xs
xsm
sm
md
lg

“เหยื่อหิมาลัย” อุบัติเหตุหรือสะเพร่า? ตั้งคำถามไกด์ “พาไปเส้นทางโหด-ไร้เสบียง-ทิ้งไว้กับอากาศติดลบ”?!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เปิดข้อสังเกต 2 นักท่องเที่ยวหญิงไทยเสียชีวิตที่เนปาล จากปากคนใกล้ชิดผู้ล่วงลับ เผย มีพิรุธหลายข้อ “พาไปเส้นทางโหด-ไม่มีเสบียง-ไม่มีจุดพัก-ทิ้งให้อยู่ในอากาศติดลบสิบกว่าชั่วโมง” ฝากถึงสายลุย เช็กข้อมูลรายละเอียดให้ดีก่อนเดินทาง

“มันคือการเตรียมการที่ไม่ดีพอ”

ยังคงมีประเด็นให้ตามต่อกับข่าวเศร้าข้ามประเทศ จากเหตุการณ์ที่มี 2 นักท่องเที่ยวหญิงไทย เสียชีวิตขณะร่วมทริปเส้นทางเดินเขา อันนะปุรณะ (Annapurna) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาหิมาลัย ประเทศเนปาล เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา

ทว่า... ความสูญเสียที่เกิดขึ้น ดูจะมีเบื้องหลังที่มากกว่าข่าวที่ถูกรายงานออกไป เนื่องจากทีมข่าว MGR Live ได้รับข้อมูลอีกด้าน จาก “เอ” (นามสมมติ) คนใกล้ชิดของหนึ่งในผู้เสียชีวิต เขาได้ตั้งข้อสังเกตถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า มีหลายจุดที่นำพาให้คณะเดินทางนี้ไปสู่อันตรายโดยไม่จำเป็น



“ส่วนตัวยังไม่เคยไปเส้นทางนี้ แต่ในการแพลนทริป ปกติเวลาขึ้นที่สูง มันจะต้องมีระยะที่ปรับตัวก่อน พักอยู่เฉยๆ สัก 2-3 วัน ทีนี้เหมือนว่าเขาจัดทริปขับรถจาก 900 เมตร ไปที่ 4,200 เมตร ขึ้นที่สูงอย่างเร็ว

ทำให้ทุกคนในทริปเกิดอาการ Altitude sickness (ภาวะที่พบจากการเดินทางไปในพื้นที่ที่มีความสูงมากกว่าพื้นที่ทั่วไป ทำให้ร่างกายไม่สามารถปรับตัวได้ หรือปรับตัวไม่ทัน)

จริงๆ คนที่จะไป trekking มันจะต้องพักอยู่เฉยๆ ไม่ใช่ขึ้นไปเดินเลย จากตาราง คนที่เขาเดินเขาบอกว่ามันเร่งให้เดินเร็วเกินไป ตอนข้าม pass จะมี 2 เส้นทาง เส้นแรกใช้เวลา 10 ชั่วโมง อีกเส้นใช้เวลา 16 ชั่วโมง ไกด์พาไปเส้นสั้น 10 ชั่วโมง เขาต้องการเดินไปอยู่ Base Camp 5,000 เมตร นอน 2 วันที่ Base Camp

เขาไม่ได้เดินเส้นทางปกติ มันเป็นเส้นทางที่คนเดินน้อยมาก เขาว่าโหดมาก และจริงๆ มันไม่ควรไป ฝรั่งยังบอกว่ายากมาก จุดพีกสุดคือ 5,000 เมตร ซึ่งมันสูงมาก แค่ 3,000 เมตร ร่างกายก็ไม่ค่อยไหวแล้วถ้าไม่ได้พัก”



ทั้งนี้ ข้อมูลจาก MT Everest Today สื่อท้องถิ่นของเนปาล ระบุว่า คณะนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ มีทั้งหมด 22 คน โดยแบ่งเป็นชาวต่างชาติ 12 คน ลูกหาบยกของ 8 คน และไกด์นำทางอีก 2 คน แหล่งข่าวให้ข้อมูลต่อว่า นอกจากไกด์จะพาไปยังเส้นทางที่ต่างออกไปแล้ว ความพร้อมในการดูแลผู้ร่วมคณะ ก็ยังไม่ดีเท่าที่ควรอีกด้วย

“คนไทย 12 คน ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง ข้างบนไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ ต้องใช้ sattlelite phone (โทรศัพท์ดาวเทียม) แต่ไกด์กรุ๊ปนี้ ก็ไม่ได้เอาไปด้วย ระหว่างทางขาดอาหาร ขาดน้ำ ขาดทุกอย่าง มันคือการเตรียมการที่ไม่ดีพอ แพลนทริปก็ไม่ดี

พอแต่ละคนมีอาการไม่ดี แพ้ความสูง เดินไม่ไหว ก็กระจัดกระจายกันหมด ใครเดินไปถึงตรงไหนก็อยู่ตรงนั้น หัวแถวกับท้ายแถวห่างกันเยอะ มันก็รอกันยาก เพราะแต่ละคนมีความเร็วในการเดินไม่เท่ากัน จู่ๆ เขาทิ้งบนสันเขาประมาณ 4-5 คน

คนที่อยู่ตรงนั้นประมาณ 14 ชั่วโมง ต้องนั่งกับหิมะ ไม่มีจุดพัก ไม่มีเต็นท์ ไม่มีเสบียง ข้าว น้ำให้ อากาศติดลบ และเมื่อคนป่วยเขาก็ไม่ได้โทร.เรียกใครมารับ ทางไกด์พยายามให้ข้อมูลกับกงสุล ว่า 4 คนนี้ พลัดหลง ซึ่งไม่ได้หลง เขาแค่ไปไม่ไหว

ตอนแรกเข้าใจว่า ระหว่าง pass คือ ไกลมากจนเขาไม่สามารถมารับได้ ปรากฏว่า จริงๆ จากตรงนั้นถึงจุดพักแค่ 2 ชั่วโมง กลายเป็นว่า 4 คน ถูกทิ้งให้ Frostbite หิมะกัด เพราะไม่มีอะไรบังเลย คนพวกนี้เขา trekking กันอยู่แล้ว ดังนั้น เขาจะต้องรู้ว่าต้องเตรียมเสื้อผ้าแบบไหนไป แต่อันนี้เสื้อผ้าเขาก็ไม่น่าจะเพียงพอ”

ย้ำสายลุย เช็กไกด์ก่อนร่วมทริป

จากการให้ข้อมูล เอ ได้ตั้งคำถามไปถึงตัวไกด์นำเที่ยว ซึ่งเป็นทั้งนักเดินเขาด้วย ว่าในการจัดทริปนั้น อาจจะไม่มีใบอนุญาตหรือไม่?

“เหมือนทางไกด์เขาไม่น่าจะมี Licence น่าจะไม่มีใบอนุญาตจัดทริปแล้วก็จัดเอง จริงๆ เขาเป็นนักปีนเขา เคยไปได้สูงขึ้นไปพิชิต 7,000 เมตร นี่ขับรถขึ้นไปเลยโดยไม่พัก ทุกคนอาการไม่ค่อยไหวตั้งแต่แรก เพียงแต่ว่าก็อยากไป มาแล้วก็ต้องไปต่อ แต่ด้วยความที่เขา (ไกด์) แข็งแรงดี ก็เดินนำคนอื่นไป ที่เหลือเขาก็ตามกันไปไม่ไหว และไม่ได้สนใจ ถูกทิ้งไว้อย่างนั้น

เขาไม่ควรมาเป็นไกด์ ถ้าเขามาดูแลคนอื่นไม่ได้ เขาไม่ควรทำอาชีพนี้ต่อไป แล้วมันไม่ใช่ครั้งแรกด้วย เพราะมีคนเคยบอกว่าเขาจัดทริปแบบนี้ไปไบคาล แล้วลูกทัวร์ก็สภาพเดียวกัน ขาดอาหาร ขาดน้ำ โชคดีที่มีคนไปเจอ”



ขณะนี้ร่างของผู้เสียชีวิตยังอยู่ที่ประเทศเนปาล และมีกำหนดกลับประเทศไทยในวันศุกร์ที่จะถึงนี้ ส่วนสาเหตุการเสียชีวิต คนสนิทให้ข้อมูลคาดว่ามาจากภาวะ แพ้ความสูง และ Hypothermia (ภาวะอุณหภูมิร่างกายต่ำ)

“ถ้ามันมีภัยพิบัติมาเฉียบพลัน มันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่อันนี้เป็นการจัดการที่ไม่ดี พาลูกทริปไปเสี่ยงและไปตาย ถ้าไป trek แล้วตาย 2 คน ไม่ธรรมดาแล้ว อันนี้ถูกทิ้งไว้ตรงนั้น เขาไม่เรียกใครมาช่วยเหลือ ตรงนี้มันต้องมี safety ในเส้นทาง แต่อันนี้การจัดการคือแย่มาก

ข้อสังเกตอีกข้อนึง คือ ทุกคนป่วยหมด เป็น Altitude sickness และโดนหิมะกัด เพราะถูกทิ้งไว้ในอากาศหนาวนานเกินไป มันก็จะมีคนที่กลับมาจากทริปแล้ว บางคนเขายังแอดมิตอยู่โรงพยาบาลที่เนปาล เป็น Frostbite หลายคนพันมือพันเท้า ไม่รู้ว่าจะกลับมาใช้ได้อย่างเดิมหรือเปล่า

ส่วนร่างผู้เสียชีวิตน่าจะได้กลับมาวันศุกร์นี้ จริงๆ เหตุเกิดวันศุกร์ที่แล้ว ทางไกด์ไม่ได้มีข้อมูลของผู้ร่วมทริปเลย แทบจะไม่ได้แจ้งกงสุลด้วย มีคนอื่นไปแจ้งแล้วกงสุลถึงติดต่อมา เขาไม่ได้รับผิดชอบอะไรเลย”



สุดท้าย ในฐานะที่เป็นตนเองเป็นนักท่องเที่ยวสายผจญภัย เอ ได้ฝากถึงผู้ที่หลงรักในเส้นทางสายนี้เช่นกัน เขาย้ำว่า ไม่ควรทำอะไรที่ฝืนธรรมชาติ และหากไปกับคณะทัวร์ ก็ควรตรวจสอบรายละเอียดของทริปให้ดี โดยเฉพาะผู้นำเที่ยวที่ต้องได้รับอนุญาตอย่างถูกต้องตามกฎหมาย

“ร่างกายคนเราไม่ได้แข็งแกร่งพอที่จะเอาชนะธรรมชาติ เคยเห็นเพื่อนที่เป็นมนุษย์ออฟฟิศจะไป EBC (Everest Base Camp) มัน 5,000 กว่าเมตร แต่คนไทยไปถึงกันยาก ถึงเพราะเราเป็นมนุษย์ที่ราบ ร่างกายไม่ได้ชินกับที่สูง

คนที่ไปพิชิตยอดเขากับคนที่เป็นไกด์ ความถนัดในการจัดการมันไม่เหมือนกัน ต้องดูดีๆ แค่เคยไปมาไม่ใช่ว่าเขาจะดูแลเราได้ การจัดการ การติดต่อ หรือเหตุฉุกเฉินอีก ก็อยากให้ดูดีๆ ว่าเป็นไกด์ที่มีใบอนุญาต”

ข่าวโดย : ทีมข่าว MGR Live
ขอบคุณภาพและข้อมูลเพิ่มเติม : MT Everest Today



** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **




กำลังโหลดความคิดเห็น