xs
xsm
sm
md
lg

สวย-เก่ง-ครบเครื่อง “ผู้ใหญ่ฟ่ง” จากวงการมิสแกรนด์ สู่วงการผู้ใหญ่บ้านสายลุย!!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



จากวงการนางงาม...สู่อาชีพผู้ใหญ่บ้านสายลุย

“มีคนสวย คนหล่อกว่าฟ่งก็มี ขอบคุณที่สนใจทักมาสอบถามกัน อาชีพผู้ใหญ่บ้าน เริ่มเป็นได้ตั้งแต่อายุ25 ปี อยากจะบอกหนุ่มๆ สาวๆ คนรุ่นใหม่ไฟแรงที่สวยหล่อเยอะมากที่เป็นผู้ใหญ่บ้าน คนที่เด็กกว่าฟ่งก็มีเยอะแยะค่ะ”

“ผู้ใหญ่ฟ่ง-กนกนาถ ลิขิตไพรวัลย์”ผู้ใหญ่บ้านสาวสวยแห่งเมืองพิษณุโลก หลังกลายเป็นไวรัลในโลกโซเชียลฯ ในฐานะผู้ใหญ่บ้านสาวสวยแห่งเมืองสองแคว ด้วยวัยเพียง 31 ปี กับจุดชีวิตพลิกผันจากวงการนางงาม ที่เคยเป็นผู้ดูแลการประกวดมิสแกรนด์ในจังหวัดพิษณุโลกทั้งหมด หันมาสมัครผู้ใหญ่บ้าน ทำงานรับใช้บ้านเกิด และได้รับการเลือกเป็นผู้ใหญ่บ้านหมู่ 2 ต.วัดจันทร์ อ.เมือง จ.พิษณุโลก เมื่อปลายปีที่แล้ว

เธอเล่าถึงจุดพลิกผันชีวิตในครั้งนี้ให้ฟังว่า เดิมทีตนเองทำงานกับคุณพ่อ และส่วนหนึ่งกับกลุ่ม YEC (Young Enterpreneur chamber of commerce) ซึ่งเป็นกลุ่มของนักธุรกิจรุ่นใหม่ในการพัฒนาพิษณุโลก พร้อมกับได้เข้าไปดูแลการประกวดมิสแกรนด์ จ. พิษณุโลกด้วย

แต่เนื่องด้วยโควิดระบาด ตั้งแต่ 2 ปีที่ผ่านมา ทำให้ตนหยุดงานทุกอย่างอยู่กับบ้าน ประกอบเมื่อปลายปีที่แล้ว ได้มีการเลือกตั้งผู้ใหญ่บ้าน จึงได้ตัดสินใจลงสมัคร โดยคุณพ่อให้คำแนะนำการหาเสียงและเข้าพบประชาชน

ซึ่งเธอถือว่าเป็นคนรุ่นใหม่อีกหนึ่งตัวอย่าง ที่พลิกผันชีวิตจากวงการประกวดสาวงาม หันมาเป็นผู้ใหญ่บ้านสายลุย เพื่อพัฒนาชุมชนและประเทศ




“ถ้าจะพูดว่าพลิกผันวงการนางงามมาสู่วงการผู้ใหญ่บ้านเลยมันก็ไม่ถึงขนาดนั้น คือตัวฟ่งเองเรียนจบรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่อยู่แล้ว การปกครองมันก็เป็นพื้นแพเดิมที่เราเรียนมา แต่พอเรียนจบ ก็ไม่ได้ทำงานสายตรงกับสิ่งที่เรียนมา ก็มีโอกาสในการจัดประกวดมิสแกรนด์พิษณุโลก เป็นผู้อำนวยการกองประกวด ในปี 2017

พอมีโอกาสในช่วงโควิดเห็นว่าตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านว่างลง ก็คิดว่าน่าจะนำสิ่งที่เราเรียนมาสามารถใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ ที่บอกว่าโอกาสคือช่วงโควิด งานเกี่ยวกับอีเว้นท์ งานเกี่ยวกับการจัดประกวดไม่สามารถทำได้ ก็มองว่าผู้ใหญ่บ้านเป็นอีกหนึ่งอาชีพที่เราจะสามารถทำประโยชน์ให้กับผู้อื่นด้วย

และมองว่าเราน่าจะทำได้ ถ้าเราได้ลง เรามีโอกาสทำอะไรเพื่อคนอื่นก็คงจะดี ก็เลยตัดสินใจลงสมัครเลือกเป็นผู้ใหญ่บ้าน ลงสมัครเป็นตัวแทนของชาวบ้านในการที่จะออกไปเป็นกระบอกเสียงที่จะบอกถึงความเดือดร้อน ความต้องการของชาวบ้าน ให้กับทางหน่วยงานราชการได้รับรู้

ซึ่งตอนนี้ผู้ใหญ่บ้านสาวสวยแห่งเมืองสองแคว ก็ได้รับตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านมาได้ปีกว่าๆ แล้ว เธอเปิดใจถึงเรื่องที่คนให้ความสนใจเธออีกว่า ดีใจและขอบคุณที่คนให้ความสนใจ แต่ที่หันหน้ามาทำอาชีพผู้ใหญ่บ้าน ก็เพราะอยากทำประโยชน์ให้กับผู้อื่น




อายุไม่ใช่อุปสรรค พิสูจน์ด้วยความจริงใจ

แน่นอนว่าเธอขึ้นแท่นเป็นผู้ใหญ่บ้านด้วยอายุเพียงวัย 30 ปี และด้วยการที่เธอยังไม่มีประสบการณ์บนเส้นทางสายอาชีพนี้มาก่อน ก็จะมาบ้างที่โดนสบประมาทว่าจะทำไม่ได้ ซึ่งเธอก็บอกด้วยแววตามุ่งมั่นว่า อายุอายุไม่ใช่อุปสรรค แต่ขอเอาฝีมือออกมาสู้เต็มที่ดีกว่า

“อายุไม่ได้มีอุปสรรคในการทำงาน อยู่ที่ว่าทุกคนจะเปิดใจยอมรับไหม มีบ้างที่คนอาจจะมองเราว่าอายุยังน้อย ผู้สูงอายุ หรือคนเฒ่าคนแก่บางคนที่อาจจะมองคนรุ่นใหม่เอาคอมพิวเตอร์มาประชุม พิมพ์อะไรก็ไม่รู้ก๊อกๆ แก็กๆ ในที่ประชุม ซึ่งมันเป็นการทำงานคนละฟีล คนละเจนฯ กัน

วัดกันที่ผลงานและความสามารถมากกว่าเรื่องอายุ แม้จะโดนดูถูกว่าทำไม่ได้ เธอก็ไม่ได้เอามาใส่ใจ เพราะมองว่าเป้าหมายสำคัญคือเข้ามาช่วยเหลือชุมชนเท่านั้น

[อายุไม่ได้เป็นอุปสรรคในการทำงาน ซื้อใจชาวบ้านด้วยการพิสูจน์ผลงาน]
“คนแต่ละคนมีความสามารถในการทำงานไม่เหมือนกัน ไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ ถ้าเกิดว่ามีความสามารถและความตั้งใจในการทำงาน แล้วแก้ไขปัญหาให้มันสำเร็จได้ ฟ่งก็เคารพและก็เชื่อในผู้ใหญ่หรือเด็กคนนั้น เผลอๆ เด็กรุ่นใหม่ที่เก่งกว่าฟ่ง แล้วเขาสามารถทำงานที่ฟ่งทำได้ ฟ่งก็จะเคารพและให้ความเกรงใจ เพราะทุกวันนี้เรามองว่าเราวัดคนจากผลของงานค่ะ

บางอย่างเราก็ปล่อยผ่าน เรามีเป้าหมายที่จะทำให้งานสามารถที่จะแก้ปัญหาผ่านพ้นไปให้ได้ มันก็เลยทำให้เรื่องต่างๆ พวกนั้นไม่ได้เอามาประเด็นสำคัญในการทำงาน หรือว่าใส่ใจอะไร”

[ผู้ใหญ่บ้านสายลุย ทำงานรับใช้บ้านเกิด]


ยอมรับว่ายากกว่าจะถึงจุดนี้ได้ แต่เมื่อได้รับให้ทำหน้าที่นี้ด้วยผลคะแนนเอกฉันท์จากการเลือกตั้งแล้ว เธอก็พิสูจน์ตัวเองด้วยความจริงใจ จนชาวบ้านเชื่อใจ และได้รับความไว้วางใจจากชาวบ้านได้สำเร็จ

“ฟ่งคิดว่าความจริงใจ ง่ายๆ เลย เราก็ไปแบบซื่อๆ เลย ก็ไปบอกเขา ไปคุยกับเขา ก็รู้สึกว่าบางทีเขาก็เปลี่ยนทัศนคติกับเรา มันมีอยู่แล้วแหละพวกซุบซิบนินทา แต่พอเขามาเจอตัวเรา แล้วเขาก็เห็นว่าเรามีความตั้งใจที่จะแก้ปัญหาให้เขา แล้วพอเขาได้รับการแก้ไขเขาก็โอเค เขาก็เห็นว่าเราแก้ได้ เขาก็เชื่อ

ช่วงแรกคนก็อาจจะรู้สึกไม่เชื่อ จะทำได้เหรอ แต่สิ่งหนึ่งที่เราพยายามและพิสูจน์ให้คนเห็นก็คือ ความรู้ความสามารถที่จะทำงานตรงนี้ได้ จนชาวบ้านเปิดโอกาสให้เราได้ลองมาพิสูจน์ตัวเอง ได้ทำตามที่เราบอกไว้ว่าเราจะทำอะไร ตั้งแต่วันที่เราไปหาเสียง”


นอกจากนี้ ผู้ใหญ่ฟ่ง ยังฝากไปถึงคนรุ่นใหม่อีกว่า หากใครอยากจะเข้ามาทำงานให้กับสังคม อยากพัฒนาชุมชนของตนเองให้เข้มแข็ง สร้างความรักความสามัคคีร่วมกัน ซึ่งมองผลประโยชน์ของชุมชนตนเองเป็นหลัก ไม่จำเป็นต้องมีตำแหน่งเป็นผู้ใหญ่บ้าน หรือ ผู้นำชุมชนอะไรก็ได้ ขอเพียงมีความตั้งใจพร้อมกับมีความรู้ความสามารถ อยากให้นำมาพัฒนาช่วยกัน

“อยากจะบอกทุกคนที่อยากจะเข้ามาเป็นผู้ใหญ่บ้าน หรือมาทำหน้าที่ตรงนี้นะคะ คือต้องมีจิตอาสา มีใจเมตตา เกื้อกูลกัน ถ้ารักที่จะทำงานสาธารณประโยชน์เพื่อผู้อื่นก็มาเลย เต็มที่เลย ไม่ต้องกลัวว่าจะมีอะไรให้เราหนักอกหนักใจมากนัก เพราะว่าก็ใช้ความจริงใจ ความเป็นเด็กของเราเข้าไปพิสูจน์ให้เขาเห็น

ผู้ใหญ่ทุกคนถ้าเกิดเราตั้งใจทำงาน หรือว่าไปขอความช่วยเหลือ ไปถามเขา ฟ่งคิดว่าทุกคนก็พร้อมจะตอบคำถามพวกเรา แล้วเราก็ใช้ความรู้ความสามารถที่มี บางอย่างที่เราไม่รู้เราก็หาข้อมูลได้จากอินเทอร์เน็ต หรือว่าบางอย่างที่ผู้ใหญ่ทำไม่เป็นแต่เราทำเป็น เราก็เอาตรงนี้ไปให้ผู้ใหญ่เห็น มันกะเป็นเรื่องที่รู้สึกว่า เขามีเราไม่มี เรามีเขาไม่มี ก็จะได้ช่วยเหลือกันมันเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านเจเนอเรชั่นด้วย

ถ้าพูดถึงผู้ใหญ่ที่เห็นเด็กเข้าไปทำงานใหม่ อาจจะยังตะขิดใจกับการทำงานของพวกเรา ก็อยากให้เปิดใจยอมรับเรา วิธีการทำงานอาจจะปรับเปลี่ยนไปบ้าง แต่เชื่อว่าทุกคนมีความตั้งใจที่จะทำให้งานสำเร็จเหมือนกัน ถ้าเป้าหมายเดียวกัน ฟ่งว่าทุกอย่างมันน่าจะจบ ทุกคนมีความสุขกันได้ คือเรามีเป้าหมายเดียวกัน ไม่ว่าวิธีการแบบไหน ถ้ามีการปรับใช้ก็น่าจะดี”


ผู้นำที่ดีต้อง ต้องมี “ใจอาสา” อย่างเต็มเปี่ยม

นอกจากนี้ เธอยังช่วยสะท้อนถึงบทบาทหน้าที่ และคุณสมบัติการเป็นผู้นำที่ดี ซึ่งเธอมองว่า งานผู้ใหญ่บ้านเป็นเหมือนงานจิตอาสา ดังนั้นคุณสมบัติที่สำคัญของผู้ใหญ่บ้านคือ ต้องมีจิตใจเมตตา มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อผู้อื่น และต้องมีใจรักที่จะเข้ามาช่วยเหลือผู้อื่นอย่างจริงจัง

“เรามองว่า งานตรงนี้มันเหมือนเป็นงานจิตอาสา เป็นงานการกุศลที่เราอาสาเข้ามาทำตรงนี้ เราก็ต้องทำตามบทบาทหน้าที่ให้ดีที่สุด และต้องเป็นแบบอย่างที่ดีต่อลูกบ้าน เรื่องของจิตใจที่มีเมตตา มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ อันนี้คือสำคัญ ไม่แบ่งแยก ให้ทุกคนเท่าเทียมกัน ไม่ว่าใครจะเป็นยังไง เพราะว่าเราปฏิบัติตามบทบาทหน้าที่ของเรา”

คุณสำคัญที่สำคัญอีกอย่างคือ ต้องตระหนักถึงการแก้ไขปัญหาเพื่อลูกบ้านให้ได้มากที่สุด เพราะหน้าที่สำคัญของผู้ใหญ่บ้านคือรักษาความสงบเรียบร้อย แก้ไขปัญหาความเดือดร้อน ดูแลความเป็นอยู่ทุกข์-สุข ของชาวบ้าน และรับผิดชอบงานต่างๆ ที่กระทรวงทบวงกลมต่างๆ มอบหมายให้ ซึ่งเธอบอกอีกว่า หากสิ่งไหนที่เธอทำ สามารถบรรเทาความทุกข์ของลูกบ้านได้ ก็ทำให้เธอสามารถมีความสุขไปได้ด้วย

“เราก็ได้ไม่ได้รู้สึกว่า สิ่งที่เราต้องทำ หรือการแก้ปัญหามันต้องเหนื่อย หรือต้องหนักมากนัก แต่สิ่งที่เราทำ เพื่อให้คนอื่นได้ประโยชน์ หรือสามารถบรรเทาทุกข์ของเขา เราก็จะสามารถมีความสุขไปด้วย”


ไม่เพียงแค่นั้น เธอยังอยากฝากให้ทุกคนเล็งเห็นความสำคัญของบทบาทหน้าที่ผู้ใหญ่บ้าน ที่มีทั้งหมด75,000 กว่าหมู่บ้านในประเทศไทย เพราะอาชีพผู้ใหญ่บ้านสมัครครั้งเดียว แล้วสามารถเป็นได้ยาวถึงอายุ 60 ปีเลยทีเดียว ยกเว้นจะลาออกไปเอง หรือโดนปลดออกจากตำแหน่งไป เพราะว่าทุกๆ ปี จะมีการประเมินการทำงาน ว่าทำงานได้ดีไหม ถ้าไม่ดีก็อาจจะมีการปลดตำแหน่ง แต่ถ้าดี มีผลงาน ก็อยู่ต่อไปเรื่อยๆ

“อยากจะให้ทุกคนเห็นถึงความสำคัญของบทบาทหน้าที่ผู้ใหญ่บ้าน ไม่ใช่หมายถึงตัวผู้ใหญ่บ้านเอง แต่ว่าตัวทุกๆ คนที่มองว่าผู้ใหญ่บ้านไม่ได้มีความสำคัญมากนัก แต่ฟ่งคิดว่าบทบาทผู้ใหญ่บ้านก็ยังมีความสำคัญอยู่ในแวดวงบริบทสังคมไทย

ถ้าเราทำให้มันเกิดประโยชน์แล้วก็ตั้งใจที่จะใช้บทบาทผู้ใหญ่บาทตรงนี้ในการแก้ไขปัญหา ทั้ง 75,000 กว่าหมู่บ้านในประเทศไทย ถ้าเกิดว่าเราสามารถทำให้ชุมชนของตัวเองเข้มแข็งได้ในระดับท้องถิ่น เชื่อว่าระดับประเทศก็จะดีขึ้นได้ ดังนั้นผู้ใหญ่บ้านก็สำคัญมากเลยเลยอยากจะให้ความสำคัญกับการเมืองท้องถิ่นเล็กๆ ตรงนี้”



เข้าถึง-แก้ไขปัญหา-ใช้เทคโนโลยีสื่อสารลูกบ้าน

หลังจากได้รับการเลือกตั้งเป็นผู้ใหญ่บ้าน เธอได้นำความรู้ที่มี มาประยุกต์ด้วยการเข้าหาลูกบ้านเป็นประจำ มีกิจกรรมอะไร ผู้ใหญ่บ้านสายลุยคนนี้ เธอจะคอยช่วยเหลือลูกบ้านอย่างดี มีการเยี่ยมเยียนแบบเคาะประตูบ้าน อีกทั้งหากลูกบ้านเดือดร้อน ต้องดูแลประสานต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้มาแก้ไขได้ทันท่วงที จนเป็นที่ชื่นชอบของชาวบ้าน

เธอยังถือเป็นผู้บริหารรุ่นใหม่ ที่นำเทคโนโลยีเข้ามาปรับใช้ในการทำงานได้เป็นอย่างดี เธอได้สร้างกลุ่มไลน์ เพื่อแจ้งข่าวสารให้แก่ลูกบ้าน และประกาศเสียงตามสายให้ลูกบ้าน ได้ทราบข่าวสารต่างๆ

“ปณิธานตั้งแต่แรกของเราก็คือ อยากให้คนใช้เทคโนโลยีที่จะติดต่อสื่อสารกันให้เกิดประโยชน์สูงสุด ใกล้ชิดกัน และรวดเร็วด้วย ให้ลูกบ้านรู้จักและเชื่อมโยงกันอย่างทันท่วงที 24 ชั่วโมง ต้องการให้คนในชุมชนรู้จักและช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ตลอด 1ปี ก็มีคนอยู่ในกลุ่มไลน์ประมาณ 200-300 คน จาก 500 ครัวเรือน

ลูกบ้านก็สามารถที่จะเห็นข้อมูลผ่านโซเชียลฯ จากเราได้ นี่ก็เป็นหนึ่งในข้อที่เราตั้งใจจะให้เป็น เวลาลูกบ้านมาสอบถามหรือปรึกษาอะไร เราก็มีสถานที่รองรับ มีการให้ข้อมูล แล้วก็มีการช่วยเชื่อมโยงแก้ไขปัญหาให้กับลูกบ้านได้ตามที่เขาต้องการ

อย่างแรกไลน์กลุ่มคือสำคัญสุด เพราะถ้ารู้จักกัน คนก็อยากจะช่วยเหลือกัน และเราก็ต้องการที่จะส่งเสริมการท่องเที่ยว วิถีชีวิต ชุมชน ในท้องถิ่นของเราให้เป็นที่รู้จัก ให้คนมาเที่ยวบ้านเรามากขึ้น แหล่งรายได้มันก็กระจายไปมากขึ้น ถ้าเกิดว่าในอนาคตมันมีกลุ่มการทำกิจกรรม หรือกลุ่มสร้างรายได้ก็จะยิ่งทำให้คนในในชุมชนมีรายได้ ซึ่งการสร้างไลน์กลุ่มก็เป็นการส่งต่อเรื่องราวที่ดี ฟ่งมองว่าหลายๆ ที่อาจจะทำแต่ยังไม่พูดเฉยๆ แต่เราพูดชัดเจนว่าเราอยากจะทำตรงนี้ แล้วก็เอามาใช้ให้เกิดประโยชน์



นอกจากนั้น สำหรับใครที่ไม่สะดวกในด้านเทคโนโลยี เธอยังได้ทำตู้รับเรื่องราวร้องทุกข์ไว้หน้าบ้าน เพื่อให้ประชาชนมาแจ้งข่าวโดยตรงอีกด้วย ขอเพียงแค่ร้องเรียนมา เธอก็พร้อมที่ลุยไปหาถึงที่บ้านได้ทันที

“การสื่อสารมันไม่ได้มีแค่อย่างเดียวทางโซเชียลมีเดีย ก็มีการสื่อสารทางออฟไลน์ที่ชาวบ้านสามารถเข้าถึงเราได้ อันนี้ก็สำคัญ เราก็พยายามบอกว่าที่ทำการเราอยู่ตรงนี้นะ สามารถมาร้องเรียนหรือมาบอกสื่อสารกับเราได้ หรือนอกจากตัวเราเอง สื่อบุคคลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับเรา ที่ลูกบ้านสามารถมาบอก แล้วก็ช่วยเขาแก้ไขปัญหาได้ เช่น ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านก็สำคัญ บอกผู้ช่วยเรา หรือบอกคณะกรรมการหมู่บ้านให้มาบอกเรา เขาก็จะได้รับความช่วยเหลือ
และแก้ปัญหา

หรือบางครั้งมีความจำเป็นที่จะให้ลูกกบ้านมารวมตัวกัน หรือมีการจัดงาน เราก็มีรถแห่ของเราที่จะขี่ไปบอก แล้วก็ประกาศเสียงตามสายไปบอกว่า วันนี้มีกิจกรรม อย่าลืมมาร่วมงานกันนะวันนี้ที่นี่ ซึ่งบางทีฟ่งก็ออกไปประกาศ

ดังนั้นแนวทางในการทำงาน การสื่อสารสำคัญที่สุด เพื่อให้เข้าถึงได้ทุกกลุ่มเป้าหมาย ถ้าจะสื่อสารกับกลุ่มใด เราก็ต้องเลือกใช้เครื่องมือตัวไหนให้มันตรงกับกลุ่มนั้น ถ้าจะสื่อสารกับกลุ่มคนมาทำงาน ก็ใช้ไลน์ไป เพื่อให้เขามาทำงานกับเรา ถ้าจะสื่อสารคนชรา ผู้สูงอายุก็ใช้สื่อบุคคล ไปให้ถึงตัว ก็เป็นการเลือกเครื่องมือที่จะใช้ให้ตรงจุด”

การนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยประสานกับชาวบ้าน จะทำให้ช่วยทำงานง่ายขึ้น เข้าถึงและแก้ไขปัญหาได้ทันท่วงทีแล้ว อีกข้อดีที่เธอมองว่าน่าจะเป็นประโยชน์มากๆ คือ ข้อมูลออนไลน์เหล่านี้ สามารถเก็บรวบรวมและส่งต่อให้ผู้ใหญ่บ้านคนต่อไปได้อย่างสะดวกสบายอีกด้วย

“อยากทำให้ข้อมูลของลูกบ้านทั้งหมดอยู่ในมือเรา เพราะถ้าเรามีข้อมูล ชื่อ ที่อยู่ทั้งหมด ถ้าเขามีปัญหาอะไรเราก็ช่วยเขาแก้ปัญหาได้ แล้วก็ส่งต่อข้อมูลผู้ใหญ่บ้านคนต่อไปได้ด้วย

ปกติข้อมูลลูกบ้านมันจะอยู่ในหนังสือเล่มหนาๆ ขวบปีก็จะทำขึ้นมาใหม่ มันก็เปลืองงบ แต่ถ้าเรามีข้อมูลตรงนี้ แล้วพอมีเจ้าหน้าที่จากทางการมาถามว่าลูกบ้านบ้านไหนเป็นยังไง เราก็บอกเขาได้เลย โดยที่มันอยู่ในเครื่อง แล้วส่งต่อให้ผู้ใหญ่บ้านคนใหม่ได้ด้วย มันน่าจะเป็นประโยชน์”

คว้าตำแหน่งผู้จัดประกวดมิสแกรนด์ที่อายุน้อยที่สุด

ย้อนกลับไปก่อนที่เธอจะเป็นที่รู้จักในนามผู้ใหญ่บ้านสาวสวยสายลุย อย่างที่เกริ่นไปก่อนหน้านี้แล้วว่า เธอนั้นเคยทำอาชีพวงการนางงามก่อน นั่นคือ เคยเป็นคนดูแลการประกวดมิสแกรนด์ จ.พิษณุโลก ซึ่งตอนนี้ก็ทำควบคู่ไปกับอาชีพผู้ใหญ่บ้านอยู่เช่นกัน

เธอเล่าย้อนกลับไปให้ฟังว่า หลังจากที่เรียนจบแล้ว เธอได้ช่วยคุณพ่อทำงานที่บ้าน แต่ไม่ได้ทำงานตรงสายที่เลยมาเลย จนต่อมาในปี 2016 มีโอกาสได้เจอกับการประกวดมิสแกรนด์ จากความตั้งใจที่เธอมี จนในที่สุด เธอก็สามารถกระโดดเข้าสู่วงการนางงามได้อย่างสำเร็จ

[ผู้ใหญ่บ้านสาวสวยควบตำแหน่งผู้จัดประกวดมิสแกรนด์ที่อายุน้อยที่สุด]
“เรียนจบแล้วเราไม่ได้สมัคร หรือว่าสอบอะไรที่ให้วุฒิปริญญาตรีรัฐศาสตร์มาเลย แต่ก็คือมาทำงานกับที่บ้าน เป็นโครงการ 100 ปี สหกรณ์ไทย ร้อยใจเทิดพระบิดา อันนี้ก็ช่วยคุณพ่อระดมทุนช่วยกันสร้างอนุสาวรีย์พระราชวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ พระบิดาแห่งการสร้างสหกรณ์ไทย ที่สหกรณ์วัดจันทร์ เราก็ช่วยคุณพ่อหาเงินมาสร้าง

จนกระทั่งทำอยู่ 2 ปี ฟ่งก็ไปเรียนต่อปริญญาโท ช่วงนั้นสนใจอยากจะเรียนนิเทศศาสตร์ ชอบด้านนิเทศศาสตร์มาตั้งแต่เด็กแล้ว เพราะที่บ้านทำสถานีวิทยุชุมชน ก็เคยเป็นดีเจตอนเด็กๆ เราก็มีทักษะด้านนี้บ้าง เราชอบ เราก็เลยลองมาเรียนนิเทศ แล้วยิ่งพอมีโอกาสได้มาเจอกับการประกวดมิสแกรนด์พิษณุโลกปี 2016

ตอนนั้นมิสแกรนด์จัดเป็นจังหวัดปีแรก พอเราไปเห็น เราก็รู้สึกว่าเราน่าจะมีศักยภาพ หรือทำให้มันยิ่งใหญ่ได้ หรือว่าหาตัวแทนที่แบบเป๊ะปัง ไปประกวดระดับประเทศบ้าง แล้วเราก็ชอบด้านการแสดง ด้านการบันเทิงอยู่แล้ว เราก็เลยลองกระโดดเข้ามาทำตรงนี้”


นอกจากผู้ใหญ่บ้านอายุยังน้อยแล้ว เธอยังคว้าตำแหน่งหัวเรือใหญ่ในการจัดประกวดนางงาม หรือที่เรามักจะได้ยินกันว่าPD (President) ไม่เพียงเท่านี้ เธอยังถือเป็น PD ที่อายุยังน้อยที่สุดอีกด้วยในตอนนั้น

“ฟ่งคือ PD เลยค่ะ ตอนนั้นอายุ 26 ปี ก็บอกคุณพ่อและที่บ้านว่า หนูอยากทำ ตอนนั้นก็เป็นPD ที่อายุยังน้อยเหมือนกับผู้ใหญ่บ้านเนี่ยแหละ เพราะอายุ 26 ตอนนั้นยังไม่เคยมีใครกระโดดมาตำแหน่งนี้ในอายุแค่นี้ การที่จะเป็นตรงนั้น มันเป็นความกล้าที่จะตัดสินใจทำ โมเมนต์ตรงนั้นเหมือนตอนตัดสินใจมาเป็นผู้ใหญ่บ้านเลย

เป็น PD มาตั้งแต่ปี 2016-2017 แล้วก็ 2019-2020 ไม่ได้เป็น เพราะว่ามาเรียนปริญญาโท แต่ว่าก็คือยังช่วยงานอยู่ ดูแลเรื่องการตลาด การเงินช่วยอยู่ตลอด หาสปอนเซอร์ เพราะทุกคนจะจำหน้าเราได้ เราก็ดูแลสปอนเซอร์มาให้ตลอด พอปี 2020-2021 ก็กลับมาดูแล เพราะว่าเราเรียนจบแล้ว และตอนนี้ก็ยังทำอยู่ค่ะ”




ในอีกบทบาทหนึ่ง ของการทำงานเพื่อจังหวัดพิษณุโลก เธอมีเป้าหมายอยากที่จะผลักดันในการจัดประกวดนางงาม เป็นอีกตัวช่วยสร้างงานสร้างอาชีพให้กับคนในจังหวัด ในด้านกระตุ้นเศรษฐกิจ และส่งเสริมการท่องเที่ยวผ่านเวทีการประกวดมิสแกรนด์พิษณุโลก

“ต้องบอกก่อนว่าทุกคนมีสิทธิ์ที่จะซื้อลิขสิทธิ์จัดประกวดทุกจังหวัดอยู่แล้ว แต่ว่าพอซื้อสิทธิ์มาแล้ว มีศักยภาพแค่ไหนที่จะจัดงาน อันนี้คือสำคัญ เพราะว่าเราต้องเอาหน้าเราไปเจอผู้ใหญ่ในจังหวัดด้วยว่าเราเป็นผู้จัดนะ เราต้องการที่จะจัดการประกวดนี้ เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว หรือว่าเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในจังหวัดผ่านการประกวด แล้วก็ต้องไปหาสปอนเซอร์หลากหลายมากมายเพื่อให้ได้เงินมาเพื่อจัดการประกวด ซึ่งมันไม่ใช่เงินหลักหมื่น แต่มันเป็นหลักแสน หลักล้าน ก็ชาเลนจ์มาก

แต่สิ่งสำคัญของเราคือต้องการที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจ และก็มอบความบันเทิงและความสุขอีกด้านหนึ่งให้กับคนไทยทั้งประเทศ รวมถึงแทบจะทั้งโลกแล้ว เพราะเป็นเวทีของคนไทยเอง ก็อยากจะให้คนไทยเรามอง และก็ภาคภูมิไทยในเวทีของคนไทย ริเริ่มโดยคนไทย ทำโดยคนไทย แล้วก็กระจายรายได้ในวงการอุตสาหกรรมนางงามไทยให้เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่กระตุ้นเศรษฐกิจของไทย”





สองอาชีพที่แตกต่าง แต่ปรับใช้ด้วยกันได้



“ถ้าจะเทียบถึงบทบาทหน้าที่การเป็นผู้ใหญ่บ้าน กับมิสแกรนด์ที่ฟ่งเป็นผู้อำนวยการกองประกวด เราก็ต้องบริหารคน บริหารงานเหมือนกัน ความรู้ หรือสิ่งที่เราได้ร่ำเรียนมาจากการเรียนรัฐศาสตร์บวกกับการเรียนนิเทศศาสตร์ก็มาปรับใช้ ซึ่งการเมืองเราจะต้องรู้ว่าจะเข้าถึงชาวบ้านแบบไหน เขาถึงจะเข้าใจในสิ่งที่เราสื่อสาร พอไปประชุมที่อำเภอเราก็ต้องพูดอีกแบบหนึ่ง เราก็สามารถนำมาปรับใช้ได้

ก็คือการปรับมาใช้ มันคือการจัดการเหมือนกัน พอเรารู้ว่าต้องจัดการอะไร ก็ดูทรัพยากรในมือว่า เราจะเอาทรัพยากรที่มีไปจัดการเรื่องไหน ทั้งสองอาชีพนี้ปรับช่วยกันได้ อย่างเราเป็นผู้ใหญ่บ้านใช่ไหม ถ้าเราอยากประชาสัมพันธ์หมู่บ้านเราให้เป็นที่รู้จัก ฟ่งก็มีทรัพยากรในมือพร้อมมิสแกรนด์ ก็เอามิสแกรนด์มาประชาสัมพันธ์ เอาสิ่งที่มีอยู่ในหมู่บ้าน ให้เป็นที่รู้จัก ก็ทำควบคู่กันไปกับอาชีพผู้ใหญ่บ้าน

เอาเรื่องของการบริหารจัดการมาปรับใช้ทุกอย่างเลย เพราะการบริหารจัดการตรงนี้ไม่ใช่แค่เฉพาะคน แต่หมายถึงการจัดการทรัพยากรที่มีอยู่ในมือให้เกิดประโยชน์และแก้ไขปัญหาให้ได้ อย่างเช่นเราจะจัดงาน เราต้องรู้ว่าเรามีงบประมาณเท่าไหร่ที่จะจัดงาน อันนี้ก็เหมือนกัน พอเราเป็นผู้ใหญ่บ้านเรารู้ว่ามีงบประมาณเท่านี้ เราทำงานได้เท่านี้ หรือว่าเอาไปจ้างคนเพื่อมาจ่ายงานให้เราได้เท่านี้

หรือถ้าเราไม่มีเงิน แต่อยากจัดงานนี้ ตอนเป็นผู้ใหญ่บ้าน เราก็ไปขอสปอนเซอร์หรือคนที่เขามีของมาช่วยงานเราให้ได้ ก็เหมือนกับตอนทำมิสแกรนด์ เราไม่มีเงิน เราก็ไปขอสปอนเซอร์มา แล้วก็บอกกับเขาว่าเราจะเอาไปทำอะไร เพื่อเกิดประโยชน์อะไร

ฟ่งมองว่ามันคือทักษะเดียวกัน แต่ค่อนข้างต่างกันมากเลย เพราะว่ามิสแกรนด์จะเอกชนจ๋าเลย จะมีความเป็นการตลาด มีความเป็นหรูหรา การสื่อสารก็ต้องเป็นอีกแบบหนึ่ง เพื่อที่จะให้คนอยากเข้ามาติดตาม หรือเข้ามาเป็นแฟนคลับ แต่ผู้ใหญ่บ้าน การสื่อสารก็จะเป็นอีกแบบหนึ่ง จะทำยังไงให้คนรู้สึกเข้าถึงเราได้ง่าย กล้าที่จะมาบอกเราตรงๆ ว่าเขาต้องการอะไร”





อุทิศตน 24 ชั่วโมง แลกเงินเดือนอันน้อยนิด

        

“อาชีพผู้ใหญ่บ้านต้องเป็น 24 ชั่วโมง ถ้าเกิดว่ามีลูกบ้านมาร้องเรียนตอนเที่ยงคืนก็ต้องไป ถ้ามันเป็นเหตุด่วนเหตุร้ายที่เราต้องไปไกล่เกลี่ย

แม้จะเงินเดือนไม่เยอะ แต่ยังอยากทำ เพราะความตั้งใจเดียว และยังเป็นคำตอบอยู่เหมือนเดิมก็คือ เราอยากทำประโยชน์เพื่อผู้อื่น เราอาจจะไม่ได้มีโอกาสไปทำบุญทำทานอะไรมากมายนัก แต่ถ้าเราได้ทำบุญจากการทำประโยชน์ให้ผู้อื่น ชาวบ้านได้รับการแก้ไขปัญหา

มันก็เป็นการทำบุญอีกทางที่ทำให้เรามีจิตใจดีขึ้น แล้วก็ไม่ได้เสียเวลาไปกับเรื่องอื่นๆ ที่ไม่มีประโยชน์ ก็มองว่า การทำประโยชน์เพื่อผู้อื่นรู้สึกดี เราก็เลยอยากทำ และตั้งใจที่จะทำตรงนี้ต่อไป

และฟ่งก็มองว่ายังไม่เหนื่อยขนาดนั้น อีกอย่างทุกๆ งานเรามีทีม เราไม่ได้ทำเองทั้งหมด บางอย่างที่เราจำเป็นต้องทำ ก็ต้องทำ แต่งานไหนที่ต้องแบ่งให้ทีมทำเพื่อที่จะให้งานมันสำเร็จเราก็แบ่ง

เป้าหมายของการที่เข้ามาทำการเมืองท้องถิ่น มาเป็นผู้ใหญ่บ้าน ความตั้งใจแรกก็คือเราอยากทำตัวเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น หรือสังคมเท่านั้น ตอนนี้ก็ยังคิดอย่างนั้นอยู่ เราเข้ามาตรงนี้ มาเป็นผู้ใหญ่บ้านเงินมันไม่ได้เยอะมากมายอย่างที่เราทุกคนรู้กัน”


สัมภาษณ์ : ทีมข่าวMGR Live
เรื่อง : พัชรินทร์ ชัยสิงห์
ขอบคุณภาพ : เฟซบุ๊ก“ผู้ใหญ่ฟ่ง”, “Kanoknart Likitpriwan”



** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **




กำลังโหลดความคิดเห็น