xs
xsm
sm
md
lg

“ใบปอ” รักกล้องฟิล์ม-ลุยเรียนภาพยนตร์ อีกมุม “นางเอกดาวรุ่งยุคใหม่” หัวใจ Y2K

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เล่าให้ฟังแบบหมดเปลือก ครั้งแรกกับบทฝาแฝดสุดท้าทาย หนังรักวัยรุ่นยุค Y2K “เธอกับฉันกับฉัน” เปิดประสบการณ์ชีวิต กว่าจะเข้าถึงคาแรกเตอร์จนคนออกปากชื่นชอบได้ ทั้งเครียด-ท้อ-ร้องไห้ทุกวัน พร้อมเปิดชีวิตอีกมุม กับความหลงใหลในกล้องฟิล์ม

ครั้งแรกกับบทฝาแฝดสุดท้าทาย ยุคY2K

“มันท้าทายมากๆ เลยค่ะ ด้วยความที่มันเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกของหนู หนูก็เล่นทั้งสองบท ตอนนั้นสำหรับหนูในอายุเท่านั้น ประสบการณ์เท่านั้น หนูรู้สึกว่าอย่างโหดมาก และหนูรู้สึกว่าเรื่องนี้มันทำให้หนูโตขึ้นจากเดิมมากๆ ในเรื่องการแสดง การใช้ชีวิต ทุกๆ อย่าง รู้สึกว่าสิ่งที่ได้ทำมันคุ้มค่า

“ใบปอ-ธิติยา จิระพรศิลป์” สาวสวยมากความสามารถวัย 18 ปี เจ้าของบทฝาแฝด “ยู” และ “มี” จากภาพยนตร์เรื่อง “เธอกับฉันกับฉัน” ภาพยนตร์ไทยที่น่าจับตามองของค่าย GDH ผลงานการกำกับของสองผู้กำกับฝาแฝดอย่าง “วรรณแวว-แวววรรณ หงษ์วิวัฒน์” พร้อมกับการนั่งแท่นเป็นโปรดิวเซอร์ครั้งแรกของ “โต้ง-บรรจง ปิสัญธนะกูล”

เป็นกระแสขึ้นมาทันทีที่ตัวอย่างภาพยนตร์ปรากฏสู่สายตาผู้ชม เพราะด้วยกลิ่นอายแห่งความคิดถึงอดีตที่ทุกคนกำลังมองหา ซึ่งหนังเรื่องนี้ จะเล่าเรื่องราวความสัมพันธ์ การเติบโตของฝาแฝด พร้อมกับจะพาเราเดินทางย้อนกลับไปในยุคปี 1999 ย่างเข้าปี 2000 ยุค Y2K หรือ “Year 2000 (Year 2 kilo) ขณะที่ทั่วโลกกำลังพูดถึงปัญหา Y2K และข่าวลือว่าโลกอาจจะแตกในวันสิ้นปี ยู กับ มี ฝาแฝดวัย ม.ต้น ก็เป็นอีกคู่ที่กังวลกับอนาคตที่กำลังจะเกิดขึ้น ทั้งคู่สนิทและรักกันมาก แชร์ทุกอย่างร่วมกัน จนต่างเป็นเหมือนโลกทั้งใบของกันและกัน 

แต่แล้ววันหนึ่ง เมื่อเด็กผู้ชายที่ชื่อ หมาก ที่รับบทโดย “โทนี่-อันโทนี่ บุยเซอเรท์” ได้เข้ามาในชีวิต พวกเธอจึงได้สัมผัสกับ “รักครั้งแรก..ที่ไม่อาจแชร์ให้กันได้” ทั้งคู่จะจัดการกับความสัมพันธ์นี้ และก้าวผ่านช่วงเวลาที่สับสนบนโลกที่เหมือนว่ากำลังจะแตกลงไปได้อย่างไร


วันนี้เราจึงได้รับโอกาสพิเศษได้พูดคุยกับทั้งนักแสดงนำทั้ง 2 คน ทั้งน้องใบปอ และน้องโทนี่ ถึงบทบาทคาแรกเตอร์ ความยากง่ายกับการแสดงหนังครั้งแรกของพวกเขาพร้อมเปิดประสบการณ์ชีวิต กว่าจะเข้าถึงคาแรกเตอร์จนคนออกปากชื่นชอบได้ไม่ใช่เรื่องง่าย

“มันเป็นเรื่องที่ย้อนไปถึง ยุค Y2K คือจริงๆ หนูเกิดปี 2005 แต่ว่า setting ของเรา ย้อนกลับไปในยุค 1999 ซึ่งหนูก็ยังไม่เกิดค่ะตอนนั้น เราก็ต้องทำการบ้านเยอะในเรื่องของ Y2K หนูก็ไปถามป๊าแม่อะไรอย่างนี้ค่ะ เขาก็จะเล่าให้หนูฟังว่า ในยุคนั้นทุกคนกลัวเรื่องโลกจะแตก เราก็อาจจะไม่ได้อินเท่าไหร่ แต่ว่าพอได้ลองมาแสดงจริงๆ ด้วยที่เรารู้back story ว่ามันเป็นแบบนั้น ก็ทำให้เข้าใจได้ง่าย

คนที่ผ่านมาแล้วน่าจะอินค่ะ แต่ทุกคนอินได้ เพราะมันเป็นเรื่องของรักครั้งแรก เชื่อว่าทุกคนเคยมีรักครั้งแรก เรื่องนี้จะทำให้ทุกคนคิดถึงตรงนั้น อีกอย่างมันจะมีเรื่องของครอบครัวเข้ามาด้วย หนูคิดว่ามันจะเข้ากับหลายๆ คนได้ง่าย อยากให้ทุกคนไปดูความสัมพันธ์ของฝาแฝดค่ะ

[เบื้องหลังการถ่ายทำ]
ด้วยความที่มันเป็นเรื่องแรกของ หลายๆ ฝ่าย ทั้งนักแสดง ผู้กำกับ โปรดิวเซอร์ตากล้อง สไตล์ลิสต์แต่ว่าทุกคนก็ทำออกมาได้ดีมาก ทุกคนตั้งใจปั้นให้แต่ละช็อตมันออกมาดีมากๆ อยากให้ทุกคนสนับสนุนหนังไทย ด้วยการไปดูในโรงภาพยนตร์

อีกอย่างโลเคชั่นในการถ่ายทำคือ จ.นครพนม ซึ่งนครพนมเป็นเมืองที่น่ารักมากเลยค่ะ ด้วยความที่ติดริมโขง บรรยากาศ
โลเคชั่นทุกอย่างมันสวยด้วยตัวของมันอยู่แล้วค่ะ

และทุกเฟรมมันสวยมาก ทีมอาร์ทเซ็ตได้ออกมาเหมือนจริงมากๆ เหมือนว่าที่ตรงนั้นมันเหมือนมีคนอยู่จริงๆ ดูเหมือนมีชีวิต
มันก็เลยทำให้เรายิ่งอินเข้าไปเรื่อยๆ

ผู้กำกับภาพทุกคนตั้งใจปั้นแต่ละเฟรมกันมาก พอมันเป็นกล้องเดียว มันก็เลยค่อนข้างจะละเอียด ด้วยสเกลของหนัง มันฉายในจอใหญ่ มันไม่เหมือนละคร หรือซีรีส์ หรือว่ามิวสิกวิดีโอ การแสดงของแต่ละอันมันก็จะคนละศาสตร์กัน ถ้าหนังเราต้องแสดงละเอียดค่ะ แค่เราหายใจนิดเดียว คุณผู้ชมก็เห็นแล้ว มันก็เลยละเอียดมากจริงๆ”


เทียบตัวละครเป็นหมา ทริกสำคัญในการเข้าถึงคาแรกเตอร์

สาวน้อยหน้าสวยวัย 18 ปี เธอเล่าทริกสำคัญในการเข้าถึงคาแรกเตอร์ให้ฟังว่า เธอมีทริกสำคัญคือเปรียบฝาแฝดทั้งสองคนเป็นน้องหมา สำหรับยูจะเป็นหมาโกลเด้น ส่วนมีเป็นหมาไซบีเรียฮัสกี้

“เรื่องการแบ่งคาแรกเตอร์ จริงๆ พี่วรรณ-พี่แววเขาวางไว้แล้วว่าอยากให้คาแรกเตอร์ 2 คนนี้ต่างกัน พอเรามา workshop ก็ปรึกษากันว่าเราจะทำวิธีไหนที่ทำให้สองคนนี้ดูแล้วรู้เลยว่า คนนี้คือ “ยู” นะ คนนี้คือ“ มี” นะ ถ้าเป็นรูปลักษณ์ภายนอก ยูจะติดกิฟต์ มีจะมีไฝ แต่ว่าถ้าเป็นนิสัย ยูจะเป็นคนที่ร่าเริง ดีดตลอดเวลา มองโลกในแง่ดีค่ะ

ตอนที่เรา workshop กัน แอ็คติ้งโค้ชที่ทำการบ้านร่วมกัน วางอิมเมจตรงนี้เป็นหมาโกลเด้นท์ค่ะ แล้วก็ยูจะเป็นคนใช้ช่องเสียงที่สูงกว่า ส่วนตัวละคร มี เป็นคนห้าวๆ คูลๆ ดูกวนตีนอะไรประมาณนั้น มีความเป็นหมาไซบีเรียน ซึ่งเราเห็นชัดๆ ว่าสองสายพันธุ์นี้มันมีคาแรคเตอร์ต่างกันจริงๆ แล้วพอเราลองเล่นเป็นหมาสายพันธุ์ไซบีเรียน แล้วรู้สึกว่ามันใช่ เป็นวิธีที่เวิร์คค่ะ”

นอกจากทริกสำคัญในการเทียบตัวละครเป็นน้องหมาแล้ว เธอยังได้ทริกสำคัญในการเข้าถึงคาแรกเตอร์จากผู้กำกับแฝดทั้งสองคนอีกด้วย เพราะเธอสามารถเข้าใจความสัมพันธ์ของฝาแฝดจากการบอกเล่าของผู้กำกับ รวมไปถึงคอยสอดส่องพฤติกรรมความเป็นแฝดของทั้งสองผู้กำกับ เพื่อนำมาปรับใช้ในตัวละคร


เทียบตัวละครเป็นหมา ทริกสำคัญในการเข้าถึงคาแรกเตอร์

สาวน้อยหน้าสวยวัย 18 ปี เธอเล่าทริกสำคัญในการเข้าถึงคาแรกเตอร์ให้ฟังว่า เธอมีทริกสำคัญคือเปรียบฝาแฝดทั้งสองคนเป็นน้องหมา สำหรับยูจะเป็นหมาโกลเด้น ส่วนมีเป็นหมาไซบีเรียฮัสกี้

“เรื่องการแบ่งคาแรกเตอร์ จริงๆ พี่วรรณ-พี่แววเขาวางไว้แล้วว่าอยากให้คาแรกเตอร์ 2 คนนี้ต่างกัน พอเรามา เวิร์กชอป ก็ปรึกษากันว่าเราจะทำวิธีไหนที่ทำให้สองคนนี้ดูแล้วรู้เลยว่า คนนี้คือ “ยู” นะ คนนี้คือ “มี” นะ ถ้าเป็นรูปลักษณ์ภายนอก ยูจะติดกิฟต์ มีจะมีไฝ แต่ว่าถ้าเป็นนิสัย ยูจะเป็นคนที่ร่าเริง ดีดตลอดเวลา มองโลกในแง่ดีค่ะ

ตอนที่เราเวิร์กชอปกัน แอ็คติ้งโค้ชที่ทำการบ้านร่วมกัน วางอิมเมจตรงนี้เป็นหมาโกลเด้นท์ค่ะ แล้วก็ยูจะเป็นคนใช้ช่องเสียงที่สูงกว่า ส่วนตัวละคร มี เป็นคนห้าวๆ คูลๆ ดูกวนตีนอะไรประมาณนั้น มีความเป็นหมาไซบีเรียน ซึ่งเราเห็นชัดๆ ว่าสองสายพันธุ์นี้มันมีคาแรคเตอร์ต่างกันจริงๆ แล้วพอเราลองเล่นเป็นหมาสายพันธุ์ไซบีเรียน แล้วรู้สึกว่ามันใช่ เป็นวิธีที่เวิร์คค่ะ”

นอกจากทริกสำคัญในการเทียบตัวละครเป็นน้องหมาแล้ว เธอยังได้ทริกสำคัญในการเข้าถึงคาแรกเตอร์จากผู้กำกับแฝดทั้งสองคนอีกด้วย เพราะเธอสามารถเข้าใจความสัมพันธ์ของฝาแฝดจากการบอกเล่าของผู้กำกับ รวมไปถึงคอยสอดส่องพฤติกรรมความเป็นแฝดของทั้งสองผู้กำกับ เพื่อนำมาปรับใช้ในตัวละคร


“จริงๆ มันก็ตั้งแต่เวิร์กชอปแล้วค่ะ ที่พี่วรรณ-พี่แวว อธิบายเรื่องความสัมพันธ์ของฝาแฝดให้เราฟัง ฝาแฝดมันไม่เหมือนพี่น้องทั่วไปนะ มันมากกว่าเพื่อน มันมากกว่าพี่น้อง เป็นเหมือนเจ้าของชีวิตของกันและกัน ด้วยความที่ผูกพันกันมาตั้งแต่ในท้องแม่ ก็มีกันในชีวิตตลอด เพราะฉะนั้นเขาก็จะมีความผูกพันกันมากกว่าพี่น้องทั่วไป เราก็เข้าใจเรื่องนี้มากขึ้น หลังจากที่ได้ฟังมันก็เก็จความเป็นฝาแฝดมากขึ้น

แล้วมันก็จะมีเซนส์ของฝาแฝด เช่น อยู่ดีๆ ก็พูดพร้อมกัน คือ ตอนแรกเราก็ไม่ค่อยเชื่อเรื่องนี้ แต่พอพี่วรรณ-พี่แววอยู่ดีๆ เขาก็พูดพร้อมกันขึ้นมา ก็รู้สึกว่า เออเนี่ยแหละมันคือฝาแฝดจริงๆ มันเป็นแบบนี้ค่ะ หรือเวลาจะทะเลาะกันเหมือนเขาเถียงกันกับตัวเอง

หนูเล่นเป็นฝาแฝดอยู่แล้ว แล้วพี่วรรณ-พี่แววเขาเป็นฝาแฝดกันจริงๆ ตอนทำการบ้านเรื่องความสัมพันธ์ของฝาแฝด คือเราไม่ต้องไปหาที่ไหนไกล ก็คือพี่วรรณ-พี่แววก็เป็นตัวอย่างที่ดีในการเป็นแบบอย่าง เพราะเขาเป็นฝาแฝดกันจริงๆ แล้วเขาก็อยากถ่ายทอดเรื่องราวของฝาแฝดจริงๆ”

นอกจากนี้ ยังลองให้เธอเปรียบเทียบว่า น้องใบปอ มีคาแรกเตอร์คล้ายใครมากที่สุดในบทฝาแฝด ซึ่งเธอมองว่า เธออยู่กึ่งกลางระหว่างยูกับมี เพราะเธอมองว่า เธอมีทุกมุมที่ตัวละครมี เพียงแต่ว่าจะเลือกเอาออกมาใช้กับใคร หรือตอนไหนแค่นั้น


“สำหรับหนูคิดว่า หนูอยู่ตรงกลางระหว่างยูกับมีค่ะ หนูก็จะมีมุมที่เพื่อนบอกว่า ถ้าคนไม่สนิทกันก็จะมองว่าหนูเป็นมี แต่พอมาสนิทจริงๆ ก็จะเป็นยู

คาแรกเตอร์ภายนอกก็จะดูนิ่งๆ แบบว่าดูห้าวๆ ก็จะมีมุมที่แบบนิ่งๆ ห้าวๆ ค่ะ แล้วก็จริงๆ มีคนมาบอกด้วยค่ะว่าหนูเป็นคนกวนตีนนิดหน่อยก็จะมีความเป็นมี ส่วนมุมสดใส ดีดๆ มันก็จะมีกับคนที่สนิทกัน”

นอกจากคนจะชมเรื่องการเข้าถึงบทบาทฝาแฝดจนหลายคนเชื่อว่าเป็นแฝดจริงๆ แล้วนั้น หลายคนยังชมอีกว่า เธอสามารถแยกโทนเสียงให้แตกต่างกันได้ โดยไม่ต้องใช้เทคนิคจากโปรมแกรมอื่นๆ

“คนชมเรื่องการแยกโทนเสียงระหว่างยูกับมี เพราะหนูใช้ช่องเสียงที่มันต่างกันค่ะ หนูก็เห็นฟีดแบ็กเพื่อนส่งในTikTok มาให้ดูบ้าง ในทวิตเตอร์บ้าง ก็รู้สึกว่าดีใจค่ะ รู้สึกว่าสิ่งที่เราทำมัน complete แล้ว มีคนเห็นในสิ่งที่เราตั้งใจกับมันจริงๆ ถึงมันจะเป็นดีเทลเล็กๆ น้อยๆ แต่ว่าแค่เล่นเป็นแฝดแล้วคนแยกออกก็ดีใจแล้วค่ะ

จริงๆ แค่มีคนบอกว่าเหมือนเป็นฝาแฝดจริงๆ หนูก็ดีใจแล้วค่ะ เพราะว่าเหมือนเป้าหมายของเราก็อยากเล่นให้มันเป็นฝาแฝดจริงๆ นั่นแหละค่ะ แล้วพอคนเห็นว่าเหมือนเป็นฝาแฝดจริงๆ แค่นี้ก็ complete แล้วค่ะ สำหรับการเป็นนักแสดง แค่มีคนชมหนูก็ดีใจแล้วจริงๆ”


ร้องไห้ทุกวัน กว่าจะเข้าถึงคาแรกเตอร์

สาวน้อยมากความสามารถ เธอเล่าให้ฟังอีกว่ากว่าจะเข้าถึงคาแรกเตอร์บทฝาแฝดไม่ใช่เรื่องง่าย ทั้งกดดัน ทั้งเครียด ทั้งท้อ แถมยังมีร้องไห้ทุกวัน แต่สุดท้ายด้วยความใจสู้ของเธอ เธอลองพยายามครั้งแล้วครั้งเล่าจนสามารถเป็นตัวละครที่ทำให้ใครหลายคนเชื่อได้สำเร็จ

“จริงๆ มันจะมีช่วงแรกที่เวิร์กชอป เหมือนว่าพอเราได้ลองมาเข้าคาแรกเตอร์ดูแล้ว ก็ยังทำไม่ได้ มันก็รู้สึกท้อกับตัวเองว่า คือเราได้รับโอกาสนี้มาแล้ว แต่ว่าทำไมมันถึงไม่ได้สักที มันก็กดดันตัวเอง ช่วงที่ออกมาจากห้องเวิร์กชอป ก็มีร้องไห้ทุกวัน เครียด ตอนนั้นเป็นคาแรกเตอร์ไม่ได้ เป็นยูก็ยังไม่สุด เป็นมีก็ยังไม่สุด”

สุดท้ายมันคือการอยู่กับตัวเองค่ะ เหมือนว่าพอเราได้มีเวลามานั่งทบทวนตัวเองแล้วก็รู้สึกว่า เราได้โอกาสนี้แล้ว เราก็อยากจะทำมันให้ดี สุดท้ายแล้วหนูก็ต้องยอมรับกับความรู้สึกนั้น แล้วก็คิดว่าโอเคเราก็จะอยู่กับความรู้สึกนั้นไปนั่นแหละ แล้วก็ไปกับมันเรื่อยๆ จนวันหนึ่งเราจะชอบเอง”

นอกจากความกดดัน ความเครียดที่ต้องเจอแล้ว สาวน้อยดาวรุ่งที่น่าจับตามองคนนี้ เธอยังมองอีกว่า การเล่นหนังเรื่องแรกก็รับบทเป็นฝาแฝด 2 คาแรกเตอร์เลย ถือเป็นบทที่ท้าทายมากๆ แต่พอได้ลงมือทำจริงๆ เธอกับบอกว่า สิ่งที่ได้ทำ มันคุ้มค่า เพราะทำให้พัฒนาและเติบโตขึ้นจากเดิมมากๆ ทั้งเรื่องการแสดง การใช้ชีวิต


“มันท้าทายมากๆ เลยค่ะ ด้วยความที่มันเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกของหนู หนูก็เล่นทั้งสองบท ตอนนั้นสำหรับหนูในอายุเท่านั้น ประสบการณ์เท่านั้น หนูรู้สึกว่าอย่างโหดมาก และหนูรู้สึกว่าเรื่องนี้มันทำให้หนูโตขึ้นจากเดิมมากๆ ในเรื่องการแสดง การใช้ชีวิต ทุกๆ อย่าง รู้สึกว่าสิ่งที่ได้ทำมันคุ้มค่า

ก่อนหน้านี้หนูเคยเรียนการแสดงมาค่ะ แต่หนูคิดว่า เรื่องนี้น่าจะเป็นเดบิวต์สเตจของการแสดง มันค่อนข้างท้าทาย เพราะด้วยความที่เราต้องเล่นเป็น 2 คน แล้วพอมันไปถึงหน้าเซ็ตจริงๆ ไปถึงมันต้องมีการสลับกันปุ๊บปั๊บค่ะ มันท้าทายมากๆ เราเล่นตั้งแต่คัทแรก จนถึงคัทสุดท้าย

ด้วยความที่มันเป็นฝาแฝด แทบจะทั้ง 80% มันเป็นหนูหมดเลย แน่นอน มันก็กดดันมากๆ แต่พอผ่านมาได้ มันก็รู้สึกดีค่ะ ช่วงเวลาระหว่างที่ถ่ายมันก็มีช่วงที่ท้อบ้าง แต่ว่าคือหนูรู้สึกว่าทุกคนในกองเขาเต็มที่กันมากๆ เลย แล้วหนูก็ต้องฮึดสู้”
เมื่อถามถึงว่า ถ้าย้อนกลับไปได้เธออยากแก้ไขอะไรอีกหรือไม่ในพาร์ทการแสดง ซึ่งเธอตอบกลับมา รู้สึกพอใจในสิ่งที่ทำลงไปแล้ว เพราะเธอรู้สึกว่าตัวเองทำเต็มที่ทุกครั้ง

“หนูคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วมันดีเสมอ อยากให้ทุกคนได้ดูแล้วเหมือนกัน หนูก็อยากดูแล้วเหมือนกัน เพราะว่ากว่าที่หนูจะมาเป็นยูกับมีมันไม่ง่ายเลยค่ะ พอวันสุดท้ายที่ปิดกล้อง หนูรักตัวละคร 2 คนนี้มากๆ หนูรู้สึกดีใจมากๆ เลยค่ะที่เข้ามาเป็นพาร์ทหนึ่งของชีวิตที่ทำให้หนูโตขึ้น”


จากสายนางแบบ สู่นักแสดงเต็มตัว

สำหรับจุดเริ่มต้นของการเป็นนักแสดงของน้องใปบอ หากย้อนกลับไปในปี2022 น้องเคยมีผลงานออกมาให้ได้ชมบ้าง จากการแสดงมิวสิควิดีโอเพลง “ขยะอวกาศ” ของ “Funky Wah Wah x Win Sqweez Animal” และเพลง “สบายดีไหม?” ของ“Whal & Dolph” และเพลง “กลับมาคบกันเถอะ” ของ “Billkin -บิวกิ้น พุฒิพงศ์”

รวมไปถึง เธอยังเป็นนางแบบถ่ายแบบให้ให้กับร้านเสื้อผ้าในอินสตาแกรมอีกด้วย ซึ่งก่อนหน้านี้ เธอยอมรับว่า ไม่ได้คิดว่าจะมาทำงานนักแสดงแบบเต็มตัวขนาดนี้ เพราะความตั้งใจแรกคืออยากทำงานถ่ายแบบไม่เรื่อย แต่เมื่อมีโอกาสมาถึง เธอก็ไม่รอช้าที่จะรีบคว้าไว้

“มีทีมแคสติ้งติดต่อกับพี่ผู้จัดการไปค่ะ วันนั้นหนูก็เปิดปฏิทิน แล้วเห็นคำว่าแคส GDH หนรู้สึกว่าจริงเหรอ ตอนที่ไปดูยังรู้สึกไม่เชื่อ วันนั้นหนูตื่นเต้นมาก แต่พอได้ไปแคสก็รู้สึกว่าที่นี่เขาแคสโหดเหมือนกันเนอะ แต่ว่าพอได้ติดต่อกลับมา มันก็เริ่มรู้สึกใจชื้นแล้ว เพราะว่าจริงๆ หนูไม่ได้คาดหวังเลยว่าหนูจะได้เรื่องนี้ เพราะว่าถ้าหนูเล่นคนเดียว ทุกอย่างมันจะยากขึ้นมากๆ ทั้งเรื่องการถ่ายทำ แล้วยิ่งเราเป็นนักแสดงใหม่ด้วยค่ะ ก็ต้องขอบคุณพี่ๆ เขามากเลยค่ะที่ไว้ใจให้หนูมาเล่นเรื่องนี้

ก่อนหน้านี้ไม่ได้เห็นภาพของตัวเองเป็นนักแสดงขนาดนั้น หนูไม่เคยมองตัวเองที่จะได้มาเป็นนักแสดงเลยค่ะ ในฐานะที่เป็นเด็กอายุ 18 ปี พอเราได้มาทำงานตรงนี้จริงๆ แล้วเรารู้สึกเอนจอยแล้วก็ชอบมันมากจริงๆ แล้วยิ่งเป็นค่าย GDH คือเรารู้กันอยู่แล้วว่า GDH เป็นค่ายที่ทำภาพยนตร์คุณภาพมาโดยตลอด ก็เลยรู้สึกว่าจริงเหรอคะ ก็เกร็งค่ะ”


จากที่ไม่เคยคิดว่าจะมาเป็นนักแสดงเต็มตัว พอได้ลงมือทำจริงๆ เธอก็รู้สึกชอบและหลงใหลในการแสดง ทำให้การวางแผนในอนาคตเปลี่ยนไปจากเดิม เริ่มที่จะมุ่งมั่นไปเส้นทางสายนี้โดยตรง ซึ่งตอนนี้เธอสามารถสอบเข้าเรียนที่ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วิทยาลัยนวัตกรรมสื่อสารสังคม เอกการแสดงและกำกับการแสดงภาพยนตร์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

“ตอนนี้หนูก็ยื่นพอร์ตที่หมาลัยไปค่ะ ติดรอบ Portfolio มศว. เอกการแสดงและกำกับการแสดงภาพยนตร์ ก็เป็นสายนี้โดยตรงเลย เพราะว่าพอได้มาทำแล้วหนังเรื่องนี้ทำให้หนูรักการแสดงไปเลย จากวันแรกจนมาถึงคิวสุดท้าย คิวแรกเราอาจจะไม่ได้เป็นตัวละครได้ดีขนาดนั้น พอมาคิวสุดท้าย หนูก็ยังรู้สึกว่าเราอาจจะ ไม่รู้ว่าเราเป็นตัวละครได้สมบูรณ์แบบหรือยัง แต่ว่าวันนั้นพี่วรรณ-พี่แวว เขาก็พูดกับหนูว่า ขอบคุณใบปอมากเลยนะที่ทำให้ยูกับมี มีชีวิตขึ้นมา มันรู้สึกดี มันฟิน รู้สึกว่าเราทำได้แล้วจริงๆ

 
 หนูรู้สึกว่ามันได้อะไรเยอะกว่าที่เราคิดค่ะ หนูรู้สึกว่าหนูโตขึ้นเยอะมากกับการเป็นตัวละคร ยูกับมี รู้สึกว่าสองคนนี้ให้ประสบการณ์ที่ยังไงชีวิตนี้หนูก็คงจะหาไม่ได้ อย่างการขี่มอเตอร์ไซค์ เล่นดนตรี ปกติหนูจะมีกำแพงในเรื่องนี้ของหนูตลอดยังไงหนูก็จะไม่ทำ แต่พอมาเป็นเรื่องนี้ มันทำให้หนูได้ทำจริงๆ เราก็รู้สึกว่า เราก็ได้ก้าวข้ามผ่านอะไรหลายอย่างที่เราเคยกลัว

อย่างการเล่นพิณในหนัง คือต้องหัดจริงๆ เรียนอยู่ประมาณ 1 เดือนค่ะ หนูไม่เคยเรียนดนตรีมาก่อนเลยในชีวิตนี้ ไม่เคยจับเครื่องดนตรีเลย แต่พอได้มาเล่นจริงก็รู้สึกว่ามันก็ไม่ได้ยากอย่างที่เราคิดไว้”



เปิดประสบการณ์ของเล่นพื้นบ้าน กับมุกแซวยุค Y2K


 

 อีกหนึ่งเรื่องที่เปิดประสบการณ์ใหม่ๆ ที่จะทำให้ผู้ชมในยุคนี้และนักแสดงเองได้เห็นในหนังก็คือ ของเล่นพื้นๆ บ้านแปลกๆ น่าสนุกที่คนยุคนี้ไม่เคยเห็น รวมถึงมุกที่ใช้แซวกันน่ารักๆ


“มันจะมีของเล่นสมัยก่อน คือตัว “นกสมดุล” ค่ะ ตั้งแต่หนูอ่านในบทแล้ว หนูก็ไม่เข้าใจว่าสิ่งนี้คืออะไร หนูจำได้ว่าหนูทำเครื่องหมายQuestion Mark ไว้หมดเลย ซึ่งมันก็คือนกที่เราเอามาวางไว้บนนิ้ว แล้วมันก็สามารถอยู่บนนิ้วเราได้ ไม่ว่าเราจะทำยังไงมันก็ไม่หล่น หนูรู้สึกว่าสิ่งนั้นมันเจ๋งมาก ไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิตนี้ค่ะ (หัวเราะ)”


“หมากหนีไป ไอ้ยูมัน 11 รด.” ประโยคนี้ถ้าใครเคยดูในTrailer หรือเข้าไปดูหนังในโรงภาพยนตร์แล้วคงจำกันได้ ที่ในหนังได้หยิบคำว่า“11 รด.” ในสมัยก่อน มาแซวแทนคำว่า“แรด”เพื่อลดระดับความรุนแรงของความหมายลง หลังจากที่หลายคนได้ดูมุกแซวในหนังเรื่องนี้ กลายเป็นที่พูดถึงในโซเซียลฯ อย่างมาก สำหรับคนที่ไม่อยากที่จะใช้คำหยาบคายโต้งๆ ก็หยิบยืมมุกนี้ไปแซวต่อกับเพื่อนๆ จำนวนมาก


“จริงๆ ตอนแรกในบทไม่ได้เป็นคำว่า 11 รด. ค่ะ แต่ว่าพี่วรรณ-พี่แวว เขาเพิ่งมาเปลี่ยนเอาหน้าเซ็ตค่ะ คือตอนแรกหนูก็ไม่เก็จค่ะว่ามันแปลว่าอะไร แต่ก่อนหน้านั้นมันก็เป็นคำนั้น เป็นสระแอจริงๆ”

 




 หลงเสน่ห์กล้องฟิล์ม จนต้องเปิดแอคเคาท์โดยเฉพาะ



 

 สาวน้อยหน้าสวยเก๋ วัย 18 ปี ที่ดึงดูดสายตาด้วยรอยยิ้มมากเสน่ห์ และลุคเท่ๆ สุดชิค สมเป็นวัยรุ่นยุคใหม่ที่นอกจากจะมีความสามารถด้านการแสดง ที่น่าจับตามองมากๆ แล้ว เธอยังมีไลฟ์สไตล์ชอบถ่ายภาพกล้องฟิล์มอีกด้วย

เธอมีความหลงใหลในเสน่ห์กล้องฟิล์ม จนถึงขนาดที่เปิดอินสตาแกรมอีกหนึ่งแอคเคาท์ “@tissismetjbfilms” เพื่อลงแต่รูปจากกล้องฟิล์มของเธอเลย


“ไลฟ์สไตล์อื่นๆ จริงๆ แล้วหนูก็จะหาเวลานอนให้เยอะที่สุดค่ะ(หัวเราะ ) แต่ว่าถ้าที่หนูชอบทำจริงๆ ก็ชอบอ่านหนังสือ แล้วก็ไปถ่ายรูปกล้องฟิล์มค่ะ เพราะมีความวินเทจ กล้องฟิล์มหนูถ่ายมาตั้งแต่ตอนม.2 ตอนนี้หนูอยู่ม.6 ก็ถ่ายมาประมาณสี่ห้าปีแล้วค่ะ


หนูรู้สึกว่ากล้องฟิล์มมัน ให้เสน่ห์ที่มากกว่ากล้องดิจิตอล กล้องดิจิตอลพอถ่ายปุ๊บ เราเห็นเลย อันนี้ก็เป็นเสน่ห์อีกอย่างหนึ่งของกล้องดิจิตอลใช่ไหมคะ แต่กล้องฟิล์ม เหมือนว่าทุกรูปเราจะตั้งใจ ตั้งใจในการถ่ายมาก เพราะว่าเรามีโอกาสถ่ายแค่ครั้งเดียว แล้วมันก็มันสนุกมาก ที่ได้ลุ้นว่าแต่ละรูป เวลาเราไปล้าง มันจะออกมาเป็นยังไง”


 

 



ว่าที่คู่จิ้นคู่ใหม่ กับความรู้สึกหลังร่วมงานกันครั้งแรก

 
 ด้วยเคมีที่เข้ากันได้ดีของใบปอและโทนี่ เชื่อว่าจะทำให้ผู้ชมอินกับหนังเรื่องนี้ได้ไม่ยาก บวกกับความน่ารักขอทั้งคู่ น่าจะกลายเป็นคู่จิ้นดวงใหม่ในวงการให้แฟนคลับได้ฟินกันไป

ซึ่งทั้งคู่ออกมาเผยถึงความรู้สึกหลังจากร่วมงานกันครั้งแรกว่า ไม่ได้คาดหวังว่าจะเป็นคู่จิ้นกันต่อไป แต่ถ้าคนดูมองแล้วว่าจิ้นกัน ก็ยินดีมาก เพราะนั่นเท่ากับว่าการผลงานเรื่องแรกที่ตั้งใจทำมันประสบความสำเร็จ

“ถ้าจิ้น มันก็เหมือนว่าการแสดงของเราทั้งคู่มันดี แล้วคนดูเขารู้สึกว่ามันจริง ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี แต่ก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะเป็นคู่จิ้นกันต่อไป ก็แสดงหนังด้วยกันมา ผ่านอะไรกันมาเยอะ ก็เลยต้องสนิท

หนังเรื่องนี้เป็นความสัมผัสที่จริงๆ ที่เราเห็นในชีวิตประจำวันจริงๆ ของผมก็ไม่ได้ยากอะไรมากครับ เพราะทั้งบรรยากาศ การแต่งตัว มันช่วยทำให้เราเหมือนว่าอยู่ที่นั่นจริงๆ มอเตอร์ไซค์ที่เราขับก็เหมือนที่โน่น ก็เลยไม่ได้ยากเท่าไหร่ครับ แล้วผมก็เป็นคนที่อินเพลงกับหนังยุคนั้นอยู่แล้วทั้งพวกของเล่นเก่าๆ ในสมัยนั้น เราอาจจะไม่เคยได้เห็นกัน พอได้เล่นเรื่องนี้ก็เลยเหมือนเปิดโลกเหมือนกัน”

 

ส่วนน้องใบปอ เมื่อถามถึงการทำงานร่วมกัน เธอบอกว่า ยอมรับว่าตอนแรกต่างมีกำแพงซึ่งกันและกัน พอได้มีการพูดคุยกัน ก็ยิ่งทำให้สนิทกันมากขึ้น

“คือจริงๆ ตอนแรก หนูกับเขาไม่คุยกันเลย แต่พอมามันมาทำงานด้วยกันจริงๆ มันก็ต้องละลายพฤติกรรมหลังจากนั้นก็สนิทกัน”
แน่นอนว่า ความน่ารักที่เราเห็นกันในหน้าจอ เบื้องหลังอาจจะไม่ง่าย เพราะทั้งโทนี่และใบปอ ยอมรับว่ากดดันกันทั้งคู่ แต่ก็พยายามคอยให้กำลังใจซึ่งกันและกันมาตลอด

“จริงๆ มันกดดันจตัวเองกันทั้งคู่เหมือนกัน เพราะว่า GDH มันเป็นค่ายที่ค่อนข้างเข้มงวดในการทำงานอยู่แล้ว แน่นอนว่าสุดท้ายเราก็ต้องเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับนักแสดงเก่งๆ ที่ผ่านมา นักแสดงที่เขาทำดี เราก็ต้องทำดีด้วย

และด้วยความเรื่องนี้เป็นนักแสดงหลักแค่ 2 คน เราก็พยายาม push กันให้ได้มากที่สุด เพราะว่ามันมีแค่นี้จริงๆ ถ้าคนหนึ่งไม่ได้ คนหนึ่งมันก็ไม่ได้อยู่แล้ว มันต้องจับมือแล้วช่วยกันจริงๆ

จริงๆ มันไม่ได้มีคำไหนมาบอกกันเป็นพิเศษเลย มันรู้สึกได้ ไม่ต้องเครียดเดี๋ยวมันผ่านไปได้you ทำได้อยู่แล้ว ไม่ต้องพูดอะไรหรูหราแต่เราเข้าใจกัน”


สัมภาษณ์ : ทีมข่าวMGR Live
เรื่อง : พัชรินทร์ ชัยสิงห์
ภาพ : พลภัทร วรรณดี
ขอบคุณภาพ : เฟซบุ๊ก “GDH”, อินสตาแกรม “@bbaiporuary”



** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **




กำลังโหลดความคิดเห็น