เปิดใจ อดีตสาวบัญชีผู้ทิ้งงานประจำ สู่การเป็นเกษตรกรรุ่นใหม่ เจ้าของเพจ "หนูชอบกินผัก" ปลูกผักสลัด-ขายอุปกรณ์ปลูกผักครบวงจร” ทำเงินหลักแสนต่อเดือน ย้ำสิ่งสำคัญ ต้องให้เวลากับความสำเร็จเหมือนรอผักโต...
ลาก่อนงานบัญชี ขอหนีเข้าสวนผัก
“ใน 3 ปีนี้ ผักเขาก็มาสอนเราด้วยนะคะ ก่อนหน้านี้เราไม่กล้าออกกล้อง ไม่กล้าพูด เราคิดว่าตัวเองไม่มีความสามารถในการถ่ายทอด แต่พอเรามาอยู่กับการปลูกผัก เราใช้สมาธิกับการปลูกผักไปเรื่อยๆ เราคุยกับตัวเองมากขึ้น มันทำให้เราเจอตัวเองได้ด้วยค่ะ
ข้อดีของการปลูกผักในการทำหนูชอบกินผัก มันทำให้เราเก่งขึ้นในทุกๆ วันด้วย เพราะแต่ละวันเราขายของ มีลูกค้ามาซื้อ เขาก็จะมีปัญหามาสอบถาม มันทำให้เราต้องหาข้อมูลอยู่ตลอดเวลา เราก็จะต้องมีข้อมูลใหม่ๆ ที่เราจะต้องรู้เพิ่มขึ้นมากเรื่อยๆ ทำให้วันนี้เราเป็นคนที่สามารถถ่ายทอดความรู้พวกนี้ให้คนอื่นได้”
“เก้ - สุกัญญา จันทร์หอม” เกษตรกรสาววัย 29 ปี กล่าวกับทีมข่าว MGR Live
เธอคือเจ้าของแฟนเพจ "หนูชอบกินผัก" ที่ผลิตคอนเทนท์เกี่ยวกับการปลูกผัก ตอบโจทย์เกษตรกรออนไลน์ ปัจจุบันมีผู้ติดตามกว่า 92,000 คน
และเป็นอดีตพนักงานบัญชี ผู้หันหลังให้กับงานประจำ แต่หันมาจับเสียมเป็นเกษตรกรเต็มตัว รวมถึงเป็นเจ้าของธุรกิจขายอุปกรณ์ปลูกผัก, เมล็ดพันธุ์, ต้นกล้า และผักสลัดปลอดสารพิษสดๆ แบบครบวงจร ทั้งหมดที่กล่าวมา สร้างรายได้ให้เธอถึงหลักแสนต่อเดือน
แต่กว่าจะมาถึงจุดนี้ ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย สำหรับผู้หญิงตัวเล็กๆ เช่นเธอ ...
“ตัวเก้เรียนจบปริญญาตรี บัญชีบัณฑิตค่ะ ก่อนที่จะมาทำเพจหนูชอบกินผัก เคยทำงานสำนักงานบัญชี ทำงานโรงแรมเกี่ยวกับด้านบัญชีหมดเลย ไม่ชอบทำงานประจำก็ออกมาเป็นแม่ค้าขายผักตามตลาดนัด มีแผงผักที่ขายรวมผักทุกชนิดเลย ไปรับผักจากหลายๆ ที่มาแล้วมาขายของตัวเอง เราชอบงานที่ยิ่งทำมากได้มาก
ก่อนที่จะเป็นแม่ค้า เก้เป็นลูกชาวสวน ที่บ้านมีพื้นที่ประมาณ 7 ไร่ เราเคยเข้าไปปลูกผักเยอะๆ เป็นผักสวนครัว มีประสบการณ์ด้านการปลูกผักมาประมาณหนึ่ง แต่ช่วงนั้นมันล้มเหลว แล้วเราก็กลับไปทำงานประจำ เราว่ามันไม่เวิร์กอีกเลยออกมาเป็นแม่ค้า เราชอบค้าขาย มันก็จะวนลูปเกี่ยวกับการค้าขาย ทำฟรีแลนซ์ ประมาณนี้ค่ะ”
และจุดเริ่มต้นที่ทำให้หญิงสาวก้าวเข้าสู่วงการเกษตรกร เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 3 ปีที่แล้ว เพราะโควิด-19 เป็นเหตุ
“เพจหนูชอบกินผัก มันเกิดขึ้นตอนที่มีสถานการณ์โควิดค่ะ หนูชอบกินผัก มาจากตัวหนูที่หมายถึงตัวเก้ชอบกินผักมากๆ ไม่ว่าจะผักอะไรก็แล้วแต่ ที่บ้านอยู่ไกลจากห้างที่มีผักสลัดขาย
พอมันเกิดโควิดปุ๊บ ทุกอาชีพมันต้องหยุดหมด มีช่วงล็อกดาวน์ เราอยู่บ้านมากขึ้นก็ไม่รู้จะทำอะไร ก็เลยศึกษาการปลูกผักสลัดไว้กิน ศึกษาใน Google และใน YouTube ไม่มีไปอบรมเพิ่มหรือว่าลงคอร์สเรียนเลยค่ะ
เริ่มต้นของเราจุดประสงค์คือปลูกกินเองเท่านั้น ปลูกแค่ข้างบ้าน มีแปลงปลูกผักแค่นิดเดียว บ้านเราเป็นชาวสวนก็เคยปลูกผักกันมาก่อน แต่ไม่เคยมีประสบการณ์ด้านการปลูกผักสลัด เราเลยเหมือนต้องมาทำความรู้จักเขาใหม่
