xs
xsm
sm
md
lg

ความหวังหมู่บ้านตัวจริง!! “นายแบบเผ่าลีซู” สร้างโอกาส-หักล้างความเชื่อ “เรียนจบก็ปลูกผักเหมือนเดิม”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



จากเด็กชนเผ่า วัยเพียง 18 ปี ที่รักการถ่ายแบบเป็นชีวิตจิตใจ และมีความฝันอยากก้าวสู่วงการนายแบบ ต้องดิ้นรนวิ่งตามหาโอกาส เพื่ออยากจะประสบความสำเร็จสักครั้งในชีวิต และเพื่อจะได้เป็นแรงบันดาลใจให้กับเด็กดอยรุ่นหลังได้เดินตาม กว่าจะมายืนอยู่จุดนี้ได้ ต้องลำบากเดินทางข้ามเขามาลูกแล้วลูกเล่า-โดนล้อเรื่องภาษา-แถมไฟฟ้ายังเข้าไม่ถึงอีกด้วย

จากเด็กธรรมดาบนยอดดอย สู่นายแบบหน้าใหม่มาแรง

“ชอบในการถ่ายรูป แล้วก็ชอบที่อยู่หน้ากล้อง แล้วอีกอย่างงานที่ผมทำในสื่อ ก็จะทำให้ผมเห็นว่า เด็กชาติพันธุ์เราถึงแม้ว่าจะพูดไม่ชัด ผมก็ฝึกได้ อยากลองเล่นละคร แสดงหนังอะไรดู ตอนนี้เรียกว่าเป็นนายแบบฝึกหัดดีกว่าครับ เพราะว่าผมยังไม่ถึงขนาดนั้น กำลังเก็บประสบการณ์ทุกวันครับ

“ราชัน รุ่งไพรพนา”หนุ่มน้อยชนเผ่าลีซู วัยเพียง 18 ปี จากบ้านห้วยต้นตอง ต.แม่ทะลบ อ.ไชยปราการ จ.เชียงใหม่ ที่มีฝันอยากก้าวสู่วงการบันเทิง และรักการถ่ายแบบเป็นชีวิตจิตใจ

จากชีวิตเด็กธรรมดาๆ บนยอดดอย ที่มีวิถีชิวิตอยู่ท่ามกลางป่าเขาลำเนาไพร แม้จะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เด็กคนนี้เลือกที่จะวิ่งตามหาโอกาสให้กับตัวเองอย่างเต็มที่ มุ่งมั่นและตั้งใจจริงที่จะคว้าความสำเร็จให้ได้ ไม่ว่าจะยากเย็นแค่ไหนก็ตาม


เดินหน้าสานฝันด้วยการเข้าประกวด “Mister Global Thailand 2022” โดยได้เป็นตัวแทนของ จ.สมุทรสาคร เพื่อเข้าชิงชัยบนเวทีใหญ่ดังกล่าว ถึงแม้จะไม่ได้รางวัลติดไม้ติดมือมาสักรางวัล แต่ความน่ารักแนวตี๋ใสๆ บวกกับสตอรี่เรื่องราวจากแมวมองอย่าง “สงกรานต์ ปัญญาดี” Catwalk Modeling chiangmai ที่ได้ออกมาโพสต์ภาพพร้อมเล่าเรื่องราวชีวิตของน้องผ่านเฟซบุ๊ก “Songkarn Punyadee” ที่ต้องดิ้นรนคว้าโอกาสให้กับตัวเอง กำลังทำให้น้องราชันกลายเป็นนายแบบหน้าใหม่ดังกำลังเป็นกระแสมาแรงในโลกโซเชียลตอนนี้


“จุดเริ่มต้นที่บ้านผม ต.แม่ทะลบ อ.ไชยปราการ จ.เชียงใหม่ เขาตั้งแคมเปญขึ้นมาว่าประกวดการถ่ายรูป ให้นักท่องเที่ยวมาเที่ยว แล้วก็มีพี่ช่างภาพ Sriprasert Studio ที่ชัยปราการ เขามาชวนไปถ่ายรูป ชวนไปเป็นแบบ ตอนแรกๆ พ่อแม่ผมก็ไม่ค่อยอนุญาตไม่ให้ไป ไม่ต้องไป ผมก็โกหกว่าไปเอาของ ไปตัดผม แล้วผมก็แอบไป เพราะช่วงนั้นเป็นช่วงที่เรียนออนไลน์

จากนั้นพี่เขาลงเฟซบุ๊ก ก็ยังไม่ได้มีคนมาสนใจ แต่ตอนนั้นก็พอมีแม่สงกรานต์ แคทวอล์ค พอมาคุยกับผมบ้าง ผมก็คิดว่าหลอกผมหรือเปล่า ผ่านไปประมาณ 2 ปีกว่า มาเจอแม่สงกรานต์อีกทีก็คือตอนประกวด Mister Global Thailand 2022 ล่าสุดที่ประกวดมา จากนั้นแม่สงกรานต์ก็เอารูปผม เอาสตอรี่ชีวิตผมไปลงที่เฟซบุ๊กส่วนตัวของแม่เขาแล้วก็มาเป็นไวรัล

ก่อนสองวันที่จะมีการประกวด Mister Global Thailand 2022 วันนั้นผมไปหักข้าวโพดกับแม่ แต่บังเอิญเห็นสตอรรี่ของแม่สงกรานต์ว่าจะมีการประกวดอีกสองวัน ผมก็เลยสนใจมาก ก็ไปแอบกดหัวใจรัวๆ ให้กับสตอรี่แม่สงกรานต์ แม่สงกรานต์แกก็เลยทักมาสนใจเหรอลูก เราก็อยากประกวดนะ แต่หุ่นก็ไม่ได้ ไม่ดีเลย หน้าก็คือโทรมมาก ผมก็คือสั้น แต่ว่าความกล้า และความชอบ และPassion ของผมพาผมมากองประกวด”


ดิ้นรนวิ่งหาโอกาส แม้พ่อแม่ไม่สนับสนุน

ด้วยความที่รักการถ่ายแบบเป็นชีวิตจิตใจ และมีความฝันอยากก้าวสู่วงการนายแบบ น้องราชันจึงต้องดิ้นรนวิ่งตามหาโอกาส เพื่ออยากจะประสบความสำเร็จสักครั้งในชีวิต แม้ว่าพ่อแม่จะไม่สนับสนุนก็ตาม

“เริ่มถ่ายแบบตั้งแต่อายุ 16- 17 ปี ตอนนั้นพ่อแม่ผมไม่ได้อนุญาต เพราะว่าทางกลับดอยไม่มีไฟฟ้า เหตุการณ์ถ่ายแฟชั่นครั้งแรกไม่ได้ตังค์นะครับ คือพี่เขาชวนมาเป็นนายแบบ แม่ผมก็กลัวถูกหลอก ไปคนเดียว เส้นทางที่กลับก็มีแต่ป่า ไม่มีไฟเลย”

น้องราชันเล่าอีกว่า แม้ไม่ได้เงินสักบาทก็อยากจะไปลองดูสักครั้ง เพราะอยากเก็บโปรไฟล์ และมองว่าเป็นโอกาสที่ดีที่ควรจะคว้าไว้

แต่ที่ซ้ำร้ายกว่าที่พ่อแม่ไม่สนับสนุนในสิ่งที่ชอบ เพราะกลัวว่าลูกชายโดนหลอก น้องราชันกลับต้องเจอกับเหตุการณ์ที่อยากลำบาก

“วันที่ไปถ่ายแบบครั้งแรกกลับมา พรุ่งนี้ตื่นเช้ามาปวดท้องมากๆ ครับ สรุปก็คือเป็นไส้ติ่ง ตอนนั้นฝนตกด้วยครับ เงินก็ไม่มี รถที่เหมาเขาไปตอนกลางคืนมันก็ต้องใช้เงิน 500 บาท จากดอยไปถึงเมือง แต่แม่ก็ขอให้เขาพาไปจนได้ วันนั้นฝนตกหนักมาก ไปไม่ได้ น้ำเต็มเกือบจะล้นสะพาน

สิ่งที่ผมอยากเล่าที่สุด ว่าผมสู้มาอย่างนี้ เราก็อยากเก็บโปรไฟล์ ถ้ามีโอกาสผมทำหมด แบบไม่ให้เงินสักบาทผมก็ไปครับ แต่ผมโกหกแม่ว่าได้เงิน ขี้เกียจโดนด่า”

ไม่เพียงเท่านี้ น้องราชันยังเล่าถึงเหตุการณ์ที่ต้องประสบพบเจอ ในตอนนี้เข้าเดินทางไปประกวด Mister Global Thailand 2022 ต้องหลงทาง เดินร้องไห้ เกือบจะถอดใจไปแล้วด้วยซ้ำ

[น้องราชันและคุณแม่]
“ระหว่างทางก็คือ ผมไม่เคยไปตัวเมืองเชียงใหม่ด้วยตัวเอง ครั้งนั้นก็คือครั้งแรก ผมไปหลงทาง คือวันนั้นโชคร้ายที่สุดก็คือ รถแดง มีคนเหมาไปหมด ผมก็เลยต้องเดินเท้าไปเรื่อยๆ เพื่อไปหารถ ก็มีพี่แกร็บส่งอาหารอยู่คนนึ่ง ก็เรียกพี่เขาให้จอด แล้วยกมือไหว้ พี่ครับขอผมไปส่งที่โรงแรมแกรนด์วิว เชียงใหม่ หน่อยได้ไหมครับ ผมยกมือไหว้ แล้วพี่เขาก็สงสารผม แล้วก็แกะกระเป๋าอาหารออกแล้วก็ไปส่งผม

ตอนนั้นแม่บอกว่าไม่ให้ไป แล้วผมก็บอกว่าจะไป ผมก็เลยโทรปรึกษาพี่สาวก็บอกว่าไม่ต้องไป เขาอาจจะหลอกหรือเปล่า ด้วยความที่เราเป็นคนดอย เราก็จะเชื่ออะไรแบบนี้ แม่บอกว่าไม่ให้ไปนะ ยังไงก็ไม่ให้ไป ผมไม่ขอเงินแม่สักบาทก็ได้ แม่ก็รู้ว่าผมงอนแล้ว แม่ก็เอาเงินมาให้พันหนึ่ง สำหรับผมก็คือเยอะมาก ผมก็เลยบอกว่าไม่เอา แม่ก็เลยบอกว่าให้ไปก็เลย แต่ต้องเอาเงินไปด้วย จะอยู่จะกินยังไง ผมก็เลยตื่นตั้งแต่ตี 4 รีบเก็บของ

ก่อนหน้านี้ก็คือเพิ่งขึ้นไปเก็บข้าวโพดมา แล้วก็ลงดอย ระหว่างทางก็คือมืด น้ำเป็นหลุมๆ น้ำขังตามถนน ผมก็เลยไปฝากรถไว้จากชัยปราการ แล้วก็ต่อรถจากชัยปราการไปเชียงใหม่ ก็คือหลงทางนะครับ แต่ก็สู้ไปถึงจนได้

ดิ้นรนวิ่งหาโอกาส แม้จะลำบากก็ยอม เพื่อให้ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ พร้อมกับเป้าหมายที่อยากจะประสบความสำเร็จสักครั้งในชีวิต

“ไปประกวดเพื่อหวังอยากทำสิ่งที่ตัวเองชอบ ผมไม่ได้หวังว่าจะชนะ หรือหวังว่าผมจะเข้ารอบอะไรเลย ผมแค่อยากทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ อยากเดินแบบ อยากไปหาคอนเนกชั่น อยากไปหาเพื่อน เพราะผมไม่รู้จักนายแบบอะไรแบบนี้เลย พอผมไปปุ๊บถึงแม้ว่าจะตกตั้งแต่รอบแรก แต่ผมก็มีความสุขครับ

รู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ผมชอบครับ ผมชอบดู K-pop ศิลปินเกาหลี ชอบถ่ายรูป อยากประกวดดู เพราะว่าการประกวดจะทำให้ผมได้เงินรางวัล ผมก็เลยสนใจ อยากทำดูครับ พอทำดูแล้วรู้สึกชอบ”






อยากเพิ่มโอกาสให้คนบนดอย ด้วย“การศึกษา”

“ผมว่าการศึกษาสำคัญที่สุดแล้ว ถ้าสมมติว่าเรามีการศึกษาเราก็จะไปทำงานสิ่งต่างๆ ที่เราชอบ แต่ถ้าเราไม่มีการศึกษาปุ๊บ จบแค่ ม.3 หรือ ม.6 เราจะไม่ถึงฝันที่เราหวังไว้ หมู่บ้านผมถ้าเป็นเรียนระดับปริญญาก็จะมี 2-3 คนหลุดออกไปบ้าง

ผู้ใหญ่มองว่ามันไม่จำเป็น อย่างเช่นพ่อแม่ผมชอบบอกผมว่า ดูพี่คนนั้นสิ เรียนจบมาไม่เห็นมาทำอะไรเลย ผมไม่อยากให้มันเป็นแบบนี้ ผมไม่อยากให้พ่อแม่คิดแบบนี้ เพราะว่าอาจจะเป็นความสุขของเขาที่ได้กลับมาที่บ้าน

เขาจะชอบพูดว่า การศึกษาไม่สำคัญ อันนี้ก็จริงนะครับการที่เราจะประสบความสำเร็จไม่เกี่ยวกับการเรียน แต่ผมอยากให้เขาเห็นว่า ถ้าผมเรียนจบ แล้วผมประสบความสำเร็จเลย แต่ถ้าผมไม่ประสบความสำเร็จ เขาก็จะบอกว่า เรียนมาก็แค่นั้น ความสำเร็จอย่างเดียวเลยครับที่จะสามารถพิสูจน์ได้”

แม้ผู้ใหญ่บนดอยบางคนจะมองว่า การศึกษาไม่ได้สำคัญ แต่น้องราชันเชื่อว่า การศึกษาจะสามารถนำพาเขาไปสู่ความประสบความสำเร็จได้ และคิดว่า การศึกษาจะนำพามาซึ่งโอกาสในด้านต่างๆ มากขึ้น ซึ่งอยากให้ผู้ใหญ่เล็งเห็นถึงความสำคัญในส่วนนี้เป็นอย่างมาก หากมีกำลังพอที่จะสนับสนุนลูกหลานได้ ก็อยากให้ส่งเสริมด้านการศึกษาเป็นสำคัญที่สุด

และแม้ว่าเขาจะต้องดิ้นรนวิ่งหาโอกาสด้วยตนเอง ก็ไม่เคยคิดน้อยใจพ่อแม่ เพียงแต่พยายาม มุ่งมั่น ตั้งใจ ฝึกฝน สร้างโอกาสให้ตัวเอง เพื่อให้ไปถึงฝันให้ได้โดยเร็ว


“พ่อแม่ก็คืออยากให้ผมไปเรียนเกาหลี แล้วก็ไปสอบที่กรมแรงงานเชียงราย แล้วก็ไปทำงานเกาหลีโดยถูกกฎหมาย แต่ว่าจริงๆ ผมก็อยากทำให้พ่อแม่ภูมิใจก็คืออยากไปทำงานที่เกาหลี แล้วก็หาเงินกลับมาให้ที่บ้าน แต่ว่าผมก็ยังอยากเรียนครับ อยากทำในสิ่งที่ตัวเองชอบก่อน

ส่วนใหญ่ผมอยากมาพัฒนาด้านการศึกษาครับ อย่างเช่นเพื่อนผม ในรุ่นผมก็จะมีหลุดมาถึง ม.6 แค่สองคน ส่วนมากจะอยู่ที่ ม.3 สำหรับผมก็คือยากสนับสนุนอะไรต่างๆ เรื่องการศึกษามากกว่า

พี่สาวแท้ๆ ของผมจบม.6 อยากเรียนต่อมาก แต่ไม่ได้เรียนต่อ เพราะพี่สาวบอกว่าจะเสียสละให้ผม จะไปทำงาน จะหาเงินมาให้ผมเรียน ตอนนี้พี่สาวก็ไม่ได้เรียนครับ พอตอนนี้ผมเริ่มมีงานเดินแบบ ผมก็สามารถที่จะหาค่าเทอม หาที่พัก หาอะไรได้ด้วยตนเอง ได้ด้วยนิดนึง

อย่างเช่น ถ้าผมจะเรียนมหาวิทยาลัย พ่อแม่ก็บอกว่า อยากเรียนก็หาตังค์เรียนเอง ให้เรียนนะ แต่ไม่มีตังค์ส่งนะ อาจจะมีช่วยเหลือ 2,000-3,000 บาทบ้าง แต่ให้หาเอง ผมก็เลยโอเคได้ครับ

ไม่เคยน้อยใจครับ ตอนแรกผมว่าจะไม่เรียนแล้วครับ พอผมมาเจอแม่สงกรานต์ ได้ทำในสิ่งที่ผมชอบ มีเส้นทางที่จะไปเรียนต่อ ผมก็เลยอยากที่จะเรียน

แต่ตอนนี้พ่อแม่ยอมรับแล้วครับ หลังจากไปประกวด Mister Global Thailand 2022 ตอนนั้นทะเลาะกันหนักมาก อารมณ์งอนแม่ ไม่คุย 3-5 วัน ก็เข้าใจว่าที่แม่ทำไปก็คือแม่เป็นห่วง ผมก็คืออารมณ์ตอนนั้นก็คือผมอยากไปทำในสิ่งที่ผมชอบ ตอนนี้คุณแม่ยอมรับ แล้วก็ผลักดันทุกอย่าง อยากเรียนก็เรียนเลย”


ชีวิตบนดอยลำบากแค่ไหน แต่ใจยังสู้

สำหรับเส้นทางชีวิตของเด็กหนุ่มบนดอยวัย 18 ปี เขายอมรับว่าฐานะทางบ้านก็ยากจน แต่ก็พออยู่พอกิน เขาต้องเรียนโรงเรียนประจำ วันหยุดเสาร์-อาทิตย์ต้องกลับมาที่บ้าน ช่วยพ่อแม่ทำอาชีพเกษตร

“ผมเรียนที่โรงเรียนประจำ ครูรับส่ง เดินทางจากบ้านไปโรงเรียนประมาณ 40 กิโลครับ กินนอนที่โรงเรียน ถ้าอยู่ที่บ้านก็ตื่นประมาณหกโมง ไม่เกินแปดโมง ตื่นเช้ามาล้างจานทำกับข้าว แต่ว่าส่วนมากแม่จะทำหรือทำกับแม่ ทำอาหารชนเผ่าบ้านๆ แล้วก็กินข้าว พ่อก็จะไปทำงานที่สวน

คุณพ่อคุณแม่ทำอาชีพเกษตรกร ทำผลไม้ ลิ้นจี่ มะม่วง ลำไยเป็นส่วนใหญ่ในหมู่บ้าน ก็มีหักข้าวโพดขาย แต่รายได้ไม่ได้ดี พ่อผมเป็นคนขยันมาก ไม่เคยพักแม้แต่วันเดียว แต่พ่อจะไม่ให้ลูกหรือแม่ลำบาก ไม่ให้แม่ไปก็ได้ อะไรนิดเดียวพ่อไปทำเองหมด ผมก็มีไปช่วยทำงานหักข้าวโพดบ้าง มีค่าตอบแทนเป็นเงินบ้าง หรือว่ากับข้าวบ้าง

ผมเริ่มช่วยพ่อแม่มาตั้งแต่ ป.4 แล้วครับ อาจจะยังไม่ทำงานสวนนะครับ ก็คือล้างจานให้อาหารหมู หุงข้าวรอพ่อแม่ พอเริ่มเข้ามัธยมช่วงปิดเทอม ผมก็จะเข้าไปช่วยคุณพ่อคุณแม่ทำงานไร่งานสวน แต่ว่างานอะไรที่หนักๆ คุณพ่อก็จะไม่ค่อยให้ไป แต่ผมก็ขอไปช่วย หรือจะมีช่วงที่มะม่วงลิ้นจี้ออกผล ก็จะไปช่วยช่วยญาติๆ ห่อผล เขาก็จะให้ประมาณ 150-200 บาท

ฐานะทางบ้านก็ยากจนนะครับ แต่ถ้าถามว่าลำบากไหม ก็พออยู่พอกิน ปลูกข้าวกินเอง ผักผลไม้ ก็มีซื้อบ้าง ปลูกเองบ้าง แต่ว่าถ้าทางการเงินไม่มีเลย มีติดหนี้ ธกส.บ้าง เกือบแสน ก็จ่ายหนี้ปีละครั้ง ช่วงไหนที่เงินขาด พ่อก็จะไปหาของป่าเพื่อมาเก็บตุนเป็นอาหารไว้ที่บ้าน”


อยากสร้างแรงบันดาลใจให้กับเด็กดอยรุ่นหลังได้เดินตาม

นอกจากอยากทำอาชีพนายแบบในสิ่งที่ชอบแล้ว เป้าหมายสำคัญอีกอย่างที่น้องราชันบอก นั่นคือ อยากทำงานหาเลี้ยงครอบครัว อยากให้น้องๆ บนดอยได้เห็นด้วยว่าคนบนดอยสามารถทำงานหาเงินได้หลากหลายอาชีพ

ดังนั้นแล้วถ้าเขาประสบความสำเร็จก็จะสร้างแรงบันดาลใจให้เด็กๆ บนดอยได้ด้วย เพราะบนดอย ไม่ได้มีอาชีพให้ทำเยอะ

“โดยพื้นฐานที่หมู่บ้าน เช่น เอาตัวอย่างเป็นตัวผม ถ้าจบ ม. 6 ก็จะถูกผลักดันไปทำงานที่ต่างประเทศ ไปเป็นผีน้อย ซึ่งได้ตังค์เยอะก็จริง แต่ผมยังอยากเรียนอยู่ อยากเดินแบบ อยากทำในสิ่งที่ตัวเองชอบก่อน แต่ถ้าเราไม่ทำในสิ่งที่พ่อแม่หวังปุ๊บ พ่อแม่ก็จะผิดหวังในตัวเราหรือเปล่า

ถ้าผมเรียนจบ หรือประสบความสำเร็จในสักวันหนึ่ง ผมก็อาจจะเป็นแรงบันดาลให้เขาในสักวันหนึ่ง เออเนี่ยพี่ราชันเป็นชนเผ่าอยู่บนดอยด้วยนะ แต่ก่อนพูดยังไม่ชัดเลย แต่พี่เขาก็ยังทำได้นะ ถ้าผู้ใหญ่เห็นปุ๊บ เขาก็อยากจะสนับสนุนในการศึกษา ผู้ใหญ่เขาก็จะให้ลูกตัวเองเรียน เพราะปกติเราก็ไม่มีตังค์อยู่เรียน

สิ่งที่ผมภูมิใจมากที่สุด มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ผมกลับไปบ้าน แล้วก็มีน้องเล็กๆ คนนึงมาบอกแม่ว่า อยากเป็นเหมือนพี่ราชัน อยากเป็นนายแบบ อยากไปโชว์หล่อ”



อยากประสบความสำเร็จ เพื่อใช้ชื่อเสียงมาพัฒนาบ้านเกิด




 “ถ้าผมประสบความสำเร็จ ผมก็อยากกลับไปพัฒนาที่ชุมชนครับ เพราะว่าที่ชุมชนในด้านเศรษฐกิจการทำงาน ปลูกผัก ผลไม้ ราคาไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าไหร่ ที่คนมารับซื้อ เพราะเราไม่มีนายหน้า เขาให้มาเท่าไหร่เราก็ขาย ถ้าไม่ขายเราก็ไม่มีที่ขาย เพราะเราไม่รู้หนังสือ

แต่ตอนนี้ก็มีการพัฒนา แต่ถ้าผมประสบความสำเร็จ ผมจะใช้ชื่อเสียง แล้วก็ช่วยพัฒนาหมู่บ้านได้ อันนี้คือเป้าหมายหลักๆ ของผมอยากกลับมาพัฒนาหมู่บ้านและก็ดูแลพ่อแม่ จะกลับมาพัฒนาด้านความคิดของชนเผ่า 

อย่างเช่นที่ผมบอกไป พ่อแม่ ผมก็จะชอบบอกว่า ถ้าสมมุติผมจะทำอะไรซักอย่างเนี่ย พ่อแม่ชอบมาตัดว่าเราเป็นชนเผ่า จะเอาอะไรไปสู้เขา ชอบมาพูดแบบนี้ ซึ่งผมไม่ค่อยชอบความคิดของพ่อแม่ ความคิดของผู้ใหญ่ไม่ค่อยชอบ ไม่ว่าผมจะทำอะไร ผมจะบอกตัวเองเสมอว่าทำได้ ทำได้

อย่างเช่นเราประกวด Mister Global Thailand 2022 ผมหลงทาง แอบร้องไห้ ว่าจะกลับดอยไม่ไปประกวดแล้ว
แต่ในที่สุดก็พาตัวเองไปจนได้

คำว่าประสบความสำเร็จสำหรับผม ง่ายๆ ก็คือสามารถเลี้ยงดูพ่อแม่ได้ ตอนนี้ก็แอบให้พ่อแม่ได้นิดนึง พอผมเริ่มให้เงิน พ่อแม่ก็เริ่มให้ความสำคัญเกี่ยวกับการถ่ายแบบ เดี๋ยวนี้พอผมมีรูปถ่ายแบบลงเฟซบุ๊ก แม่ก็คือกดแชร์เก่งมาก พ่อแม่ก็เริ่มเข้าใจ บอกว่าจะเรียนต่อก็เรียนเลยนะ”



โดนล้อว่าพูดไม่ชัด แต่ก็ไม่หวั่น


                         

 “ตอนเด็กๆ มีเพื่อนมาล้อว่า พูดไม่ชัด เขาน่าจะเล่นๆ พูดน่าจะเล่นๆ ครับช่วงม.ต้นๆ ไม่ได้ถึงขั้นเข้าข่ายล้อหรือบูลลี่ แต่อาจจะเล่นๆ หรือเปล่า แต่ก็ไม่ได้รู้สึกอะไรเลยครับ ก็อยากฝึกภาษาให้ดีกว่านี้ ดีกว่าปกติที่เราเป็น ให้ดีกว่าเดิม

เด็กชาติพันธุ์เราถึงแม้ว่าจะพูดไม่ชัด ผมก็ฝึกได้ ตอนนี้ผมก็พูดไม่ค่อยชัดนะครับ ผมฝึกตั้งแต่ขึ้น ม.1 ก็พูดไม่ชัด มาประกวด Mister Global Thailand 2022 ก็ยังพูดไม่ชัด ตอนนี้ก็ฝึกทุกวันครับทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ตอนนี้ผมก็ฝึกอ่านหนังสือ อ่านในโทรศัพท์ แต่ก็ยังพูดไม่ค่อยคล่อง

โดยกำเนิดของผมก็คือพูดไม่ค่อยชัด เพราะว่าถ้าอยู่ในเมือง อยู่โรงเรียน พูดภาษาไทย พอกลับบ้านไปอยู่กับพ่อแม่ก็จะพูดภาษาเผ่าลีซู

ผมเรียนที่โรงเรียนรัฐบาลปกติเลยครับ เขาสอนภาษาไทยครับ แต่ส่วนมากในโรงเรียนก็จะมีเป็นเด็กชนชาติพันธุ์ สำหรับเรา เราก็คิดว่าพูดชัดแล้ว แต่สำหรับเราถ้าออกไปข้างนอกก็คือยังไม่ชัดเลย

ตอนนี้ภาษาอังกฤษก็เน้นจำมา พูดได้นิดหน่อย พอประมาณครับ ฝึกในโทรศัพท์ครับ ฝึกใน TikTok บ้าง ส่วนมากจะดูคลิป กลอน เป็นภาษาอังกฤษมา ผมก็จะมาจำเล่นๆ สื่อสารได้นิดนึง”


สัมภาษณ์ : ทีมข่าวMGR Live
เรื่อง : พัชรินทร์ ชัยสิงห์
ภาพ : ปัญญพัฒน์ เข็มราช
ขอบคุณภาพ : เฟซบุ๊ก“Rachan Rungprai”,“Sriprasert”, อินสตาแกรม@king__gn



** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **




กำลังโหลดความคิดเห็น