xs
xsm
sm
md
lg

“ทุ่ม 10 ล้านพัฒนากลิ่น-ไม่ทิ้งใครวันวิกฤต” เจาะเส้นทางขรุขระ “หงส์ไทย” แบรนด์ปังที่ “ไอดอลเกาหลี” ติดจมูก!!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



จากวันที่เดินเท้าขาย สู่วันที่หงส์สยายปีก!! เปิดใจ “เจ้าของยาดมหงส์ไทย” กับเรื่องราวชีวิตที่ขึ้นลงยิ่งกว่าเล่นรถไฟเหาะ สู่การทำยาดมสมุนไพรกระปุกสีเขียวในตำนาน ที่มียอดขายกว่า 100 ล้าน ดังไกลจนไอดอลเกาหลีติดใจ!!

ยาดมไทยสร้างเรื่อง!! โกอินเตอร์จนผลิตไม่ทัน

กลายเป็นที่ถูกพูดถึงอย่างมากบนโลกโซเชียลฯ หลังจากที่มินนี่-ณิชา ยนตรรักษ์” เมมเบอร์ชาวไทยของวง (G)idle เกิร์ลกรุ๊ปชื่อดังแดนกิมจิ ให้สัมภาษณ์กับ ELLE KOREA ถึงไอเทมเด็ดที่ต้องมี ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ “ยาดมหงส์ไทย”

สำหรับยาดมสมุนไพรไทยตัวนี้ ไม่เพียงแค่เป็นที่ถูกใจสาวมินนี่เท่านั้น ด้วยกลิ่นสดชื่นอันเป็นเอกลักษณ์ จึงกลายเป็นไอเทมที่ครองใจคนทุกเพศทุกวัยทุกวงการ เป็นของฝากที่ถูกใจชาวต่างชาติ จนมีคำกล่าวที่ว่า “ใครๆ ก็เป็นวัยรุ่นหงส์ไทย”


[ ไอดอลเกาหลียังถูกใจ ]

ไม่รอช้า ทีมข่าว MGR Live บุกมาถึง บริษัทสมุนไพรไทย หงส์ไทย จำกัด สำนักงานใหญ่ ที่ตั้งอยู่ย่านพุทธมณฑลสาย 2 เพื่อพูดคุยกับ “เก่ง-ธีระพงศ์ ระบือธรรม” ผู้ก่อตั้งและเจ้าของบริษัท วัย 46 ปี ถึงเบื้องหลังกว่าจะมาเป็นยาดมกระปุกกลมสีเขียว ที่ปัจจุบันอยู่คู่สังคมไทยย่างเข้าปีที่ 17 แล้ว ตลอดจนความรู้สึกที่ชื่อของหงส์ไทยดังไปไกลถึงต่างแดน

“ดีใจนะครับ เราก็พยายามทำชื่อเสียงให้กับประเทศชาติ คือ การยอมรับในระดับสากล ถ้าซื้อหงส์ไทยนั่นแปลว่าคุณได้คุณภาพ เกิดการยอมรับไม่ใช่แค่บางกลุ่ม นางงามที่ผ่านมา ก็ติดต่อเข้ามาเอาไปแจกเพื่อนนางงาม ตรงนี้ก็เป็นความดีใจว่าเราก็เป็นส่วนหนึ่งของคนไทย ที่ช่วยกันเผยแพร่ความสามารถและสินค้าแบบไทยๆ ที่มีเอกลักษณ์ครับ

จริงๆ แล้ว การผลิตงานออกมาทุกครั้ง เรามีเรื่องของอัตลักษณ์ เอกลักษณ์ ตัวตน ที่สำคัญคือ ไม่เหมือนใคร วันนี้เรายังอยากจะทำให้ลูกค้าทั่วประเทศได้จดจำสิ่งที่หงส์ไทยอยากจะสื่อ คือ คนไทย สี ขวด เสน่ห์ ลักษณะ กลิ่น

ตรงนี้เราพยายามจะสร้างลักษณะให้ลูกค้าจดจำ อนาคตบอกไม่ได้ แต่น่าจะมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของฉลาก ขวด แพกเกจจิ้งต่างๆ วันนี้ เรายังคงลักษณะเดิมอยู่ เพื่อต้องการให้ลูกค้าได้เข้าถึงในสิ่งที่เป็นไทยๆ แบบเชยๆ ยังไม่หวือหวาวูบวาบ ให้ผู้บริโภคได้รู้สึกในการทำงานออกมาแบบไทยๆ ครับ”


จากคุณภาพที่ทำให้ผู้ใช้บอกกันปากต่อปาก บวกกับการที่คนดังใช้ยาดมนี้ จนเหล่าแฟนคลับพากันไปซื้อมาลองใช้ตามบ้าง ประกอบกับขณะนี้การบรรจุสมุนไพรลงขวด ยังใช้แรงงานคน ไม่ใช่เครื่องจักร จึงทำให้กำลังการผลิต ไม่ทันต่อความต้องการของตลาดกันเลยทีเดียว

“ยาใช้ภายนอก คือ ยาดม ตอนนี้ผลิตไม่ทันทุกรูปแบบ รองรับออเดอร์ไม่ทัน ลูกค้าจากที่เคยสั่งมาเดือนละครั้ง กลายเป็นอาทิตย์ละ 2 ครั้ง เพิ่มมา 7 เท่าตัว เกิดลูกค้าใหม่ทับมาอีก เกิดยอดที่โหมกระหน่ำเข้ามา

ออเดอร์เข้ามา ป้อนออกไป ก็ยังติดลบ ทำแล้วส่งเลย ของเราเกิดภาวะไม่มีสต๊อก ตั้งแต่กลางปีที่แล้วถึงวันนี้ ก็ยังผลิตไม่ทันเลย ยังติดลบลูกค้าเป็นหมื่นๆ โหล เพิ่มพนักงานมาเป็นเท่าตัว ก็ยังอยู่ในภาวะติดลบอยู่

เครื่องจักรอนาคตมีแน่ครับ แต่วันนี้เราพยายามที่จะช่วยเหลือผู้ที่ทำงาน ลูกน้องที่อยู่ในบริษัทตอนนี้ก็เฉียด 200 กว่า ผมเคยบอกกับพวกเขา ว่า ไม่เคยคิดที่จะทอดทิ้งพวกเขา เราต้องฟันฝ่าไปด้วยกัน ยามที่เราเจริญรุ่งเรือง หรือต้องขยับขยายการบริหารจัดการ พวกคุณยังต้องอยู่กับเรา

เราไม่ได้มาแค่นี้ เราต้องการเป็นบริษัทสมุนไพรใช้ภายนอกระดับโลก ตอนนี้เรากำลังทำเสบียงในบ้าน และเสบียงตรงนี้ต้องไม่หมด ถ้าหมดเมื่อไหร่ เราไปสู้ก็สูญเปล่า แต่ถ้าเรามีเสบียงในบ้านเรา ทำธุรกิจยาสมุนไพรของคนไทยให้คนทั่วโลกได้ประจักษ์ มันก็คือ การสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศชาติ ในเรื่องของผลิตภัณฑ์ของคนไทย”


นอกจากยาดมสีเขียวตัวดังแล้ว หงส์ไทย ยังมีสินค้าอื่นๆ ที่ได้รับความนิยมและกำลังตีตลาดขึ้นมาในวงการเครื่องหอมและยาใช้ภายนอก

“ตอนนี้สินค้าที่ติดตลาดของหงส์ไทย คือ ยาดมสีเขียว สีขาว สีเหลือง เป็นสมุนไพร เอาไว้สูดดมเมื่อมีอาการวิงเวียนศีรษะ ตอนนี้มียอดขายค่อนข้างเยอะ ก็ยังป้อนให้กับตลาดไม่ทัน ยาดมหลอด 2 ด้าน ตอนนี้ทะยานยอดขายขึ้นมา

น้ำมันดม นวด ทา สูตร 1 กลิ่น ก็จะเป็นกลิ่นที่มีเอกลักษณ์ ตอนนี้ติดตลาด ต่อไปเป็น สเปรย์นวด ลดอาการปวดเมื่อย เคล็ดขัดยอก ตัวนี้ก็ผลิตไม่ทันเหมือนกัน ยอดขายถือว่าสูง แล้วก็จะเป็นตระกูล ยาหม่อง เราก็มีเป็น 10 กว่าตัว ลดอาการอักเสบของกล้ามเนื้อ ตัวนี้ก็ถือมีสัดส่วนในตลาดเพิ่มขึ้นตลอด

ในวงการยาดม ตลาดยาใช้ภายนอก ยาหม่อง สเปรย์นวดน้ำมัน มูลค่าการซื้อในประเทศ หรือมูลค่าของผู้ผลิตทั้งหมดน่าจะไม่ต่ำกว่า 3,000-4,000 ล้านบาท หงส์ไทยน่าจะคิดเป็นสัดส่วนยังไม่ถึง 10 เปอร์เซ็นต์ของตลาด แต่ส่วนตัวเราเชื่อมั่นว่า เราจะไปถึง 10 และ 20 เปอร์เซ็นต์ ได้ไม่ยาก ภายใน 3 ปีข้างหน้า เราต้องการแบ่งสัดส่วนในตลาด 20 เปอร์เซ็นต์ให้ได้”

ปรุงกลิ่นที่ถูกใจ หมดไปกว่า 10 ล้าน!!

หากใครก็ตามที่ได้เคยสูดดมยาดมหงส์ไทยสีเขียว ก็น่าจะคุ้นเคยกับกลิ่นหอมเย็นโล่งจมูกนี้ดี ซึ่งผู้ก่อตั้งวัย 46 ปี เล่าว่า กว่าจะได้กลิ่นที่ไม่เหมือนใครนี้ ได้ทุ่มทุนพัฒนาไปไม่ต่ำกว่า 10 ล้าน!!

“การพัฒนากลิ่น มันมาจากการทำครั้งแรกแล้วลูกค้าตำหนิ ได้สูตรมาก็ทำไปตามสูตร เราก็กลับมาคิดแล้วพัฒนาสูตรของเราเอง กลิ่นเป็นเรื่องสำคัญและละเอียดอ่อน ถ้าผสมออกมาสูดดมเข้าไปแล้วเวียนหัว ปวดหัว รู้ลึกเลี่ยน ไม่ถูกกับกลิ่น อันนี้ก็ไม่ได้ เราก็ต้องมาปรับมาแก้ มาลดมาเพิ่ม ถ้าเราจับโทนกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ของเราได้ เจ้าอื่นก็น่าจะจับของเรายาก

กลิ่นเดี่ยวทำไม่ยาก กลิ่นคู่ก็ยังง่าย แต่หงส์ไทยทำกลิ่นสลับซับซ้อนในโทนเดียวกัน เกิดกลิ่นเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของหงส์ไทย เป็นกลิ่นกลางมันยาก เพราะมันต้องได้ทุกกลุ่ม เด็ก วัยรุ่น วัยทำงาน ผู้ใหญ่ ผู้สูงอายุ ดมแล้วรู้สึกดี

ผมทุ่มเทไปกับการพัฒนากลิ่นเป็น 10 ล้าน ที่มันเยอะเพราะเราสั่งเอามาใช้จริงด้วย สั่งมาทดลองด้วย มันหมดไปกับความสำเร็จและผิดพลาด มันได้มาจากประสบการณ์และการทดสอบในการขาย


สิ่งที่เราสำเร็จมาทุกวันนี้ เพราะคำตำหนิ คำว่ากล่าวตักเตือน ในสิ่งที่เราทำแล้วลูกค้ายังไม่โอเค เราก็ยอมรับและแก้ไข วันนี้เรายังพัฒนาอยู่ บางตัวก็ยังไม่ได้กลิ่นกลาง ตัวที่ได้กลิ่นกลางแล้ว เหมือนตัวสีเขียวก็เกิดการยอมรับในสังคม มันก็เลยทำให้เกิดกระแสการสะสมลูกค้าที่ใช้มากขึ้น”

กว่าจะได้เป็นกลิ่นที่ลงตัวนั้น ต้องผ่านการทดสอบ ปรับปรุง โดยมีตนเองเป็นผู้ทดสอบ ตลอดจนฟังความคิดเห็นจากลูกค้าหลายขั้นตอน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ต้องมีจุดสมดุล เพื่อที่จะไม่ให้สูญเสียเอกลักษณ์ดั้งเดิมของผลิตภัณฑ์

“ลูกค้าตำหนิได้ แต่คุณต้องรู้สินค้าที่คุณผลิตด้วยว่าเป็นอย่างนั้นมั้ย ถ้าเกิดลูกค้าแนะนำมา เราเอามาคิด ไตร่ตรองให้รอบคอบก่อน ว่าสินค้าตัวนี้มันเปลี่ยนแปลงได้มั้ย แก้แล้วดีขึ้นมั้ย ถ้าแก้แล้วดีขึ้น ทำ ถ้าแก้แล้วมันไม่น่าจะได้ก็ไม่ทำ ไม่ใช่ลูกค้าบอกมาร้อยต้องแก้ร้อย แล้วสินค้าแต่ละตัวมันจะมีจุดขายของมัน เราต้องรักษาจุดยืนของมันเอาไว้

ทำไมเราต้องเอาใจใส่คำตำหนิของลูกค้า เรามีสูตรในใจว่า 1 คน ให้เราแก้ ถ้าเราแก้สำเร็จ เราได้อีก 1 แสน เพราะลูกค้าจะมีความชื่นชอบสไตล์เดียวกันในประเทศเฉลี่ยแล้ว 1 คน 1 แสน ถ้าเราแก้สำเร็จเท่ากับเราได้กลุ่มลูกค้าไปโดยปริยาย เราก็เลยมีความตั้งใจว่าถ้าเราสามารถตอบสนองให้ลูกค้าได้เราก็จะแก้ให้ ณ วันนี้ก็ยังเก็บข้อมูลอยู่ครับ”

ถามถึงวิกฤตการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่เกิดขึ้น บริษัทสมุนไพรใช้ภายนอกแห่งนี้ก็ได้รับผลกระทบไปไม่น้อย

“จริงๆ แล้วโควิดทำให้หงส์ไทยชัดเจนขึ้น ความสำเร็จตอนนี้ คือ การได้โฆษณาทางทีวี สมัยก่อนไม่ต้องคิดเลยครับ (หัวเราะ) บริษัทที่เป็นยักษ์ใหญ่ระดับ 1-2-3 กวาดหมด กินเวลาโฆษณาในประเทศไปหมดแล้ว ถามว่าติดต่อเข้าไปได้มั้ย ไม่มีทางได้ เพราะไม่มีเวลาเสียบให้เราอยู่แล้ว


แต่วิกฤตของโควิดมันกลับตาลปัตร จากสิ่งที่เราไม่เคยได้ช่วงเวลาในการโฆษณา มันมีเวลาให้เราเพราะคนที่เคยโฆษณาก็ถอยลง เราก็เลยได้เข้าไปอยู่ในสปอร์ตโฆษณาทางทีวีและมีรายได้จากที่ขายมากขึ้น เราก็เอาไปลงสื่อโฆษณาทางทีวี

ช่วงที่วิกฤตมา เราก็เลยเชื่อว่าถ้าเราสู้เรามีโอกาสรอด แล้วรอดแบบสำเร็จ ทำให้เราเกิดความเชื่อมั่นว่า สิ่งที่เราเชื่อ สิ่งที่เราคิด สิ่งที่เราต้องการคือเป้าหมาย มันถูกทางแล้ว หงส์ไทยที่เคยอยู่ล่างกำลังทะยานขึ้นบนสวนกระแส นั่นคือคิดและทำมุมต่าง และเชื่อในสิ่งที่ถูกต้อง นั่นคือการเรียนรู้ เข้าใจ เชื่อว่ามันทำให้เราเจริญได้”

นอกจากนี้ เก่ง เล็งเห็นโอกาสในการเติบโต จึงทำให้วิกฤตที่ผ่านมาบริษัทแห่งนี้ มีรายได้เพิ่มขึ้นจากเดิมเป็นเท่าตัว

“ช่วงก่อนวิกฤตเราก็มียอดขายประมาณ 30 ล้าน แต่วิกฤตโควิดยอดมันก็ตกลงไปวูบ เราก็โดนหนักเหมือนกัน แต่เฉลี่ยแล้ว 1 ปีผ่านมา ก็กลับมาที่ยอด 30 ล้านเหมือนเดิม แล้วก็กลับมาที่ 50 ล้าน

แต่ ณ วันนี้กลับกลายเป็นเราได้ยอดดับเบิ้ลของที่เคยขายได้ ปี 65 สิ่งที่เราตั้งใจอยากจะทำให้ยอดขายของปีที่แล้วดับเบิ้ลมา 1 เท่าตัวจาก 50 ล้านกลายเป็น 100 ล้าน โอกาสของปีนี้เป็นไปได้สูงที่จะถึงยอด 100 ล้านครับ

สิ่งหนึ่งที่เราเติบโตมาที่เราอยากจะทำคือตอบแทนสังคม ทำยังไงก็ได้ เพราะว่าสังคมช่วยเรา เราก็ต้องช่วยเหลือกลับ น้ำท่วมปี 65 ที่ผ่านมา ก็ออกไปตระเวนแจกวันละ 12,000 ชิ้น 2 วัน ภาคกลาง 3 จังหวัด ภาคอีสาน 3 จังหวัด หมดไป 24,000 ชิ้น มูลค่าประมาณ 800,000 กว่าบาท สังคมช่วยเรา เราก็ต้องช่วยสังคมครับ”

พิมเสนน้ำ “ความฝัน” นำพา

แม้ในตอนนี้ ผู้คนอาจจะมองว่าเจ้าของบริษัทยาดมชื่อดังนี้ เขาประสบความสำเร็จแล้ว แต่ใครจะรู้ว่าเบื้องหลังกว่าจะมีวันนี้ เต็มไปด้วยขวากหนามและอุปสรรคมากมาย

เก่ง เล่าว่า เขาเป็นลูกคนที่ 5 จากพี่น้องชาย-หญิง 6 คน ที่เติบโตขึ้นมาย่านฝั่งธนบุรี กรุงเทพมหานคร โดยมีผู้เป็นพ่อหารายได้เพียงคนเดียว เมื่อจบชั้นประถม 6 เขาตัดสินใจหันหลังให้การศึกษา เพื่อมาทำงานช่วยเหลือครอบครัวอีกแรง

“สมัยที่เราอยู่ ป.5 แม่เลี้ยงลูก พ่อขับแท็กซี่ทุกวัน เสร็จกลับมาก็มานั่งกินข้าว กินเหล้า ตื่นมาก็ไปทำงานแล้ว เราก็เห็นซ้ำๆ ทำไมพ่อไม่ได้พัก ทำไมพ่อไม่ได้พาไปเที่ยว ก็เลยคิดว่าเราจะทำอะไรได้บ้าง ถ้าเราช่วยท่านได้อย่างน้อยท่านก็จะได้มีความสุข เพราะพ่อเราทำงานคนเดียว เราก็เลยตัดสินใจว่าเรียนจบ ป.6 ออกมาทำงานเพื่อแบ่งเบาภาระให้กับพ่อ

พ่ออยากให้เรียน เพราะเขาก็ส่งพี่ๆ จบ ม.6 เราไม่ได้คำนึงว่าจะต้องเรียนสูงๆ ไม่ได้คิดว่าเป็นปมด้อย ตอนนั้นเราคิดแค่ว่าเราเห็นครอบครัวคนในบ้านเป็นแบบนั้น เรามีเหตุผลของเราเองที่มีพ่อแม่และครอบครัวเป็นโจทย์



ตอนแรกที่ตัดสินใจออกมาทำงาน แต่มันมีความลำบาก ไปตระเวนสมัครงาน เขาบอกว่าเด็กไป ไม่มีใครรับ ช่วงนั้นเลยต้องไหว้วานคนรู้จักหางานให้หน่อย เพื่อให้เขาเอาไปฝาก ก็เลยได้ทำงาน หลังจากนั้น ก็ได้ช่วยเหลือที่บ้าน คือ ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าเช่าบ้าน ซื้อของเข้าบ้าน ช่วงนั้นพ่อก็เริ่ม slow เหมือนเป็นอะไรที่มาแทนกัน

มีอยู่ช่วงนึงที่เรากลับจากที่ทำงาน ก่อนจะนอนพ่อก็พูดว่า ‘ถ้ากูไม่อยู่มึงต้องพาที่บ้านไปไหว้เช็งเม้งนะ กูหวังมึงคนเดียว’ นั่นเป็นข้อความที่เราก็เด็กอยู่ แต่เขาพูดปุ๊บสมองเราก็รับคำสั่งนี้ มันก็เลยทำให้เรายิ่งมีประเด็น”

ชีวิตของชายผู้นี้ดำเนินเรื่อยมาจนถึงอายุ 16 ช่วงนั้นเขาเกิดภาวะสับสนในตนเอง บวกกับความเครียด จึงตัดสินใจหันหน้าเข้าสู่ทางธรรม นุ่งขาวห่มขาวอยู่ที่วัดช่วงหนึ่ง ก่อนจะออกมาทำงานเป็น Messenger และไปเกณฑ์ทหาร

“มาถึงช่วงนึงที่เราจะต้องไปเกณฑ์ทหาร ไม่อยากไปเป็นนะ เราก็หาช่องทางที่จะยัดเงิน ตอนนั้นจ่าย 15,000 เมื่อ 26 ปีที่แล้ว ที่อยากจะยัดคือเราเป็นห่วงที่บ้าน ถ้าเราไปครอบครัวจะเป็นยังไง แต่สุดท้ายแล้วตัดสินใจว่าไม่สนับสนุนความไม่ถูกต้อง จับเป็นจับ ติดเป็นติด สุดท้ายติดทหาร

ถึงเป็นทหารแล้วแต่ทุกวันต้องเป็นประโยชน์ กองร้อยเขาเห็นว่าเราพอจะพูดได้ เขาให้ไปอยู่ PX ร้านค้ากองร้อย จากที่รุ่นพี่เขาได้กำไรเดือนละ 600 บาท สูงสุดเลยคือ 1,200

ผมไปครั้งแรกมีคนเก่าอยู่ 2 คน สักพักเขาดึงคนเก่าขึ้นแล้วให้ผมบริหารเอง จาก 1,200 ก็กลายเป็น 6,000 - 8,000 - 10,000 - 20,000 เยอะสุด 30,000 กว่าต่อเดือน ผมไม่ได้ไปไหนเลยนอกจากบริหารร้านค้า นี่คือ จุดสำคัญที่ทำให้ผมค้นพบพรสวรรค์ของตัวเองว่าเรามีเทคนิคในการพูด เทคนิคในการสื่อสารออกไป เราทำงานแบบนี้แล้วมีความสุข”



และหลังจากนี้ คือ จุดเริ่มต้นของการเข้าสู่วงการยาดม ซึ่งเป็นเส้นทางที่ดูไม่น่าเวียนมาบรรจบกับเขาได้ ซึ่งสิ่งที่นำพามานั้นอาจจะฟังดูเหลือเชื่อ เพราะเกิดขึ้นจาก ‘ความฝัน’

“เราออกจากการเป็นทหารมา ก็มีคนมาชวนให้ไปคุมการทำอาหารให้เด็กนักเรียนชั้นประถม อยู่ที่วัดสังข์กระจาย บางกอกใหญ่ แล้วก็ได้เกิดฝันว่าได้ยืนคุยกับเจ้าอาวาสของวัดสังข์กระจาย ทีนี้ก็มีผู้ชายคนนึงเดินมาถามว่า รู้จักบ้านคนนี้มั้ย ที่มียศสมัยกรุงศรีอยุธยา เขาถามเสร็จเจ้าอาวาสกลับเดินไป แล้วหันมาบอกว่าให้ถามเรา ทีนี้ก็ตื่น

ตื่นมาเสร็จแล้วมันก็ยังงงว่าปกติก็ต้องลืม แต่ตรงนี้เกิดการเร้าความคิดอยู่ตลอดเวลาว่า ทำไมเจ้าอาวาสต้องหันมาบอกว่าให้ถามเรา ทำอาหารให้เด็กเสร็จก็มีเวลาว่าง ก็เลยขึ้นไปที่ห้องสมุดของวัดสังข์กระจาย ไปค้นหาประวัติเจ้าอาวาส ตกลงมีจริงๆ สมัยอยุธยาตอนต้น

เราก็เลยรู้สึกว่าเจอแล้วยังไงต่อ ก็เลยไม่รู้จะทำอะไรเลยอ่านหนังสือพิมพ์ ไปอ่านเจอมุมนึงของเดลินิวส์ คือ สร้างอาชีพ สอนทำพิมเสนน้ำ ก็เลยว่าจะให้เราเรียนทำพิมเสนน้ำขายเหรอ เพราะตอนนั้นเราก็ขายส่งแคบหมูน้ำพริก พิมเสนน้ำเอาเป็นงานอดิเรก ได้ช่วยหารายได้อีกทาง นั่นก็เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เรามีพื้นฐานในการทำพิมเสนน้ำครับ”



นอกจากนี้ หัวเรือใหญ่ของยาดมชื่อดัง ยังได้เปิดเผยถึงที่มาชื่อ “หงส์ไทย” ให้ทราบด้วย

“เสร็จแล้วก็ไปทำงานสารคดีท่องเที่ยว ได้ลงไปภูเก็ตครั้งแรกก็ไปเจอ (รูปปั้น) หงส์อยู่ขวามือ เรารู้สึกว่าตัวมันใหญ่มันสวยจัง ก็ได้ไปต่อเนื่อง 4-5 รอบ มันก็เลยทำให้เราจดจ่อผูกพันกับหงส์ตัวนั้น

ทีนี้มีโอกาสขายแคบหมูน้ำพริกพร้อมพิมเสนน้ำ ตอนตั้งชื่อแบรนด์พิมเสนน้ำก็นึกถึงหงส์ตัวนั้น แล้วเราเป็นคนไทยก็เลยกลายเป็นชื่อ หงส์ไทย ที่เรารู้สึกชอบที่สุด สิ่งที่หงส์ไทยเป็นในวันนั้นก็ใส่กระปุกพลาสติกสติกเกอร์ใส เวลาติดกับขวดแล้วมันก็จะเห็นน้ำใสๆ ทำออกมาฉลากเดียวทุนก็ยังไม่มี แต่ทำพิมเสนน้ำก็ขายไม่ค่อยออก เราส่งแค่ร้านโชว์ห่วยเล็กๆ เรายังตีโจทย์ไม่เป็นว่ากลุ่มลูกค้าที่ใช้พิมเสนน้ำอยู่ตรงไหน มันก็เลยทำให้ยุติการทำพิมเสนน้ำไป

พอทำสารคดีก็มาเกิดอุบัติเหตุถูกรถชนช่วงอายุ 24 ย่าง 25 ตอนนั้นคิดในใจว่าน่าจะตายแล้ว หมวกกันน็อกแตก หัวกระแทกกับพื้น สุดท้ายยังไม่โดนหัว แต่ขารู้สึกปวดนึกว่าขาหัก อุบัติเหตุครั้งนั้นทำให้เราหยุดไป 2 เดือน ต้องเข้าเฝือก”

ล้มกี่รอบก็ลุกไหว “ทำอะไรดีๆ ไม่มีวันตาย”

หลังจากที่เกิดอุบัติเหตุจนต้องหยุดพักไป 2 เดือน ขณะนั้นเป็นช่วงเวลาแห่งการทบทวนตนเองจนตกผลึก เก่งตัดสินใจพาพิมเสนน้ำหงส์ไทยออกขายอีกครั้งและกำลังไปได้สวย

แต่ต่อมาก็ถูกสินค้าเจ้าอื่นตัดราคา เกิดภาวะตลาดตาย ทำให้เหลือเพียงยาดมเจ้าใหญ่ที่ขายได้ ทำให้ต้องพับโครงการพิมเสนน้ำไปอีกครั้ง

“การทำพิมเสนน้ำมัน ก็มีส่วนคนที่ชอบ ช่วงหยุดไป 2 เดือน เราก็กลับมานั่งคิดทบทวนใหม่ ก็เลยกลับมาทำอีกรอบนึง แต่วางแผนใหม่ว่ากลุ่มลูกค้าน่าจะเป็นปั๊มน้ำมัน มินิมาร์ท ฝากขายได้เงินเป็นกอบเป็นกำมาช่วยเหลือที่บ้าน แล้วสามารถที่จะเอาเงินไปออกรถมอเตอร์ไซค์ได้

ทำไปๆ ช่วงนั้นเต็มบ้านเต็มเมืองเลยเพราะคนไปเรียนแล้วเอามาทำ มันมีขายสูตร เราก็เป็นหนึ่งในนั้น ทีนี้ตลาดมันบูม ผมส่ง 28 ร้านเอาไปขาย 35 แล้วลูกค้าหลังๆ มาก็ว่าผม ทำไมเจ้านู้นส่งถูกกว่า ส่งได้มั้ย 15 บาท ถ้าส่งได้เดี๋ยวจะเอาลง ผมเทสดูของเขาสูตรไม่เหมือนของผม คนที่มาตีราคา 15 บาททอนคุณภาพ เราเลยบอกว่าถ้าให้ทอนคุณภาพ ผมไม่ทำ

เราก็ต้องเอาตัวเราเป็นตัวตั้ง เวลาไปซื้อของแล้วใช้ไม่ได้เราก็ไม่แฮปปี้ เราก็เชื่อว่าทุกคนก็เป็นเหมือนเรานี่แหละ มันก็เลยกลายเป็นว่าไม่ลดราคา ให้ได้แค่ส่ง 25 บาท ลูกค้าไม่กล้าซื้อ ตอนนั้นตลาดมันค่อยๆ ตายไปทั้งระบบ ตลาดตาย เราตายไปด้วย เหลือแต่เจ้าใหญ่ๆ เราก็เลยหยุดผลิตไป 2 ปีกว่า จากสารคดีก็มาทำอู่รถยนต์”



แต่แล้ว โชคชะตาก็พาให้เขาเวียนกลับมาสู่การทำพิมเสนน้ำอีกครั้ง จากประโยคที่ลูกค้าเก่าถามหาสินค้า กลายเป็นการปลุกไฟในตัวให้กลับมาลุกโชน

หากจะเปรียบ เก่ง ที่เจอปัญหานับครั้งไม่ถ้วน แล้วยังกลับมาตั้งหลักได้ดังเดิมเป็นแมว 9 ชีวิต หงส์ไทย ก็คงเปรียบได้กับ นกฟีนิกซ์ ที่เป็นอมตะและเกิดขึ้นใหม่จากกองเถ้าถ่านเสมอ

“ช่วงปีแรกๆ เราก็ยังทำส่งอยู่บ้าง แต่ก็ทะเลาะกับตัวเอง งานอดิเรกก็ไปเบียดงานประจำ เลยตัดสินใจว่าไม่ทำ เลยกลายเป็นการหยุดผลิต มันก็พอมีลูกค้าของชำร่วยบ้างเล็กน้อย

ปี 45 ที่หยุดผลิตก็มุ่งทำงาน แล้วก็มีเหตุที่จะต้องออกจากงานปี 48 ตอนนั้นก็ยังตั้งหลักไม่ได้ เงินก็ไม่มี ก็ไม่รู้จะทำอะไร ทำให้เราไปตระเวนหาลูกค้าเก่าที่เคยส่งตามปั๊ม แล้วก็ได้ข้อความสำคัญ น้องเด็กปั๊มบอกว่า ‘พี่ไปไหนมา ยังมีลูกค้าของพี่มาหาอยู่เลย เผื่อมาส่ง’ ตกใจเลย เป็นเราเราก็ไม่รอ 2 ปีกว่า มีแบรนด์อื่นทดแทน

ประโยคนั้นทำให้เราสงสัย ทำไมมันเป็นอย่างนั้นได้ ขับรถออกจากปั๊มมาทบทวน เรารักษาคุณภาพ มันก็เลยเกิดประโยคคลาสสิค “ทำอะไรดีๆ แล้วไม่มีวันตาย” ชีวิตมันเหมือนจุดประกายความคิด พลิกชีวิตขึ้นมาว่านี่คือสิ่งสำคัญ

ตอนนั้นเลยกลับมาหาแบงค์เก่าเหรียญเก่าที่บ้านรวบรวมได้เงินทุน 300 จริงๆ มันมีเยอะกว่านี้แต่เราเอาไปใช้ก่อนหน้ามันก็เลยเหลือแค่นี้ ไปซื้อพิมเสนน้ำมาชุดนึงรวมกระปุกพลาสติก เอาไปเดินขายที่ตลาดต่างๆ

ตั้งตัวตอนนี้เลยที่กลับมาทำพิมเสนน้ำ ผมเดินขายตามตลาดต่างๆ ทั่วกรุงเทพฯ และพัทยา ชลบุรี ไปเชียงใหม่ ไปพิษณุโลก ตอนนั้นคือการเก็บข้อมูล ที่เราเชื่อว่าเก็บข้อมูล พัฒนาและสร้างลูกค้าให้เพิ่มขึ้น



ความคิดกับความฝัน สั่งความรู้สึกเรายู่ตลอด ต้องทำนะ เลยเป็นเหตุผลที่ทำให้เรากลับมาทำพิมเสนน้ำรอบ 2 ความฝันตรงนี้มันเลยกลายเป็นเรื่องแปลก ที่ไม่น่าเชื่อว่าวันนี้หงส์ไทยจะมาได้อย่างทุกวันนี้ครับ”

ถามถึงที่มาของยาดมสีเขียวตัวดัง ที่เป็นสมุนไพรในห่อผ้า เจ้าของแบรนด์เล่าว่า ได้มาด้วยความบังเอิญก็ว่าได้

“เราทำพิมเสนน้ำแล้วมันมีความคิดและความตั้งใจว่า ถ้าเราทำพิมเสนน้ำขายแล้วลูกค้าอยากได้สินค้าตัวไหน เราจะไปเรียนรู้แล้วมาทำขาย ลูกค้าต้องการยาหม่องเราก็ไปเรียนรู้ หาสูตรมาทำ ยาหม่องมันก็มีหลายสูตรเกิดขึ้น ตัวยาหม่องเสร็จเราก็อยากทำน้ำมัน สูตรของเราเองไม่ได้ลอกเลียนแบบใคร ก็ขายได้

ทีนี้มันมีตัวเนื้อที่เป็นสูตรผสมอยู่ในโหล เราเอามาดมแล้วรู้สึกโล่งก็เลยเอามาใส่กระปุกยังไม่ห่อผ้า 32 กระปุก ตระเวนให้ลูกค้าเก่าลองดมก่อน แล้วได้ออเดอร์กลับมาเกิน 32 กระปุก หลังจากนั้นมีออเดอร์มา 600 กระปุก เพื่อจะเอาไปแจกของชำร่วย ตั้งแต่วันนั้นก็เลยเกิดกระปุกยาดมสีเขียวขึ้นมาในสังคมไทย

เดินขายสินค้ารอบใหม่เราไปตระเวนหาลูกค้าในตลาด ถ้าใครซื้อผมไปหาลูกค้าทุกเดือน เก็บข้อมูลมาพัฒนา ก็เลยเพิ่มกลุ่มลูกค้าโดยปริยาย จากที่เดินขายไม่ถึงพัน สูงสุดของการเดินขาย 1 วันได้ 26,000 ไปพัทยา 4 วันได้เงินแสนกลับมา

มันก็เลยทำให้เราเชื่อมั่น มันเป็นยอดขั้นบันได เราผลิตอะไรมาลูกค้าก็ซื้อ แล้วภาพที่เราเห็นในอนาคตคือยิ่งกว่านี้อีก วันนี้เรามาถึงจุดสำคัญของธุรกิจ ที่จะทำให้เป็นนาทีทอง คือ จุดสำคัญที่จะทำการตลาดสำเร็จ”

ตั้งเป้า พาหงส์ไทยบินไกลสู่สากล

ปัจจุบัน แม้ชื่อของหงส์ไทยจะโด่งดังในระดับประเทศและสากลแล้วก็ตาม แต่กว่าจะมีวันนี้นั้นต้องผ่านอุปสรรคมามากมายแสนสาหัส หนักจนถึงขั้นที่จะปิดกิจการเลยทีเดียว

“มันเป็นวิกฤตช่วงที่ 3-4-5 ประมาณต้นปี 54 เกิดภาวะต้นทุนวัตถุดิบขึ้น 115 เปอร์เซ็นต์ ยังไม่ทันข้ามปีโดนภาวะน้ำท่วม อยู่กับน้ำไม่ได้ อพยพกลับมาฟื้นฟูซ่อมแซมที่ทำงานอีกหลายที่ เงินเดือนพนักงานต้องจ่าย 75 เปอร์เซ็นต์โดยที่ไม่ทำงาน แล้วเราก็ต้องซื้อเรือเข้ามาที่โรงงานเพื่อมาผลิตช่วงน้ำท่วม เพื่อเอางานขนออกไปที่ส่งที่น้ำไม่ท่วม

ข้ามมาปี 55 หลังจากภาวะน้ำท่วมเริ่มซาลง ของขึ้นอีก 85 เปอร์เซ็นต์ รวมแล้ว 200 เปอร์เซ็นต์ เราถูกวิกฤตโหมกระหน่ำในช่วงเดียวกันต่อเนื่อง 3 ช่วง ตอนนั้นมีพนักงานเกือบ 30 คน ทำให้เราตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่ง

ถ้าไม่ไปต่อผมรอดคนเดียว แต่ถ้าทำต่อหมดแน่ๆ กะว่าจะตัดสินใจหยุดผลิต ลอยแพพนักงาน อันนั้นคือความเห็นแก่ตัวเกิดขึ้น แต่ความรู้สึกมันก็กลับไปอยู่หมวดเดิมว่าคุณลอยแพอีก 30 คน คุณจะมีความสุขหรือมีความทุกข์ ทุกข์แน่ๆ เพราะเราเห็นแก่ตัว คุณรอดไปแล้วไม่ได้แปลว่าคุณจะไปต่อได้ ที่สุดของมันแล้วไม่มีความสุข

ตัดสินใจว่าหมดเป็นหมด ลุยให้หมด หมดจริงๆ หมดไปกับภาวะนี้ ไม่เหลือเลย แต่มันเหลือเอาไว้ คือ พนักงานที่ยังอยู่กับเรา ธุรกิจที่ยังมีอยู่และไปต่อ มันก็เลยทำให้ ณ วันนี้ หงส์ไทยก็ยังเป็นหงส์ไทย มาจากคำว่า ไม่เห็นแก่ตัว”



เจ้าของยาดมหงส์ไทย เล่าต่อว่า ทุกวิกฤตที่ผ่านมาได้ สิ่งสำคัญมาจากภายในองค์กรที่แข็งแรงและพร้อมสู้ไปด้วยกัน

“เราอยู่ร่วมกันเราไม่เคยโกหกลูกน้อง เราจะบอกความจริงหมด บางทีความจริงที่บอกไปลูกน้องก็ไม่เชื่อ ‘มันก็ไปได้ หนูก็เห็นจ่ายเงินหนูทุกเดือน’ แต่เขาไม่รู้หรอกว่าลูกพี่ต้องทำอะไรบ้าง ถึงผลักดันให้เงินเดือนออกทุกเดือน มันมีอะไรอีกหลายอย่างที่พนักงานไม่เข้าใจ เราอยู่ตรงนี้เราไม่สามารถที่จะไม่ออกเงินเดือนได้ ยังไงก็ต้องออกเงินเดือนให้พนักงาน

ช่วงโควิดที่ผ่านมาก็เหมือนกัน ภาวะรอบที่ 8 อันนี้โหมกระหน่ำหฤโหดเลย ภาวะรอบที่ 1 มาถึงรอบที่ 7 รวมมูลค่าความเสียหายยังสู้รอบ 8 ไม่ได้ เขาบอกว่าภาวะวิกฤตให้หยุด ห้ามลงทุน รอเวลาให้มันดีขึ้น หงส์ไทยไม่คิดอย่างนั้นเลย เราต้องขยับ ต้องดิ้น โอกาสรอดอาจจะไม่มี มันก็จบไปตามภาวะที่มันเป็น แต่ถ้าเราดิ้น เราสู้ เราก็จะมีโอกาสบินข้ามไปเลย

ผมไม่ได้ปลดพนักงานแม้แต่คนเดียวช่วงโควิด เลยตัดสินใจให้ทีมงานทุกคน สู้แบบหัวชนฝา แบบเจ็บๆ ก็ต้องสู้ ขาดทุนก็ต้องสู้ พาให้ทีมงานเป็นนักสู้ มันก็เลยทำให้เราเกิดการฟันฝ่าอุปสรรคช่วงรอบที่ 8 มาได้แบบไม่ยาก”

ตลอดระยะเวลากว่า 16 ปี ที่บริษัทสมุนไพรไทย หงส์ไทย จำกัด ดำเนินมา ไม่ใช่เพียงแค่บริษัทที่เติบโตเท่านั้น หากแต่ทรัพยากรด้านบุคคลก็ล้มลุกคลุกคลานมาพร้อมกัน ‘ก่อนที่เราจะประสบผลสำเร็จ เราต้องมีบุคลากรที่สำเร็จด้วย’



“สิ่งหนึ่งที่หงส์ไทยมีวันนี้ได้ หงส์ไทยทุ่มเทให้กับบุคลากรทุกชีวิต ไม่ว่าคุณจะเป็นยังไง เรามองอย่างเดียวคือปัจจุบัน คุณเข้ามาทำงานแล้วถ้าคุณผิดพลาดอะไร หงส์ไทยบอก คุณไม่ดี หงส์ไทยเตือน ถ้าคุณยังไม่เข้าใจ หงส์ไทยสอน

ถ้าคุณอยากจะประสบผลสำเร็จ คุณต้องทำให้ธุรกิจของคุณมีบุคลากรที่เข้าใจซึ่งกันและกันและรักองค์กร คนเราจะประสบผลสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อเราได้ร่วมงานกัน ตรงนั้นเป็นจุดสำคัญคือเราจะแก้ไขและช่วยเขาพัฒนาตัวเขาได้อย่างไร

ปัญหาที่เกิดขึ้นกับบุคลากรที่ผ่านมาในรอบ 16 ปี 8 ปีแรกเกิดภาวะพนักงานสมองไหล แทงข้างหลัง พนักงานเข้าๆ ออกๆ ขาดความมั่นคงขององค์กร เราก็พยายามแก้มาตลอด แต่เราไม่ได้แก้เพราะเราอยากชนะ เราต้องการแก้จากใจ

ใช้เวลา 8 ปีกว่าจะคุมหัวใจพนักงานได้ ทำให้วันนี้หงส์ไทยเข้มแข็ง เพราะผ่านมรสุมมาทั้งหมดทุกเรื่องราว มันแก้ออกมาแล้วทำให้พนักงานอยู่ได้ ทำให้เขาเชื่อมั่นว่าเขาสามารถพึ่งผู้บริหารได้ แล้วผู้บริหารคนนี้ไม่เคยที่จะคิดทอดทิ้งพนักงาน

การทำธุรกิจเราต้องทำให้สำเร็จก่อนคือบุคลากร ปัญหาของธุรกิจเรื่องงานมันไม่ใช่เรื่องยาก มีปัญหาเราก็คิด ทำไม่สำเร็จเราวางแผนใหม่ แต่เรื่องที่ยากที่สุดในการทำธุรกิจคือเรื่องของคน ถ้าไม่เข้าใจกันจะประสบความสำเร็จยาก อันนี้คือแก่นของการทำธุรกิจ ก่อนที่เราจะประสบผลสำเร็จ เราต้องมีบุคลากรที่สำเร็จด้วย”

และสิ่งสำคัญที่ยึดเหนี่ยวให้ลุกขึ้นสู้กับปัญหาทุกครั้ง คือคำว่า “ครอบครัว”

“ที่บอกว่าปลุกตัวเองให้สู้ได้เพราะว่ามาจากความรักที่เรามีให้กับครอบครัว เราสู้มาตั้งแต่ 13 ตอนที่เป็นทหาร พ่อเสีย แม่ก็ลำบาก แม่เราแก่เราอยากจะทดแทนชดเชยให้ที่ท่านดูแลเรามา มันก็เลยเป็นอะไรที่กตัญญูมาตั้งแต่เด็ก

เลยทำให้เราหยุดสู้ไม่ได้ สู้เต็มที่แล้ว สู้จนสำเร็จ แต่ถ้าไม่สำเร็จเราก็ถือว่าเราสู้แล้ว แต่ถ้าไม่สู้ วันนึงเวลามันผ่านไปแล้วมานั่งเสียใจว่า รู้อย่างนี้สู้ดีกว่า มันผ่านมาแล้วเราถึงตอบได้”



สุดท้าย เมื่อถามถึงอนาคตของกลุ่มผลิตภัณฑ์หงส์ไทย เก่ง ในฐานะผู้ก่อตั้งก็เผยว่า ยังมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้หงส์ไทยได้ประจักษ์และเป็นที่ยอมรับอย่างแพร่หลายทั่วโลก

“เราตั้งใจที่จะทำสินค้าให้ชัดเจนที่สุด ในอีก 3 ปีข้างหน้าเราจะมีการแบ่งเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มที่ไปต่อ กลุ่มที่พัฒนาต่อ กลุ่มที่หยุดผลิต เสร็จแล้วเราจะวางแผนโปรดักส์ใหม่ๆ เกิดขึ้นรองรับเอาไว้

เอกลักษณ์และสิ่งที่ทำให้หงส์ไทยไทยอยู่ถึงวันนี้ บอกได้คำเดียวเลยว่า พัฒนาคุณภาพ ทำให้เรามีวันนี้ เพราะเรารู้ก่อนก็ทำ เข้าใจก่อนก็มุ่งมั่น มันทำให้ชีวิตเราขับเคลื่อนไปถูกวิธี บริษัทหงส์ไทยพัฒนาสินค้าทุกตัวรวมกันมาแล้วไม่ต่ำกว่า 500 รอบ ปัจจุบันก็ยังไม่หยุดพัฒนาเพื่อทำให้สินค้ามีคุณภาพต่อไป

ณ วันนี้เราสร้างกลุ่มลูกค้าจาก 1 คน น่าจะกลายเป็นหลักล้านคน และยังไม่หยุดแค่นี้ เราต้องการสัดส่วนในประเทศทุกครัวเรือน ที่ได้ใช้สินค้าหงส์ไทยแล้วประทับใจ เป้าหมายสูงสุดของเราในประเทศสำเร็จเมื่อไหร่ จะให้คนทั่วโลกประจักษ์สินค้าของคนไทย ว่านี่คือเสน่ห์ของคนไทยในแบบฉบับยาใช้ภายนอกครับ”

สัมภาษณ์โดย : ทีมข่าว MGR Live
เรื่อง : กีรติ เอี่ยมโสภณ
ภาพ : ธัชกร กิจไชยภณ
ขอบคุณภาพเพิ่มเติม : Youtube “ELLE KOREA” และเฟซบุ๊ก “บริษัทสมุนไพรไทย หงส์ไทย จำกัด - เพจสำนักงานใหญ่”
ขอบคุณสถานที่ : บริษัทสมุนไพรไทย หงส์ไทย จำกัด สำนักงานใหญ่



** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **




กำลังโหลดความคิดเห็น