เปิดใจ “ครูกานต์” ผู้ทำหน้าที่ “ครู-ลูกกตัญญู-พยาบาลส่วนตัว” เดินทางไป-กลับบ้าน และโรงเรียน นับ 100 กว่ากิโลเมตร ทุกวัน เพื่อดูแลแม่ป่วยติดเตียงมานานนับ 10 กว่าปี “อยากจะทำให้เต็มที่เหมือนที่แม่เคยทำกับเรา”
บทบาท “ครู-ลูกกตัญญู-พยาบาลส่วนตัว”
“เหมือนเราเป็นพยาบาลคนหนึ่ง ผมไป-กลับทุกวัน เพราะต้องมีคนดูแลตลอด เราก็ไม่อยากให้ใครมาทำแม่เรา แล้วเราก็ไม่ได้มีเงิน มีค่าใช้จ่ายเยอะพอที่จะไปจ้างเขาขนาดนั้น อะไรที่พอทำเองได้ เราก็ทำครับ”
กลายเป็นอีกหนึ่งเรื่องราวที่ได้รับคำชื่นชมไปทั่วโลกโซเชียลฯ สำหรับเรื่องราวของ “ครูกานต์ - สุภัทร์ บรรลือทรัพย์” ครูหนุ่มวัย 31 ปี ชาว จ.สุรินทร์
เขาต้องเดินทางไป-กลับ ระหว่างบ้านและโรงเรียน ทุกวัน ด้วยระยะทางไม่ต่ำกว่า 100 กิโลเมตร เพื่อปรนนิบัติดูแล คุณแม่เกียม บรรลือทรัพย์ วัย 67 ปี ผู้ป่วยติดเตียง จนทำให้ผู้ที่ได้รับรู้เรื่องราวดังกล่าว ต่างยกย่องครูผู้นี้ ในฐานะ “ครูยอดกตัญญู”
ครูกานต์ เปิดใจกับทีมข่าว MGR Live ว่า ในวันทำงานนอกเหนือจากการสอนแล้ว ช่วงพักเที่ยง เขายังทำหน้าที่พยาบาลส่วนตัวของคุณแม่ เสร็จแล้วจึงกลับไปสอนในคาบบ่ายต่อ เทียวไปและเทียวกลับเช่นนี้ วันละหลายรอบ โดยใช้วิธีเดินทางด้วยมอเตอร์ไซค์และรถยนต์ส่วนตัวสลับกัน
“หน้าที่ลูกในแต่ละวัน ตื่นตั้งแต่ตี 4 ครับ ตื่นมาก็พยายามทำตัวเองให้สดชื่น แล้วก็อาบน้ำให้แม่ เปลี่ยนชุด ทำแผล แล้วก็ป้อนอาหารเช้า หลังจากนั้น ก็รอดูอาการ ถ้าแกหอบก็มีพ่นยา ดูดเสมหะครับ
วันไหนที่แกหอบ ก็จะขออนุญาตทางโรงเรียนไปสาย รอดูอาการแกก่อน เสร็จธุระแล้ว ก็ไปโรงเรียนครับ วันไหนที่คาบสอนน้อยๆ ก็รีบออกมาหน่อย มาดู มาพลิกตัว ถ้าไม่พลิกตัวบ่อยๆ ก็จะเป็นแผลกดทับครับ
เดินทางประมาณ 30-40 นาที ระยะทางที่บอกว่า เป็น 100 กิโล แต่ละวันผมไป-กลับ ประมาณ 3 รอบ ไปก็ 23 กิโล กลับอีก 23 กิโล มันก็เลยรวมๆ แล้วเป็น 100 กว่าโล เป็นแบบนี้นานแล้วครับ ตั้งแต่อยู่โรงเรียนเก่า โรงเรียนเก่าผมเดินทางไป-กลับ 200 โลได้ครับ”
สำหรับอาการของคุณแม่เกียมนั้น ท่านเป็นผู้ป่วยติดเตียงที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้มานานนับ 10 กว่าปี โดยครูกานต์ได้ทำหน้าที่ลงแรงดูแลอย่างใกล้ชิด ขณะที่ลูกคนอื่นก็ให้ความช่วยเหลือในด้านของค่าใช้จ่าย
“เริ่มต้นตั้งแต่ยังไม่ติดเตียง แม่ก็ความดันโลหิตสูง เป็นอัลไซเมอร์ความจำเสื่อมด้วยครับ หลังจากนั้น ก็เส้นเลือดในสมองตีบ ก่อนนั้นก็เริ่มติดเตียงมาแล้ว เพียงแต่ว่า พอลุก-นั่งในเตียงได้ แล้วก็ติดเตียงด้วยโรคหลอดเลือดสมอง ทำให้เป็นอัมพาตทั้งตัวครับ น่าจะประมาณผมเข้ามหา’ลัย รวมๆ ก็ 10 กว่าปีครับ
ล่าสุด ก็เพิ่งเข้าโรงพยาบาล เป็นแผลติดเชื้อในปาก หมอสงสัยว่าเป็นมะเร็งช่องปาก แต่ตอนนี้ก็ออกมาพักรักษาตัวอยู่ที่บ้าน ไม่น่าจะเป็นแล้วครับ อาการโดยรวม แม่ผมยังหอบ เหนื่อย เสมหะเยอะ ก็เลยต้องคอยดูดตลอด
ตอนนี้ที่บ้านผมอยู่กับแม่ พ่อทำงาน แกก็อยู่ด้วยเป็นบางครั้ง จริงๆ พี่น้องมีรวมผม 3 คน พี่ชายคนโตบวชเป็นพระตั้งแต่เด็ก มีช่วงนึงที่พี่ชายคนโตมาช่วยดูแลประมาณ 7-8 ปี ช่วงที่ผมยังไม่เป็นครู
พี่ชายคนรอง ก็ทำงานอยู่ต่างจังหวัด พวกค่าใช้จ่ายก็ได้พี่ชายคนรองช่วย แล้วก็มาช่วยสลับกันเฝ้าเวลาแม่เข้าโรงพยาบาล ผมเป็นคนลงแรงในการดูแลแม่ครับ”
“ที่เป็นครูได้ก็เพราะแม่”
ปัจจุบันพ่อพิมพ์ของชาติผู้นี้ เป็นครูวิชาสังคมศึกษา ของระดับชั้นมัธยม ที่โรงเรียนจารย์วิทยาคาร ต.หนองเหล็ก อ.ศีขรภูมิ จ.สุรินทร์ เขากล่าวว่า หลายครั้งที่เขาไม่อาจเข้าร่วมกิจกรรมบางอย่างของทางโรงเรียนได้ ซึ่งทางต้นสังกัดก็เข้าใจในสถานการณ์ที่เขาเผชิญอยู่
“(กิจกรรมวันครู) เขาก็ให้ไปร่วมกิจกรรมที่อำเภอ แต่ว่าแม่ผมไม่สบายหนัก ผมก็เลยไม่ได้ไป โรงเรียนเขาเข้าใจครับ บางทีก็จะจัดการเรียนการสอนแบบออนไลน์บ้าง มอบหมายงานให้นักเรียนทำในชั่วโมงที่เราไม่อยู่บ้าง แบบนี้ครับ แต่ส่วนตัวผมก็เกรงใจผู้บังคับบัญชา เกรงใจเพื่อนร่วมงานครับ”
สำหรับอาชีพครูนั้น เรียกได้ว่า เป็นอาชีพในฝันของเขา ซึ่งกว่าจะมีวันนี้ได้ ก็ต้องผ่านปัญหาอุปสรรคมามากมาย โดยมีผู้เป็นแม่ เป็นกำลังใจสำคัญให้สู้ต่อไป
“ตอนลำบากมากๆ ก็คือ ตอนที่เรียนจบใหม่ๆ ทั้งกังวลเรื่องการสอบบรรจุ จะสอบติดมั้ย ตอนนั้นแม่ก็เข้าโรงพยาบาลด้วย ไปสมัครไว้ที่นครพนม แม่เข้าโรงพยาบาลสุรินทร์ ผมไม่ได้สอบ ก็เลยทำให้พลาดโอกาสสอบบรรจุรอบแรก ตอนนั้นเป็นช่วงเวลาที่ดาวน์สุดๆ รู้สึกเสียดายโอกาส แต่ก็รู้สึกภูมิใจ อย่างน้อยเราก็ได้ดูแลแม่
ที่เป็นครูได้ก็เพราะแม่ เราไม่ได้มีเวลาออกไปเที่ยวเล่นที่ไหน เราก็ใช้กำลังใจตรงนี้ แม่อยู่ในสายตาตลอด ถึงในสายตาคนอื่นจะมองว่ายากลำบาก แต่สำหรับผม ผมมองว่า เป็นโอกาสที่ทำให้เราได้อ่านหนังสือ ก็ได้กำลังใจจากแม่ครับ
ผมอยากเป็นครูครับ เพราะเป็นคนที่ชอบสอน (อาชีพครู) ก็จะสอนเราในเรื่องของความอดทนอดกลั้น สอนให้รู้จักเป็นคนที่แบ่งเวลา รู้จักรับผิดชอบหน้าที่ ถึงจะเจอปัญหา เจอสถานการณ์แบบไหนก็ตาม เราก็ต้องอดทน
(การเป็นครู) แบ่งเบาได้มากเลยครับ ก็เกี่ยวกับเรื่องสวัสดิการการรักษาแม่ เรื่องค่าใช้จ่ายแต่ละเดือน เราต้องซื้อแพมเพิร์ส ซื้อนม ซื้ออาหารเสริม ซื้ออุปกรณ์ดูดเสมหะ ผ้าก๊อซทำแผล ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล มันก็พอช่วยได้ พอจุนเจือได้ครับ”
สุดท้าย ครูกานต์ ได้ขอขอบคุณทุกกำลังใจและทุกเสียงชื่นชมที่ส่งมายังเขา พร้อมทั้งฝากถึงเรื่องของความกตัญญูกตเวทีไว้ และตัวเขาเองสัญญาว่าจะทำหน้าที่ตรงนี้อย่างสุดความสามารถ
“ย้อนอดีตกลับไป มันมีหลายเหตุการณ์ที่ทำให้เราเป็นคนเข้มแข็งขึ้น มันก็มีเหนื่อยบ้าง มันก็มีท้อบ้าง แต่ตอนที่ยังไม่เป็นครูมันลำบากกว่านี้ ลำบากทั้งเรื่องค่าใช้จ่าย ทั้งกังวลว่าจะมีงานทำมั้ย แต่ตอนนี้ถึงจะลำบากกว่านี้ก็ทนได้ครับ เพราะเราผ่านจุดที่มันลำบากมากกว่านี้เราก็ผ่านมาแล้ว
ผมก็ต้องขอขอบคุณทุกสำนักข่าวครับ ที่ช่วยเป็นกระบอกเสียงให้คนในสังคมได้เห็นถึงหน้าที่ของผม ผมก็อยากจะฝากเรื่องของความกตัญญูรู้คุณพ่อแม่ เราเป็นลูก ก็ต้องมีหน้าที่รับผิดชอบดูแลพ่อแม่
ผมโตมากับแม่ตลอด ตอนเราไม่สบาย เราเข้าโรงพยาบาล ก็เห็นแม่นั่งเฝ้าเราเหมือนกัน ทีนี้เราโตมาเจอสถานการณ์แบบนี้ เราก็อยากจะทำให้เต็มที่เหมือนที่แม่เคยทำกับเราครับ”
ข่าวโดย : ทีมข่าว MGR Live
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **