เจาะเส้นทางอาชีพ “ดีเจมากฝีมือ” ที่มีงานแสดงทั้งในและต่างประเทศ กับเรทค่าตัวที่ไม่ธรรมดา ฝ่าฟันเสียงต่อต้านจากพ่อแม่ ที่มองว่าเป็นอาชีพในผับบาร์ พิสูจน์ตัวเองจนทำให้ครอบครัวยอมเปิดตาเปิดใจ หลังได้ไปชมโชว์เทศกาลดนตรีใหญ่อันดับต้นๆ ของโลก พร้อมยืดอกโชว์เวทีโลก!! สร้างแบรนด์ “KARTYPARTYY” ให้มากกว่า “ดีเจ”
จุดเริ่มต้นสู่เวทีระดับโลก
ใครที่เป็นสายตื๊ด หรือที่คลุกคลีอยู่ในวงการดีเจ คงเคยได้ยินชื่อดีเจและโปรดิวเซอร์ดาวรุ่งที่มีชื่อในวงการว่า “KARTYPARTYY” หรือเป็นที่รู้จักกันในชื่อ “คาท-ชยกร สงวนสิน” วัย 28 ปี ดีเจสาย bass มากฝีมือที่มีงานแสดงทั้งในและต่างประเทศ ที่ไม่ว่าจะได้รับเชิญไปงานไหน โต๊ะก็ถูกจองเต็มแทบจะทุกครั้ง
และดีเจชื่อดังมากฝีมือคนนี้ ยังเป็นดีกรีลูกชายคนรองหัวแก้วหัวแหวน ของนักธุรกิจชื่อดังผู้คร่ำหวอดในประเทศไทยมานาน อย่าง “ดร.ศศมณฑ์ สงวนสิน” และ “ดร.สมนึก สงวนสิน” เจ้าของบริษัท ฮอนด้า พระราม 9 จำกัด
แม้จะดูเหมือนจะไม่ได้ยากในการเดินบนเส้นทางนี้ แต่เชื่อไหมว่า เขาต้องฝ่าฝันแรงต้านจากพ่อแม่ เพียงเพราะไม่เข้าใจ ในเส้นทางนี้ บวกกับเส้นทางที่ปูอนาคตไว้อยากหวังให้ลูกๆ มาสานต่อธุรกิจครอบครัวแทน แต่ด้วยความชื่นชอบด้านดีเจ ก็ฝ่าฝันเต็มที่เพื่อที่จะได้ไปเดินบนเส้นทางสายอาชีพดีเจ
“เส้นทางเป็นดีเจเริ่มต้นคือ ตอนเรียนไฮสกูลครับ ตอนเรียนที่ออสเตรเลีย ผมก็สนใจเพลงด้านนี้ แบบสนใจมากๆ กว่าคนอื่นเยอะเลย ตอนนั้นผมอายุยังไม่ถึง ผมอยากไปเที่ยว ไปดูโน่นนี่ ผมไปผับ ยังไม่ได้เข้าไปเที่ยว แต่ไปดูว่าเขาทำอะไรกัน แล้วสนใจ คือเป็นดีเจ มันเป็นดีเจได้ โดยไม่ต้องตรวจ ID เข้าไป เข้าไปเป็นดีเจได้ ทั้งที่อายุยังไม่ถึงอยู่ได้ อันนี้ที่ออสเตรเลียเป็นแบบนั้น
ตอนนั้นอายุ 16 ปีครับ ช่วงไฮสกูลก็รู้สึกชีวิตมันเปลี่ยน แล้วก็สนใจเรื่องนี้มาก มาตลอด เริ่มสนใจ ก็ดูยูทูบ อันแรกที่ผมปิ๊งมากๆ คือ เป็น After Movie ของfestival ชื่อ Tomorrowland ซึ่ง After Movie อันนั้นประมาณ 12-13 นาที แล้วมันออกมาPerfect มาก มัน Magical มาก ผมก็เลยเริ่มสนใจอยากเป็นดีเจ เพราะผมมองว่าดีเจมันไม่ใช่แค่ผับแล้ว มันคือ Making Music สามารถทัวร์โน่น นี่ อาจจะไม่ใช่แค่อยู่ในที่ที่เดียว ผมมองเป็นอย่างนี้
จากนั้นผมก็หาวิธีเล่นดีเจ ก็ไป House Party กับบ้านเพื่อน ไปลองเล่นเครื่องที่บ้านเพื่อนดู เพราะว่าเขาก็มี ตอนนั้นผมก็ยังไม่มีเพราะอยู่ออสเตรเลีย แล้วก็พอเขยิบมาเรื่อยๆ ผมก็มีได้ไปเล่นอีเว้นท์ที่ต่ำกว่า 18 ปีครับ แล้วก็สนุกดี ก็เริ่มมันส์มาเรื่อยๆ
พอประมาณ 17 ปี โตขึ้นมาหน่อย ก็เริ่มแอบเที่ยวผับที่ออสเตรเลีย เข้าผับเยอะมาก เหมือนแบบว่าเจอคน industry เยอะด้วย เพราะผมไปไหนผมชอบคุยกับคน ผมไม่ค่อยเขิน ผมคุยกับทุกคน ผมอยากได้อะไร ผมจะทำให้มันได้ ผมอยากเล่นที่นี่ ผมต้องเล่นให้ได้ ผมต้องไปหาคน Drive People ให้ได้ ก็หาจนเจอ จนคุยโน่นนี่ ก็แบบโอเค ได้ contact มา
ผมเป็นคนที่ชอบคบคนที่โตกว่าตัวเองอยู่แล้ว ตอนนั้นผมอยู่โฮมสเตย์ ซึ่งลูกของโฮมสเตย์ที่ผมอยู่ เขาเป็นคนที่อายุเยอะกว่าผม แล้วก็รู้จักคนเยอะกว้างขวาง ไปไหนผมก็ไปกับเขา ช่วงแรกๆ เขาก็แนะนำให้ผมรู้จัก คนโน่น คนนี้ แล้วก็ไปเจอคนที่อยากเจอจนได้”
จนในที่สุดก็เริ่มเข้าได้ไปเปิดเพลงในผับ จนค่อยๆ สร้างชื่อเสียงมาจนถึงปัจจุบัน ส่วนที่หลายคนอาจจะสงสัยว่าดีเจสายbass คืออะไรนั้น เขาก็ขยายความว่า จะเน้นอารมณ์เพลงหนักๆ เป็นส่วนใหญ่
“ดีเจสายเบสคือ จะเป็น bass music อารมณ์เพลงหนักๆ แต่ผมอยากบอกก่อนว่าอย่างดีเจที่คนอื่นทำ บางคนก็แค่เล่นดีเจไปเรื่อยๆ ไม่มีอะไร แต่ผมขายโชว์ ซึ่งโชว์ผมจอสกรีนข้างหลังจะแมทซ์กันทุกอย่าง เอฟเฟ็กทุกอย่างจะตรงกับเพลง ผมออกแบบโชว์ของผมเอง โทนของผมเอง ผมมีทีมทำ มันคือ Branding”
สุดประทับใจ คนตะโกนเรียกชื่อ
สิ่งที่เรียกได้ว่าประสบความสำเร็จในเส้นทางสายนี้ นอกจากค่าตัวที่ฟันไปถึงชั่วโมงละถึง 6 หลักแล้ว สิ่งที่เรียกได้ว่าประสบความสำเร็จในเส้นทางสายนี้ก็คือ คนที่มาดูโชว์รู้สึกสนุก และประทับใจมากๆ ที่คนตะโกนเรียกชื่อตอนที่ขึ้นโชว์
“ที่ประทับใจผมที่สุดคือ ที่เบลเยี่ยมครับ วันที่ผมเล่นก็คือ sold out เป็นโชว์แรกของผมที่เบลเยี่ยม ก็คือตั๋วขายหมดเกลี้ยง เป็นโชว์รวมกับหลายคน แต่ว่าเป็นโชว์กับศิลปินที่ไม่ได้ตัวใหญ่กว่าผมเยอะ รุ่นเท่าๆ กัน แต่ว่ามีคนมาดูผมเยอะ โชว์ที่เบลเยี่ยม เป็นโชว์ที่ผมชอบมากที่สุด ไม่ได้รู้สึกว่าคนจะรู้จักผมเยอะขนาดนั้น พอผมเล่นเสร็จเขาก็เดินมารอผม ซึ่งผมเหมือนเป็นเอเชียที่อยู่ในคลับนั้น
ปกติทุกที่ ที่อยู่ที่ไทยก็เป็นอย่างนี้ ทุกคนตะโกนเรียกชื่อผมหมดเลย แต่ตอนนั้นผมเซอร์ไพรส์ เพราะมันเป็นครั้งแรก ผมไม่รู้จักใคร ผมไม่คิดว่าคนจะรู้จักผม
ส่วนใหญ่ก็ทัวร์ในเอเชียมากกว่า ในรอบๆ แถวนั้นประเทศเพื่อนบ้าน หลังๆ พม่าน่าจะบ่อย สิงคโปร์ ค่าตัวคิดเป็นชั่วโมงครับ”
เมื่อถามถึงว่า ทั้งทำงานกับเหล่าคนดัง ทั้งได้ขึ้นโชว์ในเวทีใหญ่ระดับโลกมาแล้วหลายงาน แบบเรียกว่า เป็นดีเจระดับโลกได้แล้วหรือเปล่า ซึ่งเจ้าตัวก็ตอบแบบถ่อมๆ ตัวสุดว่า ไม่ค่อยอยากเรียกตัวเองว่าแบบนั้น แต่อยากให้ผลงานเป็นเครื่องพิสูจน์มากกว่า
“ผมไม่ค่อยชอบเรียกตัวเองแบบนั้น แต่ผมก็ไปเล่น global มาเหมือนกัน พูดอย่างนี้ดีกว่า ส่วนงานดนตรีระดับโลกที่ไปเล่น ตอนนั้นผมได้เพลงผมติดค่ายของศิลปินคนนึง ที่เขาดังมากๆ ที่นั่น ชื่อ “Kayzo” ครับ ผมได้โอกาสจากคนนั้น ผมได้ไปเล่นเวทีสเตจของค่ายเขา ค่าย Welcome Records เวทีนี้ใหญ่ที่สุดที่ผมเคยเล่นแล้วครับ
ผมก็เคยทำงานกับคนดังๆ ก็ “Kayzo” ไม่ได้ร่วมงาน แต่ไปอยู่ค่ายเขา คนดังๆ ก็มีโปรดิวเซอร์จากฝรั่งเศส มีนักร้องจากอเมริกา มีศิลปินจากเบลเยี่ยม มีศิลปินจากพม่าก็มี จริงๆ มีหลายๆ ประเทศเลยครับ ในไทยก็มี อย่างในไทยผมก็ได้เล่นงานใหญ่งานนึง ชื่อสยามสงกรานต์”
สำหรับโอกาสในเส้นทางสายนี้ บนถนนเมืองไทย ที่หลายคนอาจจะมองว่าไม่ได้รุ่งเหมือนกับต่างประเทศ
“คือผมว่าในไทย คนฟังเพลงแบบนี้เขาอยากไปปาร์ตี้กันมากกว่า เขาไม่ได้เชิงแบบว่าปลื้มกับศิลปินนี้สักเท่าไหร่ มันก็มีคนที่ปลื้มจริงๆ มีคนที่ตามผลงานศิลปินจริง มันก็มีคนที่ตามผมแบบนั้นอยู่จริงๆ แต่ว่าจะเป็นกลุ่มน้อย อย่างเช่น ถ้าสมมติว่า 100% รู้จักผมสัก 30% รู้ว่าผมคือใคร รู้ว่าเพลงคืออะไร อีก 70% อาจจะอยากสนุกมากกว่า
คือมันไม่เชิงว่าต่างประเทศรุ่งกว่า เพราะว่าตอนนี้ต่างประเทศเขากำลังหาคนในเอเชียอยู่ ซึ่งคนเอเชียมันน้อยที่สามารถไปโตที่โน่นได้ เขาก็สนใจในเรา เพราะว่าตลาดในเอเชียมันดี จริงๆ ทางเอเชียสามารถทำเงินได้เยอะกว่าต่างประเทศด้วยซ้ำ คนเอเชีย คนจีน คนแถวๆ นี้ เขาจ่ายเยอะกว่า
อีกอย่างเขามองศิลปินที่อยู่ที่โน่นเป็นอีก level นึงอะครับ ซึ่งผมคิดว่าควรหันมาโฟกัสศิลปินไทย แล้วก็ push ศิลปินไทย ให้มันเป็นแลนด์ของเรา ศิลปินเอเชียให้มันดูเท่าเขา”
พ่อแม่ต่อต้านความฝัน กว่าจะมาถึงวันนี้
แม้ครอบครัวจะค่อยข้างให้อิสระสำหรับลูกๆ แต่สำหรับเส้นทางสายดีเจ พ่อแม่ก็ไม่ได้สนับสนุน เพราะอยากให้ลูกๆ สานต่อธุรกิจครอบครัว แต่ในที่สุดแล้วความพยายามที่พิสูจน์ให้เห็น ก็เป็นผล จนทำให้พ่อแม่ถึงขั้นติดใจในโชว์ทีไปแสดง
“จริงๆ ตอนแรกก็ไม่ได้สนับสนุนนะครับ ตอนที่ผมเรียนก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอก เขาก็ปล่อย เพราะว่าอยากทำอะไรก็ทำ แต่ you ต้องรับผิดชอบเรียนให้จบ ไม่ถึงขั้นทะเลาะครับ แค่ผมรู้ว่าไม่สนับสนุน
ตอนนี้เข้าใจแล้วครับ หลังจากที่ผมไปเล่น EDC Las Vegas 2 ปีที่แล้ว ได้ไปเล่นที่งาน EDC Las Vegas ครับ ก็บอกว่าได้เล่นงานนี้ เป็นงานที่ใหญ่มาก ตอนแรกผมว่าพ่อแม่ก็ไม่รู้หรอกว่าคืออะไร แต่ผมก็บอกว่าเป็นงานใหญ่มาก เพราะช่วงนั้นโควิด ตอนนั้นทั้งบ้านอยู่อเมริกาครับ ทุกคนก็โอเคไปดู พี่น้องผมเขารู้อยู่แล้วว่าผมทำดีมาก
แต่พ่อแม่ไม่เข้าใจ เขาก็ชวนพ่อแม่ไปดู เขาไปดูเขาก็เห็นว่าโห...งานมันใหญ่มาก ไม่ใช่ที่อโคจร มันเป็นอีก industry นึงเลย มันคือ business music มากกว่า เป็นงานดนตรีระดับโลก เป็นงานดนตรีใหญ่ระดับต้นๆ ของอเมริกาเลยครับ
ตอนนั้นก็พยายามอธิบายให้พ่อแม่ฟัง แต่เขาก็เหมือนยังไม่เชื่อ ไม่ใช่ไม่เชิงว่าไม่เชื่อ อธิบายให้เขาฟัง แต่เขาก็ยังคิดว่าดีเจเป็นอะไรก็ไม่รู้
ก็คือที่ทำมาทั้งหมดเขาก็ไม่ได้ซัพพอร์ตั้งแต่แรก จนถึง EDC เขาก็ยังไม่เชื่อ จนพ่อกับแม่ได้ไปดูงานดนตรีจริงๆ เขาถึงเชื่อว่าไม่ใช่แค่ที่อโคจร แต่มันเป็นงานที่ใหญ่มาก มันเป็นมิวสิคเฟลติวัล เป็นอาร์ท เป็นคาร์นิวัล มันไม่ใช่แค่ดนตรี มันมีสเตจมากกว่า 10-20 สเตจ มีรถรถไฟเหาะ เป็นงานชิงช้าสวรรค์ เป็นเหมือนอีกโลกใหม่เลย ผมคิดว่าเขาเชื่อ เพราะเขาไปนั่งไล่ดูตั๋ว ไปนั่งดูโรมแรม ทุกอย่างมัน sold out จริงๆ เขาก็เลยอยากไป อยากรู้ว่ามันคืออะไร แล้วพอปีนั้นผมไปเล่นวันแรก ผมเล่นจบแล้วนะ แต่สองวันที่เหลือเขาไปกันเอง
บางทีคนชอบคิดว่าบ้านผมมีธุรกิจ คนชอบคิดว่าที่บ้านซัพพอร์ตผมมาตั้งแต่แรก ผมทำเอง จริงๆ เรื่องดีเจถ้าถามคุณแม่ ผมเริ่มมาจากศูนย์เลย เพราะว่าไม่มีใคร ที่บ้านไม่มีใครซัพพอร์ตผมเลยช่วงแรกๆ เขาเพิ่งมาอินกับผมช่วงหลังๆ นี้เอง
ซึ่งใครก็ตามที่จะทำ ทำเถอะ เพราะผมก็เริ่มจากศูนย์เหมือนกัน ก็ทำได้เหมือนกัน มันไม่จำเป็นต้องใช้เงิน คือ you ต้องทำให้ได้ you ต้องมี knowledge ไม่ใช่แค่ทำเพลงอย่างเดียว you ต้องทำ Branding ให้ตัวเอง ต้องแพลงล่วงหน้าว่าเดือนนี้ต้องทำอะไร ปีนี้ผมรู้หมดแล้วว่าเพลงผมออกเดือนไหน วันที่เท่าไหร่บ้าง ผมมีแพลนทุกอย่างอยู่แล้วจากค่ายส่งมา”
นอกจากนี้ เขายังเชื่ออีกว่า ถ้าพ่อแม่สนับสนุนเส้นทางสายนี้มาตั้งแต่แรก เขาก็เชื่อว่าเขาน่าจะไปได้ไกลกว่านี้ด้วยซ้ำ ดังนั้นเขาจึงอยากฝากบอกถึงพ่อแม่ทุกคน อยากให้เป็นอีกหนึ่งแรงสนับสนุนลูกๆ ให้เดินตามความฝันในสิ่งที่อยากจะทำ
“แต่ผมรู้ว่าถ้าสนับสนุน ผมจะไวกว่านี้เยอะ เพราะว่าตอนแรกเขาคงอยากให้ทำธุรกิจมากๆ เขาไม่รู้อะไรเลยว่าแบบว่า เหมือนเขาไม่มี knowledge ในเรื่อง music ไม่มีความรู้เรื่องดีเจกับartist เขาอาจจะมองว่าผมเป็นดีเจไปเล่นกลางคืน อยู่ในซีนอโคจร พ่อผมชอบพูดคำนี้ ผมก็พยายามอธิบายแล้ว แต่เขาก็ไม่เข้าใจ
ผมบอกว่าผมอยากเป็น artist ผมอยากเป็นโน่นนี่นั่น ผมไปเล่นโชว์ ไปเล่นที่ผับ ผมไปเล่น music festival ตอนกลางวันก็มี มันไม่ใช่แบบว่าไปอยู่ที่ผับอย่างเดียว งานคอนเสิร์ตใหญ่ๆ สมัยนี้ อาจจะเข้าใจแล้ว เพราะมันเริ่มมีเข้ามาให้เห็นมากๆ แล้ว”
เชื่อว่าตัวเองทำได้ ก็ลุยเลย
ครอบครัวไม่มีใครซัพพอร์ต แต่จากความชอบเสียงดนตรี นำไปสู่ฝัน พาตัวเองไปไกลได้ถึงระดับโลก คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่นอน เพราะเขาบอกว่า กว่าจะฝ่าฟันมาได้ ต้องทุ่มเท พยายามอย่างมาก
“ผมเป็นคนเอาแต่ใจ ผมอยากได้ผมต้องได้อย่างนั้นเลย ผมเลยเอาชนะตัวเองมากกว่า ผมรู้สึกว่า ผมมองออกว่าจะทำทุกอย่างในเรื่องนี้ยังไง หลายคนก็อาจจะเห็นแบบผมก็ได้ แต่ตั้งแต่ผมทำด้านดีเจมา ผมคิดอะไรผมสำเร็จหมดเลย
ผมคิดว่าผมจะติดค่ายนี้ ผมจะไปทางนี้ ผมจะต่อคนนี้ไปคนนี้ เหมือนผมวางแผนไว้ในหัวแล้วมันเป็นตามที่ผมคิดหมดเลย ตั้งแต่ผมทำมา 3-4 ปีหลัง ประตูมันเปิดไปได้เรื่อยๆ เป็นไปตามที่เราคิด”
แม้จะทำอะไรก็ดูเหมือนจะประสบความสำเร็จตามที่วางไว้ซะทุกอย่าง แต่มีอยู่ครั้งนึงที่เมื่อทุ่มเท ตั้งใจจนประกวดชนะรางวัลที่ 1 แต่ก็มีเหตุทำให้สละรางวัลนั้น เพียงเพราะเป็นคนไทย
“ตอนนั้นมีเฟล หงุดหงิด แล้วรู้สึกไม่แฟร์มาก ตอนนั้นผมอยู่อเมริกา ผมรีมิกส์ communication ของดีเจที่อเมริกา ถ้าสมมติใครทำได้ก็จะติดค่าย เพลงผมผ่านติดค่ายทุกอย่าง แต่ว่าเขาบอกว่า ผมต้องเป็นคนที่โน่นถึงจะติดค่ายได้
ตอนแรกเขาไม่ได้แจ้งมา ผมก็ทำไปจนผมได้ที่ 1 เขาก็ตอบกลับมาว่าผมชนะ ผมก็บอกผมอยู่ไทยผมเป็นคนไทย เขาก็บอกว่ามันไม่ได้ ซึ่งผมก็มองว่ามันไม่ค่อยแฟร์เท่าไหร่ ผมรู้สึกว่าความสามารถผมถึง มันเป็นอะไรบางอย่างที่มันไม่ใช่ อันนี้คือเฟลมาก ผมรู้สึกว่าการโปรดิวซ์ การทำเพลง มันคืองานศิลปะมันควรเปิดรับจากทุกที่”
นอกจากนี้ ดีเจชื่อดังยังเล่าอีกว่า มีบางครั้งที่รู้สึกท้อ แต่การออกไปเที่ยวข้างนอก เป็นอีกวิธีที่ช่วยเติมแรงบันดาลใจให้ไฟฝันไม่ดับมอดลง
“ ยังไม่ถึงเวลาที่มอดดีกว่าตอนนี้ ยังพุ่งอยู่ บางทีผมก็รู้สึกดาวน์ๆ เยอะเหมือนกันนะ บางทีรู้สึกว่าทำไมผมทำขนาดนี้ ทำไมผมได้แค่นี้ ถ้าดาวน์มากๆ ผมไปเที่ยวต่างประเทศ ไปหาแรงบันดาลใจ ไปหาคนใหม่
จริงๆ เป้าหมายผมก็อยากทำตรงนี้ และก็ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ใหญ่มากๆ เหมือนกับ DJ Snake จริงๆ ก็อยากไปถึงแบบมีไพรเวทบินส่วนตัวไปกับครอบครัวไปบินไปโชว์ ผมเอาครอบครัวไปอยู่ข้างหลัง อันนี้คืออยากได้
ต่างประเทศเบอร์ใหญ่ๆ เขาก็มีไพรเวทเจ็ทบินกันไปบินกันมา มันไม่ใช่แค่ดีเจแล้ว มันเป็นศิลปิน 2-3 ปีก่อน พ่อแม่อาจจะมองว่าดีเจ แต่พอไปเจออีกทีเขาเปลี่ยน เพราะว่ามันไปได้ไกลมากครับดีเจจริงๆ แล้ว ถ้าเราทำเพลงมีเพลงของตัวเอง
และ KARTYPARTYY คือเป็นโปรเจกต์ของผม ถ้าเป็นธุรกิจก็คือเป็นบริษัท KARTYPARTYY ก็ได้ ถ้าจะมองแบบนี้ เป็นโปรเจกต์ที่ผมทำขึ้นมา เป็นการสร้าง Branding ให้กับตัวเอง”
อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้เดินได้ไว และไกลในระดับโลกคือ แม้จะเป็นคนเอเชีย แต่ไม่เคยโดนเหยียดแม้แต่น้อย หนำซ้ำยังมีแฟนคลับคอยติดตามให้กำลังใจอยู่ตลอด
“ฝั่งอเมริกาไม่มีใครเหยียด มีแต่คนซัพพอร์ต ทุกคนชอบมากที่ผมเป็นเอเชีย เขาต้องการด้วยซ้ำ เขาหาพวกคุณอยู่ เพลงของผมคือเหมือนของพวกเขาเลย แต่ผมเป็นคนเอเชีย ซึ่งมันแรร์ไอเทมมาก เพราะคนเอเชียไม่เหมือนเขา คนเอเชียจะทำแบบ Mainstream ไม่ใช่แบบที่ผมทำอยู่
คนอเมริกาไม่ใช่มีแค่คนผิวขาว มันมีคนเอเชียที่อยู่อเมริกาด้วย มีคอมมูนิตี้นี้ก็ใหญ่มากเหมือนกัน ซึ่งเอเชียที่โน่นก็ซัพพอร์ตอยู่เหมือนกัน แต่ผมไม่ได้เล่นแค่คอมมูนิตี้นี้นะ ผมก็แบบมีหลายๆ คอมมูนิตี้ ถ้าเป็นเรื่องเพลง เรื่องมิวสิคเขาไม่เคยเหยียดผมเลย เขาเปิดรับมาก โดยเฉพาะศิลปินก็ open มาก
แล้วผมก็ไม่ได้อยู่แค่ค่ายเดียว ผมส่งเพลงเข้าหลายค่ายมาก ก็ไปเจอกับเจ้าของค่ายหลายที่ open มาก ไม่มีการปิดกั้นเลย”
เปลี่ยนมุมมองสังคม อย่าด้อยค่าอาชีพกลางคืน
ในฐานะที่เคยผ่านการต่อต้านจากพ่อแม่มาก่อน จึงให้เจ้าตัวช่วยสะท้อน พร้อมส่งเสียงถึงพ่อแม่ผู้ปกครองท่านๆ อื่น ที่กำลังมีลูกๆ อยากเดินบนเส้นทางนี้ อยากพูดอะไรถึงคนเหล่านั้นบ้าง
ซึ่งเจ้าตัวก็ไม่รอช้า รีบบอกทันทีว่า อยากให้พ่อแม่ทุกคนซัพพอร์ตความฝันลูกๆ ให้เวลา และลองฟังในสิ่งที่ลูกๆ อยากทำดูก่อน
“บางทีผู้ใหญ่ที่ไทยอาจจะมองว่าดีเจ มันเป็นเรื่องของการเที่ยวผับ อยู่ในโลกอโคจร อยู่ในตอนกลางคืน กินของมึนเมา แต่ว่าในมุมมองผม ทุกคนที่เป็นดีเจ ผมมองว่าเขาก็อยากทำงานเพื่อเงิน เพราะเงินมันก็อาจจะดี บางคนทำเป็นดีเจเพราะเขาอยากไปไกล เขามีความฝันเหมือนผม ซึ่งส่วนใหญ่ผมเชื่อว่าความฝันจะอยากไปให้สุด
แต่ว่าจริงๆ ดีเจมันมีหลายแนว มันเป็นดีเจโปรดิวเซอร์ สามารถเป็นศิลปิน สามารถทำอะไรที่โชว์ต่างประเทศได้ เป็นคอนเสิร์ตเฟลติวัลตอนกลางวันได้ มันเป็นอะไรที่ เหมือนนักร้อง เหมือน blackpink เขาก็เล่นสเตจ เล่นงานเดียวกับ DJ Snake มันก็เป็นอย่างนั้นเหมือนกัน
ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน พ่อแม่คนอื่นอาจจะมองอีกแบบนึง แต่คือผมว่า พ่อแม่คนอื่นเขาก็อาจจะเป็นห่วงลูก เขาก็อาจจะเป็นห่วงผม กลัวว่าผมจะทำไม่ได้ แต่เป็นความคิดของผมว่าผมทำได้ ผมว่ามีคนที่อยากทำได้แบบผมอีกเยอะ แต่เขาก็ยังทำไม่ได้ เพราะว่าเหตุผลต่างๆ ที่ผมเห็นก็อาจจะไม่กล้าคุย มันก็เลยไปไม่ได้ แต่ผมว่าความฝันของทุกคนมันเท่าผม สิ่งที่ผมอยากจะบอกพ่อแม่ก็คือ ให้เวลา แล้วก็ฟังลูก ฟังที่เขาอยากบอก แล้วก็ปล่อยให้เขาทำ”
อีกหนึ่งเป้าหมายสำคัญเขาคือ อยากผลักดันทำให้ประเทศไทยเป็นอีกหนึ่งศูนย์กลางเรื่องดนตรี อยากให้ทั่วโลกที่มาเยือนประเทศไทย ได้รับความเต็มอิ่มด้านดนตรีกลับไป
“จริงๆ ความฝันของผมคือ อยากทำให้ประเทศไทยเป็น destination ของเอเชียในเรื่อง อิเล็กทรอนิกส์แดนซ์มิวสิค อยากให้ฝรั่งหรืออะไรก็ตาม อยากให้มาที่ประเทศไทย แล้วอยากให้เขาคิดว่า ที่นี่แหละเป็น destination ถ้ามาไทย you ได้มิวสิคดีๆ แน่ๆ ผมอยากให้คนคิดว่าแบ็งคอกไทยแลนด์ เป็น destination ผมอยาก push map”
ไม่ทิ้ง DNA ด้านธุรกิจ สร้างแบรนด์เสื้อผ้า
“นอกจากดีเจ จริงๆ ผมก็มีแบรนด์เสื้อผ้า THE BIAS CLUB ด้วย ผมทำกับพาร์ทเนอร์ผม ทำตั้งแต่ใกล้ๆ เรียนจบ แบรนด์นึงทำกับเพื่อนอีก 2 คน แบรนด์นึงทำกับพาร์เนอร์ผม ทุกวันนี้ก็ยังขายอยู่ ขายตามสยามสแควร์ พวกร้านสตรีทแฟชั่นในขอนแก่น เชียงใหม่ ทั่วประเทศ พวกดีเจใส่เยอะ แล้วก็ขายตามร้านส่งออกต่างประเทศด้วย ญี่ปุ่น พม่า เดี๋ยวสิ้นปีนี้จะไปทำกับออสเตรเลียด้วย” |
สัมภาษณ์ : ทีมข่าว MGR Live
เรื่อง : พัชรินทร์ ชัยสิงห์
คลิป : จิตริน เตื่อยโยชน์
ภาพ : วชิร สายจำปา
ขอบคุณภาพบางส่วน : อินสตาแกรม @kartypartyy
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **