xs
xsm
sm
md
lg

ดูรวมๆ แล้วมีเสน่ห์เหลือเกิน!! “ขมิ้น กิ่งศักดิ์” เลือดศิลปิน-เพอร์เฟกต์ชันนิสต์ได้คุณพ่อ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ลายเซ็นชัด!! ลูกสาวคนเก่งสุดหวง ของร็อกเกอร์คนดัง “ป้าง นครินทร์ กิ่งศักดิ์” ลุยเดี่ยว อัดกีตาร์-คีย์บอร์ด-ร้องประสาน ที่ผลักให้ “สาวขี้อาย” พาตัวเองมาอยู่หน้าไมค์ ตามรอยคุณพ่อ จนซิงเกิลแรกโกยยอดวิวทะลุ 2 ล้านแล้วตอนนี้!!

เมื่อสาวขี้อาย คว้าไมค์-โกยวิวล้าน!!

“มันเริ่มจากตอนนั้นอายุ 14 แล้วหยิบกีตาร์ขึ้นมาเล่น แล้วร้องเพลงในห้องนอนคนเดียว เวลาพ่อแม่เดินผ่านก็หยุดเงียบเลย ไม่ให้ใครฟัง เพราะว่าขี้อาย จากร้องเล่นๆ พอหยิบกีตาร์ขึ้นมาเล่นด้วย มวลความสุขมันเพิ่มขึ้นมาอีกระดับหนึ่งเลย ก็เลยกลายเป็น passion เรามาจนถึทุกวันนี้ค่ะ”

ขมิ้น กิ่งศักดิ์ ลูกสาวคนเก่งสุดหวงของร็อกเกอร์คนดัง “ป้าง นครินทร์ กิ่งศักดิ์” สาวน้อยวัย 17 ปี ที่มากความสามารถ ที่กำลังเรียกเสียงฮือฮา ในฐานะศิลปินคนล่าสุดของค่าย genie records พร้อมกับซิงเกิลแรกของเธอที่มีชื่อว่า “โรงอาหาร” ที่กำลังฮิตในตอนนี้

แน่นอนว่า เราก็ไม่รอช้า รีบดึงตัวน้องขมิ้นมาพูดคุยถึงเส้นทางการเป็นศิลปินน้องใหม่ไฟแรง จากสาวขี้อาย สู่ศิลปินหน้าใหม่มาแรง ที่กำลังได้รับความนิยม จนสามารถโกยยอดวิวได้ถึงหลักล้าน รวมไปถึงเรื่องราวการทำงานในฐานะศิลปินที่กว่าจะมีผลงานออกมาสู่สายตาผู้ชมได้ ไปฟังจากปากของเธอว่า ต้องฝ่าฟันความยากมาแค่ไหน

ซึ่ง น้องขมิ้น ก็ได้เล่าถึงในพาร์ตของการทำงานให้ฟังว่า คอนเซปต์ไอเดียของเพลงมาจากการพูดคุยกันของสองพ่อลูกที่สนิทสนม แลกเปลี่ยนความคิดกันได้ทุกเรื่อง ตั้งแต่เรื่องดนตรีไปจนถึงเรื่องกุ๊กกิ๊กวัยใส


และเพลงนี้ก็ลงตัวที่เรื่องราวการแอบรักใสๆ ของวัยรุ่นผ่านมุมมองของน้องขมิ้น สาวน้อยวัย 17 ที่เธอนำเสนอว่า ต้องเป็น “โรงอาหาร” เพราะโรงอาหารคือไลฟ์สไตล์ของวัยรุ่น และเป็นสถานที่ที่ทุกคนจะได้เจอกัน แน่นอนว่า คุณพ่ออย่าง “พี่ป้าง”
รับบทโปรดิวเซอร์ดูแลการผลิตให้ลูกสาวด้วยตัวเอง

“มันเริ่มมาจากที่อยู่มาวันหนึ่ง พ่อก็ถามมิ้นเลยว่า เวลาไปที่โรงเรียน มิ้นไปส่องคนน่ารักๆ ไปส่องผู้ชายที่ไหน แล้วเราก็บอกว่าที่โรงอาหารค่ะ เพราะว่ามันเป็นจุดรวมทุกคนเลย พ่อก็เอาคอนเซปต์นี้ไป แต่เนื้อกับทำนอง ก็ดีดกีตาร์เล่น ลองหาเมโลดี้ไปเรื่อยๆ แล้วพ่อก็เอามาเสนอว่าชอบไหม ปรากฏว่า ชอบมาก 100% เลย ตกใจมาก คือ ชอบมากๆ เลยค่ะ ก็เลยมาเป็นเพลงนี้


เพลงนี้มาจากการที่พ่อลูกคุยกัน คือ ไหนๆ หนูชอบดนตรีมากอยู่แล้ว พ่อก็ลองเสนอดูว่าลองทำซิงเกิลไหม เราก็โอเค
เรามาร่วมมือกันทำดีกว่า”


ส่วนในพาร์ตดนตรี เรียกได้ว่า เป็นการโชว์สกิลความเป็นศิลปินที่ได้ DNA ของคุณพ่อมาแบบเต็มๆ โดยขมิ้นได้อัดเสียงกีตาร์อะคูสติกเอง อัดเสียงคีย์บอร์ดเอง แถมยังร้องประสานและแชร์ไอเดียเรียบเรียงเพลงกับพ่อป้างทุกขั้นตอน และยังมีส่วนร่วมในการออกแบบท่าเต้นอีกด้วย

“เพลงนี้มิ้นก็มีส่วนร่วมในการเรียบเรียง แต่งลายกีตาร์โปร่ง คีย์บอร์ด ส่วนคุณพ่อเป็นโปรดิวเซอร์ แล้วก็แต่งเนื้อร้อง ทำนองของเพลงนี้ค่ะ”


[พ่อป้างรับบทโปรดิวเซอร์ดูเเลการผลิตให้ลูกสาวด้วยตัวเอง]
กว่าจะมาถึงวันนี้ ไม่ใช่เรื่องง่าย แม้จะมีพรสวรรค์บวกความชอบที่เกิดจากพรแสวง และยังต้องสู้กับความขี้อายของตัวเองตั้งแต่เด็ก ด้วยการสร้างความมั่นใจจากเพื่อน

“ขี้อายมากค่ะตอนเด็ก ตอนนี้ก็คือขี้อายน้อยลงแล้ว จริงๆ แล้วหนูไม่ใช่ Introvert นะคะ คำว่าขี้อายคือตอนเด็กๆ แต่ตอนนี้เราค่อนข้างที่จะ Extrovert ประมาณหนึ่งเลย อยู่ที่มหาลัยเราก็คุยกับเพื่อนๆ ทั้งชั้นปี

แต่ก่อนแอบร้องเพลงคนเดียว ไม่ให้ใครฟัง แต่พอเริ่มหยิบกีตาร์มาเล่น ก็เริ่มมาเล่นให้คนอื่นฟัง เริ่มจากเพื่อนคนเดียวก่อน ด้วยความที่เขาเป็นคนแรกที่เราร้องให้ฟัง แล้วเขาก็ให้ feedback ว่ามันดีนะ เล่นกีตาร์เพราะ ร้องเพราะด้วย น่าจะกล้าแสดงออกกว่านี้นะ ไม่งั้นน่าเสียดาย มันก็เลยเหมือนเป็นจุดเริ่มต้นให้เราอยากที่จะไปต่อ

หลังจากร้องให้เพื่อนคนแรกฟังได้อาทิตย์นึงค่ะ ถึงกล้าร้องให้คุณพ่อคุณแม่ฟัง พ่อก็ชมค่ะ เพราะตอนนั้นยังเด็กด้วย
สำหรับเด็กอายุเท่านี้ถือว่าร้องได้ดีมากเลย


มันเป็นด้วยความชอบของตัวเราเองเลยค่ะ เพราะว่าจริงๆ ก่อนหน้านี้ พ่อก็เคยเหมือนลองถามเราดูว่า ลองเล่นกีตาร์ไหม ลองเล่นเปียโนไหม เราก็ไม่ได้สนใจเลย อยู่ดีๆ อายุ 14 เราก็มาสนใจเอง โดยที่คุณพ่อไม่ได้แนะนำอะไรเราเลย และมันน่าจะเป็นอะไรที่เราซึมซับมาตั้งแต่เด็ก พอโตมาถึงจุดๆ หนึ่ง แล้ว passion มันออกมา”


ไม่ใช่ “เด็กเส้น” เคยถูกจีบจากคัฟเวอร์เพลง

“ตอนแรกหนูคิดว่า ออกมาเพลงแรกคงไม่ดัง คงไม่น่ามีคนฟังถึงหลักล้าน ตั้งแต่แรกก็ไม่ได้คาดหวัง เพราะถ้าไม่คาดหวังก็ไม่ผิดหวังนะคะ มันเหมือนรู้ในใจเราอยู่แล้ว พ่อก็พูดด้วยเหมือนกันว่าถ้าเราไม่คาดหวัง เราก็จะไม่ผิดหวัง

เราตกใจมากกว่าค่ะ ไม่น่าเชื่อว่า คนจะเข้ามาฟังเพลงเราเป็นหลักล้าน มันเป็นความสุขอยู่ในใจเล็กๆ ว่า เราสำเร็จระดับหนึ่งแล้วนะ คนก็ชอบผลงานเรานะ เพื่อนๆ ก็บอกว่าเพลงติดหูนะ”

คนอื่นอาจจะมองว่า เป็นลูกพ่อป้างอาจจะง่าย แต่สำหรับน้องขมิ้นก็ไม่ได้มองว่าเป็นเรื่องง่าย แต่ก็ไม่ได้กดดัน และเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคุณพ่อ เพราะมองว่าตัวเองยังเป็นมือใหม่ และประสบการณ์แตกต่างกัน

“ไม่กดดันเลยค่ะ เพราะว่าหนูกับพ่อทำงานกันเป็นทีม หนูไม่เคยคิดเอาตัวเองไปเปรียบเทียบคุณพ่อเลย มันเลยเหมือนไม่ได้เปรียบเทียบจาก level พ่อ แต่เราเปรียบเทียบกับตัวเองเท่านั้น หนูว่า feedback ระดับนี้กับศิลปินหน้าใหม่มันถือว่าดีมากๆ แล้ว

คือ ทุกขั้นตอนทำแบบสบายๆ หมดเลย ยกเว้นตอนอัด demo เพราะว่าทำมา 1 ปี กว่าจะได้ออกมาเป็นเพลงจริงๆ ทำอยู่ประมาณ 8 Demo มีการปรับแก้ รายละเอียดอะไรเยอะค่ะ

และทำงานกับพ่อไม่ยากเลยค่ะ เพราะว่ามิ้นกับพ่อสนิทกันมากๆ และก็คุยกันมากๆ อยู่แล้ว มันก็เลยทำงานค่อนข้างราบรื่นค่ะ”


เมื่อถามในมุมพ่อดัน หรือบางคนอาจจะมองว่าเป็นเด็กเส้น น้องขมิ้นก็ให้คำตอบไว้ว่า อยากพิสูจน์ด้วยผลงานมากกว่า พร้อมกับบอกว่า จะไม่หยุดที่จะพัฒนาตัวเองให้เก่งขึ้นไปอีก

“จริงๆ แล้ว หนูทำ cover ในยูทูบมาก่อนอยู่แล้ว ก่อนหน้านี้ “พี่อ๊อฟ-พูนศักดิ์ จตุระบุล” เขาก็เหมือนชื่นชมในผลงานการร้อง แล้วก็เล่นกีตาร์ของหนูมากๆ อยู่แล้ว พ่อก็เล่าให้มิ้นฟังว่า นี่พี่อ๊อฟเขาชมอย่างโน่นอย่างนี้นะ

แล้วพอเหมือนทำเพลงออกมา ก็เอาไปเสนอ พี่อ๊อฟเขาก็ยินดีที่จะรับเข้าไปเลย เพราะว่าเขาชอบเหมือนผลงานของเราก่อนหน้านี้อยู่แล้วค่ะ”

นอกจากนี้ สาวน้อยมากความสามารถวัย 17 คนนี้ เธอยังเล่าถึงคำสอนจากคุณพ่อให้ฟังอีกว่า 

“พ่อจะชอบสอนว่า เวลาเราจะทำเพลง หรือแต่งเพลง ให้เราเขียนเพลงเกี่ยวกับอะไรที่ตัวเราเองชอบด้วย และคิดว่าคนอื่นน่าจะชอบด้วย คือ balance ระหว่างความชอบเราและความชอบคนอื่นด้วย

เพราะว่าพ่อเคยพูดว่า มันเหมือนเป็นประสบการณ์ที่ทุกคนต้องเจอ เพราะคิดว่ามันน่าจะมีเรื่องของเราอยู่แล้วด้วย และก็เป็นเรื่องที่คนอื่นสามารถอินได้ด้วยเหมือนกัน”


“ครอบครัวนักดนตรี” เข้าใจฟีลศิลปิน

“ครอบครัวสำคัญมากๆ หนูว่ามันเป็นสิ่งสำคัญที่สุดเลย ไม่ว่าจะทำงานด้านไหนก็ตาม หรือเป็นใครก็ตาม หนูว่า support จากครอบครัวมันเป็นความสำคัญที่ยิ่งใหญ่มากๆ เพราะว่าถ้าเรารู้สึกว่าเรามีคนเดียว ไม่มีคนอื่น support แป๊บเดียวมันก็จะล้าได้ มันท้อได้”

สำหรับน้องขมิ้น เธอมองว่า ครอบครัวเธอเป็นแรง support สำคัญในชีวิต และก็ยอมรับว่า คุณพ่อเอง ก็คือ แรงผลักความฝัน ในการเข้ามาอยู่ในวงการนี้

“ก็จะเรียกว่าอย่างนั้นก็ได้ค่ะ ด้วยความที่คุณพ่อประสบการณ์เยอะมาก ส่วนเราคือแบบเริ่มจากศูนย์เลย เราไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อนเลย จะเรียกว่าผลักดันก็ได้ค่ะ

เพราะว่าพ่อช่วยเราเยอะมากๆ เพราะพ่อช่วยไกด์ทุกอย่างเลย ไม่ว่าจะเป็นการร้อง การวางตัว แล้วก็ให้ประสบการณ์ในการทำเพลงเยอะมากๆ เลยค่ะ”


เรียกได้ว่าเป็นครอบครัวดนตรีกันทั้งบ้าน คุณพ่อเป็นนักร้องชื่อดังที่เรียกได้ว่าประสบความสำเร็จทุกเพลง และคุณแม่เองก็เป็นครูสอนเปียโน ซึ่งไปฟังจากปากเธอว่า อะไรกันที่หลอมรวมให้เป็นน้องขมิ้นสาวน้อยวัย 17 ที่มากความสามารถเช่นนี้ได้

“คุณแม่ไม่ได้สอน แต่ว่าเหมือนพออยู่กับเขาแล้วเราซึมซับมา ความใจเย็น ความมีเมตตาของคุณแม่ คือ เห็นได้เด่นชัดมากว่ามิ้นเป็น good quality ในสายของเขา

ส่วนคุณพ่อก็จะเป็นความตั้งใจ และความละเอียดอ่อนต่างๆ ในการทำงาน คิดว่าอันนี้หลักใหญ่เลย เอาจริงๆ พ่อไม่ได้สอนเยอะขนาดนั้น แต่ว่าเหมือนพ่อแนะนำว่า ตรงนี้ดีอยู่แล้ว ให้ทำมากกว่านี้

จริงๆ พ่อจะชมมิ้นบ่อยเรื่อง feeling ในการร้องว่า ร้องดี พ่อก็จะคอยชมว่าตรงนี้ดีนะ แต่ตรงนี้ยังแก้ได้อีก แต่ไม่ได้ถึงขั้นติว่าตรงนี้ไม่ดี อย่าทำ จะไม่พูดอย่างนั้นค่ะ”


ความ Perfectionist ที่ถ่ายทอดผ่าน DNA จากคุณพ่อ

นอกจากจะถ่ายทอดความชื่นชอบในเสียงดนตรีแล้ว น้องขมิ้น ยังได้รับความ Perfectionist ที่ถ่ายทอดผ่าน DNA จากคุณพ่ออีกด้วย

“ไม่ได้ถึงขั้น Perfectionist แบบเป็นภาวะทางจิต แต่ว่าก็เป็น Perfectionist พอตัวเลยค่ะ หนูว่ามันไม่ได้ติดมา แต่มันเป็นนิสัยหนูเองที่อาจจะถ่ายทอด DNA มาจากพ่อด้วย เพราะว่าเหมือนตอนเข้าห้องอัดหนูก็จะไม่เอาอ่ะพ่อ เอาอีกเทก เอาอีกเทก พ่อก็จะบอกว่า พอแล้วลูก ทำไปมากกว่านี้ มันก็ไม่ต่างกันหรอก ก็มีบางทีที่พ่อคอยเตือนๆ เราเหมือนกันค่ะ

เราจะเห็นพ่อซีเรียสตลอดเลยตอนทำงาน ตอนเด็กๆ ก็แอบกลัวอยู่เหมือนกันค่ะแต่ว่าพ่อเคยบอกว่า มันเป็นนิสัยเสียของพ่อ เวลาพ่อทำงาน แล้วพ่อจะซีเรียส ชอบจริงจังมากเกินไป พ่อก็จะคอยเตือนเราว่า เราไม่ต้องซีเรียสถึงขนาดพ่อก็ได้ เป็นนิสัยของเราไป ก็จะไม่ได้เครียดเท่าพ่อ

ถ้าแบบเรามาเป็นศิลปินเหมือนพ่อแล้ว เราจะแบบเครียดกับงาน หรือซีเรียสหรือเปล่า ตอนนี้ก็แฮปปี้กับการทำงานมากเลยค่ะ”


และด้วยความที่สนิทกับทั้งคุณพ่อและคุณแม่ แม้อายุยังน้อย ก็ไม่มีปัญหาช่องว่างระหว่างวัยในการทำงานกับคุณพ่อ

“ไม่มีเลยค่ะ พอดีมันสนิทกันมากจนเหมือนเป็นเพื่อนกัน เลยไม่ได้รู้สึกถึง Age-gap เท่าไหร่ ก็สนิทกันทั้งคุณพ่อคุณแม่ แต่ว่าจะคุยกันคนละเรื่อง พ่อคุยเรื่องหนึ่ง แม่คุยเรื่องหนึ่ง มันแล้วแต่เรื่อง

คุณแม่ก็จะมีเรื่องผู้หญิงๆ เรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่คุณพ่อก็จะคุยเรื่องการใช้ชีวิต หรือว่าเรื่องดนตรีเนี่ยแหละค่ะ ก็เหมือนสอนว่าเราต้องเป็นคนตรงเวลา มีวินัยนะ ถึงแม้จะทำงานด้านศิลปะ แต่เราต้องมี logic ต้องมีวิทยาศาสตร์ในหัวเราตลอด เพื่อเกาะตัวเองเอาไว้ให้เป็นคนที่มีคุณภาพ”

[ความ Perfectionist ที่ถ่ายทอดผ่าน DNA จากคุณพ่อ]
อนาคตวาดฝันไว้อยากเป็น นักร้อง-นักแต่งเพลงมืออาชีพ

“ถ้าเป้าหมายที่หนูอยากจะทำให้มันเป็นจริงได้ ก็คือ การที่เราแต่งเองร้องเอง เคยแต่งเองแล้วพ่อก็ชมว่าเรามี sense ในการแต่งเพลงที่ดี

เราแต่งเก็บไว้ฟังคนเดียว เหมือนตอนแรกๆ เราก็บอกพ่อว่าเพลงแรกให้พ่อแต่งก่อนแล้วกัน เพราะว่าเราก็ไม่ได้มีประสบการณ์ในการแต่งเพลงขนาดนั้น เราก็เลยต้องการฝึกฝนที่มากกว่านี้ก่อน แต่ว่าเพลงต่อๆ ไป พ่อก็คุยกับหนูแล้วว่า จะให้มิ้นมีส่วนร่วมในการแต่งแล้วนะ”

นอกจากนี้ น้องขมิ้น ยังเล่าอีกว่า เสน่ห์สำคัญในการร้องเพลงที่คุณพ่อชอบบอกเสมอว่า สามารถนำมาเป็นจุดขาย และเป็นเอกลักษณ์ที่ชัดเจน คือ การร้องเสียงหลบอันทรงเสน่ห์นั่นเอง

“พ่อบอกว่า เสียงหลบค่ะ เหมือนในเพลงโรงอาหาร ก็จะได้ยินตรงท่อนฮุก “นี่ฉันจะได้เจอหน้าเธอ...(ร้องเพลง)” เสียงแบบลากลง เสียงหลบลมๆ พ่อบอกเลยว่า เราต้องเอาเสียงตรงนี้มาเป็นจุดขายของเพลง

ซึ่งเราร้องมาอย่างนี้ตั้งนานแล้ว พ่อเห็นตรงนี้ว่าเพราะ ก็เลยหยิบมาใส่ในเพลง มาใส่ในท่อนฮุกให้มันเด่นสุดค่ะ ดึงมาให้คนเห็นว่ามันเด่นและเป็นสไตล์เรา”

ส่วนคุณสมบัติที่สาวน้อยคนนี้ ยังรู้สึกว่าขาด และอยากพัฒนาตัวเองไปมากกว่านี้ คือ ความมั่นใจ และเธอพร้อมเก็บเกี่ยวประสบการณ์เต็มที่ เพื่อการเป็นนักร้องมืออาชีพคุณภาพในอนาคต

“หนูว่าถ้าเป็นหลักๆ ตอนนี้เลยที่หนูอยากจะพัฒนาไปมากกว่านี้คือความมั่นใจในตัวเองค่ะ ก็เหมือนที่บอกไป เราก็ยังมีความขี้อายอยู่บ้าง ความมั่นใจในตัวเอง

หนูว่าวัยรุ่นทุกคนที่เป็นวัยกำลังโต เขาอาจจะยังค้นหาตัวตนไม่เจอ 100% มันก็จะมีงงๆ บ้าง แต่ว่าถ้าเราขาดความมั่นใจ เราก็ทำอาชีพนี้ไม่ได้เลย เพราะว่าเราต้องมั่นใจในตัวเองก่อนถึงจะไปเอนเตอร์เทนต์คนได้ ไปให้ความสุขคนได้”




แนะทริกวิธีค้นพบความฝันตั้งแต่เด็ก

 

 “ด้วยความที่หนูเรียนอยู่ หนูรู้สึกว่าถ้าเทียบกับคนอายุเท่าหนู หนูคิดว่า เขาไม่น่าค้นหาตัวเองได้เร็ว แต่ด้วยความที่หนูเรียนอยู่คณะดนตรี มันก็เลยเหมือนแวดล้อมไปด้วยคนที่มี passion ด้านนี้มาอยู่แล้ว ก็เลยค้นหาตัวตนตัวเองเจอเร็ว

จริงๆ ช่วงก่อนหน้านี้ 1 ปี ก็ลังเลอยู่เหมือนกันว่าจะเรียนศิลปะ หรือว่าดนตรีดี แต่ว่าพอเราโตขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งรู้ว่าสิ่งที่เราชอบที่สุดเลย ก็คือ ดนตรี แต่ก็ยังชอบศิลปะนะคะ เราก็เลยเลือกทางดนตรี

ถ้าเป็นสายวิชาการมิ้นก็คงไม่มีความรู้พอที่จะตอบในเรื่องนั้น แต่ว่าถ้าเป็นสายอาชีพด้านอาร์ต ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม ที่มันเป็นศิลปะ ไม่ว่าอะไรก็ตาม เวลาผ่านไปแล้วเราจะรู้เลยว่าเราจะอินกับสิ่งนี้มากกว่าสิ่งนี้ มันจะต่างกันอย่างชัดเจน มันเลือกจากฝีมือได้เลย

หนูว่าทุกคนมันจะมีอะไรสักอย่างอยู่แล้วที่เราชอบมากๆ ซึ่งหนูว่าตรงนั้นมันไม่เป็นปัญหาอยู่แล้ว ถ้าเรารู้ว่าเราชอบอะไร ก็คือเรารู้ ใจมันจะพาไปอยู่แล้ว แต่ว่าที่อาจจะเป็นปัญหา ก็คือ ครอบครัวอาจจะไม่ยอมรับในสิ่งที่เราชอบ

หนูว่าถ้าเกิดว่าถ้าเราลองคุยกับพ่อแม่ให้เข้าใจลึกซึ้งว่าเรารักสิ่งนี้มากเลย ถ้าทำให้เขาเข้าใจให้ได้ แล้วพุดกับเขาดีๆ ให้เขาเข้าใจ มันจะดีมากๆ เลยถ้าได้การ support กับครอบครัว”





สาวนักวาด ช่วยเหลือสังคมตั้งแต่เด็ก
 
เพราะการวาดภาพเป็นหนึ่งในงานอดิเรกที่น้องขมิ้นชื่นชอบมาตั้งแต่เล็กๆ และด้วยผลงานภาพวาดอันมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เธอถึงขั้นส่งภาพวาดของตัวเองไปแข่งขันถึงในระดับโลกอีกด้วย และไม่เพียงเท่านี้ ยังนำภาพศิลปะตัวเองไปประมูล เพื่อนำไปช่วยเหลือสังคมอีกด้วย

“ชอบวาดภาพเป็นแนวครีเอทีฟ ก็ไม่ใช่ภาพเหมือนค่ะ จะแบบสีสันเยอะๆ รูปภาพสัตว์แปลกๆ ก็จะไม่เหมือนจริง วาดติดตามบ้านเยอะมาก ตอนเด็กๆ คือ วาดรูปทุกวันเลย วันละรูป สองรูป เยอะมาก วาดรูปน่าจะเริ่มตั้งแต่ 4-5 ขวบเลยค่ะ แต่พอดีว่าช่วงนี้มาโฟกัสด้านดนตรีมากกว่า แต่ว่าไม่ทิ้งแน่ๆ ค่ะ

เคยไปส่งรูปไปแข่งในระดับโลก แต่ไม่ได้รางวัลนะคะ แค่ส่งไปประกวดเฉยๆ แต่ว่าตอนเด็กๆ เราก็มีผลงานของเราไปแปะตามแบรนด์ชุดว่ายน้ำ เสื้อผ้า กระเป๋า มีการประมูลรูปวาดของเรา เพื่อเอาเงินไปให้เด็กกำพร้า หมาไม่มีบ้านด้วย”

นอกจากการเป็นนักร้อง หรืองานด้านศิลปะวาดรูปที่ชื่นชอบแล้ว น้องขมิ้นยังแอบเล่าให้ฟังอีกว่า อยากลองชิมลางการแสดงดูบ้าง

“คิดว่าอยากลองการแสดงค่ะ ไม่ได้จำกัดว่าแนวไหน แต่ว่าถ้าแนวที่สนใจที่สุด น่าจะเป็นซีรีส์วัยรุ่นโรแมนติกคิดว่าน่าจะเข้ากับตัวเองที่สุด

เคยมีเหมือนช่องหนึ่งติดต่อมาให้เราลองไปออดิชันเป็นนักแสดง แต่ว่าตอนนั้นเรายุ่งทำซิงเกิลนี้มาก ตอนนั้นเราก็เลยบอกว่า เดี๋ยวออกซิงเกิลเสร็จเดี๋ยวว่ากันใหม่”





พ่อตาขาร็อก สุดหวงลูกสาว
 
เสียงลือเสียงเล่า อ้างว่า พี่ป้างถือเป็นพ่อตาขาร็อกที่หวงลูกสาวสุดๆ นั้นดูจะเป็นเรื่องจริง เพราะน้องขมิ้นก็ได้ให้คำตอบเรื่องนี้ชัดเจนว่า คุณพ่อป้างนั้น มีความลูกสาวมากๆ แต่ไม่เคยห้ามในสิ่งที่ลูกสาวอยากทำ เปิดโอกาสให้เต็มที่ เพียงแต่จะคอยเตือนสติอยู่ๆ เสมอๆ เพียงเท่านั้นเอง

“คุณพ่อหวงจริงมากๆ เลยค่ะ คือ พ่อจะไม่เหมือนพ่อที่โหดๆ เหมือนไปนั่งขู่คนอื่น จะไม่ใช่อย่างนั้น แต่ว่าพ่อจะเหมือนมาสอน มาเตือนเราเยอะ ว่า วางตัวดีๆ นะ

พ่อไม่เคยห้ามอะไรอยู่แล้ว แต่ว่าเราก็น่าจะคิดอะไรได้เองว่าอะไรควร อะไรไม่ควร คือพ่อจะเป็นห่วง แต่จะไม่ได้ไปลงที่คนอื่นนะ จะมาสอนเรามากกว่า”


สัมภาษณ์ : ทีมข่าว MGR Live
เรื่อง : พัชรินทร์ ชัยสิงห์
ภาพ : พลภัทร วรรณดี
ขอบคุณภาพ : อินสตาแกรม “Kamin Kingsak”, แฟนเพจ “Kamin Kingsak”, แฟนเพจ“genie records”



** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **




กำลังโหลดความคิดเห็น