xs
xsm
sm
md
lg

น่าตกใจ!! สถิติชี้ชัด “คนปลิดชีพตัวเอง” อายุน้อยลง แพทย์ย้ำ “คนไข้เด็กสุด” 10 ขวบ!!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“15-19 ปี” คือกลุ่มที่ลงมือ “ฆ่าตัวตาย” มากที่สุดในรอบ 3 ปีหลังมานี้ พอๆ กับคนไข้ทางจิตเวชในระยะ 5 ปีหลัง ที่คุณหมอเปิดเผยว่าอายุน้อยลงเรื่อยๆ “ถึงขั้นเด็กสุดเพียง 10 ปีเท่านั้น!!”

ย้ำด้วยสถิติ “ผู้ปลิดชีพตัวเอง” อายุน้อยลงเรื่อยๆ

สลด! เด็กหญิง 13 ผูกคอจบชีวิต, เด็ก 15 ปี ทิ้งจดหมายลาตายหลังคิดสั้นลาโลก, นักเรียน ม. 2 ผูกคอดับหลัง ถูกครูไล่ไปตัดผม-เพื่อนบูลลี่

และล่าสุดการพลัดจากคอนโดของ “ฌาน อารีย์กุล” อายุ 19 ปี น้องชาย “เฌอปราง BNK48” คาดเป็นเพราะปัญหาส่วนตัว




[ ตารางและกราฟแสดง “ปัญหาการฆ่าตัวตายในคนไทยปี 2565” ]
จากเหตุโศกสลดทั้งหมดนี้ พอจะทำให้เห็นจุดเชื่อมโยงบางอย่างได้บ้างหรือยัง? ถ้ายัง ลองพิจารณาสถิติ “ปัญหาการฆ่าตัวตายในคนไทยปี 2565 ศูนย์เฝ้าระวังการฆ่าตัวตาย โรงพยาบาลจิตเวชขอนแก่นราชนครินทร์” ในปี 65 เข้าไปด้วย จะเห็นชัดขึ้นว่า แนวโน้ม “ผู้เลือกจบชีวิต” เริ่มที่อายุน้อยลงๆ เรื่อยๆ ตลอดช่วง 3 ปีที่ผ่านมา

ทว่า สิ่งที่น่าตกใจมากกว่าคือ จากสถิติพบว่าเหล่าคนที่มีการพยายามฆ่าตัวตายมากที่สุดคือ อายุ 15-19 ปี ซึ่งอยู่ในกลุ่มของวัยรุ่นวัยเรียน คิดเป็น 224 ต่อประชากร 1 แสนคน

รองลงมาเป็นคนวัยทำงาน ที่มีเพียง 42 ต่อประชากร 1 แสนคนเท่านั้น และสาเหตุอันดับ 1 ก็คงหนีไม่พ้น “อาการป่วยทางจิตเวช” หรือหนึ่งในนั้นคือ ที่ผู้คนคุ้นหูกันดีในนาม “โรคซึมเศร้า”



[ พ.ต.ท.หญิง พ.ญ.ดลนภา รัตนากร ]
สอดคล้องกับข้อมูลที่ได้จาก พ.ต.ท.หญิง พ.ญ.ดลนภา รัตนากร แพทย์เฉพาะทางทางด้านจิตเวชโรคสมอง เกี่ยวกับอายุของคนที่เข้ามารับการรักษาปัญหาสุขภาพจิตว่า มีกลุ่มเด็กวัย 10 กว่าขวบมากขึ้นเรื่อยๆ จริงๆ

“เมื่อปี 10 ก่อน ผู้เข้ามาปรึกษาปัญหา มักจะเป็นวัยทำงาน ผู้สู้อายุ ที่มีปัญหาเกี่ยวกับ การทำงาน ครอบครัว หรือ สุขภาพ แต่ในระยะ 5ปีหลัง ผู้ที่เข้าปรึกษาเกี่ยวกับสุขภาพจิตเริ่มมี อายุน้อยลงตั้งแต่ อายุ 18ปี ถึงขั้นเด็กสุดอายุเพียง 10 ปีเท่านั้น”

“โซเชียลมีเดีย” สาเหตุหลักแห่งการฆ่าตัวตาย?

อะไรคือสาเหตุที่ทำให้เหล่าเด็กและวัยรุ่น เริ่มมีการฆ่าตัวตายที่เพิ่มอย่างน่าตกใจ? มีอีกหนึ่งมุมคิดจาก ดาว-ภาวิกา ทองดีศักดิ์กุล ผู้ให้คำปรึกษาด้านจิตวิทยา คลินิกให้คำปรึกษาและบำบัดสุขภาพจิต “NSD NEURON” ที่กล้าย้ำว่า แรงผลักหลักๆ เกิดจากการใช้ “โซเชียลมีเดีย”

ส่งผลให้กลุ่มเด็กและวัยรุ่นในยุคหลังๆ มีปัญหาสุขภาพจิตกันมากขึ้น เครียดเพิ่มขึ้นเพราะการใช้โซเชียลฯ ส่งผลให้อ่อนไหวง่ายจากคอมเมนต์, คำบูลลี่ และการไม่เป็นที่ยอมรับ จากสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ

โดยพบว่าเด็กที่เข้ามารักษา มีตั้งแต่ สภาวะซึมเศร้า, วิตกกังวล, การปรับตัวผิดปกติ, การทำร้ายตัวเอง, ไปถึงขั้นการพยายามฆ่าตัวตาย ฯลฯ



นอกเหนือไปจากนั้น คือปัจจัยอื่นๆ ที่เข้ามากระทบใจได้หลากหลาย ทั้งปัญหาครอบครัว, การปรับตัวเข้ากับสภาพแวดใหม่ หรือแม้แต่แรงกดดันจากสังคมและคนรอบข้าง

“มีมุมมองการแพทย์ที่น่าสนใจก็คือ อัตราการฆ่าตัวตายหรือการทำร้ายตัวเอง จะลดลงเมื่อบุคคลนั้นทำการ Social Detox สิ่งที่น่าสนใจตรงที่ว่าเด็กในรุ่นนี้ให้ความสนใจกับ Social Media ค่อนข้างมาก และมักจะคิดว่าชีวิตตัวเองเป็นชีวิตที่ไม่มีความสุข

เพราะเวลาเขาประสบความสำเร็จอะไรบางอย่าง พอเข้าไปดูในโซเชียลฯ ก็มีเพื่อนที่ประสบความสำเร็จมากกว่าหรือเพื่อนที่มีชีวิตที่ดีกว่า จึงทำให้พื้นฐานที่ดีทีสุดเกี่ยวกับการรักตัวเองลดลง ดังนั้น สาเหตุของคนที่ฆ่าตัวตายอายุน้อยก็สอดคล้องกับการมาถึงของโซเชียลมีเดีย”



การที่สื่อโซเชียลฯ เข้ามามีความสำคัญในชีวิตประจำวันมากขึ้น ก็ทำให้วัยรุ่นให้ค่ากับสิ่งที่โลกออนไลน์นำเสนอ ความสำเร็จ ชีวิตที่สมบรูณ์แบบ หรือคำวิจารณ์ในเชิงลบมากจนเกินไป จนกลายมาเป็นแรงกดดันในชีวิตในที่สุด

“การที่คนคนหนึ่งจะคิดสั้นได้มันมีหลายปัจจัย โซเชียลมีเดียเป็นแค่หนึ่งในสาเหตุจากหลายๆ สาเหตุเท่านั้น ความคิดฆ่าตัวตายไม่สามารถเกิดขึ้นได้อย่างเฉียบพลัน ต้องมีเหตุการณ์เกิดซ้ำๆ ตอกย้ำ มาเรื่อยๆ จนเริ่มเชื่อในความคิดนั้น

แต่พอเขาใช้โซเชียลฯ นั้นหมายความว่าการปฏิสัมพันธ์เกิดขึ้นบ่อย ไม่ว่าเป็น ข้อความ รูปภาพ หรืออะไรก็แล้วแต่ พอมันบ่อยขึ้นก็จะเป็นการย้ำถึงการตัดสินใจนั้นไปเรื่อยๆ”

“พบจิตแพทย์ = บ้า” มายาคติในสังคมไทย

การเลือกจบชีวิตของเหล่าวัยรุ่น เด็ก นักเรียน นักศึกษา ไม่ใช่เพิ่งเกิดมาไม่นานนี้แต่เป็นสิ่งที่พบเห็นกันเป็นประจำทั้งที่เป็นข่าวบ้างไม่เป็นข่าวบ้าง เหตุการณ์เหล่านี้ยังคงเกิดขึ้นซ้ำๆ

เมื่อถามว่าปัญหาเหล่านี้ ถูกมองข้ามจากสังคมไทยหรือเปล่า จึงทำให้กลายเป็นปัญหาเรื้อรัง ไม่ได้รับการแก้ไขให้หมดไปเสียที แพทย์เฉพาะทางทางด้านจิตเวชโรคสมองรายเดิมตอบว่า น่าจะเป็นเพราะการขาดความตระหนักรู้ของคนส่วนใหญ่ในสังคมมากกว่า



“ไม่เชิงละเลยแต่จะเป็นการขาดความรู้ความเข้าใจ ในการจัดการกับปัญหาสุขภาพทางจิตเสียมากกว่า และในสังคมไทยยังคงมีความรู้สึกในเชิงลบ และปิดกั้นเกี่ยวกับการปรึกษาจิตแพทย์

บริษัทหรือองค์กรที่มีการตรวจสุขภาพจิต ยังมีไม่เยอะและเวลาทำแบบทดสอบสุขภาพจิต บ้างก็มักไม่ตอบตามความจริง เพราะกลัวว่ามีผลต่อหน้าที่การทำงาน และหลายองค์กรยังไม่เห็นความจำเป็นในการตรวจสุขภาพจิต

ในส่วนตัวคนไทยรวมถึงรุ่นใหม่เอง ก็ไม่อยากยอมรับปัญหาพวกนี้ เพราะคิดว่าถ้าฉันยอมรับ มันจะทำเราดูอ่อนแอ ถ้าเราไปปรึกษาจิตแพทย์เท่ากับเราเป็นบ้า ซึ่งยังคงเป็นมายาคติในสังคมไทย ที่ต้องใช้เวลาและการให้ความรู้



จะถือว่าเป็นเรื่องโชคดี ถ้าตัวเขาเองหรือคนรอบข้างมีความรู้ความเข้าใจ ส่วนใหญ่คนที่เข้ามารักษามักจะมีอาการที่ขึ้นแล้ว เพราะเราจะรู้ได้ว่าใครใกล้จะหายจากอาการเหล่านี้คือ ให้ดูจาการเขาเริ่มเปิดใจยอมรับสิ่งที่เขากำลังเป็นและเข้ามาขอคำปรึกษา”

มองอีกมุม ผู้ให้คำปรึกษาด้านจิตวิทยารายเดิม ถือว่าการมีโซเชียลฯ ช่วยให้คนยุคนี้ มีที่ระบายมากขึ้น และถ้าคอยสังเกตพฤติกรรมดีๆ เมื่อผู้ป่วยเริ่มมีโพสต์แปลกๆ เปลี่ยนรูปโปรไฟล์สีดำ ก็ควรเริ่มพูดคุยกับเขา หรือพามาปรึกษานักจิตวิทยาได้เลย ไม่ต้องรอให้เกิดอาการหนัก เพราะอาจเสี่ยงต่อชีวิต

“มันเลยจำต้องมีนักจิตวิทยาหรือที่ปรึกษาที่คอยแนะนำ เพราะบางที่เด็กก็ไม่อยากไปหาจิตแพทย์ เขาแค่อยากมีที่ปรึกษาที่คอยให้คำแนะนำเรื่องการเรียน ความสัมพันธ์ การจัดการกับปัญหาในชีวิตให้เขาได้



นอกเหนือจากหมอและนักจิตวิทยา ก็ยังมีอาชีพที่ปรึกษาที่คอยช่วยแนะนำทัศนคติในการนำเดินชีวิตที่ถูกต้องให้กับพวกเขาอยู่
ปัญหาการฆ่าตัวตายนั้น ถ้าเข้ารักษาหรือขอคำแนะแนวจากหมอและนักจิตวิทยาได้อย่างทันท่วงที แนวโน้นของอาการก็จะดีขึ้น หรือถึงขั้นหายขาด แต่ก็เป็นส่วนน้อยที่คนรอบข้าง หรือตนเองสังเกตและรู้ตัวก่อน จึงเข้ามาปรึกษาหมอได้ทัน

ทั้งนี้ก็ต้องรับว่าการเข้าถึงการรักษาเกี่ยวกับจิตเวชยังคงมีช่องทางน้อยเกินไป ถึงแม้จะมีทำในสื่อโซเชียลฯ และแอปพลิเคชันที่ให้ปรึกษาออนไลน์ ก็ยังไม่สามารถเข้าคนส่วนใหญ่ได้

แต่ก็มีการตื่นตัวมากขึ้นในภาคเอกชน เริ่มมีการตรวจสุขภาพจิตในที่ทำงาน มีการจัดตรวจสุขภาพจิตของเหล่าหมอและนักจิตวิทยาไปตามโรงเรียนหรือองค์กรต่างๆ โรงเรียนเอกชนเริ่มมีนักจิตวิทยาประจำค่อยให้แนะนำกับเด็กนักเรียน”

สุดท้ายแล้วการแก้ปัญหาที่ดีที่สุดคือ การให้ความรู้ความเข้าใจในเรื่องสุขภาพจิตและพบจิตแพทย์ หรือนักจิตวิทยาเป็นเรื่องสามัญธรรมดา ปัญหาสุขภาพจิตเป็นเรื่องปกติที่ทุกคนสามารถเจอได้ อย่าปล่อยให้มันสายเกินไป

สกู๊ป : ทีมข่าว MGR Live



** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **




กำลังโหลดความคิดเห็น