เศร้าสลดช็อก ในคืน “ฮาโลวีน” หลากหลายอารมณ์สุดสะเทือนใจ ที่ถ่ายทอดออกมาทางโซเชียลฯ กับโศกนาฏกกรรม “อิแทวอน” ที่ภาพจำจะเปลี่ยนไปตลอดกาล ด้านผู้เชี่ยวชาญสะท้อนยกระดับมาตรฐาน ป้องกันความปลอดภัยในไทย ไม่ให้ซ้ำรอย!!?
“ท่าการ์ดมวย” จำไว้ใช้สถานการณ์ฉุกเฉิน
แทบไม่น่าเชื่อว่า นี่เป็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในย่านท่องเที่ยวชื่อดังของกรุงโซล ที่ปกติแล้วจะเต็มไปด้วยบรรยากาศแสนสนุกสนาน เสียงเพลงจากผับ บาร์ ปาร์ตี้ฮาโลวีน ผู้คนล้นหลาม สู่เหตุโศกนาฏกรรมไม่คาดคิด ในค่ำคืนก่อนวันฮาโลวีน
ที่ได้เห็นเจ้าหน้าที่ และพลเมืองดี กำลังพยายาม CPR ช่วยชีวิตคนจำนวนมาก หลังเบียดเสียดล้มทับกันในย่านอิแทวอนจนขาดอากาศหายใจ ยอดตายกว่า 150 ศพ มีผู้บาดเจ็บ-สูญหายอีกเพียบ
แน่นอนว่า เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นเรื่องที่เราไม่ควรมองข้ามเลย หากตกอยู่ในเหตุการณ์เช่นนี้ สติ ร่างกาย ต้องพร้อมเสมอ
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ทาง ทีมข่าว MGR Live จึงติดต่อไปยัง นพ.เจตพัฒน์ ทวีโภคา แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเวชศาสตร์ฉุกเฉิน เจ้าของเพจ “ห้องฉุกเฉินต้องรู้” ให้ความรู้ รวมถึงวิธีเอาตัวรอดในสถานการณ์เช่นนี้
โดยให้คำตอบว่า เป็นการเสียชีวิตไม่ได้จากการเหยียบกันด้วยเท้า แต่คือการขาดอากาศหายใจ เมื่อฝูงชนเบียดเสียดจำนวนมาก ระยะห่าง ขณะเกิดเหตุฉุกเฉิน
หากต้องอยู่ท่ามกลางฝูงชนที่เบียดเสียด หรือเริ่มแตกตื่น เริ่มแรก คือ ต้องประเมินสถานการณ์ถึงความปลอดภัย ข้อที่ 2 คือ เมื่อเข้าไปในสถานที่นั้นแล้ว ให้หาทางออกให้เจอ ข้อ 3 คือ เมื่ออยู่ในฝูงชนแล้ว ให้เราตั้งการ์ด ให้เราหายใจได้ และข้อที่ 4 คือ เมื่อผู้ชนมา ให้เดินตามฝูงชน อย่าสวนกระแส
“ข้อแรก คือ ให้ประเมินสถานก่อนในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เช่น งานลอยกระทง ฮาโลวีน ในตรอกมีซอยเล็กๆ ที่มีคนเยอะๆ หรือเข้าไปในผับในบาร์ที่มีคนอยู่เยอะแล้ว ถ้าเรากำลังเข้าไป เราประเมินสถานการณ์ว่า มีโอกาสที่จะเกิดเหตุการณ์แบบอิแทวอน เราก็ไม่ควรเข้าไป
เพราะมีโอกาสที่เราจะเสียชีวิตจากการเหยียบกันตายได้ เราควรประเมินสถานการณ์ถึงความปลอดภัย ถ้าไม่ปลอดภัยก็ไม่ควรเข้า ข้อที่ 2 เมื่อเข้าไปแล้ว เราควรหาทางออกให้เจอ ปกติในการที่เข้าไปสถานที่ต่างๆ
เราควรที่จะมองหาทางออก เช่น เข้าไปโรงหนัง ในผับ ในบาร์ ตอนเราเข้าไปแล้ว เราควรมองหาป้ายทางออกว่ามันออกทางไหน มีป้ายสีเขียวอยู่ทางไหนบ้าง ป้ายหนีไฟทางไหนบ้าง หรือเข้าไปในซอยอิแทวอน เราควรจะมองว่าจุดไหนที่จะออกได้
ยกตัวอย่าง ถ้าวันนั้นติดอยู่ที่อิแทวอน เราต้องมองเห็นว่า ซ้ายขวาซอยไหนที่เราออกได้ และเป็นซอยที่ไม่ตัน อีกทั้งการที่เราจะเข้าไปหลบในร้านอาหาร ต้องมั่นใจว่า มีทางออกจริงรึเปล่า ถ้าไม่มี ก็ไม่ควรเข้าไป
ข้อที่ 3 ถ้าติดอยู่บนถนนแล้ว มีคนมาอัดๆ เรา ออกไม่ได้ ในการเอาชีวิตรอด เราต้องตั้งการ์ด การตั้งการ์ด คือ การที่เอามือ 2 ข้าง เหมือนนักมวยชูไว้
สาเหตุที่มีคนเสียชีวิตในอิแทวอน เพราะหน้าอกถูกกด ในข่าวบอกว่า เกิดจากการขาดอาอาศหายใจ ลองคิดดูความเป็นจริงว่ามันจะขาดอากาศได้ยังไง เมื่ออิแทวอนไม่ใช่ผับ ไม่ใช่ห้องปิดตาย แต่เป็นตึกสูง เหมือนสีลมที่มีอากาศอยู่บนหัว ที่ขาดอากาศหายใจ เพราะว่าทรวงอกมันขยายไม่ได้ คนไข้หายใจไม่ได้เอง แต่อากาศอยู่รอบตัว
ในเวลาที่คนเราหายใจเข้า ทรวงอกเราต้องขยาย ลมเข้ามา แต่การที่กดๆ เบียดๆ ทรวงอกของคนขยายไม่ได้ ดังนั้น ก็เหมือนกับการที่ขาดหายใจ เหมือนการโดนบีบคอ
ถามว่า ทำไมต้องตั้งการ์ด เพราะการที่เรายกมือตั้งการ์ด จะสังเกตว่า ถ้าเรายกมือขึ้น ตรงแขนที่เราตั้ง กับทรวงอกของเรามันมีระยะห่างของมัน อยู่ประมาณ 5-10 ซม. ระยะห่างตรงนี้จะช่วยให้เราคงหายใจขยายทรวงอกได้อยู่ เพราะว่ามือจะกันคนข้างหน้า ไม่ให้เบียดเรามากนัก ส่วนเวลามีมวลชน เราไม่ควรหยุดนิ่ง เราควรจะตามไป ถ้าสวนทางแรงคลื่นมวลชนเยอะ อาจจะทำให้เราล้มได้”
นอกจากนี้ จากเหตุการณ์สลดที่เกิดขึ้น ภาพที่ปรากฏให้เห็นชัดถึงการ CPR กู้ชีวิต ผู้ประสบเหตุการณ์ครั้งนี้ คือ การ CPR ไม่ผายปอด ทำให้ตามมาด้วยการตั้งข้อสังเกต ว่า นี่เป็นหนึ่งสาเหตุของอัตราการรอดชีวิตหรือไม่ ถึงเรื่องนี้ผู้เชี่ยวชาญมีคำตอบให้ในบรรทัดหลังจากนี้...
“ช่วง 10 ปีที่แล้ว พบว่า คนไม่ปั๊มหัวใจเลย สาเหตุเพราะว่าคนรังเกียจการจูบปากกับคนที่เราไม่รู้จัก พอรังเกียจการจูบปากปุ๊บ เขาก็จะไม่ปั๊มหัวใจเลย สรุปไม่มีการทำอะไรเลย
ทำให้เขาได้ทำงานวิจัยขึ้นใหม่ ว่า ถ้าเรากดหน้าอกอย่างเดียว จะมีโอกาสรอดไหม เมื่อนำมาเทียบกันกับวิธีดั้งเดิม ข้อมูลการวิจัยบอกว่า การที่เรากดหน้าอกอย่างเดียว รับได้ ซึ่งดีกว่าไม่ทำอะไรเลย
ประจวบกับช่วงโควิดเป็นช่วงที่เน้นการกดหน้าอกอย่างเดียว จนปัจจุบันยอมรับได้เลย ว่า กดหน้าอกอย่างเดียวเพียงพอ เป็นสิ่งที่ยอมรับได้ และเป็นสิ่งที่ต้องทำ เพราะดีกว่าไม่ทำอะไรเลย แต่ถ้าให้มาตรฐานต้องการให้ไปช่วยหายใจ ต้องเป็นวิธีดั้งเดิม
เคสแต่ละเคสไม่เหมือนกัน เคสบางเคสต้องการอากาศ เราต้องดูว่าเขาเสียชีวิตจากอะไร อย่างเคสอิแทวอนที่บอกว่าเขาตาย เพราะหน้าอกถูกกด คนไข้หายใจไม่ได้ ถ้าเราคืนอากาศให้เขา โอกาสที่เขาจะรอดชีวิตก็จะมีสูงขึ้น และเมื่อกลับมาคำตอบเดิม คือ ดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลยครับ”
ซ้ำรอยโศกสลดทั่วโลก “สถานที่ปิด-ผู้คนแออัด”
เมื่อตรวจสอบพบว่า ที่เกิดเหตุเป็นทางลาดยาว 40 เมตร มีความกว้างเพียง 4 เมตร เท่ากับผู้ใหญ่ยืนเรียงหน้ากระดาน 6 คน เห็นได้ชัดว่าแคบมาก ซึ่งจากเหตุการณ์อิแทวอน ที่มีคนหนาแน่นจำนวนมาก ทำให้หายใจไม่ออก จะต้องมีวิธีเอาตัวรอดจากการเหยียบกันตาย หรือที่เรียกว่า “Crowd Crush”
“ฟาโรห์-เตชภณ คำสีแก้ว” เจ้าของช่องยูทูบ “The Common Thread” ได้รวบรวมข้อมูลบางส่วนจากคลิป “HILLSBOROUGH DISASTER ฝูงชนมรณะ” ที่เป็นวิธีเอาตัวรอด หากเราตกอยู่ในสถานการณ์ Crowd Crush มาบอกเล่าอีกครั้ง เพื่อที่จะเรียนรู้ว่าถึงการรับมือ และเพิ่มโอกาสรอดชีวิต
“ถ้าอยู่ในพื้นที่ฮอลล์ หรือสถานที่จำกัด ให้มองและสังเกต ทางออกฉุกเฉินเอาไว้ ให้สังเกตสถานที่ให้ดีว่า สถานที่ที่เราอยู่นั้น มีความสุ่มเสี่ยงให้เกิด crowd crush หรือไม่ เช่น พื้นที่เป็น คอขวด หรือ สถานที่ปิด มีทางเข้าทางออกจำกัด หากรู้สึกอึดอัดให้ตั้งสติ ตัดสินใจเดินออกมาทันที...”
เพราะเหตุการณ์เช่นนี้ สามารถเกิดขึ้นได้ทุกประเทศ ทว่า เมื่อย้อนกลับไปตรวจสอบพบว่า เคยมีเหตุเหยียบกันตายในสนามฟุตบอลอินโดนีเซีย ในเกมการแข่งขันของ อาเรมา เอฟซี พ่ายแพ้ให้กับทีมเพอร์เซบายา สุราบายา ซึ่งเกิดจากฝูงชนพากันเบียดหนีตำรวจตัดสินใจใช้แก๊สน้ำตา พยายามสลายการจลาจล โดยในเหตุการณ์ในครั้งนี้ มีผู้เสียชีวิตกว่า 130 ราย
และเชื่อว่า เหตุการณ์เสียชีวิตจากการเบียดของคนจำนวนมาก จะยังมีโอกาสเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ดังนั้น จึงจำเป็นต้องรู้เกี่ยวกับการเอาชีวิตรอด หากต้องเจอเหตุการณ์ลักษณะนี้แบบไม่คาดฝัน
ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญเวชศาสตร์ฉุกเฉินรายเดิม เสริมเคส งานเทศกาลน้ำ ที่เป็นการเฉลิมฉลองที่จัดขึ้นที่บริเวณแม่น้ำโตนเลสาบ เกาะเพชร กรุงพนมเปญ (คล้ายงานลอยกระทง) ประชาชนบนสะพานเกิดตื่นตระหนกโดยไม่ทราบสาเหตุ เบียดเสียดแย่งกันหาทางลงสะพาน ทำให้เกิดเหตุเหยียบกันเสียชีวิต
“ที่พนมเปญ 10-15 ปีที่แล้ว มีเหตุการณ์เหยียบกันตาย ในวันนั้นเป็นวันลอยกระทง ซึ่งเหมือนกับที่ประเทศไทยที่จัดเกิดขึ้น มันเป็นสะพานที่ข้ามแม่น้ำ คล้ายๆ กับสะพานแขวน
แล้วประชาชนในพนมเปญมีคนไปลอยกระทง อยู่บนสะพานประมาณ 600 คน เพื่อจะชมพลุ โดยในคืนนั้นคน 600 คน ไปอยู่บนสะพานแขวน มันแกว่ง ซึ่งการที่สะพานแกว่ง ไม่ได้หมายความว่าสะพานจะถล่ม
แต่มีใครคนนึงที่ตกใจ ตื่นตระหนกขึ้นมา แล้วตะโกนว่าสะพานถล่มแล้ว ในตอนนั้นทุกคนวิ่งออกจากสะพาน ซึ่งสะพานแขวนเป็นลักษณะคอขวด มันแคบ ดังนั้น ก็มีการเหยียบกันตาย ทำให้ส่วนปลายมีคนไข้ มีผู้เสียชีวิตเยอะเกือบ 400 คน อยู่บนสะพาน โดยเหตุการณ์ที่ผ่านมา เราไม่เคยเห็นภาพการปั๊มหัวใจเกิดขึ้นเลย
โดยจะเห็นที่อิแทวอนจะย้ายคนไข้มาจากถนนเร็วมาก และมีการเข้าไปช่วยเหลือคนไข้ที่เป็นสีเหลือง สีแดง ที่ต้องช่วยเขา แต่ขณะที่กรุงพนมเปญวันนั้น ไม่เห็นภาพนี้เลยครับ”
สุดท้ายนี้ ผู้เชี่ยวชาญยังหยิบยกเคสอิแทวอน เป็นบทเรียน พร้อมมาตรการดูแลในอนาคต
“การประเมินความเสี่ยง ผู้จัดงานต้องประเมินว่าในสถานที่ของตัวเองมีความเสี่ยงรึเปล่า และหาทางออกให้ได้ สิ่งสำคัญที่ผู้จัดงานหลายท่านไม่ทราบ
อิแทวอน ถือเป็นกรณีที่น่าศึกษามาก เพราะว่าคนมักคิดว่าการเหยียบกันตาย ต้องเกิดเหตุที่แออัด อย่างเช่น ในโรงหนัง ในผับ หรือว่าในสนามกีฬาที่มันปิด แต่บางคนถูกอัดกับกำแพงของประตูฟุตบอล
แต่เหตุการณ์เหยียบกันตายในหลายๆ ที่ ปัญหาจะอยู่ที่สถานที่โล่ง เพราะไม่มีใครคาดคิดว่าจะมีเหตุการณ์อย่างอิแทวอนเกิดขึ้น แต่เป็นไปได้ ดังนั้น ผู้ที่จัดงาน หรือผู้ที่ดูแลถนนสายเส้นนั้น ต้องคิดว่าอาจเกิดปัญหาการเหยียบกันตายได้
สำคัญคือ การไม่เพิ่มคน เพราะเมื่อไหร่ที่มีคนเยอะ ต้องมีเจ้าหน้าที่ในการจำกัดไม่ให้คนเข้าไปมากกว่านั้นอีกแล้วครับ”
สกู๊ป : MGR Live
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **