สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ ร่วมกับภาคีเครือข่าย จัดเสวนาหาทางออกร่วมกันในประเด็น “2023 แพลตฟอร์มเปลี่ยนโลก สื่อปรับใหญ่ คนไทยจะรู้เท่าทันสื่อได้อย่างไร?”ผู้เข้าร่วมเสวนาชี้สื่อต้องทำคอนเทนต์คุณภาพ เสริมแกร่งด้วยความความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน พร้อมเข้าใจพฤติกรรมผู้ชม
เริ่มต้นด้วยนายกสมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ “ระวี ตะวันธรงค์”กล่าวถึงทิศทางการทำสื่อในยุคใหม่ว่า จะเน้นไปที่การผลิตเนื้อหาเป็นอันดับหนึ่ง การนำเสนอข้อมูลเป็นอันดับสอง การเลือกผลิตสื่อตามกลุ่มเป้าหมายเป็นอันดับสาม
ปัจจุบันแพลตฟอร์มมีการเปลี่ยนแปลงกันเป็นอย่างมาก ส่งผลทำให้สื่อมวลชนต้องปรับตัวตลอดเวลา และในปีหน้าจะยิ่งเกิดการเปลี่ยนแปลงอีกครั้งด้วย โดยเน้นคอนเทนต์คุณภาพมากกว่าการใช้ SEO (Search Engine Optimization) และสื่อแต่ละเจ้าในอนาคตต้องรู้จักตัวเองและผู้ชม เพราะจะทำให้ผู้รับสารสนใจสื่อของเราและอยู่กับเราต่อไป
นายกสมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ ยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ใน Gen-Z จะสนใจในคอนเทนต์ที่ให้ความหวัง เนื่องจากคนในรุ่นนี้โตมากับภาวะวิกฤตที่หลากหลาย โดยมีความสนใจในประเด็น 4 ด้าน คือ การเปลี่ยนแปลงของโลกด้านสิ่งแวดล้อม,ค่าใช้จ่ายและการเงิน,ความไม่เท่าเทียม การคุกคามทางเพศ, สุขภาพจิต ดังนั้นหลักการทำสื่อของปีหน้าคือ คอนเทนต์ต้องมีคุณภาพดี มีความลึกรอบด้าน ไม่ใช่รายงานแค่ผิวเผิน คนถึงจะดู
ทางด้าน “นภพัฒน์จักษ์ อัตตนนท์” บรรณาธิการบริหาร workpointTODAY กล่าวว่าคนไม่ได้แยกแยะว่ากำลังเสพอะไรอยู่ แพลตฟอร์มนำเสนออะไรมาคนก็เสพ ถ้าเสพอะไรที่ได้สาระคนก็จะได้สาระ และมองว่าทุกวันนี้ คนสนใจดูคอนเทนต์ที่สนุกและได้ความรู้ ดังนั้นจึงมีหลักการ ไม่ได้แยกข่าวกับสื่อประเภทอื่น พร้อมกับมีเป้าหมายว่าจะทำสื่อที่มีความรู้และสนุก
จะเห็นได้ว่าปีนี้สื่อใหญ่หันมาทำสื่อออนไลน์มากขึ้น เช่นดารามาทำยูทูบ สัมภาษณ์กันเอง ถ้ามองในแง่ลบสื่อมวลชนจะอยู่ยังไงตายกันหมดแน่ แต่ถ้ามองในแง่ดี สิ่งนี้ทำให้มองเห็นถึงความจำเป็นของสื่อสารมวลชน เพราะนักสื่อสารมวลชนนำเสนอเนื้อหาเชิงวิเคราะห์ นำเสนอข้อมูลที่มีความลึก
แต่ปัจจุบันสื่อแข่งกันทำคอนเทนต์ที่เน้นยอดการมีส่วนร่วม สร้าง Engagement แต่ควรถอยออกมา กลับมาเป็นสื่อสารมวลชนที่ดี ต้องเน้นทำคอนเทนต์ที่มีคุณค่า ไม่ต้องสนใจยอดEngagement และต้องยอมรับว่าสื่อมวลชนไทยเก่งมากเรื่องการทำงานป้อนแพลตฟอร์ม
นอกจากนี้ บรรณาธิการบริหาร workpointTODAY ยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ปัญหาผู้บริหารคือต้องแย่งคนที่เก่งมาทำงาน หาเงินเข้าองค์กร และทำงานเชิงคุณภาพ แต่องค์กรต้องเข้าใจว่านักข่าวไม่ได้ทำคอนเทนต์ได้ในทุกแพลตฟอร์ม ดังนั้นควรจะมีโปรดิวเซอร์ในแต่ละแพลตฟอร์ม และปั้นนักข่าวให้มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เพื่อให้เกิดการสร้างสรรค์ผลงานที่มีคุณภาพ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะส่งผลทำให้นักข่าวและสังคมได้ประโยชน์ร่วมกัน
ถัดมาที่ “ผศ. สกุลศรี ศรีสารคาม” อาจารย์ประจำคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า อ้างอิงจากงานวิจัยปีล่าสุด ปัจจุบันคนรุ่นใหม่ไม่ค้นหาข้อมูลจาก Search Engine บน Tiktok มากที่สุดและมีความสนใจที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้นนอกจากนี้งานวิจัยยังพบว่าการทำคอนเทนต์จะต้องเน้นไปที่คุณภาพ
จากการสำรวจพบว่าคนไทยยังให้ความน่าเชื่อถือกับข่าวมากที่สุดเป็นอันดับ 1 ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และจากการศึกษาผู้ชมในต่างประเทศพบว่าผู้ชมต้องการชมข่าว Solution หรือข่าวการแก้ปัญหา เพื่อนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน แต่ตอนนี้ปัญหาที่เกิดขึ้นก็คือสื่อไม่ได้นำเสนอประเด็นและหาทางแก้ไขปัญหาให้ จึงอยากให้สื่อไทยทำงานแบบนำเสนอข่าวการแก้ปัญหาให้ชัดเจนมากขึ้น
ผศ. สกุลศรีกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า สื่อมวลชนในยุคนี้ไม่ได้มีข้อมูลผู้รับสารแบบละเอียด จึงเป็นความท้าทายมากๆ ในการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นการนำเสนอข้อมูล หรือกระบวนการทำงาน ที่สำคัญสื่อต้องรู้จุดแข็งของตนเอง ไม่จำเป็นต้องทำทุกเรื่องอีกต่อไป ควรทำเรื่องที่ชำนาญ ทำข่าวที่มีความลึกมากขึ้น เพื่อผลิตคอนเทนต์ที่มีคุณภาพ
ปิดท้ายด้วย “พัชรพร พงศ์ทัดศิริกุล” ผู้อำนวยการ ฝ่ายส่งเสริมการรู้เท่าทันสื่อและเฝ้าระวังสื่อ กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ กล่าวว่า ปัจจุบันกองทุนสื่อฯ พบว่าผุ้ขอทุนตอนนี้เน้นให้ความสนใจในการขอทุนรูปแบบสื่อออฟไลน์ผสมกับออนไลน์มากขึ้น และด้วยการปรับตัวของแพลตฟอร์มที่มากขึ้น ทำให้ผู้รับทุนปรับตัวเองไม่ทัน กองทุนสื่อจึงจะพัฒนาความร่วมมือกับองค์กรต่างๆ มากขึ้น เพื่อส่งเสริมให้เกิดสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ต่อไปในระยะยาว จึงอยากฝากว่า เวลาที่ทำคอนเทนต์ต้องศึกษาผู้รับสารด้วย เพราะคนแต่ละกลุ่มมีรสนิยม และการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน จากนั้นก็ปรับการนำเสนอให้เข้ากับผู้รับสารแต่ละกลุ่ม จึงจะสามารถช่วยให้สื่ออยู่รอดต่อไป
