“บูลลี่ก่อน-ขายทีหลัง” แบบนี้ก็มีด้วย กลยุทธ์การตลาดแบบไร้มารยาท ที่มีให้เห็นมากขึ้นทุกวันจน “เหยื่อขายคอร์ส” ต่างส่ายหน้า เคสล่าสุดถึงกับ “วิจารณ์รูปร่าง-หน้าตา” เพื่อให้มาเข้าคอร์ส บอกเลย “ผิดกฎหมาย” ฟ้องร้องเอาเรื่องได้ อย่าไปทน!!
“การตลาดไร้มารยาท” เหยียดให้จม แล้วถมด้วยคอร์ส
เดือดทั้งโซเชียลฯ เมื่อผู้ใช้งานTikTok “@bamm.w” โพสต์คลิปแฉ หลังถูกพนักงานคลินิกเสริมความงามในห้างฯ ดัง จู่โจมขายคอร์สเสริมความงามแบบไร้มารยาทขั้นสุด!!
โดยการเปิดประเด็นเข้ามาบูลลี่หน้าตา ว่าหน้าแบบนี้ต้องทำอีกหลายอย่าง แต่จะลดให้ ตังค์ไม่มีก็ไม่เป็นไร แล้วจึงเสนอคอร์สความงามต่างๆให้ เท่านั้นไม่พอ ยังตามตื๊อจนเธอต้องแกล้งคุยโทรศัพท์กับแม่ ถึงเดินหนีออกมาได้
หลังจากคลิปนี้ถูกนำไปโพสต์ลงใน Twitter ก็ยิ่งกลายเป็นประเด็นเดือด เมื่อ “เหยื่อขายคอร์ส” หลายคนก็ออกมาเล่าประสบการณ์ที่คล้ายๆ กัน คือถูกจู่โจมจากการตลาดแบบ “บูลลี่มาร์เก็ตติ้ง”
สถานการณ์ที่พบเจอมีตั้งแต่ ถูกทักเรื่อง หน้าตาผิวพรรณ ใบหน้า ว่าดูแย่บ้างล่ะ สิวเยอะบ้างล่ะ ไปถึงขั้นบูลลี่เรื่องรูปร่างกันกลางห้างฯ จนทำให้เสียความมั่นใจกันไปเลยก็มี
ผู้ใช้ท่านหนึ่งได้ทวีตประสบการณ์ไว้ว่า เคยถูกทักขณะเดินห้างฯ อยู่ ว่าหน้าแย่ เพราะตอนนั้นสิวเยอะมาก ผู้คนที่เดินอยู่แถวนั้นก็หันมามองที่เธอ ทำให้รู้สึกแย่มาก พอเดินหนีแล้วบอกปัดไปว่าไม่มีเงินก็ได้คำตอบกลับมาว่า ผ่อนได้หรือไม่ก็ให้ใช้บัตรเครดิตรูดเอาก็ได้ ตอนนั้นยอมรับว่าเสียความรู้สึกมาก ถึงขั้นออกไปข้างนอกต้องใส่แมสก์ตลอดเวลา
ผู้ใช้อีกท่านก็ได้มากล่าวเสริมอีกว่า เป็นคนรูปร่างอ้วน เวลาผ่านคลินิกบริการความงามเหล่านี้ ก็จะถูกทักด้วยประโยคเดิมๆ เกี่ยวกับรูปร่างของเธอ หนักกว่าครั้งหนึ่งเธอเดินหนี แต่พนักงานก็มาจับแขนเธอไว้ แล้วพูดว่า “ท้องกี่เดือนแล้ว หน้าเป็นสิวแบบนี้ ระวังถูกแฟนทิ้งนะ” จากนั้นก็เสนอขายบริการให้เธอเป็นยกใหญ่
แล้วยังมีการตามตื๊อเสนอคอร์สทางความงามต่างๆ ให้ แบบชนิดที่ว่าไม่สนฟ้าสนแดด บางก็โดนตามถึงหน้าลิฟท์ก็มี บางคนเคยถูกจู่โจมแบบล้อมหน้าล้อมหลัง ขณะตนกำลังคุยธุระทางโทรศัพท์อยู่ แม้จะบอกปัดแล้วเดินหนี แต่ก็ไม่วายตามมาขายต่อ
ถูกตามตื๊อว่าน่ารำคาญแล้ว บางคนโดนดึงให้ไปทดลองใช้สินค้า หรือใช้บริการแบบไม่ทันตั้งตัวด้วยซ้ำ เดินๆ อยู่ก็ถูกจับทาครีม แล้วกลายเป็นพรีเซนเตอร์จำเป็นซะงั้น หรือไม่ก็ถูกลากเข้าไปในร้าน รู้ตัวอีกทีคือตอนเห็นใบเสร็จชำระเงิน
และที่หนักคงไม่พ้นเหตุการณ์ เมื่อปลายปีที่แล้ว เมื่อสาวโรงงานหลงเข้าไปในบูธคลินิกเสริมความงาม แต่กลับออกมากลายเป็นหนี้รวม 2 หมื่นบาท เมื่อพนักงานเอาโทรศัพท์ไปโหลดแอปฯ เงินกู้ เพื่อมาจ่ายค่าคอร์สความงาม โดยไม่แจ้งรายละเอียดกับเธอ จนทำเป็นคดีความกันขึ้นมา
จากเรื่องราวทั้งหมดทำให้ชาวโซเชียลฯ วิจารณ์อย่างดุเดือด ว่าวิธีขายแบบนี้มันเลยสิ่งที่เรียกว่า “ฮาร์ดเซลล์” ไปแล้ว แบบนี้ต้องเรียกว่า “คุกคาม” หรือเปล่า?
เดินตาม เดินจิก= ฮาร์ดเซลล์
‘Hard Sell’ (ฮาร์ดเซลล์) หลายท่านคงพอคุ้นหูกันมาบ้างแล้วและแค่ได้ยินก็รู้สึกไม่ดีขึ้นมาแล้ว ไม่ใช่แค่คนทั่วไปเท่านั้นที่ไม่ชอบคำนี้ นักการตลาดหรือนักโฆษณาเองก็ไม่ชอบมันเหมือนกัน
ทำไมน่ะเหรอ เพราะคำว่า “ฮาร์ดเซลล์” ถ้านิยามให้เข้าใจง่าย คือการโฆษณาหรือการทำแคมเปญอะไรสักอย่างเกี่ยวกับสินค้าด้วยคำพูดแรงๆ โดนใจ คำโปรโมตเชิญชวนแบบเวอร์ๆ สำหรับนักขายก็ขายด้วยคำพูดโน้มน้าวแบบตื๊อๆ แรงๆ หรือถึงขั้นเคาะประตูบ้านเข้าไปคุยกับคนแปลกหน้า เพื่อสาธิตสินค้าโดยที่เจ้าของยังไม่อนุญาตให้เข้าเลย
ประโยชน์ของการขายแบบ ฮาร์ดเซลล์ คือ สามารถจบการขายได้ไว เพราะลูกค้าจะถูกกดดันเพื่อให้ซื้อสินค้า ไม่มีเวลาให้คิดไตร่ตรองมากนัก บ้างก็ซื้อเพราะตัดรำคาญ
แต่การตลาดแบบ ฮาร์ดเซลล์ ไม่ส่งผลดีต่อการค้าเท่าไหร่ การทำแบบนี้ ลูกค้าจะยอมจ่ายแค่ครั้งเดียว ซึ่งไม่ดีต่อแบรนด์สินค้าและภาพลักษณ์ในระยะยาว
อ้าวแล้วทำไม ธุรกิจเสริมความงามยังคงใช้ กลยุทธ์การขายแบบนี้อยู่ละ? เราต้องเข้าใจว่า พนักงานขายทุกคนมีค่าคอมมิชชั่นจากยอดขาย ถ้าปิดการขายได้เยอะก็เงินเพิ่มเช่นกัน ธันยวัชร์ ไชยตระกูลชัย ผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาด เคยอธิบายประเด็นนี้กับสื่อไว้ว่า
“พนักงานแบบนี้เขาจะได้เงินต่อวันน้อย แล้วจะได้เยอะต่อเมื่อหาลูกค้าได้แต่ละหัว ถ้าคุณชวนลูกค้าไปทำหน้าได้ ก็จะได้เงินต่อหัวครับ ก็อยู่ด้วยค่าคอมมิชชั่น ก็หาวิธีชวนคน ถ้าไม่ได้เลย รายได้คุณก็ได้แค่ค่าจ้างต่อวันซึ่งมันน้อยไง เขาก็หยุดไม่ได้”
ถ้าเทียบกับคนยุคก่อนทุกธุรกิจ หลายๆ ครั้งไม่ได้ถูกเทรนด์ถึงวิธีการเข้าหาลูกค้าต้องทำยังไง วิธีการพูดจากับลูกค้าทำยังไง วิธีการชักชวนลูกค้าทำยังไง แต่ตอนนี้ถ้าใครทำแบบนี้ ก็จะถูกนำลงในโลกโซเชียลฯ ก็จะทำให้แบรนด์นั้นเสียหาย ห้างฯ ก็จะต้องเข้มงวดกับแบรนด์พวกนี้เหมือนกันในการเข้าหาลูกค้า เพราะจะกลายเป็นว่า สร้างความรำคาญให้แก่ลูกค้า
กลยุทธ์สำคัญของบูธเสริมความงามเป็นแบบฮาร์ดเซลล์ (การขายแบบยัดเยียด) แล้วชักชวนคนที่ค่อนข้างจะชักชวนได้ง่าย บางคนเวลาโดนเข้ามาล้อมหน้าล้อมหลัง จึงไม่รู้จะปฏิเสธยังไง ซึ่งตัวผู้บริโภคเองก็จะต้องฝึกปรือเรื่องพวกนี้เหมือนกัน ถ้าหากไม่ใส่ใจก็ไม่ต้องหยุดคุย แล้วเดินหนีออกไป
ผิดกฎหมาย!! “ขายยัดเยียด= คุกคาม”
จากเหตุที่หลายคนต้องเผชิญ ทั้งการตามตื๊อ วิจารณ์รูปร่างหน้าตาหรือถึงขั้นยัดเยียด บริการให้ลูกค้าโดยลูกค้า แม้จะบอกปฏิเสธไปแล้วก็ตาม จนเป็นที่มาของคำถามว่า นี้เป็นการคุกคามหรือเปล่า
เมื่อสอบถามถึงการกระทำเหล่านี้ว่าเป็นการคุกคามและผิดกฎหมายหรือเปล่า รัชพล ศิริสาครทนายความชื่อดัง เจ้าของเพจ “สายตรงกฎหมาย” ได้ให้คำตอบไว้ว่า สามารถเอาผิดตามกฎหมายได้
โดยในทางกฎหมายมี ประมวลกฎหมายอาญา เกี่ยวกับการสร้างความเดือดร้อนรำคาญ ผู้ใดกระทำการ อันเป็นการรังแก ข่มเหง คุกคามหรือกระทำให้ได้รับความอับอายหรือเดือดร้อนรำคาญ ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 5,000 บาท
ถ้าเป็นการกระทำในที่สาธารณะ หรือต่อหน้าคนจำนวนมาก ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ส่วนการวิจารณ์รูปร่าง หน้าตา นั้นจะเป็นการหมิ่นประมาท หรือไม่ก็ต้องดูที่เจตนาและคำพูดนั้น แต่ถ้าคำเหล่าเรารู้สึกต่ำต้อยหรือด้อยค่า อันนี้ก็อาจจะเข้าข่าย การดูหมิ่นผู้อื่นได้ โทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน ปรับไม่เกิน10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ทนายยังย้ำอีกว่า สามารถเข้าแจ้งความอาญาได้ ถ้ารู้สึกว่าการกระทำเหล่านั้นเป็นการคุกคามหรือก่อความรำคาญ แค่เอาหลักฐานจากกล้องวงจรปิดหรือถ่ายคลิป แล้วเข้าแจ้งความได้เลย
“เรื่องพวกนี้มันก็ต้อง ถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน จริงๆ แล้วการกระทำพวกนี้มันเป็นเรื่องการกระทำความผิดทางกฎหมายอยู่แล้ว ก็สามารถดำเนินคดีได้ถ้าเราสึกว่าถูกคุกคามจนเราเสียหาย แต่คนที่ขายของควรรู้แต่แรกอยู่แล้วว่าการกระทำเหล่านี้เข้าข่ายผิดกฎหมาย ซึ่งไม่ควรทำตั้งแต่แรก”
สกู๊ป : ทีมข่าว MGR Live
ขอบคุณข้อมูลบางส่วน : www.sales100million.com
ขอบคุณภาพ : แฟนเพจ “ทนายรัชพล ศิริสาคร Fanpage”
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **