เปิดใจตำนานเจ้าของฉายา “เด็จพี่” อดีตพระเอกดังขวัญใจแฟนๆ ละครจักรๆ วงศ์ๆ แม้จะอายุ 52 ปีแล้ว แต่ยังคงดูแลตัวเองอย่างดี จนทำให้ความแซ่บของหุ่นนั้นไม่ธรรมดา กับวันที่ต้องเผชิญกับวิกฤตชีวิต “ป่วย” จนต้องหันมาออกกำลังกายจริงจัง อีกมุมเส้นทางทุกมรสุมชีวิต ชีวิตหมดตัว ได้สติเพราะถูกจับยา
แก่แล้วไง? แต่ความแซ่บของหุ่นไม่ธรรมดา
เชื่อว่าใครที่เป็นคอละครพื้นบ้าน หรือเคยติดตามละครจักรๆ วงศ์ๆ ทางช่อง7 สีในอดีต คงจะคุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดีกับพระเอกในตำนานขวัญใจของหลายๆ คน “หนึ่ง-มาฬิศร์ เชยโสภณ” เจ้าของฉายาที่มักจะถูกแฟนๆ เรียกว่า “เด็จพี่” ที่มีผลงานเป็นที่จดจำมากมายในอดีต เช่น ดาบเจ็ดสี มณีเจ็ดแสง, ขวานฟ้าหน้าดำ, ลักษณวงศ์, หลวิชัย-คาวี, สี่ยอดกุมาร
แม้ตอนนี้จะอายุ 52 ปีแล้ว แต่ยังดูแลตัวเองเป็นอย่างดี ทั้งออกกำลังกายและควบคุมอาหาร ถึงแม้ตอนนี้จะไม่ค่อยเห็นบนหน้าจอทีวีบ่อยๆ เหมือนเมื่อก่อน แต่อดีตพระเอกดังยังคงคอยอัปเดตเรื่องราวในชีวิตประจำวันผ่านอินสตาแกรมให้แฟนๆ หายคิดถึงเสมอ
ล่าสุดก็ได้ออกมาโพสต์ภาพตนเองขณะออกกำลังกายเสร็จ พร้อมกับชวนคนหันมาดูแลตัวเอง แต่กลับเจอคอมเมนต์ทักว่าแก่จนจำไม่ได้ ก็มีอีกหลายคนเข้ามาให้กำลังใจและชื่นชมนักแสดงวัย 52 ปีกันอย่างมากมาย ว่ายังคงดูดีและแข็งแรงอยู่ ไม่เห็นจะแก่
วันนี้เราจะพาไปอัปเดตชีวิตของอดีตพระเอกดัง ขวัญใจแฟนๆ ละครจักรๆ วงศ์ๆ กับจุดเปลี่ยนของชีวิต “ป่วย” จนต้องหันมาออกกำลังกายจริงจัง พร้อมคุยถึงทุกมรสุมชีวิต กว่าจะผ่านมาได้
[ตำนาน “เด็จพี่” ขวัญใจแฟนๆ ละครจักรๆ วงศ์ๆ]
“คนทักก็เฉยๆ นะ เพราะจริงๆ เราก็รู้ว่าอายุเราเท่าไหร่ มันก็ไปตามวัย บางคนก็จะติดภาพจำเราในตอนนั้นที่สมัยเขาเด็กๆ มันก็ผ่านมา 30 ปีแล้วเนอะ คนเรามันก็ต้องเปลี่ยน บางทีก็เฉยๆ มากเลยกับการที่คนจะบอกว่า แก่ขึ้น หัวหงอก อ้วนขึ้น เราโดนอย่างนี้มาจนชินแล้ว เพราะฉะนั้นมันก็เลยมีภูมิประมาณหนึ่ง เรารู้ตัวว่าเราทำอะไรอยู่ก็พอแล้ว”
อดีตพระเอกคนดังเล่าว่า ปกติก็ออกกำลังกายอยู่แล้ว เพราะการเป็นนักแสดงต้องดูแลรูปร่างหน้าตาของตัวเองให้ดีอยู่เสมอ แต่ตอนนี้พออายุมากขึ้น ยิ่งให้ความสำคัญในเรื่องสุขภาพมากขึ้น จึงเริ่มจริงจังในการออกกำลังกายมากขึ้น
“ก็ออกกำลังกายมาอยู่แล้ว เพราะเราก็ทำงานตรงนี้ ก็ต้องดูแลรูปร่างหน้าตา เมื่อก่อนก็จะโฟกัสตรงนั้นเป็นหลักมากกว่า แต่พอมาถึงจุดหนึ่ง เริ่มอายุเยอะขึ้น ก็มีช่วงที่ไม่ได้ออกกำลังกายต่อเนื่อง ช่วงที่ทำงานมากขึ้น เราเละเทะ สํามะเลเทเมา เราไม่ได้ดูแลตัวเองมาก จนถึงจุดหนึ่งร่างกายมันก็เริ่มเตือนแล้วว่าต้องหันมาดูแลตัวเอง คราวนี้โฟกัสที่สุขภาพมากกว่ารูปร่างหน้าตารูปลักษณ์ภายนอก
เข้ายิมมาเป็น 10 ปีแล้ว เพียงแต่ว่าความต่อเนื่องการออกกำลังกายมันก็จะไม่มี ประกอบกับว่าเมื่อก่อนทำงานถึงสี่ทุ่ม มีเช้ายันเช้า มีบู๊ มีอะไรต่างๆ เราก็ไม่สามารถที่จะหาเวลาพักผ่อนได้ หาเวลาที่จะฟิตออกกำลังกายได้ มันก็ไหลไปเรื่อย พอทำงานหนักไป พอได้หยุดออกกำลังกาย ก็กินเที่ยวก่อน แล้วออกกำลังกายไปไว้สุดท้าย
แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว ประกอบกับว่าช่วงโควิด คราวนี้มันหยุดยาว เลยไม่ได้ทำงาน อยู่บ้าน ยิ่งอยู่บ้านยิ่งไม่มีอะไรทำ ยิมก็ปิด ก็เลยหาทางออกกำลังกาย น้องเขาก็ซื้อ Treadmill ลู่วิ่งมาวิ่ง อาศัยเดินไปด้วย ซื้อดัมบ์เบลมายกไปพลางๆ ก่อน
เริ่มคลายล็อก ยิมกลับมาเปิด เราก็กลับมาเล่น ซึ่งคราวนี้มันมีเวลามากขึ้น กองถ่ายก็ถ่ายไม่ได้ 100% บางทีถ่ายไปก็มีคนติดโควิดก็จะเบรก เราก็มีเวลาว่างเยอะ ช่วงนั้นก็เข้ายิม 4-5 วัน บางอาทิตย์ก็ 6 วัน รูปร่างก็เริ่มเปลี่ยนโดยที่เราไม่รู้ตัว
เราเจอตัวเองทุกวันในกระจกเราไม่รู้หรอกว่าตัวเองเปลี่ยน แต่พอไปกองถ่ายคอสตูมเริ่มทักว่า พี่หนึ่งตัวใหญ่ขึ้นปะเนี่ย เราก็เฮ้ยก็ไม่นะ น้ำหนักก็ไม่ได้ขึ้นอะไรเยอะแยะ แต่พอใส่เสื้อผ้าเรื่องที่ถ่ายอยู่ เสื้อต้องเปลี่ยนไซส์ จาก L บางตัวก็ต้องเป็น XL บางตัวจาก M ก็มาเป็น L ก็เริ่มรู้ตัวแล้วว่ารูปร่างเราเปลี่ยน”
“โรคหยุดหายใจขณะหลับ” จุดเปลี่ยนที่ต้องใส่ใจสุขภาพ
ที่หันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น รวมถึงให้ความสำคัญในการออกกำลังกายมากขึ้น จุดประสงค์หลักๆ คือ วิกฤตสุขภาพ จากการตรวจเจอว่าตัวเองเป็น “โรคหยุดหายใจขณะหลับ”
“จุดประสงค์หลักจริงๆ พอมารู้ว่าตัวเองเป็นโรคหยุดหายใจขณะหลับ อันนั้นแหละที่ทำให้เรามาโฟกัสเรื่องการออกกำลังกายจริงๆ มากกว่าที่แค่แบบเล่นไปเรื่อยๆ
ช่วงก่อนหน้านั้นที่ออกกำลังกาย คือเข้ายิม heart rate อัตราการเต้นของหัวใจที่วัด ปกติคนเรามันเฉลี่ยไม่ควรเกิน 80 แต่ของเราจะ 79-81 บางทีก็ไปถึง 90 ซึ่งมันก็ค่อนข้างสูง ซึ่งหมายถึงว่าสุขภาพเรามันไม่ได้ดี การหายใจเราก็ไม่ดี ตอนนั้นเราก็ไม่รู้ว่าสาเหตุมาจากอะไร เพื่อนบางคนที่เป็นนักวิ่ง บางคน heart rate เขาอยู่แค่ 60 บางคน 50 กว่าด้วยซ้ำ เราก็เอ๊ะทำไม เราก็ออกกำลังกาย ทำไมเราก็ยังปริ่มอยู่ตลอดเวลา
สุดท้ายพอมาเจอว่าเป็นโรคหยุดหายใจขณะหลับก็เลยอ๋อ การพักผ่อนนี่เอง ที่ทำให้ระบบหายใจเราก็ยังไม่ดี หัวใจเราก็ทำงานอย่างหนักอยู่ ก็รักษาด้วยการใส่เครื่องหายใจ CPAP (Continuous Positive Airway Pressure)”
สำหรับวิกฤตสุขภาพในครั้งนี้ เริ่มจากมีอาการวูบบ่อยๆ รู้สึกง่วงอยู่ตลอดเวลา บางทีจู่ๆ ก็หลับไปโดยไม่รู้ตัว จนตัดสินใจไปตรวจสุขภาพอย่างจริงจัง
“เจอโรคนี้ประมาณปีนิดๆ ที่เจอเพราะเริ่มมีอาการวูบในกองฯ นั่งๆ อยู่แล้วก็ป๊อกไปเลย คือรู้สึกว่าง่วง ทำไมง่วงอย่างนี้ พยายามดื่มกาแฟก็แล้ว อะไรก็แล้ว มันแบบไม่ไหว แล้ววันหนึ่งก็หลับไปเลย 20 นาที กรนดังมาก น้องที่อยู่ในห้องแต่งตัวบอกพี่หนึ่งคงเหนื่อย กรนดังมาก เราก็เริ่มรู้แล้วว่ามันผิดปกติมาก ก็เลยไปทำ Sleep test
เข้าไปนอนโรงพยาบาลคืนหนึ่งเพื่อจะติดเครื่องต่างๆ เพื่อจะเช็กว่าใช่หรือเปล่า เกิดจากอะไร เราหยุดหายใจขณะหลับที่เกิดจากการมีอะไรมาอุดกั้นทางเดินหายใจ
สาเหตุมันแล้วแต่คนเลย บางคนโพรงจมูกคด หรือบางคนน้ำหนักตัวเยอะ หรือบางคนน้ำหนักตัวไม่ได้เยอะ แต่ว่ามีปัญหาเรื่องระบบทางเดินหายใจเวลานอน คือถ้ามีอาการกรน ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่ามีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคนี้ อย่างบางคนน้ำหนักตัวมากๆ แล้วนอนทับ ทำให้การหายใจไม่ได้เต็มที่ มันก็นอนแล้วหยุดไป แล้วก็หายใจเฮือกขึ้นมาใหม่
ถ้าเวลานอนหยุดหายใจเกิน 30 ครั้งต่อ 1 ชั่วโมง ถือว่าค่อนข้างหนักแล้ว แต่นี่หยุดหายใจ 85 ครั้ง เท่ากับว่าทุกๆ 2 นาที หยุดหายใจไป 3 ครั้ง มันก็ถือว่าหนัก หัวใจทำงานหนัก เราก็ต้องจริงจังมากขึ้น ให้ความสำคัญต่อการออกกำลังกาย การนอน การพักผ่อนให้มากขึ้น”
เมื่อเจอกับวิกฤตสุขภาพ ทำให้ตระหนักได้ว่าการออกกำลังกายไม่เพียงใช้เป็นเครื่องมือในการลดน้ำหนัก หรือดูแลรูปร่างเพียงอย่างเดียว การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และใส่ใจมากขึ้น ยังช่วยรักษาโรคที่กำลังเผชิญอยู่ด้วย
“จะเรียกว่าออกกำลังกายสู้โรคไหม คือด้วยความที่มันดันมีโรคด้วย มันอาจจะรู้สึกอย่างนั้นด้วย แต่มองว่าเพื่อตัวเอง ไม่ว่าจะต่อสู้กับโรค หรือไม่ต่อสู้กับโรค เพื่อสุขภาพตัวเองเป็นหลักมากกว่า อย่างบางคนไม่มีโรค ฉันไม่ต้องออกกำลังกายก็ได้ เพราะฉันคิดว่าฉันแข็งแรง แต่คุณไม่รู้หรอกว่าในตัวคุณอาจจะมีอะไรอยู่โดยที่คุณไม่รู้ก็ได้ เพราะฉะนั้นการออกกำลังกาย คือทำให้สุขภาพตัวเองแข็งแรงไว้ก่อนดีกว่า ก็น่าจะเป็นเรื่องที่ดี
อย่างบางคนทุกศุกร์-เสาร์ อดไม่ได้ที่จะไปปาร์ตี้ดื่มเหล้ากับเพื่อน เพราะฉะนั้นในวันอื่นๆ ถ้าคุณออกกำลังกายไปด้วย มันก็น่าจะดีกว่าที่คุณปาร์ตี้อย่างเดียว แล้วคุณก็ไม่ได้ดูแลตัวเอง
พอถึงวันหนึ่งร่างกายมันไม่ไหว มันก็จะแสดงอาการเรียกร้องมาว่า ฉันไม่ไหวแล้ว มันมีอาการอะไรเกิดขึ้นมา มันมีโรค หรืออาการต่างๆ ที่มันแย่ลง เพราะฉะนั้นยังไงออกกำลังกายมันก็ดี บางทีมันก็ช่วยเรื่องสมองด้วย สมองปลอดโปร่ง ได้รับออกซิเจนเข้าไป ไม่ว่าจะเรื่องงาน เรื่องอะไรมันก็คิดได้ทะลุปรุโปร่งมากกว่า เราก็เคยผ่านช่วงปาร์ตี้ ดื่มเหล้าเยอะๆ ตื่นมาก็แฮงก์ หัวสมองก็ตื้อ นึกอะไรก็ไม่ออก แต่พอออกกำลังกายแล้วมันก็เปลี่ยน แต่ก็ต้องทำอย่างสม่ำเสมอด้วย
ถ้าเทียบกับเมื่อก่อน ออกกำลังกายเพื่ออยากหุ่นดี อยากให้ดูมีกล้าม ก็เปลี่ยนโฟกัสมาที่สุขภาพมากกว่า ส่วนเรื่องรูปร่างมันเป็นเรื่องผลพลอยได้”
ใช้เครื่องช่วยหายใจตลอดชีวิต เสี่ยงสมองเสื่อม
หลังจากก่อนหน้านี้ต้องเข้ารับการรักษาเป็นการด่วนเพื่อเช็กอาการของโรค จนได้พบว่าคนที่เป็นโรคนี้ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจเวลานอนตลอดชีวิต
“มันรักษาไม่หายครับ เพราะเราก็ยังหยุดหายใจอยู่นะ เพียงแต่ว่ามันต้องใส่อุปกรณ์ตอนนอน ซึ่งที่เขาเรียกว่าเครื่อง CPAP ที่มันจะช่วย มันก็จะมีเซ็นเซอร์จับว่าตอนนี้เราหยุดหายใจ มันก็จะอัดอากาศเข้าไปเพื่อให้เราหายใจได้ตามปกติ ไม่งั้นถ้าเราหยุดหายใจ ปอดมันก็ไม่ทำงาน พอปอดไม่ทำงาน สักพักสมองมันก็จะปลุกให้เราตื่น หายใจๆ เราก็จะกลับมาหายใจ
เพราะฉะนั้นถ้าเวลาเราหลับ ก็จะหลับไม่สนิท ก็จะถูกปลุกให้ตื่นด้วยสมองขาดออกซิเจน เพราะปอดไม่ทำงาน เราไม่ได้หายใจ แต่เครื่องมันช่วยตอนเราหยุดหายใจ เซ็นเซอร์ก็จะจับได้ว่าหยุดหายใจ มันก็อัดอากาศเข้าไปในปอดเรา ปอดก็ทำงาน ฟอกออกซิเจนไปเลี้ยงสมองตามปกติ คุณภาพการนอนก็จะดีอย่างเห็นได้ชัด
อย่างที่บอกว่าอัตราการเต้นของหัวใจอยู่ที่ 79-80 กว่า ซึ่งเกินมาตรฐาน ทุกวันนี้เหลือ 60-62 ก็คือดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด บวกกับการที่เราออกกำลังกายด้วย เมื่อก่อนเราออกกำลังกาย แต่การพักผ่อนเราแย่ คุณภาพการนอนเราแย่ มันก็ยังไม่ได้ช่วยมาก ก็ใส่เครื่องช่วยหายใจนอนทุกคืนครับ ถ้าไม่ใส่ก็หัวทิ่มเหมือนเดิม ใส่นอนประมาณปีนิดๆ ครับ”
อดีตพระเอกดังยังบอกอีกว่า เป็นโรคที่ไม่มียารักษาให้หายขาด สามารถกลับมาเป็นตอนไหนก็ได้ เพราะฉะนั้นในชีวิตนี้จึงทำให้เขาขาดเครื่องนี้ไม่ได้
“ไม่มียารักษา เทียบง่ายๆ ก็เหมือนรีเทนเนอร์ เหมือนที่ดัดฟัน คือถ้าคุณไม่ใส่สักสองสามวัน ฟันมันก็จะเคลื่อน เหมือนกันกับอันนี้ ถ้าคุณไม่ใส่นอนสองสามวัน อาการเดิมก็กลับมา เพราะว่ามันไม่ได้ช่วยรักษาให้คุณไม่หยุดหายใจ คุณยังหยุดหายใจ 85 ครั้งต่อ 1 ชั่วโมงเหมือนเดิม
เพียงแต่ว่าเครื่องนี้มันเข้าไปช่วยตอนที่คุณหยุดหายใจให้คุณหายใจได้ แค่นั้นเอง เพราะฉะนั้นถ้าเราไม่ใช้เครื่อง เราก็จะหยุดหายใจอย่างนี้ไป แล้วก็วันก่อนไม่ได้ใช้ไปสองวัน ออกกองตอนบ่าย หัวจะทิ่มแล้ว อาการก็กลับมาเหมือนเดิมเลย ก็ขาดเครื่องนี้ไม่ได้”
โรคนี้ถือเป็นปัญหาต่อสุขภาพร้ายแรงทีเดียว เพราะนอกจากจะรักษาไม่หายขาดแล้ว ยังส่งผลกระทบคือเสี่ยงเป็นโรคสมองเสื่อมอีกด้วย
“พอรู้อาการก็ถามหมอว่า อย่างนี้แก่ไปผมจะเป็นอัลไซเมอร์ไหม หมอบอกอย่างคุณไม่เป็นหรอก อย่างคุณมันเรียกว่าโรคสมองเสื่อม เพราะมันรู้ว่าสาเหตุมาจากที่คุณหยุดหายใจ แล้วสมองขาดออกซิเจน เซลล์สมองมันถูกทำลายไป ความจำมันเสื่อมจากสาเหตุนี้ คืออย่างอัลไซเมอร์มันไม่รู้สาเหตุที่แน่ชัดว่าเพราะอะไรที่เกิดขึ้น แต่อันนี้ของคุณรู้สาเหตุ คุณต้องเรียกว่า โรคความจำเสื่อม
ซึ่งก็ใช่ เราก็รู้สึกตัวว่า ความจำเราบางทีเราไม่เหมือนเมื่อก่อน ไม่ใช่ว่าเราแก่ลงแล้วจำอะไรไม่ค่อยได้ แต่เรารู้สึกเลยว่า สมองเราเมื่อก่อนที่มันสามารถจำอะไรได้แม่นมาก บางทีเราก็คิด นั่งทำบท พิมพ์บท ลืมชื่อพระเอก ทั้งๆ ที่เรากำลังพิมพ์อยู่ มีไดอะล็อก พระเอกพูดกับนางเอก ไปเขียนเรื่องตัวร้าย ไปเขียนโน่นเขียนนี่ พอวนกลับมา เอ๊ะพระเอกชื่ออะไร คือแบบมันไม่ใช่คนในวัย 50 กว่าที่จะมาขนาดนี้
นั่นแหละเราก็เลยคิดว่า น่าจะมาจากที่สมองเราขาดออกซิเจนแล้วถูกทำลายไป เป็นระยะเวลานานกว่า 10 ปี กว่าที่เราจะมาเจอตรงนี้ เพราะฉะนั้นมันก็เลยไปค่อนข้างเยอะ บางทีก็ลืมปิดประตูบ้าน ขับรถออกจากบ้านแล้วกลับมา อ้าวประตูบ้านเปิดเอาไว้ก็มี ก็ต้องพยายามเตือนตัวเอง
คือสมองมันถูกทำลายไปประมาณหนึ่งแล้วมันไม่สามารถที่จะกลับมาได้ ไม่ใช่ว่ากินยาแล้วจะกลับมาเหมือนเดิม ตอนนี้ก็พยายามให้มันเสื่อมน้อยที่สุด ในระยะเวลานี้เราก็ต้องประคับประคองมันไป
ตอนนี้เราไม่ได้หยุดหายใจตอนหลับแล้ว สมองก็ได้รับออกซิเจน ก็ไม่ได้ถูกทำลายไป ก็ประคองมันไป ให้มันอยู่ในขั้นนี้ให้ได้นานที่สุด”
เจาะทริก!! ปั้นกล้าม หุ่นแซ่บ
ที่เห็นหุ่นไม่ธรรมดา กล้ามใหญ่ๆ แบบนี้ บอกเลยกว่าจะได้มาต้องมีวินัยในการออกกำลังกายมากๆ ซึ่งเมื่อถามถึงทริกการปั้นหุ่นที่ไม่ธรรมดาในวันนี้ เจ้าตัวก็ออกตัวก่อนเลยว่า ไม่ได้มีทริกอะไรเลย ส่วนใหญ่จะพยายามมีวินัยในการออกกำลัง ส่วนหุ่นที่ได้มา ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ารูปร่างตัวเองเปลี่ยนไปจนมีคนทัก
“ถ้าพูดถึงกล้ามมันต้องบอกเป็นส่วน แต่ละคนกล้ามขึ้นได้ไม่เหมือนกัน บางคนเล่นเยอะแต่แขนไม่ขึ้น บางคนแขนขึ้นง่าย ขาขึ้นยาก อย่างเราขาขึ้นยากมากเพราะเป็นคนกระดูกเล็ก แล้วกล้ามเนื้อขาน้อย คนอาจจะบอกทำไมไม่เล่นขา เล่น ทำไมจะไม่เล่น เพียงแต่ว่ามันขึ้นยากกว่า แล้วไหล่กับแขนมันจะขึ้นง่ายกว่า
คนที่จะพยายามลดน้ำหนัก ก็จะพยายามลดน้ำหนักอย่างเดียว ไม่ออกกำลังกายเลย ซึ่งมันจะเหี่ยว มันจะเละ เพราะว่ากล้ามเนื้อมันสลายไป แต่การที่ลดน้ำหนักแล้วก็ออกกำลังกายด้วย คุมอาหารด้วย มันก็ไปได้เร็วกว่า อีกอย่างกล้ามเนื้อยิ่งเยอะ เมตาบอลิซึมยิ่งต้องใช้พลังงานในการเผาผลาญเยอะขึ้น มันก็ยิ่งช่วยให้เรื่องการเผาผลาญพลังงานเยอะขึ้น พวกกล้ามใหญ่ถึงต้องกินเยอะ
จะพยายามให้ได้อาทิตย์ละ 3-4 วัน ถ้าอาทิตย์ไหนว่างมาก ก็อาจจะถึง 5 วัน ก็พยายามที่จะให้มันได้เยอะที่สุด หรือบางวีกออกได้น้อย วีกต่อไปก็จะพยายามชดเชยให้มากขึ้น คนที่ออกกำลังกายมักจะมีช่วงหนึ่งที่เรียกว่าเหมือนมีอาการเสพติด เพราะว่าพอไม่ได้ออกกำลังกายแล้วจะรู้สึกหงุดหงิด มันไม่เฟรช แต่ถ้าหยุดไปนานสักระยะหนึ่งมันจะเริ่มขี้เกียจ เพราะฉะนั้นส่วนใหญ่ทุกอาทิตย์ก็จะพยายามให้ได้ 3-4 ครั้ง แต่ก็ต้องจัดสรรเวลาให้ได้
ก็มีว่ายน้ำด้วย เวตเทรนนิ่งด้วย คือด้วยความที่เวลาว่างเราไม่เหมือนชาวบ้านเขา อย่างเพื่อนบางกลุ่มเขาก็จะมีก๊วนตีแบดฯ ก๊วนตีเทนนิส เลิกงานแล้วเขาไปได้ แต่อย่างเราเลิกงานไม่เหมือนชาวบ้านเขา ก็หากีฬาเล่นคนเดียวได้ อย่างว่ายน้ำว่ายเมื่อไหร่ก็ได้ ไปว่ายคนเดียว อย่างมายิมก็คนเดียว
เพียงแต่ว่าโดยนิสัยส่วนตัวคือเป็นคนขี้เกียจ และไม่มีวินัย เพราะฉะนั้นการที่จะมายิม ใครที่เป็นแบบเราเลยควรต้องจ้างเทรนเนอร์ เพราะจะทำให้เรารู้สึกว่ามีคอมมิตกับมัน คือเราต้องมา นัดเขาแล้วตามนี้ และด้วยความที่เราต้องทำหลายอย่างในงาน ในหัวมันก็จะคิดเรื่องงานทำโน่นทำนี่ไป มีเทรนเนอร์ก็ไม่ต้องคิด วันนี้เล่นอก เขาก็จับเลยว่าใส่น้ำหนักเท่านี้ๆ”
ตอนนี้เจ้าตัวยอมรับว่ากลายเป็นคนเสพติดการออกกำลังกายไปแล้ว ถ้าวันไหนไม่ได้ออกกำลังกายจะรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันที
“(เสพติดการออกกำลังกาย) ก็คิดว่าใช่ เพราะตอนนี้เรารู้สึกว่าร่างกายเราดีขึ้น จากเมื่อก่อนนิดๆ หน่อยๆ ก็น้ำมูกไหล คันคอ อะไรก็แล้วแต่ที่มีอาการแพ้ พอออกกำลังกายแล้วมันก็รู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้น นอนได้เต็มที่ สบายขึ้น ร่างกายมันฟื้นคืนสู่สภาพปกติได้เร็ว แล้วก็ไม่ออกไม่ได้ มันก็จะรู้สึกอึดอัด หงุดหงิด เหมือนกับเราไม่ได้ทำอะไรดีๆ ให้กับตัวเอง”
ส่วนทริกการกิน เป็นอีกหนึ่งอย่างที่ต้องให้ความสำคัญสำหรับคนที่ออกกำลังกาย และดูแลให้หุ่นดูดีอยู่ตลอดเวลา สำหรับอดีตพระเอกดังไม่ได้ควบคุมการกินแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะไม่อยากเครียดจนเกินไป แต่ก็มีเลือกกินบ้างเป็นบางครั้ง
“เป็นคนกินเละเทะมาก เป็นคนกินหวาน กินขนม กินเค้ก บางทีรู้สึกทำงานเหนื่อยแล้วรู้สึกน้ำตาลตก ต้องการของหวาน น้ำอัดลมอะไรอย่างนี้ แต่เดี๋ยวนี้โชคดีเดี๋ยวนี้น้ำอัดลมมีแบบ 0% ก็ช่วยได้
แล้วข้อดีเป็นคนที่กินอาหารสุขภาพได้ ข้าวกล้อง ข้าวไรซ์เบอร์รี กินได้โดยไม่มีปัญหา บางคนอาจจะบอกว่ามันไม่อร่อย อาหารคลีนกินก็ไม่มีรสชาติ เรากินได้ แต่ไม่ได้มีวินัยพอที่จะกินทุกมื้อทั้งวีก แต่ก็จะแบบว่าวันนี้กินคลีนแล้วประมาณหนึ่ง ให้รางวัลตัวเองหน่อย หรืออย่างเมื่อวานกินคลีนมาสองมื้อแล้ว ตกเย็นอากาศมันร้อนมาก ให้รางวัลตัวเองซะหน่อย ก็ออกไปกินน้ำตาลบ้าง (หัวเราะ)
คือไม่ต้องเป๊ะขนาดนั้น ถ้าเป๊ะขนาดนั้นมันก็จะดี ก็เชื่อว่าเราทำได้ หุ่นมันก็จะดี สุขภาพมันก็จะดีกว่านี้ แต่เรามีความรู้สึกว่า บางอย่างพอเราตึงเกินไป มันก็เครียดเกินไป การที่บังคับตัวเองให้ไม่ๆ ทุกอย่าง แล้วทำแบบนี้ไปทุกอย่าง บางทีมันเครียดเกินไป มันก็ไม่ดีต่อสุขภาพเหมือนกัน เพราะฉะนั้นก็เอาเท่าที่ได้ กินผัก กินปลาไม่มีปัญหา ก็กินไป แต่บางมื้อก็น้ำตาลหน่อย (หัวเราะ)
หรืออย่างเมื่อก่อน รู้สึกว่าจะไม่ค่อยเขี่ย เช่น หนังเป็ด หนังไก่ ของโปรด ข้าวขาหมูกินแต่หนัง คราวนี้ก็เริ่มเขี่ยหนังออก ก็กินบ้าง แต่ให้มันน้อยลง ลดลง ซึ่งมันก็ดีขึ้นจริงๆ เพียงแต่ว่า ถ้าจะให้มันดีขึ้นจริงๆ ก็ไปสุดเลย แต่เรายังรัก ยังติดในรสชาติ ติดความอร่อย ก็มีบางทีหลุดๆ กินเค้ก กินชีสอะไรไป”
สุดท้าย นักแสดงวัย 52 ปีก็ได้ฝากทริกง่ายๆ สำหรับคนที่อยากจะหันมาใส่ใจดูแลสุขภาพตัวเองด้วยการออกกำลังกาย ซึ่งบอกทริกง่ายๆ สั้นๆ ไว้ว่า ทำยังไงก็ได้ให้เริ่มให้ได้ก่อน และวินัยเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับคนที่คิดอยากออกกำลังกาย
“ต้องเริ่ม ต้องทำยังไงก็ได้ให้เริ่มก่อน แล้วก็กลับไปที่วินัย ถ้าคุณสามารถที่จะจ้างเทรนเนอร์ได้จ้างเถอะ เพราะเขาจะทำให้คุณต้องมาออกกำลังกาย แล้วเมื่อออกกำลังกายไปถึงจุดหนึ่งอย่างที่บอก ความสม่ำเสมอ ช่วงต้นๆ มันจะมีอาการเจ็บ เมื่อยล้า แค่แป๊บเดียว ทนมันหน่อย
พอผ่านช่วงนั้นมาได้ก็จะสบาย เพราะการเจ็บเมื่อยล้ามันมีทุกคน อย่างเราหยุดเล่นไปสองสามอาทิตย์ แล้วกลับมาเล่นใหม่ มันก็มีอาการนั้น เพราะฉะนั้นแค่อย่าท้อ เล่นไปแล้วโอ๊ยเจ็บจังเลย ไม่เอาดีกว่า พอผ่านจุดหนึ่งมาได้ พอถึงจุดเสพติดแล้วคุณจะไปต่อได้ ขอแค่วินัยสำคัญสุด
ทุกอย่างต้องมีก้าวแรก เหมือนมีคนมาถามว่า อยากเป็นนักแสดงต้องทำยังไง อยากเป็นนักเขียนบทต้องเริ่มยังไง ก็คือต้องเริ่มลงมือก่อน ถ้าไม่เริ่มลงมือมันก็จะมีแค่ความอยาก แล้วมันก็จะไม่เกิดขึ้นจริง ถ้าคุณอยากออกกำลังกาย อยากหุ่นดี สุขภาพดี เริ่มจากลงมือทำก่อนเลย บางคนบอกแถวบ้านไม่มียิม เริ่มจากเดินก่อนก็ได้ จากนั้นก็ค่อยๆ เริ่มมาวิ่ง
เดี๋ยวนี้ข้อมูลในออนไลน์เยอะมากที่มีให้เราได้ศึกษา ถ้าคำแนะนำอย่างเดียวก่อนคือ ลงมือก่อนเลย อย่าคิดว่าเมื่อไหร่ดี ฉันยังไม่พร้อมวันนี้ มันก็จะเป็นข้ออ้างไปเรื่อยๆ มันไม่มีวันไหนที่คุณพร้อมหรอก แต่ถ้าคุณรู้สึกอยากออกกำลังกาย ก็เริ่มลงมือเลยตั้งแต่วันนี้ หรืออยากจะทำอะไรก็เริ่มลงมือเลย มันอาจจะไม่ได้สำเร็จภายในวันเดียวหรอก เพียงแต่ว่าถ้าคุณไม่เริ่มมันก็ไม่สำเร็จสักที”
เคยเลือกทางผิด ใช้ “ยาเสพติด” หนีปัญหา
จากพระเอกที่ละครจักรๆ วงศ์ๆ เรตติ้งพุ่งเป็นอันดับหนึ่งในช่วงนั้น แต่แล้ววันหนึ่งจู่ๆ เมื่อถึงจุดที่ละครพีกสุด ชีวิตกลับดิ่งลงแบบไม่มีใครเชื่อ ทั้งสูญเสียคุณพ่อ-คุณแม่ ถึงขนาดไม่มีงานทำ ไม่มีเงินกินข้าว สุดท้ายใช้ยาเสพติดหนีปัญหาชีวิต จนโดนตำรวจจับ ทำให้คิดได้
“เราเชื่อว่าทุกคนมีช่วงเวลาชีวิตที่ดีและไม่ดี ช่วงกลางๆ ช่วงแย่สุด ช่วงพีก มันก็ต้องผ่านจุดนั้นมา เรามาพูดได้เพราะมันผ่านเวลามานานแล้ว คือ ณ ช่วงเวลาที่เรียนรู้ เราก็เชื่อว่าหลายคนอาจจะมองทางออกที่จะสู้ปัญหา หรือจะหนีปัญหาแตกต่างกัน เพราะฉะนั้นมันอยู่ที่การเรียนรู้ และอยู่ที่วิธีคิดที่เมื่อเวลามีปัญหาว่าคุณจะคิดยังไง
ถ้าคุณมีสติมากพอ คุณก็จะเลือกทางออกที่ถูก แค่ถ้าคุณขาดสติ แล้วคุณรู้สึกว่าชีวิตฉันมันย่ำแย่เหลือเกิน มันไม่มีทางไป ไปเลือกทางออกที่ผิด ก็เละเทะได้ แต่ทั้งหมดทั้งปวงก็คือ เมื่อเกิดเหตุการณ์นั้นแล้วคุณจะกลับมายังไงมากกว่า สุดท้ายก็ไปจบที่คำว่ามีสติ ถ้าคุณมีสติตั้งแต่แรกคุณก็จะเลือกทางที่ถูก แต่ถ้าคุณขาดสติ แล้วคุณไปเลือกทางที่ผิด คุณก็ต้องมีสติเพื่อจะกลับจากทางที่ผิดนั้นกลับมาในทางที่ถูก
บางคนอาจจะไม่มีสติต่อไปเรื่อยๆ จนถึงวาระสุดท้าย บางคนอาจจะมีสติกลับมาได้เร็วมาก แล้วกลับตัวกลับใจได้เร็ว ไม่ใช่ว่าจะเป็นแค่เรื่องยาเสพติดอย่างเดียว เรื่องการใช้ชีวิตทั้งหมด การที่คุณคิดจะไปโกงเขา คุณจะชวนเขาเล่นแชร์ลูกโซ่ นั่นแหละเพราะคุณขาดสติไง คุณเห็นว่าจะได้เงินง่ายๆ แล้วคนอื่นเดือดร้อนยังไงฉันไม่สน เพราะไม่ใช่ความรับผิดชอบของฉัน ฉันเอาแค่นี้ แล้วสุดท้ายพอมาถึงวันหนึ่ง เมื่อผลกรรมมันตามทัน หรืออะไรก็แล้วแต่ คุณก็ต้องมีสติหาทางแก้ไขตรงนั้นให้ได้
จุดที่เรียกสติก็ถูกตำรวจจับ เพราะฉะนั้นเราไม่โทษอะไรเลย จากตรงนั้นมันก็พลิกกลับมาเลย ตอนที่นั่งอยู่ในห้องขัง มันได้อยู่คนเดียว แล้วมันได้ย้อนคิด ทุกอย่างภาพมันเหมือน Flashback มันเหมือนในหนัง ภาพทุกอย่างมันไหลกลับมาหมด แล้วก็โชคดีที่เราได้คิด
เรื่องนี้มันเกิดขึ้นมาเพราะอะไร เราจะจัดการยังไงต่อ โอเคเราอาจจะยังไม่รู้ว่าจะจัดการอะไรได้มาก พอสติมันกลับมามันก็รู้แล้วว่าเราจะต้องตั้งสติยังไงกับสิ่งที่มันเกิดขึ้น แล้วเราจะดำเนินชีวิตต่อไปยังไงแค่นั้นเอง เหมือนคำพุทธศาสนา แค่อยู่กับปัจจุบัน ถ้าปัญหาอยู่ตรงนี้ ก็แก้มันตรงนี้ ปัญหาอยู่ข้างหน้าอย่าเพิ่งคิด เพราะมันยังมาไม่ถึง ไม่ใช่เราไม่ระวัง แต่เราเรียนรู้แล้วว่า ความสุขความทุกข์ไม่ได้อยู่กับเราตลอด ทุกข์ไปวันหนึ่งมันอาจจะสุขขึ้นมาได้ สุขไปวันหนึ่งอาจจะร่วงลงมาได้ แค่เรียนรู้ที่จะรับมือกับมันอย่างมีสติ”
ถ้าย้อนกลับไปได้ หากให้ตัดสินใจได้อีกครั้งว่าจะให้ยาเสพติดแก้ปัญหาชีวิตอยู่หรือไม่ อดีตพระเอกคนดังก็ตอบว่า ก็ยังคิดว่าจะทำเหมือนเดิม เพราะถ้าไม่มีเหตุการณ์ในวันนั้นช่วยเรียกสติ ก็คงไม่มีตัวเองเหมือนในวันนี้
“เคยมีคนถามว่า ถ้าย้อนเวลากลับไปได้จะทำไหม จะเดินทางนี้ไหม คำตอบคือทำ ถ้านั่งไทม์แมชชีนกลับไปบอกตัวเองวันนั้นได้ ทำไปเถอะ แล้วเธอจะได้เรียนรู้ว่าสิ่งที่ทำอยู่ผลมันจะออกมาเป็นยังไง ถ้าไม่มีเหตุการณ์ในวันนั้น พูดตรงๆ ก็จะไม่ได้มีเราในวันนี้ ความคิดเราก็จะไม่เหมือนวันนี้ เพราะเราไม่ได้มีประสบการณ์ตรงนั้นที่มาสอนเรา
ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้แล้วคุณเลือกชอยส์นี้ขึ้นมาเราจะเป็นยังไง โอเคเราอ่านจากคนอื่นได้ที่เดินทางผิด แต่บางอย่างถ้ามันไม่ได้เกิดขึ้นกับตัวเอง คุณก็ไม่มีวันรู้หรอก ไม่เสียใจที่มันเกิดขึ้น ก็ดีแล้วที่มันเกิดขึ้น เพราะมันทำให้เรามีสติกลับมา เหมือนคนบ้าๆ แล้วไม่มีสติ แล้วโดนตบหน้าเปรี้ยง แล้วสติมันกลับมา ไม่ได้โดนตบแล้วฟูมฟายว่าทำฉันทำไม พอสติกลับมาปุ๊บ เราก็จะรู้แล้วว่า โอเคเราจะทำยังไงที่จะหลุดไปจากตรงนี้
โฟกัสชีวิตเราก็เปลี่ยนไป ความรู้สึก มุมมอง การใช้ชีวิตเปลี่ยน ชีวิตตอนนั้นสุขสบายมากกว่าตอนนี้อีกนะ แต่เรามีความสุขตอนนี้มากกว่าตอนนั้น เพราะเราเรียนรู้มาแล้วว่า บางสิ่งบางอย่างที่อยู่ภายนอก มันไม่ได้สำคัญเท่ากับความรู้สึกข้างใน
การที่แต่งตัวแบรนด์เนมหัวจดเท้าเพื่อให้คนมองว่าเราดูดี กับวันนี้เราไม่ต้องแต่งตัวอะไรเลย ไม่ต้องให้ใครมามองว่าเราแต่งตัวดูดี แต่เรามีความสุข เรารู้สึกดีจากตัวเราเองก็พอแล้ว เพราะฉะนั้นไม่เสียใจ แล้วไม่รู้สึกว่า อย่าทำอย่างนี้ เราจะบอกว่า ทำไปแล้วเดี๋ยวเธอก็จะรู้ว่าอะไรมันจะเกิดขึ้นจากการทำแบบนี้”
นอกจากนี้ อดีตพระเอกคนดังยังฝากถึงคนที่ยังหลงอยู่ในวงโคจรยาเสพติดอีกด้วยว่า ก่อนจะตัดสินใจทำอะไรลงไป ขอให้รักตัวเองให้มากๆ ทุกคนรู้ได้ว่าอะไรถูก อะไรผิด ถ้าเจอปัญหา ให้มองว่าเดี๋ยวมันก็ผ่านไป อย่าใช้ยาเสพติดในการแก้ปัญหา
“ถ้าไม่มีที่ยึดเหนี่ยว อย่างน้อยที่สุดก็ต้องรักตัวเอง ถ้าไม่มีใครเลย ญาติ พ่อแม่พี่น้อง แล้วอยู่ตัวคนเดียว รู้สึกว่าชีวิตมันแย่เหลือเกิน อาจจะเลือกทางออกด้วยการใช้ยาเสพติด ฆ่าตัวตาย เรามีความรู้สึกว่า ถ้าคุณรักตัวเองมากพอ คุณจะสามารถมองสิ่งแย่ๆ มันก็แค่ปัญหา เดี๋ยวเราก็ผ่านไปได้ ที่เขาบอกว่า อะไรที่ฆ่าเราไม่ตาย มันจะทำให้เราแกร่งขึ้น ก็จริง ทุกวันนี้ถ้าเจอปัญหา ก็จะคิดว่า เมื่อก่อนปัญหาใหญ่กว่านี้เราก็ผ่านมาได้ มันก็เป็นแค่เรื่องเล็กน้อย
คนเรามันรักตัวเองอยู่แล้ว เพียงแต่ว่ามันรักตัวเองในทางที่ถูกหรือผิดแค่นั้นเอง บางคนรักตัวเองในทางที่ผิด ฉันทำยังไงก็ได้ให้ตัวเองมีความสุข คนอื่นจะลำบาก ฉันจะเหยียบหัวใคร ฉันจะไปโกงใคร ฉันไม่สน อันนั้นก็รักตัวเองในทางที่ผิด
แต่ละคนมีสิ่งยึดเหนี่ยวไม่เหมือนกัน บางคนอาจจะเข้าหาพระ พระเจ้า ศาสนา หรืออะไรก็ได้ แต่เราเชื่อว่า ถ้าคุณรักตัวเองมากพอ คุณจะไม่พาตัวเองไปในจุดที่มันแย่ แล้วถ้าคุณคิดได้ คุณก็น่าจะกลับมา แต่ถ้าไม่ได้จริงๆ ขอความช่วยเหลือ การที่มีปัญหาแล้วจมอยู่กับปัญหาแล้วไม่รู้จะออกยังไง หรือต้องการคนอื่นมาเป็นกระจก หรือมาสะท้อน หรือยื่นมือเข้ามาช่วยเรา บางทีการที่เราไม่ได้ร้องขอ เขาอาจจะไม่รู้ก็ได้ว่าเรามีปัญหาอยู่
ลองบอกออกไป พูดออกไป เผื่อมีใครช่วยได้ ก็อาจจะเป็นอีกหนึ่งวิธี ซึ่งก็เคยทำ พอไม่มีใครช่วยได้ มันก็อาจจะแย่กว่าเดิมก็มี แต่ตอนนั้นเราก็ไม่ได้รักตัวเองด้วยแหละ ทุกวันนี้ก็รักตัวเองให้เต็มที่ เพราะสุดท้ายแล้วไม่มีใครรักเราเท่ากับตัวเราอยู่แล้ว แล้วเราก็ไม่ได้รักใครมากกว่าตัวเองอยู่เหมือนกัน ต่อให้เราจะรักเขามากแค่ไหน สุดท้ายเราก็รักตัวเองมากกว่าอยู่ดี ก็รักษาร่างกายนี้ให้อยู่กับเราไปนานๆ”
จากเบื้องหน้า สู่เบื้องหลัง นักแสดง-เขียนบท-แอ็กติ้งโค้ช
“ตอนนี้ก็อยู่เบื้องหลังครึ่งหนึ่ง เบื้องหน้าอีกครึ่งหนึ่ง มีเขียนบทละคร ล่าสุดมีบทหนังที่เขากำลังคุยอยู่อยากให้เขียน มีโค้ชนักแสดงบ้าง ทำเบื้องหลัง ทำย่อนิยาย อ่านนิยาย ทำพล็อต ส่วนใหญ่จะออกไปทางเขียนและก็แอ็กติ้งมากกว่า ว่าจะทำยูทูบก็ยังไม่ได้ทำสักที จนตอนนี้คนออกจากยูทูบไปอยู่ติ๊กต็อกหมดแล้ว ข้อดีของเราคือเราเรียนละครมา มันก็มีองค์ความรู้ที่อยู่กับตัวเรา พอไม่ได้อยู่เบื้องหน้าในจุดที่เราทำอยู่ จากประสบการณ์การเล่นละคร โชคดีที่เราอยู่ช่อง 7 เราได้อ่านบทที่คนเขียนบทเก่งๆ อย่างพี่แดง-ศัลยา สุขะนิวัตติ์ แล้วเราชอบอยู่แล้วด้วย มันก็จะซึมซับได้ เราก็จะเห็นวิธีการเล่าเรื่องของเขา เราก็จะซึมซับตรงนั้นมาด้วย จากพื้นฐานที่เราเรียนมาด้วย จากการเป็นนักแสดงด้วย จากการที่ชอบดูหนัง อ่านนิยาย มันก็เลยมารวมๆ กัน พอถึงเวลาที่จะต้องทำ มันก็เลยออกมาอัตโนมัติ ก็จากประสบการณ์กับพื้นฐานความรู้ที่เรียนมา แต่ละคนชอบไม่เหมือนกัน บางคนอาจจะไปเป็นตากล้อง อาจจะเป็นผู้กำกับ เรามีความสุขจากการที่เราได้เขียน จินตนาการ หรือการที่เอาตัวนักเขียนด้วยการไปเป็นตัวละครต่างๆ เพื่อที่จะคิดไดอะล็อก เพื่อให้ตัวละครนั้นออกมา แล้วมีความสุข มันก็เลยเป็นที่มาว่า งานเบื้องหลังของเราส่วนใหญ่จึงออกมาเป็นเรื่องการเขียนบท กับช่วยเหลือนักแสดงใหม่ๆ บ้าง ซึ่งก็เป็นประสบการณ์จากที่เราเรียนรู้มา ก็ทำอยู่กับทีม วุธ-อัษฎาวุธ เหลืองสุนทร ก็ทำให้ช่อง One ส่วนเบื้องหน้าถ้าว่างก็รับบ้าง ละครของที่ออฟฟิศเองอันไหนที่มีบทเหมาะเราก็ได้เล่นด้วย แล้วถ้าคิวไหนที่ว่าง เราก็สามารถรับงานกับที่อื่นได้ ที่จบไปปีที่แล้วก็เรื่อง กู้ภัยหัวใจสู้ เบส-ตงตง ล่าสุดที่เพิ่งปิดไปเรื่อง ตำย่าบอก ช่อง One เหมือนกัน แล้วก็เพิ่งเปิดกล้องเรื่องใหม่ รักคุณเท่าช้าง ก็ทำให้ช่อง One อีก แล้วก็มีรับเชิญช่อง 7 ช่อง 3 ก็ว่าไป จักรๆ วงศ์ๆ ไม่ได้เล่นมา 8-9 ปีแล้วครับ ที่ไม่ได้เล่นเพราะเขาไม่ได้จ้าง เขาเรียกไปก็คงไปเล่น ไม่ได้ติดอะไร เพียงแต่ว่าเขาไม่ได้เรียกให้เราไปเล่น เราก็ไม่ได้ไปเล่น อยู่มา 30 กว่าปีแล้ว บทที่ไม่เคยเล่น และอยากเล่นจริงๆ คือบทคนใบ้ แต่มันน่าจะยาก เพราะสื่อสารโดยไม่ใช้คำพูดน่าจะยากมากกว่าบทคนบ้าสำหรับเรา” |
สะท้อนละครไทยกับต่างชาติ ผ่านมุมมองคนบันเทิง
“เรื่องนี้มันถูกเปรียบเทียบมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เมื่อก่อนก็เปรียบเทียบกับฮอลลีวูด ต้องดูว่าจุดประสงค์หลักของมันคืออะไรก่อน เพราะว่าคนจ้างเรา ไม่ว่าจะเป็นช่อง หรือผู้จัดเขาต้องการงานแบบไหน เราทำตอบโจทย์งานนั้น หลายคนอาจจะพูดว่าของเกาหลีมันไปขนาดนั้นแล้ว แต่ของเรายังย่ำอยู่กับที่ ยังเป็นเรื่องเดิมๆ พล็อตเดิมๆ ทุกอย่างเหมือนเดิม จริงๆ พล็อตเกาหลีก็ไม่ได้ต่างจากไทยนะ เพียงแต่ว่าวิธีนำเสนอเขาอาจจะต่างกว่า เขาอาจจะมีมุมมองที่หลากหลายกว่า ซึ่งพอทำออกไปแล้วคนดูยอมรับตรงนั้น แต่คนดูของเราอาจจะอยู่แค่ในประเทศ กับประเทศเพื่อนบ้านที่ฟังภาษาไทยออกไม่กี่ประเทศ เพราะฉะนั้นมันอาจจะถูกตีกรอบด้วย ไม่ว่าจะเป็น budget หรือความต้องการของผู้บริโภค ถ้าสังเกตดีๆ ละครเกาหลีเขาทำแบบนี้ดีมากเลย แต่คนไทยทำ คนที่พูดก็ไม่ดูอยู่ดี คนที่ดูก็จะเปรียบเทียบว่า ทำไมของเกาหลีมันอย่างนี้ ทั้งที่บทเดียวกันเป๊ะเลย แต่ก็ยังรู้สึกว่าของเกาหลีดีกว่า ออริจินัลดีกว่า เอาจริงๆ มันก็ไม่สามารถฟันธงไปได้ว่าอันไหนถูกอันไหนผิด หรือว่ามันไม่พัฒนา มีหลายเรื่องเลยที่พัฒนา มีละครดีๆ หลายเรื่องเลยที่ไม่ใช่เป็นสายหลัก แต่คนไม่ดูไง พอคนไม่ดูสปอนเซอร์ก็ไม่เข้า พอสปอนเซอร์ไม่เข้า ช่องจะเอาเงินจากไหนมาจ้างผลิต ก็ต้องตำน้ำพริกให้คนชอบกินน้ำพริกกิน ถ้าจะบอกว่ากิมจิอร่อยกว่าแกงส้ม คนที่ไปกินกิมจิก็ไม่กินแกงส้ม คนที่จะกินแกงส้มเขาก็กินแกงส้มของเขา เขาไม่ได้กินกิมจิ มันก็พูดยากเหมือนกัน เป็นปัญหาที่คุยกันในคนทำงานเบื้องหลังอยู่ตลอดเวลา แต่ว่าก็ตอบไม่ได้ว่ายังไง ทางออกคือถ้าเราพัฒนาบทละคร หรือโปรดักชันละครให้มันดีขึ้นไปอีกกว่านี้ได้ไหม หรือให้ต่อให้มาตรฐานเดียวกันกับต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็นเกาหลี หรือฝรั่ง แล้วมันจะทำให้ทุกอย่างมันดีขึ้นได้จริงหรือเปล่า คนจะดูละครจริงหรือเปล่า หรือว่าคนที่ไม่ชอบเพราะเป็นมายาคติว่าของไทยไม่ดี อันนี้ตอบไม่ได้ว่าทางออกมันคืออะไร เพียงแต่ว่าโอเคหลายๆ คนเขียนบทก็พยายามจะเขียนบทละครดีๆ ออกมา แต่ว่าทั้งหมดทั้งปวงมันก็อยู่ที่ตัวผู้จ้าง และสปอนเซอร์ด้วย เพราะสุดท้ายมันก็กลับไปที่ธุรกิจ มันไม่ได้ทำเพื่อการกุศล มีหลายๆ เรื่องที่ดีมากๆ แต่ไม่มีคนดู เรตติ้งก็ไม่มี พูดไปคนก็ไม่รู้จัก แต่ก็เป็นละครที่ดี ก็เลยไม่รู้ว่ายังไง เป็นละครที่ดีนะ แต่อาจจะไปอยู่ช่องที่ไม่ค่อยมีคนดู คนเลยไม่ดูหรือเปล่า ถ้าถามว่าอยากเห็นอะไร ก็อยากเห็นละครดีๆ แต่ละครดีๆ ที่ว่า มันก็ไม่รู้ว่าเอาตรงไหนมาวัดว่านี่คือละครดี เพราะบางเรื่องเราอ่านนิยายแล้วแบบสุดยอดมาก แต่พอมาทำเป็นละครแล้ว มันไม่สามารถถ่ายทอดได้แบบนั้น มันก็จะบอกว่า เรื่องนั้นไม่ดีเหรอ ก็ไม่ใช่ เรื่องนั้นมันโคตรดีเลย เพียงแต่ว่าพอมาเป็นละครมันอาจจะทำได้ไม่ถึงเหมือนจินตนาการ ด้วยโปรดักชัน ด้วยเม็ดเงินที่ถูกจ้างให้ผลิตในยุคที่มันถูก disrupt ขนาดนี้ เคยคุยกับเพื่อนว่า มันเป็นช่วง Sunset ช่วงพระอาทิตย์ตกของธุรกิจวงการทีวีอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นก็ไม่รู้จะคาดหวังอะไร อย่างน้อยที่สุดมันก็ยังคงมีต่อไปเรื่อยๆ มันคงไม่หยุดไป เหมือนกับหนังสือพิมพ์ที่ไม่ได้หายไปจากโลกนี้ เพียงแต่ว่าคนอ่านมันอาจจะน้อยลง คนดูทีวีก็อาจจะน้อยลง หรือรูปแบบมันก็อาจจะไปอยู่ในแพลตฟอร์มอื่นๆ ก็ตามแต่ แต่ว่าถ้าไปอยู่ในแพลตฟอร์มมันก็อาจจะดีบ้างในแง่ที่เราอาจจะได้เห็นอะไรอย่างอื่นมากขึ้น เพราะทีวีมันก็จะมีกรอบว่าอะไรที่ถูกนำเสนอได้ อะไรที่ถูกนำเสนอไม่ได้ในทีวี ก็อยากเห็นเรื่องที่แปลกใหม่ สนุกขึ้น แต่คำว่าแปลกใหม่ก็ไม่รู้ว่าอะไรที่แปลกใหม่ไปกว่านี้” |
สัมภาษณ์ : ทีมข่าว MGR Live
เรื่อง : พัชรินทร์ ชัยสิงห์
ภาพ : พลภัทร วรรณดี
ขอบคุณภาพ : อินสตาแกรม @1_malys, แฟนเพจ “เด็จพี่ชี้เป้า”
ขอบคุณสถานที่ : Actart Gym ฟิตเนสซอยแจ้งวัฒนะ 14
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **