื่อนๆ ต่างชาติ ทำงานกับฝรั่งก็รู้สึกว่าแฮปปี้กับการทำงานกับชาวต่างชาติ พอถึงเวลาครบกำหนดโครงการ ก็กลับเข้ามาที่ประเทศไทย ที่นี้เอาแล้วจะหางานอะไรดี เพราะว่าเราก็เรียนจบเรียบร้อยแล้ว
 



ช่วงนั้นเป็นช่วงที่กำลังหาตัวตนค่ะ พอกลับมา หมือนโชคหล่นทับค่ะ กลายเป็นว่า มีโปรดักชั่นละครเวที The Lion King บรอดเวย์มิวสิคัล มาแสดงที่รัชดาลัย แล้วเขาหาคนที่แต่งตัว เปลี่ยนชุดให้นักแสดงระหว่างโชว์ แล้วเขาขอคนที่พูดอังกฤษได้ค่ะ เราเพิ่งกลับมาจากอเมริกาตอนนั้นภาษาอังกฤษกำลังคล่องๆ อยู่

บวกกับเราเรียนละครเวทีมา เราไม่เคยทำละครเวทีโปรดักชั่นใหญ่มาก่อน ก็เลยรู้สึกว่ามันอาจจะเป็นประสบการณ์ที่ดีสำหรับเรา ก็เลยไปตัดสินใจสมัครแล้วก็ได้ก็เลยได้ทำอยู่ 3 เดือนค่ะ เป็นโปรดักชั่นสั้นๆ แล้วพอเขาบินกลับประเทศไป เราก็เค้วงอีกแล้วทีนี้

ก็เลยคิดว่าจะสมัครแอร์โฮสเตสค่ะ แล้วก็ไปสอบ TOEIC เรียร้อยแล้ว เตรียมตัวถ่ายรูป แต่โควิดมาพอดี ความฝันจะไปเป็นแอร์ก็สลายไปเลย เพราะว่าตอนนั้นคนเขาก็บินกันไม่ได้แล้ว แล้วธุรกิจเกี่ยวกับการบินมันก็เลยมันก็เลยซบเซาลงใช่ไหมคะ ก็เลยล้มเลิกความคิดนี้ กว่าจะรอให้โควิดหมด มันก็คงจะเกินอายุที่เราจะสามารถเป็นแอร์ได้แล้ว

สุดท้ายก็เลยไปสมัครงานออฟฟิศค่ะ เป็น Property Management ทำอยู่2 ปี เป็นพนักงานประจำเลยค่ะ ก็คือเข้า 8 โมงเช้า เลิก 5 โมงเย็น เป็นอย่างนี้ทุกวันๆ ก็คือตอนนั้นเราก็ห่างหายจากวงการไปเลย แล้วก็ไปสายเป็นพนักงานออฟฟิศเลย

จนคุณป้าบอกว่า มีละครเรื่องนึง ที่กำลังจะเขียนบท อยากให้มาเล่น ก็คือเรื่องพรหมลิขิตเนี่ยแหละค่ะ ซึ่งตอนนั้นก็อยากเล่นเหมือนกัน เพราะมันอาจจะเป็นเพราะว่า ด้วยความที่ภาคที่แล้ว เขาก็เป็นละครขึ้นหิ้งเรื่องนึง ก็เลยรู้สึกว่าถ้ามีโอกาสได้เล่น ก็น่าจะเป็นประสบการณ์ที่ดีเหมือนกัน”


อีกมุมกับความหลงใหลในรอยสัก จนเกิดเป็นอาชีพช่างสัก

อย่างที่บอกว่า เธอมีหลากหลายมุมชีวิต ให้เราได้ค้นคว้าอีกมากมาย เพราะนอกจากในฐานะนักแสดงแล้ว เธอยังมีความหลงใหลในศิลปะบนเรือนร่าง จนลงทุนไปเรียน เพื่อมาเปิดร้านสักเป็นของตัวเอง เพื่อเป็นรายได้เสริม ในระหว่างที่รอถ่ายละครอีกด้วย

เธอเล่าว่า จุดเริ่มต้น ในการชื่นชอบรอยสัก เกิดขึ้นมาตอนกำลังเรียนอยู่ชั้น ม.3 คือเธอเป็นคนชอบวาดรูป ชอบเพ้นท์ตัวมาตั้งแต่เด็กๆ อยู่แล้ว ความชอบเหล่านี้ จึงสะสมมาตั้งแต่เด็ก จนเกิดเป็นอาชีพนี้

“ก็จริงๆ ถ้าถามว่าเป็นช่างสักได้ยังไง ตอนเด็กๆ เป็นคนที่ชอบวาดรูปอยู่แล้วค่ะ เรียนวาดรูปมาตั้งแต่เด็กแล้ว ก็ชอบอะไรที่เป็นพวก painting แต่งหน้า เป็นคาแรกเตอร์ต่างๆ แต่งหน้าเป็นตัวการ์ตูน ก็จะชอบวาดรูป ก็ชอบเพ้นท์ตัว ก็เคยมีความคิดว่าอยากสักตอนช่วงประมาณ ม.3 แต่ว่าไปขอที่บ้านแล้ว แต่ที่บ้านไม่ให้

 
 เขาอาจจะคิดว่า สมัยนั้นรอยสักมินิมอลยังไม่แพร่หลายอย่างในยุคปัจจุบัน เขาก็เลยคิดว่า เราอาจจะไปสักเป็นแบบว่าภาพลาย อะไรอย่างนี้หรือเปล่า คุณป้าบอกว่ายังไม่ให้ เรายังรับผิดชอบตัวเองไม่ได้ ยังหาเงินไม่ได้ ยังทำงานไม่ได้ อย่าพึ่งเลยดีกว่า

จนทำงาน จะจบมหาลัยค่ะ ช่วงที่ทำงานออฟฟิศก็เลยตัดสินใจไปสักเลย ไม่ได้บอกที่บ้านด้วย แอบไปสักก่อน รอยแรกเป็นข้างในร่มผ้า สักเป็นชื่อตัวเอง แดนดาวค่ะ ออกแบบเอง ไปถึงปุ๊บก็สักเลย เก็บเงินมาได้หลังจากทำงานก็จัดเลยค่ะรอยสักแรก เราออกแบบเอง แต่ว่าให้พี่ช่างสัก สักให้

 
 ตอนแรกคิดว่าจะไม่ได้บอกที่บ้าน ด้วยความที่คุณพ่อของจ๋าอยู่แล้วเป็นคนที่สักทั้งตัวอยู่แล้ว คุณพ่อเขาสักแขน สักขาหมดเลย ด้วยความที่ว่าเราอยู่กับคุณพ่อมาตั้งแต่เด็ก แล้วเวลาคุณพ่อไปสัก ตัวจ๋าก็ไปที่ร้านสักด้วย ไปดูคุณพ่อสักมันก็เลยคงซึมซับมา จนเราได้ไปสักเอง

ตอนแรกก็ไม่กล้าบอกใครเลยที่บ้าน แต่สุดท้าย ก็เลยตัดสินใจโชว์คุณพ่อกับคุณแม่ว่านี่นะคะรอยสักของหนู ไปสักมาแล้ว ก็ไม่มีใครว่าค่ะ ทีนี้ก็เลยไปจัดลายที่ 2 พอลายแรกไม่มีคนว่า ก็เลยไปจัดลายที่ 2 มา อันนี้ก็เป็นกาแล็กซี่ เหมือนกันค่ะ เป็นแดนดาว
คือต้องบอกก่อนว่า จ๋าอยากให้รอยสักทั้งหมดบนร่างกายเป็นเกี่ยวกับดวงดาว เพราะว่าเราชื่อแดนดาว เราก็ต้องคุมโทนเป็นดวงดาว อันนี้ก็เลยเป็นลายที่ 2 เป็นกาแล็กซี่ค่ะ อันนี้ก็เลือกสีเอง ออกแบบเอง คิดเองว่าอยากได้ประมาณนี้ พอสักอันนี้กลับมาอ้าวผิดคาด คุณแม่ว่า คุณแม่บอกว่าถ้ามีลายที่ 3 ไม่ต้องเข้าบ้านนะ เหมือนคุณแม่บอกว่าอันนี้มันเริ่มออกนอกร่มผ้าเกินไป เขาก็คงกลัวมีปัญหากับการทำงาน

แต่คำพูดของคุณแม่ก็ไม่สามารถทำอะไรเราได้ ก็เลยเกิดลายที่ 3 ขึ้นมา ก็คิดเองแล้วก็ออกแบบเอง เราชอบคำว่า City of Stars ค่ะ คือมันก็เหมือนเป็นความหมายของชื่อจริงของเรา เป็นความหมายของคำว่าแดนดาว ถ้าตามชื่อจริงๆ มันจะเป็น Land of Stars อันนี้ความหมายของแดนดาว แต่ด้วยความที่เรารู้สึกว่า City of Stars มันสวยกว่า มันดูเป็นนครดวงดาว คือตามหนังเรื่อง La La Land ก็เลยรู้สึกว่า เอาคำนี้ละกัน ก็เลยได้เป็นลายที่ 3 มา แล้วรอยสักนี้ก็เลยเป็นจุดเริ่มต้นของการเป็นช่างสักค่ะ”

[คุณพ่อผู้รับบทเป็นลูกค้าคนแรกให้ลูกสาว]
เธอตั้งใจไปเรียนแบบจริงจัง เพื่อจะมาเปิดร้าน และลูกค้าคนแรกของเธอ ก็คือคุณพ่อ จากนั้น จากร้านสัก ต่อยอดไปเป็นร้านสักปาก สักคิ้ว ตามคำขอของคุณแม่

“เปิดข้างที่บ้าน เปิดเป็นสตูค่ะ ก็ซื้อเตียง ซื้อเครื่องสัก ซื้อเข็ม ซื้ออุปกรณ์ต่างๆ เครื่องอบ ก็คือตามร้านสักปกติเลย ในวันเปิดร้าน ให้คุณพ่อเป็นลูกค้าคนแรก ก็สักรูปผีเสื้อสีฟ้าค่ะ ก็ทำไปเกือบ 6 ชั่วโมงแค่เล็กๆ เพราะว่าเราอาจจะเป็นมือใหม่หัดสัก ก็เลยใช้เวลานานค่ะ คุณพ่อบอกว่า จ๋าพ่อเหนื่อยมากเลยกับการสักวันนี้(หัวเราะ) สุดท้ายก็ผ่านไปได้ด้วยดีค่ะ คุณพ่อก็ดูจะภูมิใจกับผลงานของลูกสาวคนนี้ค่ะ

หลังจากนั้นคุณแม่ ก็เลยบอกว่า เพื่อนแม่อยากมาสักปากกับสักคิ้ว ก็เลยโอเค ไหนๆ เราก็เปิดเป็นร้านสักแล้ว เราก็เลยไปเรียนสักปาก กับสักคิ้ว ก็เหมือนต่อยอด เพราะลูกค้าบางคน เขาอาจจะไม่ได้อยากสักที่ผิวหนัง แต่ว่าเขาอยากเสริมความงาม เช่น สักปาก สักคิ้ว เราลงทุนไปเรียน เราก็อาจจะได้กลุ่มลูกค้าเพิ่มขึ้นมาอีก

แต่ว่าจริงๆ ร้านสัก จ๋าทำกับแฟน แฟนก็จะเป็นคนที่คอยดูแล เรื่องร้านสัก ถ้ามีใครทักมา ก็จะให้แฟนช่วยตอบช่วยดู เพราะช่วงนี้เป็นช่วงที่เราต้องโปรโมทละครด้วย แล้วก็บวกกับเรากำลังถ่ายทำละครอีกเรื่องนึง แฟนก็สักได้ค่ะ ก็ทำด้วยกัน ที่จริงก็คือเรียนมาพร้อมๆ กัน”



 พรหมลิขิตนอกเจอ เจอแฟนที่ร้านสัก


 

 “ก็คือรอยสักนี้ก็ทำให้เจอแฟนเหมือนกัน คือไปสักพร้อมๆ กัน ก็เลยแบบว่าหลังจากนั้นก็คุยมาตลอด ก็เลยร่วมธุรกิจร้านสักด้วยกัน


จุดเริ่มต้นก็คือ เขารู้จักกับรุ่นพี่คนนั้นก่อน เหมือนพอเราไปเขาอ่ะก็ชอบเรา ฟีลแฟนคลับ พรหมลิขิตของแท้ เขาก็สัก เราก็สัก สุดท้ายก็ได้ทำความรู้จักกัน หลังจากนั้นก็คุยกันมาเรื่อยๆ ก็มีนัดเจอกันบ้างค่ะ สุดท้ายก็ได้คุยกัน เรื่องสักจะเป็นเรื่องเมน ที่เราคุยกันซะส่วนใหญ่ จนได้คุยกัน ได้คบกัน 


พอได้ถ่ายละครเรื่องพรหมลิขิต ก็เลยคุยกันว่า อยากหารายได้ หมายถึงว่า อยากมีงานอดิเรก หรือว่ามีงานเสริม ก็เลยตัดสินใจเปิดร้านสักด้วยกันค่ะ


คบกันจะ 3 ปีแล้วค่ะ ก็อยู่ตั้งแต่ก่อนเริ่มถ่ายพรหมลิขิต จนเห็นว่า ประสบความสําเร็จไปอีกขั้น เขาก็อยู่ด้วยตลอด 

เขาเป็นคนที่คอยให้กำลังใจมาตลอด ตั้งแต่เริ่มต้น กลางเรื่อง ทุกครั้งที่เราเครียดกับการถ่ายละคร เขาก็จะเป็นคนที่คอยให้กำลังใจ แล้วอีกอย่างนึงคือ แฟนจะคอยช่วยต่อบทให้ด้วยค่ะ 


คือทุกครั้งที่เราได้บทมา แฟนก็จะเป็นทั้งพุดตาน เป็นทั้งทุกคน นอกจากคุณย่า แล้วก็จะมีแฟนที่ทำงานเป็นคนต่อบทให้ตลอด จนเวลาละครออน นั่งดู เขาก็จะบอกว่า เนี่ยจำได้ว่าอันนี้จะต้องพูดแบบนี้ๆ แฟนก็จะเป็นคนรักคอยให้กำลังใจ ให้พลังบวก”



[นอกจากครอบครัว ก็มีแฟนที่คอยให้กำลังใจ และให้พลังบวก]

 ตัวจริงกับในละคร กวนๆ คล้ายกัน


 

 “ก็กวนๆ อาจจะคล้ายบ้าง ก็มีความกวนนิดนึง แต่ซื่อ อาจจะไม่ค่อยเท่าไหร่ เพราะว่าพี่อึ่งเขาค่อนข้างซื่อเลย แต่ว่าจ๋า ก็จะมีความทันคนอยู่บ้าง แต่ว่ารักพวกพ้อง อันนี้ก็จะเป็นเหมือนกัน


จริงๆ แล้วเป็นคนไม่ค่อยขายสวยอยู่แล้วนะคะ นานๆ จะได้แต่งสวยอย่างนี้สักที แต่ว่า จริงๆ แล้ว จ๋าไม่ค่อยห่วงกับภาพลักษณ์ เรารู้สึกว่า ด้วยความที่เราเล่นเป็นบ่าว เราเล่นเป็นอึ่ง จ๋าคิดว่าจ๋าคือตัวละครนั้นจริงๆ


จ๋าก็คิดว่าจ๋าคืออึ่ง แล้วอึ่งก็คงไม่มานั่งเอ๊ะ วันนี้หน้าฉันสวยไหมนะ พอเราคิดว่าเราเป็นอึ่ง เราก็จะเป็นอึ่งจริงๆ โดยที่เราไม่ได้ห่วงว่าเราจะต้องสวยหรือไม่สวย แต่ว่าจริงๆ ไม่ถนัดเลย เวลาที่จะถ่ายรูปโพสต์สวยๆ ไม่ถนัดมากค่ะ จ๋าโพสต์ไม่ค่อยถูก แต่ถ้าให้ตลกนี่โพสต์ได้เลยนะคะ(หัวเราะ)


จริงๆ ก็เป็นคนขายสวยนะคะ แต่ว่าไม่รอด ก็เลยขายตลกดีกว่าค่ะทุกคน(หัวเราะ) จริงๆ คาแรกเตอร์ของจ๋าจริงๆ ก็คล้ายๆ กับในละคร เพราะส่วนใหญ่ละครที่ได้รับ ก็จะเป็นคาแรกเตอร์ประมาณนี้ค่ะ กวนๆ สู้ๆ ลุยๆ อย่างนี้ค่ะ จะเป็นเพื่อนนางเอกที่สายนี้เลย ก็ไม่ได้ไกลตัวเองมากนัก สนุกๆ จอยๆ”















ดูโพสต์นี้บน Instagram

โพสต์ที่แชร์โดย LIVE Style (@livestyle.official)





@livestyle.official ...เจาะมิติ “ไลฟ์โค้ชแห่งอยุธยา” ตัวจริงคือ “เด็กศิลป์ช่างสัก” @dandaojaja... #LIVEstyle #LIVEstyleofficial #ข่าวTikTok #longervideos #tiktokวีดีโอยาว #มากกว่า60วิ #พรหมลิขิต #บุพเพสันนิวาส #จ๊ะจ๋าแดนดาว #ช่างสัก #ช่างสักผู้หญิง #ร้านสัก ♬ original sound - LIVE Style


สัมภาษณ์ : ทีมข่าว MGR Live
เรื่อง : พัชรินทร์ ชัยสิงห์
ภาพ : กัมพล เสนสอน
ขอบคุณภาพเพิ่มเติม : อินสตาแกรม “@dandaojaja”




** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **




กำลังโหลดความคิดเห็น