เราต้องอยู่บ้าน หนทางการหารายได้เริ่มไม่มีแล้ว เราเลยจำเป็นจะต้องหาช่องทางการหารายได้เพิ่มมากขึ้น แล้วเรามีประสบการณ์ด้านการทำเพจขายของอยู่บ้าง เราก็เลยสร้างเพจขึ้นมา ประกอบกับว่าบังเอิญไปเห็นร้านในเฟซบุ๊กขายต้นกล้าผักสลัด เราเพาะเองอยู่แล้วก็เลยทดลองขาย
ถ้าเปรียบเทียบกัน ตอนที่เราไม่มีความรู้ ผักสลัดมันก็ค่อนข้างใหม่สำหรับเรา แต่พอเราเรียนรู้มาซักระยะหนึ่งแล้ว ผักสลัดปลูกง่ายกว่าผักสวนครัวเยอะเลยนะคะ เพราะว่าเรื่องโรคแมลงก็น้อยกว่า”
ตลอด 3 ปีของการเป็นเกษตรแบบเต็มตัว ทุกวันนี้ธุรกิจของเธอค่อยๆ เติบโตและมีทิศทางที่ชัดเจนมากขึ้น แต่ถึงอย่างนั้นก็มีเรื่องให้ต้องเรียนรู้ในทุกวัน
“พื้นที่ในการปลูกผักตอนนี้ ความที่เราให้ตัวเองเป็นสวนผักข้างบ้าน บริเวณข้างบ้านเราจะมีพื้นที่ในการปลูก รวมตัวบ้านประมาณ 1 ไร่ แล้วเราก็จะมีพื้นที่ที่เป็นโคกหนองนาอีก เราจะขยายหลายส่วนมาก
ส่วนที่ 2 เป็นโคกหนองนา เราจะมีพื้นที่ทั้งหมด 4 ไร่ โคกหนองนาจะมีบ่อ มีพืชสวน มีผัก มีส่วนของเล้าไก่ เราไปเช่าที่ข้างๆ เพื่อการทำแปลงเพิ่มขึ้น ถ้าให้ประมาณรวมๆ แล้วพื้นที่ในการทำผักทั้งหมด เก้คิดว่าน่าจะประมาณ 1 ไร่
สิ่งที่มันเหนื่อยสำหรับการปลูกในช่วงปีแรก คือการที่เราต้องไปทำแปลงดิน ใช้แรงตัวเองเป็นหลัก ลงมือทำเองในทุกขั้นตอน ถ้าความท้อเรื่องของการปลูกผักไม่มีความท้อเลย เราแฮปปี้กับการทำมากๆ เพราะว่า 1.เราได้กินเอง 2.เราได้ใช้เวลาอยู่กับผัก ได้ดูน้องๆ เขาเติบโต
ในการปลูกผัก ทำมา 3 ปี ทุกวันนี้ก็ยังลองผิดลองถูกอยู่นะคะ แต่ว่ามันแค่อาจจะลงตัวในบางจุด เช่นเรื่องของการรู้ว่าต้องใส่ปุ๋ยอะไร จัดการโรคแมลงยังไง แต่ว่าในทุกๆ ปี ปัญหามันก็จะเกิดขึ้น มีให้เราต้องศึกษาอยู่ตลอดเวลาค่ะ”
การตลาดออนไลน์ ไม่ยากหากรู้จุด
ร้าน “หนูชอบกินผัก” นอกจากผักสดแล้ว ยังมีสินค้าเกี่ยวกับการปลูกผักแบบครบวงจร โดยพื้นที่สำหรับปลูกผักปลอดสารพิษนั้น ตั้งอยู่ภายในบริเวณบ้านของเธอ ที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์
“ตัวเราเองไม่มีปัญหาเรื่องสุขภาพ ที่เราชอบกินผักคือ เราเป็นคนชอบออกกำลังกาย แล้วก็เป็นคนดูแลรูปร่าง มันก็สอดคล้องกับเรื่องของสุขภาพ จากที่เราทำมา 3 ปี กลุ่มลูกค้าเราก็จะเป็นกลุ่มนี้ คนที่อยากกินผักจริงๆ บางคนมีอาการป่วย หรือคนในครอบครัวป่วย ต้องการหาผักที่ปลอดสารจริงๆ กลุ่มผู้หญิงที่ดูแลรูปร่าง ดูแลสุขภาพ มีเยอะมากๆ เลยค่ะ
ส่วนใหญ่ถ้ามาที่สวน ที่มีแน่ๆ จะเป็นผักสลัดค่ะ ที่นิยมเลยก็จะมีกรีนโอ๊ค เรดโอ๊ค กรีนคอสค่ะ แต่ปกติปลูกอยู่ประมาณ 10 สายพันธุ์ค่ะ ลูกค้าก็จะมีตัวเลือกในการเลือกผักเยอะมากๆ ผักสดเก้ส่งทั่วประเทศเลยค่ะ ส่งห้องเย็น รถควบคุมอุณหภูมิ ส่งได้ทุกจังหวัดเลย ยกเว้นบางพื้นที่จริงๆ ที่เป็นพื้นที่ห่างไกลแล้วขนส่งเขายังไม่เปิดให้บริการค่ะ
แต่ที่เก้ขายหลักๆ จะมีพวกอุปกรณ์ปลูกผักด้วยค่ะ ร้านเก้ขายตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำเลย เมล็ดพันธุ์ ถาดเพาะ ปุ๋ย ดินปลูก สารกำจัดหนอน กำจัดแมลง packaging ไปถึงขั้นตอนของการขายเลย เราก็มีทุกอย่างเลย
มีคอร์สสอนปลูกผักออนไลน์ เปิดเมื่อประมาณช่วงต้นปีเอง ราคา 499 บาท ถ้าพี่ๆ สมัครมาปุ๊บ สามารถเรียนได้ตั้งแต่เพาะเมล็ดจนถึงตัดผักได้เลยในกลุ่มปิดของเรา สามารถเข้าไปดู เรียนซ้ำได้ตลอดเวลา”
ตามที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น รายได้แบบไม่หักค่าใช้จ่ายโดยเฉลี่ยที่เข้ามา อยู่ที่ราว 100,000 บาทต่อเดือน
“รายได้หลักของเพจหนูชอบกินผัก คืออุปกรณ์ปลูกผักชุดละ 199 บาท มีอุปกรณ์ครบเลยนะคะ มือใหม่ก็หัดลองได้ เราเกิดมาจากชุดนี้เลย เมื่อก่อนก็อาจจะมีไม่กี่ตัว แต่พอตอนนี้เริ่มสต็อกทุกตัวแล้ว ถ้าใครต้องการอะไรเกี่ยวกับการปลูกผัก ถามเก้ได้เลย ถ้าไม่มีเราก็จะหามาให้ ซึ่งอันนี้จะเป็นรายได้ที่ค่อนข้างดีมากๆ แล้วก็เป็นตัวที่ทำรายได้ต่อเดือนให้เก้เลย
อันที่ 2 เป็นเรื่องของต้นกล้าผักสลัด แต่จริงๆ ก็จะมีเคล มีมะเขือเทศด้วย เป็นผักที่คนนิยมปลูกไว้ติดบ้าน
อันที่ 3 เป็นเรื่องของผักสด ผักสลัด ถ้าเรามองจริงๆ แค่ 3 ตัวนี้ รายได้มันครบหลักแสนต่อเดือนแล้วแหละ ในส่วนของรายได้ที่เป็นยอดขายนะคะ ถ้าเป็นเรื่องของกำไรเราก็ต้องไปดูต้นทุนอีกทีนึง แต่ละเดือนมันก็จะไม่เท่ากัน ตัวเลขอยู่ที่ประมาณเฉลี่ยแล้ว 100,000 บาท แต่บางเดือนก็น้อยลง หรือบางเดือนอาจขึ้นไป 150,000 แล้วแต่ช่วง
เราทำเพจเรามีผู้ติดตามเยอะ เราได้ค่าโฆษณา เราได้สปอนเซอร์อีก งานรับรีวิวสินค้า มีค่าตัวในการจ้างงานไปจัดสวนนอกสถานที่ แล้วก็มีเรื่องของการให้คำปรึกษา เป็นวิทยากรอีก อันนี้คือรายได้รองที่ตัวเก้สามารถไปหาเพิ่มได้”
ด้วยความที่กลุ่มเป้าหมายส่วนใหญ่ของ “หนูชอบกินผัก” คือสมาชิกโลกออนไลน์ ทำให้การทำการตลาด ต้องมีการปรับตัวให้ทันกับความเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ
“แพลตฟอร์มที่เก้ใช้มี Facebook page มี TikTok ช่องทางอื่นๆ ก็จะมี Line official มี YouTube มี Shopee ให้สั่งซื้อสินค้าด้วยค่ะ ช่องทางหลักคือ Facebook page แต่ช่องทางที่ทำให้มีคนติดตามเพิ่มขึ้นเยอะจะเป็น TikTok ค่ะตอนนี้
ตลาดออนไลน์ ปีแรกมันเป็นอีกรูปแบบหนึ่ง เราเริ่มจากศูนย์ ก็ใช้ในเรื่องของ ads โฆษณาเข้ามาช่วย เราก็ทำการโปรโมทในสิ่งที่เราเราต้องการขาย อย่างต้นกล้าเราก็โพสต์ไป เรามีชุดปลูกก็โพสต์ยิง ads โฆษณา เป็นการเริ่มต้นแบบปกติเลย
ประมาณปีครึ่งเรายังอยู่ลูปแบบนี้ ใช้การยิง ads โฆษณา แล้วก็ทำคอนเทนท์ โพสต์รูปสวยๆ บ้าง ถ้าใครเข้ามาตลาดออนไลน์ช่วงที่มีโควิดรอบแรก ทุกอย่างมันจะยังดีหมด ใครยิงอะไรก็ติดหมด ถ้าทำ Social Marketing
แต่พอมาเริ่มปีหลังๆ คนเข้ามาแข่งกันเยอะ ในเรื่องของวงการปลูกผักเองก็มีเด็กรุ่นใหม่เข้ามาทำเพจเยอะ มีคนเข้ามาในตลาดเยอะ รูปแบบเราจะเริ่มเปลี่ยนไปเป็นเรื่องของการทำคอนเทนท์วิดีโอเป็นหลักแล้ว เราจะทำตั้งแต่คอนเทนท์ How to วิธีการปลูก วิธีการขาย จนถึงเล่าเรื่องชีวิตส่วนตัวของเรา ทำทุกรูปแบบเลย เน้นทำคลิปให้เป็นไวรัลสำหรับปีปัจจุบัน”
ปัจจุบันแม้เธอจะไม่ได้เสียเงินไปกับค่าโฆษณาแล้ว แต่การผลิตคอนเทนท์ใหม่ๆ ออกมา ก็เป็นอีกความท้าทายที่ต้องเผชิญในทุกวัน
“ถามว่าช่วงแรกกับช่วงนี้อันไหนดีกว่ากัน สมมติว่าตอนแรกเรายิงประมาณวันละ 300 บาท เราจะได้กลุ่มลูกค้าประมาณ 50 คน ช่วงนี้คือทำไม่ได้แล้ว เพราะมันมีคนเข้ามาอยู่ในตลาดออนไลน์เยอะ เสียเงินฟรี
ทุกวันนี้ไม่ได้ยิง ads โฆษณาแล้ว เราจะเน้นเรื่องของการทำคอนเทนท์วิดีโอแทน เรามี Engagement ในเพจเราเยอะ การทำงานมันจะต่างกัน เมื่อก่อนเราจะโฟกัสเรื่องยิง ads ยังไงให้ได้ยอด ตอนนี้เราจะไปโฟกัสเรื่อง ทำคอนเทนท์ยังไงให้ได้ยอดแทน มันก็เป็นความยากง่ายต่างกัน
ส่วนตัวชอบแบบปัจจุบันมากกว่า อยู่ที่ความสามารถเราเลยว่าเราจะพรีเซ้นท์ออกมาได้ดีขนาดไหน ก็จะได้ตัวเลขตามที่ใจหวังเลยถ้าเราพรีเซนท์ได้ดี โดยที่ไม่ต้องหวังพึ่ง ads ค่ะ”
ป่วยใจ... ให้การปลูกผักเยียวยา
ปัจจุบันแฟนเพจ "หนูชอบกินผัก" มีผู้ติดตามอยู่ราว 92,000 คน ส่วน TikTok @noochopginpak ก็มีผู้ติดตามอยู่ที่ 35,000 บัญชี
เมื่อถามว่า คิดว่าอะไรคือเหตุผลที่ทำให้แฟนๆ ยังคงติดตามเธออย่างเหนียวแน่น ทั้งที่คนในวงการปลูกผักบนโลกออนไลน์ก็มีจำนวนไม่น้อย เกษตรกรสาวก็ให้คำตอบว่า "หนูชอบกินผัก" เป็นมากกว่าเพจให้ความรู้ด้านการเกษตร เพราะพื้นที่นี้คือ “ครอบครัว”
“ตัวเก้จะบอกใครก็ตามที่ทักมาหาเพจหนูชอบกินผัก เราจะบอกทุกอย่างที่เขาอยากรู้เลย ไม่ว่าจะเรื่องไหนก็ตาม เป็นลูกค้าหรือในเพจ เราก็จะให้คำปรึกษาในทุกด้านเลย ด้วยความที่เราทำเรื่องของการปลูกผัก จุดประสงค์ของเราจุดประสงค์แรก เราอยากให้ทุกคนปลูกผักกินเองได้ ผักปลอดสารพิษ
คิดว่าอะไรที่ทำให้คนมาติดตามเพจหนูชอบกินผัก… เก้คิดว่าเขาอยากรู้ว่าเก้ทำอะไร ถ้าทุกคนเข้ามาเพจหนูชอบกินผัก เขาอาจจะอยากรู้ว่าผู้หญิงคนนี้ทำอะไร เขาก็เลยเข้ามาติดตาม ถ้าเป็นแฟนเพจในอดีตที่ยังติดตามมาจนถึงปัจจุบัน เรื่องหนึ่งที่เก้มั่นใจมากว่าเขายังติดตามเราอยู่ เป็นเรื่องของทัศนคติ ในเรื่องของการใช้ชีวิต
หนูชอบกินผักมันเป็นเหมือนศูนย์รวมอะไรหลายๆ อย่าง ถ้าคนติดตามมาจริงๆ บางคนจะเห็นเราเป็นลูกหลาน แล้วก็ติดตามพัฒนาการของเด็กคนนี้
แต่ถ้าคนที่เข้ามาใหม่อาจจะอยากทราบว่า เป็นเกษตรกรมันหารายได้ได้จริงมั้ย ทำเงินได้ตามที่เราบอกหรือเปล่า หรือบางคนมาติดตามเพราะบั้นปลายชีวิตอยากจะมีชีวิตแบบนี้ หลายกลุ่มมากเลยค่ะ ค่อนข้างหลากหลายมาก”
นอกจากนี้ เก้ยังได้แชร์เรื่องราวจากบรรดาแฟนเพจ ที่เข้ามาแลกเปลี่ยนประสบการณ์ชีวิต โดยเฉพาะผู้มี “ภาวะซึมเศร้า” มีหลายรายที่ได้การปลูกผักช่วยเยียวยา...
“พอมาช่วงหลังจะมีคนเป็นโรคซึมเศร้า มีภาวะเครียดกันเยอะ เคสล่าสุดที่ประทับใจ เป็นคุณแม่เขามีภาวะซึมเศร้าหลังคลอด เขาเริ่มด้วยการมาเปิดใจกับเราว่า อยากปลูกผักกินเอง และอนาคตหวังว่าจะมีรายได้เล็กๆ น้อยๆ เขาก็ซื้อไป
ผ่านไปประมาณซัก 3-4 เดือน เขาก็ส่งภาพที่เขาปลูกผักได้กลับมาให้เรา แล้วเขาก็มาบอกเราว่า ขอบคุณที่ทำให้เขารู้สึกดีขึ้น โอเคขึ้นกับการที่เคยเป็นภาวะซึมเศร้าหลังคลอด จากที่เขามีผักกินเอง เขาสามารถไปขายสร้างรายได้เล็กๆ น้อยๆ ในขณะที่เขาเป็นคุณแม่ได้ด้วย อันนี้เป็นเคสที่ดีมาก
จริงๆ มีเยอะเลย มีมาคอมเมนต์ว่า เชื่อมั้ยพี่ปลูกผักตามน้องเก้เพื่อรักษาโรคซึมเศร้า แล้วมันก็ดีขึ้น มีบางคนทักมาหาส่วนตัวเลยว่าตอนนี้น้องกำลังปลูกผัก น้องมีปัญหาโรคซึมเศร้าอยู่ แล้วก็ปลูกผัก คือการได้เฝ้ามองเขาเติบโต
ได้ดูผักโตแต่ละวัน 1.ทำให้เราใจเย็นขึ้น 2.ได้อยู่กับตัวเองมากขึ้น เราต้องเอาสมาธิมาโฟกัสกับการปลูกผัก มันก็เหมือนทำให้เราหลุดไปกับภาวะที่เราเป็นอยู่ เก้คิดว่ามันน่าจะเป็นอย่างนั้นนะ มันก็เลยทำให้เขาอาการดีขึ้นเรื่อยๆ ค่ะ”
และในส่วนของเจ้าของเพจเอง ก็ได้ค้นพบความสามารถพิเศษของตน จากการปลูกผักเช่นกัน
เพราะชีวิตต้องเดินต่อ คือจุดที่ทำให้หญิงสาวผู้นี้ กล้าก้าวออกจากกรอบความกังวลของตน และฝึกฝนจนกลายเป็น “เก้ หนูชอบกินผัก” อย่างทุกวันนี้
“ก่อนหน้านี้เราเป็นคนตามหาพรสวรรค์มาตลอด เราเป็นคนที่ค่อนข้างทำได้ทุกอย่าง แต่ไม่ได้เชี่ยวชาญไปซักด้าน พอเรามาทำหนูชอบกินผัก มันเหมือนทุกอย่างบังคับให้เราต้องเก่ง 1.เราต้องปลูกผักเก่ง 2.เราต้องนำเสนอเก่งพอเราต้องมาสอนคนปลูกและต้องมาทำคลิปวิดีโอ มันเลยทำให้เราเหมือนเจอพรสวรรค์เรื่องของการพูด จนปัจจุบันเรารับบทเป็นวิทยากรด้วยนะ จะบอกว่าเป็นเพราะผักก็ใช่
จริงๆ มันเป็นแค่ความกังวลมากกว่า ในความไม่มั่นใจของเรา ทุกคนคงไม่มีใครเพอร์เฟกในทุกอย่างหรอก ก่อนที่เราจะมาถ่ายคลิปหรือทำอะไร เราก็ต้องดูคนอื่นมาใช่มั้ยคะ พอเห็นคนอื่น เราคิดว่าเราไม่น่าจะทำได้แบบเขา แต่เรายังไม่เคยลองทำนะ ทุกคนจะต้องมีอารมณ์นี้ ยังไม่เคยลองทำแต่เรากลัวนู่นกลัวนี่ บางทีเรามีข้ออ้าง
ถามว่าจุดไหนที่มันจะต้องออกมา คือจุดที่มันจะต้องทำแล้วไงคะ ถ้าเราไม่ทำก็มีแค่ว่าจะไปต่อหรือว่าจะพอแค่นี้ ถ้าเราไปต่อก็ต้องพยายามแล้ว คุณจะอยู่เหมือนเดิมไม่ได้ถ้าต้องการผลที่ดีกว่า เราก็เลย ทำก็ทำวะ
แล้วพอเราทำครั้งแรก เราทำได้ไม่ดีนะคะ ไม่ใช่ว่าเราทำได้แล้วมันดีเลย แต่ด้วยความที่เราทำมาทุกวันๆ มันก็เลยทำให้เราเก่งขึ้น มั่นใจขึ้น อันไหนควรทำ อันไหนไม่ควรทำ อย่างนี้ค่ะ
อันนี้พูดแทนใจเด็กรุ่นใหม่เลยก็ได้ ถ้าคนที่พื้นฐานครอบครัวไม่ได้ดี จบปริญญามาแล้วเราจะต้องไปทำอะไรต่อ สรุปแล้วเราเก่งเรื่องไหนบ้าง ไปทำอะไรแล้วเราจะได้เงินถ้าเราไม่ชอบทำงานประจำ คิดว่าส่วนใหญ่เด็กที่เรียนจบมาแล้วมาอยู่ตรงนี้ น่าจะมีจุดงงในชีวิตบ้างแหละ
ถ้าเก้ไม่มาปลูกผัก เก้ไม่มีทางมีวันนี้ได้ ต้องบอกอย่างนี้ ถ้าจะฝากก็คือว่า ถ้าเราสนใจเรื่องใดเรื่องหนึ่งแล้วเราคิดว่าเราชอบ ให้เอาตัวเองไปลองไว้ก่อนเลย ไม่ต้องลงทุนหรือว่าเสียเงินเยอะ แต่เราต้องลองและทำมันไปเรื่อยๆ เราอาจจะเจอตัวเองในเวอร์ชันที่เราไม่คาดฝันมาก่อนแบบเก้ก็ได้ค่ะ”
รอบคอบทุกก้าว เพราะหน้าที่ “เสาหลักของบ้าน”
นอกจากจะเป็นเจ้าของธุรกิจแล้ว หญิงสาววัย 29 ปี ยังมีอีกหนึ่งหน้าที่สำคัญ คือการเป็นเสาหลักของครอบครัว รับผิดชอบทุกอย่างภายในบ้าน
“เราเป็นคนรับผิดชอบทุกอย่าง ถ้าเป็นเต็มตัวเลยตั้งแต่อายุ 25 เลย ค่าใช้จ่ายในบ้านเป็นของเราทั้งหมด คุณพ่อคุณแม่แยกทางกัน ถ้าเก้จะเป็นเสาหลักของบ้านมันก็ไม่แปลก เพราะที่บ้านจะมีแค่แม่ พี่สาว แล้วก็เก้
ก่อนที่จะมาเป็นหนูชอบกินผัก ส่วนใหญ่ชีวิตเก้จะมีปัญหาเรื่องของเงินเป็นหลัก เพราะต้นทุนชีวิตเราไม่ได้สูงมาก เรากู้เงินเรียน การเรียนจบของเรามันมีหนี้สินจาก กยศ. 200,000 กว่าบาท บ้านเราไม่มีรถเราก็ไปออกรถเพื่อทำการค้าขาย แล้วก็มีเรื่องของค่างวดรถ
ตอนนั้นเรายังเด็กมาก เราก็คิดว่าเราจะหาเงินมาผ่อนพวกนี้ไหว เอาง่ายๆ ช่วง 20 ต้นๆ เรามีหนี้ต่อเดือนตกประมาณหมื่นกว่าบาท สมมติเราทำงานประจำ เราก็ได้เงินเดือนเดือนละหมื่นกว่าบาท ชีวิตเริ่มมีปัญหา ช่วงนั้นจะเป็นช่วงที่แย่สุดๆ แล้วเราควรจะไปทำอะไรดี มันก็เลยเป็นช่วงดาวน์ในชีวิต
แล้วถามว่าผ่านมาได้ยังไง เราก็ต้องไปหาทางทำเงินที่มันได้รายได้มากกว่าหนี้สินที่เรามี เราต้องดิ้นรนค่ะ ดิ้นรนก่อน พยายามก่อน หาทางก่อน ทุกอย่างมันมีทางออก คิดว่าหลายๆ คนก็น่าจะมีปัญหาชีวิตแบบนี้ เพราะในเพจก็มีคนมาปรึกษาเรื่องของการหารายได้ค่อนข้างเยอะพอสมควร ทำไมเก้ถึงทำได้วันนี้ เพราะในอดีตเก้พยายามมาหลายรูปแบบ”
เก้ยอมรับว่า มีช่วงที่ท้อ แต่ด้วยความเป็นนักสู้ ทำให้เธอไม่เคยหมดกำลังใจ และพยายามทำทุกวันให้เต็มที่เสมอ
“ชีวิตท้อได้แต่มันต้องไปต่อ ท้อแล้วจะทำยังกับมัน ถ้าเราจมอยู่กับความท้อของเรา แล้วเราไม่ดีดตัวเองออกมาหรือเราไม่หาอะไรทำใหม่ๆ เราก็จะอยู่แต่แบบนั้น ตัวเก้คิดไว้เสมอว่าเราเกิดมาแล้ว เราต้องทำให้ตัวเองมีความสุข แล้วก็อยากใช้ชีวิตให้มันเต็มที่ที่สุด เราเลยทำทุกวิถีทาง
ถ้าย้อนไปอีก ตอนเด็กๆ เก้เคยทำงานมาทุกรูปแบบนะคะ เด็กหมายถึงตั้งแต่จำความได้จนถึงเรียนจบ เราทำงานเยอะมากๆ ถ้าจะบอกว่าอายุน้อยร้อยอาชีพก็คือไม่เกินจริง มันเลยทำให้เราไม่กลัวที่จะออกไปหาเงิน ไม่ว่าจะจบปริญญามาเป็นแม่ค้าก็ไม่เคยแคร์ใครเลย
ทำไมเราถึงไปเป็นแม่ค้า เพราะว่าเราอยากได้เงินที่มากขึ้น เราอยากแก้ปัญหาชีวิตอันนี้ แก้ปัญหาที่ว่าไม่อยากเครียดเรื่องไม่มีเงินใช้ ไม่มีเงินใช้หนี้ แล้วก็อยากมีชีวิตที่ดีขึ้น การเป็นแม่ค้าขายของ เพดานรายได้มันไม่มี มันแล้วแต่ว่าเราจะขยันแค่ไหน แล้วไปถูกทางหรือเปล่า”
แน่นอนว่าในการทำธุรกิจแต่ละอย่างนั้น ย่อมเกิดปัญหาและอุปสรรคขึ้นได้ตลอดเวลา แต่สำหรับหญิงสาวผู้นี้ เธอมีการทำการบ้านล่วงหน้า เพื่อไว้รับมือกับเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นกับธุรกิจได้
“ถ้าคนทำธุรกิจของตัวเอง ไม่ว่าจะทำสวน ทำร้าน ทำอะไร มันมีปัญหาหมดอยู่แล้วใช่มั้ยคะ อย่างที่บอก เราบอกว่ารายได้เดือนละแสน แต่มันก็มีช่วงหนึ่งที่ตกไป รายได้เดือนละหมื่น หรือยอดขายไม่ได้เลยมันก็มี
ถามว่าเราทำยังไง ตัวเก้จบปริญญาตรีบัญชีมา การเรียนบัญชีมันสอนเราได้เยอะมั้ย เก้เป็นเกษตรกรก็จริง แต่มาทำสวนเพื่อขาย นั่นแปลว่าเราทำธุรกิจอยู่ ก่อนเราทำธุรกิจต้องวางแผน เก้เขียน Business Model ก่อนที่เราจะมาทำ
ในระหว่างที่เราทำไป เราจะเขียนเลยว่าเราทำอะไร ขายใคร ใช้แบรนด์อะไร ขายช่องทางไหน ปัญหาอุปสรรคที่เราจะต้องเจอมีอะไรบ้าง เราเขียนไว้หมดเลย เราเลยค่อนข้างที่จะแก้ปัญหาได้ง่าย
ปัญหาที่มันร้ายแรงจริงๆ คือเรื่องของยอดขายที่มันตกลง เพราะตัวเก้ไม่ได้หารายได้เพื่อเลี้ยงตัวเองคนเดียว เราต้องหาเลี้ยงทุกคนในบ้านด้วย ความยากมันคูณหลายเท่ามาก ถ้าตัวเราเองคนเดียวเราหาทางออกได้ง่าย แต่ของเราถ้าเลือกได้ก็ไม่อยากให้พลาดเลย เราเลยทำทุกอย่างเพื่อป้องกันความผิดพลาดอันนี้ไว้
ถ้าเกิดคนจะทำธุรกิจจริงๆ ก็ฝากไปเขียนโมเดลธุรกิจ ตอบตัวเองให้ได้ก่อนว่าเราจะทำอะไร ขายใคร มีเงินทุนเท่าไหร่ ถ้าเงินเราหมดเราไปหาเงินได้ที่ไหน ถ้าเกิดเจอปัญหา เราจะต้องแก้ยังไง จุดแข็ง-จุดอ่อน เราคืออะไร”
เมื่อมีการวางแผนธุรกิจไว้ ปัญหาอื่นๆ นอกเหนือจากที่คาดคะเนไว้ ก็ไม่ใช่เรื่องยากเหนือการแก้ไขสำหรับเธอ
“คนเราถ้าเราจะหารายได้ เราต้องการเงินเพื่ออะไร การที่เก้มาทำสวนมันแทบจะเป็นเหมือนเราวางบั้นปลายชีวิตแล้ว เราวางแผนเกษียณของเรา เรามีบ้าน มีที่อยู่ เรามีอาหาร มีผัก ที่บ้านเลี้ยงครบทุกอย่างเลย รวมถึงไก่ไข่ สมมติถ้าเราไม่มีหนี้สิน ตรงนี้มันตอบโจทย์เราแล้ว เราหาเงินเพิ่มอีกนิดเดียว ก็คืออยู่ได้แล้ว
แต่ถ้าเกิดว่าย้อนมาตัวเก้ จริงๆ เรามีหนี้สินอยู่ หลักการของเก้ก็คือว่าเราต้องวางแผน เราต้องรู้ก่อนว่าเดือนนี้ใช้จ่ายเท่าไหร่ แล้วเราต้องหาเพิ่มเท่าไหร่
ถามว่ามันเจอปัญหามั้ย ถ้าเราวางแผนแบบที่เก้พูด เราต้องการเท่าไหร่ มีหนี้สินเท่าไหร่ ต้องใช้เงินทำเรื่องไหนบ้าง อันไหนที่เราต้องเก็บไปลงทุน อันไหนที่เรามาใช้ได้ ถ้าทุกคนวางแบบแบบนี้แล้ว ในการทำธุรกิจเราที่มันไม่ได้เกินตัวเกินไป มันคงไม่มีปัญหาที่มันแย่ไปเลยหรือว่าไม่มีทางออก อุปสรรคที่เราเจอจริงๆ ที่ท้อจริงๆ สำหรับเรา เราคิดว่ามันผ่านไปได้”
ต้องให้เวลากับความสำเร็จ
แฟนเพจ “หนูชอบกินผัก” ไม่ใช่แค่เพียงสังคมออนไลน์ของคนรักการปลูกผักเท่านั้น หากแต่ยังเป็นสิ่งที่ทำให้ครอบครัวของเก้ กลับมาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันที่บ้านเกิดอีกด้วย
“สิ่งที่มันดีมากๆ สำหรับบ้านเก้ ครอบครัวมีแม่ มีพี่สาว มีเก้ แต่ก็จะมีครอบครัวของน้าอีก มีน้า มีลูกของน้า เมื่อก่อนเรากระจัดกระจาย แยกย้ายกันไปทำงาน สิ่งที่มันดีที่สุดสำหรับการทำหนูชอบกินผัก ทำให้ทุกคนกลับมาอยู่บ้านพร้อมหน้าพร้อมตา จากที่เคยไปทำงานประจำกัน ทุกวันนี้คนมาทำงานอยู่ที่บ้านหมด แต่ละคนมีงานทำและอยู่ในบริเวณบ้านของตัวเอง
พอมีกิจกรรมอะไร ตอนเย็นกินข้าวเราก็จะเจอหน้ากัน ปัจจุบันมันเป็นเรื่องที่ยากที่สุด ยากกว่าการหาเงินด้วยซ้ำ คนเราสามารถแยกย้ายกันไปหาเงินได้ แต่หลายคนที่หาเงินแล้วได้กลับมาอยู่ด้วยกัน อันนี้เก้คิดว่ามันเป็นเรื่องความเป็นอยู่ที่ดีที่สุดเลย สำหรับสิ่งที่เก้ทำได้ค่ะ
และที่เปลี่ยนไปจริงๆ ทำให้เราเป็นคนใจเย็นมากขึ้น มีสติมากขึ้น ถ้าเกิดว่าเกิดปัญหาอะไรมาก็ตาม เรารู้ว่าเราควรจะแก้ปัญหาด้วยวิธีการอะไร แล้วก็สิ่งสำคัญสุดๆ ไม่ว่าจะทำอะไรก็แล้วแต่ เราต้องให้เวลากับสิ่งนั้น
อย่างปลูกผักเราก็ต้องรอ ผักสลัดเราต้องรอถึง 45 วัน กว่ามันจะเก็บทานได้ความสำเร็จก็เช่นกัน ถ้าวันนี้เราเพิ่งเริ่มทำ เราต้องให้ระยะเวลากับมันซักนิดนึง ความสำเร็จมันอาจจะอยู่ตรงหน้า อาจจะอีกแค่ก้าวสุดท้าย แต่เราอย่าหยุดความพยายามค่ะ”
ส่วนคำแนะนำที่อยากฝากถึงนักปลูกมือใหม่ เกษตรกรคนเก่งกล่าวว่า ต้องเอาชนะใจตนเองให้ได้และอย่างมัวแต่รอ
“ความยากของการปลูกผักคือการที่เราคิดว่ามันยาก แต่การปลูกผักมันจะเป็นเรื่องง่ายถ้าเราตัดสินใจว่าจะปลูกเลย ถ้าเราพร้อมแล้ว ถ้าเราชอบกินผักหรือเราอยากปลูกผักให้คนที่เรารักกิน เราจะอยากทำ ถ้าอยากทำเก้แนะนำให้ทำเลย มันไม่เปลืองเวลาชีวิตเลยนะคะ เราสามารถบริหารมันได้ แล้วคนที่มาปลูกจะได้อะไรมากกว่าการได้กินผลผลิตอย่างแน่นอน
ถ้าให้แนะนำจริงๆ สำหรับคนที่อยากเริ่มต้น ลองเลย ทำเลย ถ้าไม่มีที่ปรึกษาจริงๆ ก็ทักแชทเพจหนูชอบกินผัก จะเป็นลูกค้าหรือไม่เป็นลูกค้า เราก็ยินดีที่จะให้คำแนะนำอยู่แล้วค่ะ
ในเรื่องของการปลูกผักขาย เก้แนะนำให้เราปลูกไว้กินเองก่อน เราต้องมั่นใจในคุณภาพก่อน เราปลูกกินเองได้ คนรอบข้างเรากิน แล้วแนะนำให้ปลูกชนิดที่เราชอบกินด้วยนะคะ อย่างของเก้ เก้คิดง่ายๆ เลยว่าเก้ชอบกิน ขายไม่ขายเป็นอีกเรื่องนึง ขายได้ก็เป็นกำไร ขายไม่ได้เราก็กินเอง
ถ้าคิดจะปลูกผักขายแล้ว ทุกอย่างต้องมีการวางแผน เราหาตลาดก่อน แล้วตลาดเราอยู่ที่ไหนบ้าง จะได้ไม่ต้องมีคำถามว่าปลูกผักไว้เยอะแต่ขายไม่ได้ เราจะไม่ทำก่อนแล้วค่อยมาวางแผน อาจจะผิดพลาดได้ เราอาจจะเสียเงินเปล่าได้ค่ะ”
ถามถึงทิศทางหลังจากนี้ เธอตั้งเป้าไว้ว่า อยากเป็นต้นแบบของเกษตรกรคนรุ่นใหม่ ที่กลับไปพัฒนาบ้านเกิด และทำให้เห็นว่า อาชีพเกษตรกรสามารถสร้างรายได้เลี้ยงดูตนเองและครอบครัวได้อย่างยั่งยืน
“โปรเจกต์เก้มีประมาณ 100 กว่าอย่าง (หัวเราะ) จริงๆ เรามีโปรเจกต์อยู่ตลอดเวลา เก้มาทำหนูชอบกินผัก ยอดขายค่อนข้างที่จะโอเคแล้ว เราเริ่มที่จะเอาตัวเองออกจากร้าน แล้วตัวเรามาบริหารแทนเรื่องของการทำคอนเทนท์ คุยกับลูกค้า จะได้ทำโปรเจกต์อื่นๆ ซึ่งน่าจะยังบอกไม่ได้ (หัวเราะ) ต้องดูก่อน
เราเป็นเกษตรกร แล้วเราก็รู้ว่ามีกลุ่มคนที่เป็นเกษตรกรเยอะ อนาคตเราอยากเป็นคนที่มาถ่ายทอดให้กับเด็กรุ่นใหม่กลับมาเป็นเกษตรกร กลับมาทำงานช่วยคนที่บ้าน ช่วยครอบครัว สร้างรายได้ แล้วก็สามารถมายืนเป็นเกษตรกรเท่ๆ แบบเก้ได้ อันนี้น่าจะเป็นเป้าหมายที่อยากทำมากที่สุดเลย เราอยากเป็นต้นแบบของความเป็นอยู่ที่มันดีจริงๆ เรื่องของการมีสวน มีบ้าน มีครอบครัวที่อบอุ่น”
เมื่อบทสนทนาดำเนินมาถึงช่วงสุดท้าย เกษตรกรคนเก่งก็ได้ใช้พื้นที่ตรงนี้ขอบคุณไปยังบุคคลสำคัญ นั่นก็คือเหล่าแฟนเพจ ที่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ผู้ติดตาม แต่ทุกคนคือ “ครอบครัวหนูชอบกินผัก” ที่คอยเป็นกำลังใจให้กันเสมอมา
“เก้ขอบคุณผู้ติดตามเก้มาตลอดเลย ขอบคุณที่เขาเข้ามาติดตาม เราไม่เคยคิดมาก่อนเลย ว่าเราจะสามารถสร้างเพจให้มีผู้ติดตามได้ถึงเกือบถึง 100,000 คน เราก็รู้สึกขอบคุณมากที่เขามาติดตามเรา
ติดตามไม่พอยังมีการกดแชร์ให้ คอมเมนต์ให้ เข้ามาพูดคุยตลอด ไม่ว่าตอนที่เราไลฟ์หรือตอนที่เราทำคลิปวิดีโอ มีคนมาคอมเมนท์ บางคนก็ส่งรูปภาพ มันเหมือนเป็นกลุ่มคนที่ชอบปลูกผักเหมือนกันมาอยู่ในเพจของเรา มันก็เลยทำให้เรามีสังคมที่น่าอยู่มากขึ้น
เรื่องของความท้ออาจจะมีที่ยอดขายตก เราอาจจะเจอพลังด้านลบ เจอเรื่องแย่ๆ ในชีวิตมา หรือว่าเรากำลังท้อแท้ หรือเจอลูกค้าที่ไม่น่ารัก ซึ่งจริงๆ ลูกค้าที่ไม่น่ารักน่าจะไม่ถึง 1 เปอร์เซ็นต์ด้วยซ้ำ แล้วมาได้อ่านข้อความที่ลูกค้าคนอื่นๆ พี่ๆ ส่งมาให้ เราก็จะรู้สึกฮีลใจตัวเอง ทำให้เรามีไฟมากขึ้น กลับมามีกำลังใจ มีพลังใจในการทำงานต่อไป
อยากจะขอบคุณแฟนเพจทุกคนเลยนะคะ ทุกคนที่มาติดตามเก้เขาคือคนในครอบครัวของเก้นะคะ เราก็จะรักมากๆ เลย อยากให้ติดตามแล้วก็ซัพพอร์ตกันไปแบบนี้ตลอดเลยนะคะ”
สัมภาษณ์โดย : ทีมข่าว MGR Live
เรื่อง : กีรติ เอี่ยมโสภณ
ขอบคุณภาพ : เพจเฟซบุ๊ก “หนูชอบกินผัก”
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **