xs
xsm
sm
md
lg

เกาหลี ซูฮก!! เจาะไอเดีย “เด็กเซาะกราว” ผู้โด่งดังจากการคัฟเวอร์ BLACKPINK สู่คลิปล้อหนังระดับโลก

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“ไม่คิดเลยว่าจะมาไกลมาก” เปิดใจ “ต่อ สิทธิชัย” เบื้องหลังหนึ่งเดียวของ “เด็กเซาะกราว” กลุ่มเด็กชาวสระแก้วที่โด่งดังจากการคัฟเวอร์ BLACKPINK ต่อยอดสู่การทำคลิปล้อหนังฮอลลีวูด คงคอนเซ็ปต์ “โปรดักชันบ้านๆ แต่ผลงานขั้นเทพ”!!

จากมือถือ 1 เครื่อง สู่ผลงานระดับโลก!!

“พูดตรงๆ ว่า คอนเซ็ปต์ไม่ได้คิดอะไรเยอะ เราทำเพราะเราชอบคิดอะไรที่มันสนุกเราก็อยากทำ คลิปแรกๆ เราแค่รู้สึกว่าลองทำแบบนี้ดีกว่า ชอบเพลง BLACKPINK จับน้องมา เอากะละมัง เอาขันมาทำ คิดแค่นั้นจริงๆ ใส่ความสนุกอย่างเดียว

แต่หลังๆ เราพยายามให้มันมีความคิดสร้างสรรค์ และใส่รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ แต่ยังคงคอนเซ็ปต์เดิมของเด็กเซาะกราว คือ ต้นทุนหลักร้อย ยอดวิวหลักล้าน บ้านๆ แต่ไอเดียทำให้คนรู้สึกว่าระดับฮอลลีวูด แตกต่างแต่ลงตัว”

“สิทธิชัย รักพินิจ” หรือ “ต่อ” หนุ่มวัย 24 ปี กล่าวกับทีมข่าว MGR Live เขาคือผู้ก่อตั้งและเบื้องหลังเพียงคนเดียวของ “เด็กเซาะกราว” กลุ่มเด็กที่มีภูมิลำเนาอยู่ใน อ.ตาพระยา จ.สระแก้ว ที่ดังเป็นพลุแตกจากการทำคลิปวิดีโอ MV เพลงต่างๆ ของเกิร์ลกรุ๊ปชื่อดังแดนกิมจิ อย่าง BLACKPINK ด้วยการหยิบของใกล้ตัวมารังสรรค์เป็นโปรดักชันแบบบ้านๆ แต่ผลงานที่ออกมานั้นใครได้เห็นเป็นอันต้องร้องว้าว เพราะเรียกได้ว่าเหมือนเป๊ะแบบช็อตต่อช็อต!!

[ “ต่อ-สิทธิชัย รักพินิจ” เบื้องหลังคนเก่ง ]
ปัจจุบันเพจเฟซบุ๊ก “Deksorkrao เด็กเซาะกราว”มีผู้ติดตามถึง 9.7 แสนคน ขณะที่ช่อง YouTube ในชื่อเดียวกันก็มีผู้ติดตามกว่า 2.38 ล้านคน

สำหรับจุดเริ่มต้นนั้น ต่อเล่าว่า เดิมทีตนเองเป็นคนที่ชื่นชอบการถ่ายคลิปมาตั้งแต่สมัยที่คำนำหน้าชื่อยังเป็นเด็กชาย ประกอบกับเทคโนโลยีและโซเชียลมีเดียที่เข้ามา ทำให้เข้าอยากลองเล่นอะไรใหม่ๆ เกิดเป็นคลิปลิปซิงก์แรกที่ได้สาวน้อยข้างบ้านมาร่วมแสดงจนคลิปดังกล่าวโด่งดังเป็นไวรัล ก่อนที่จะมาเป็นเด็กเซาะกราวอย่างในปัจจุบัน

“เริ่มมาจากตั้งแต่โทรศัพท์เครื่องแรกช่วงประถม ผมก็เป็นคนชอบอัดคลิปของคนรอบตัวเก็บไว้ในเครื่องไว้ดู พอเริ่มมีเฟซบุ๊กเราก็อัปลงบ้างเล็กๆ น้อยๆ ช่วง ม.ปลาย เราก็ใช้โทรศัพท์มือถือเครื่องนึง มันก็เป็นปัจจัยนึงที่ทำให้เรารู้สึกว่าทั้งแอปพลิเคชัน โซเชียลมีเดีย เราอยากจะลองลูกเล่นของมัน

บวกกับที่เราเห็นน้องมอมแมม เขาจะค่อนข้างมีคาแรกเตอร์โดดเด่นและดูจี๊ดจ๊าดกว่าคนอื่น ได้ยินเพลงอะไรก็เต้น ก็เลยอัดคลิปน้องลิปซิงก์ลงไปในเฟซบุ๊กส่วนตัวแล้วดันดังขึ้นมา มีเพจ YouLike ที่ดังๆ ในยุคนั้นเอาไปลงครับ เราก็ทำจนผู้ติดตามเริ่มมากขึ้น คนก็บอกว่าทำไมไม่ทำเพจ ทำให้มันจริงจังขึ้น เราก็เลยลองตั้งชื่อเพจว่า “เด็กเซาะกราว


กระทั่งมาถึงช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิตที่ตัดสินใจซิ่วจากมหาวิทยาลัยแรกที่สอบติด ทำให้ช่วงเวลา 1 ปี ที่ว่างอยู่นั้นเขาได้สร้างสรรค์ผลงานที่มากกว่าการลิปซิงก์ ด้วยการทำคลิปคัฟเวอร์ MV ของสาวๆ BLACKPINK โดยได้ น้องมอมแมม (ลิซ่า) น้องกุ้งเต้น น้องสาวแท้ๆ ของต่อ (เจนนี่) น้องส้ม (โรเซ่) และ น้องกวาง (จีซู) ที่อยู่ในวัย 8-11 ปีมาแสดง

เหตุการณ์นี้ถือได้ว่าเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ เพราะด้วยความน่ารักของสาวน้อยที่อินเนอร์จัดเต็ม และโลเกชันบ้านๆ บวกกับฝีมือการตัดต่อขั้นเทพของต่อในวัย 18 ปี ส่งให้ชื่อเด็กเซาะกราวดังไกลถึงต่างแดน!!

“เด็กเซาะกราวมีอิทธิพลกับเรามากในการตัดสินใจเรื่องมหา’ลัย ช่วงเรียนจบ ม.6 เราสอบติดมหา’ลัยนึง ก็เริ่มคิดแล้วว่ามันไกลบ้าน แล้วเป็นสายงานที่เราไม่ได้ชอบขนาดนั้น (ศึกษาศาสตร์) เราก็ตัดสินใจขอแม่ซิ่วแล้วกัน แม่ปล่อยเลย โอเคปีหน้าค่อยสอบ เขารู้ว่าเราทำเด็กเซาะกราวได้ดี พอได้สอบใหม่อีกทีนึงก็เป็นนิเทศศาสตร์ครับ

ตอนนั้นอายุ 18 ครับ ช่วงที่ตัดสินใจซิ่วใน 1 ปี ผมว่าง บวกกับความที่เราเป็นติ่งเกาหลีด้วย ชอบถ่ายทำ ชอบฟังเพลง เราก็สนใจ มีน้องๆ อยู่ข้างบ้านประมาณ 4 คน รวมน้องคนเดิม ก็เลยเอามาลองทำคลิป BLACKPINK แล้วกัน คลิปแรกจาก Playing with fire ที่ทำให้คนรู้จักเด็กเซาะกราว เป็นวงกว้างมากขึ้นไปถึงต่างประเทศเลย กระแสดีมากๆ จำได้ว่าแค่คืนเดียวก็ 1 ล้านวิวแล้วครับ แล้วก็เป็นคลิปแรกที่สื่อข่าวเว็บไซต์ของเกาหลีเอาไปลง ดีใจมากๆ ครับ”


[ “PLAYING WITH FIRE” ผลงานโกอินเตอร์ชิ้นแรก ]
ไม่เพียงแค่การถูกพูดถึงบนทั้งสื่อไทยสื่อนอกเท่านั้น แต่ความคอมพลีตอีกขั้น คือ ผลงานของเด็กเซาะกราวเป็นที่ชื่นชอบของสาวๆ BLACKPINK อีกด้วย!!!

“ก่อนหน้านี้ คลิปดังในไทยเราก็ดีใจมากอยู่แล้ว แต่พอเป็นเกาหลีมันก็เป็นอีกขั้นนึง มันเป็นไปได้ยังไง พูดตรงๆ ว่า คลิปนี้มันไม่ใช่แค่ไทย แต่มันระดับอาเซียน เพื่อนบ้านอาเซียนมาคอมเมนต์ในคลิปเยอะมาก ตอนแรกเราไม่ได้คิดทำช่อง YouTube จริงจัง แต่ตั้งแต่ตอนนั้นมาผมตั้งใจทำเด็กเซาะกราวอย่างจริงจัง

แล้วก็มีพี่อีกคนนึงเขาเคย inbox มาบอกว่าพี่เป็นเพื่อนลิซ่านะ พี่บอกลิซ่าว่าน้องต่อคัฟเวอร์คลิปของ BLACKPINK เขาชอบมาก ตอนนั้นเราแฮปปี้มากๆ แต่ว่าเราก็ยังไม่ค่อยมั่นใจ เราก็ยังเด็ก พี่เขาหลอกเรารึเปล่า แต่แค่นั้นเราก็ดีใจแล้ว

แต่พอมาถึงช่วงที่ BLACKPINK มาคอนเสิร์ตครั้งแรกในประเทศไทย นักข่าวไทยสัมภาษณ์ไป ว่า เคยดูคลิปของเด็กเซาะกราวมั้ย เป็นงานปิด แต่มีการพิมพ์ออกมา BLACKPINK ทุกคนพูดว่าได้ดู โรเซ่ก็พูดว่าเหมือนมาก

ตอนนั้นดีใจมากๆ ยอมรับว่า น้ำตาไหลออกมาเลย ทุกอย่างมันทำให้เรารู้สึกว่าเรามีตัวตน งานของเราที่มันมีค่ามาก มันเปลี่ยนชีวิตเราได้ ไม่ใช่แค่ดีใจแต่มันรู้สึกต่อยอดกับตัวเองในอนาคต”

ลงทุนหลัก 0 ผลงานหลักล้าน!!

ตามที่กล่าวไปแล้วข้างต้น ว่า การรวมตัวกันของเด็กเซาะกราวนั้น ได้สาวน้อยใกล้ตัว 4 คนมาร่วมงาน และแม้จะมีความขี้อายกันอยู่บ้าง แต่เมื่อกล้องจับแล้วทุกคนก็แสดงออกมาอย่างเต็มที่ตามคาแรกเตอร์ที่ได้รับ

“คำว่า ‘เด็กเซาะกราว’ มันเป็นภาษาไทยผสมกับภาษากัมพูชา เด็กก็คือเด็ก เซาะกราวก็บ้านนอก ตอนนั้นในทีวีมันจะมีคำว่าเซาะกราวบ่อยๆ โซเชียลฯ ในยุคนั้นรู้จักกัน แต่ว่าบ้านเราติดชายแดนอยู่แล้ว ผู้ใหญ่ก็พูดภาษากัมพูชากัน คำนี้เราว่ามันเท่ดี เด็กเซาะกราวก็เข้ากับกลุ่มเด็กดี น่ารักดีก็ตั้งเลยครับตั้งแต่ช่วงลิปซิงก์เลยครับ



น้องๆ 4 คน ตอนแรกเริ่มจากน้องมอมแมม เป็นเด็กผู้หญิงข้างบ้านที่สนิทกัน น้องน่ารักดี แสดงชัดเจนก็เอามาแสดง น้องคนที่ 2 เป็นน้องสาวแท้ๆ ของผมเลย (น้องกุ้งเต้น) มาช่วย มาทำท่าบีตบ็อกซ์ข้างๆ ไปๆ มาๆ อยากได้ 3 คน เอามาตีขันให้หน่อย เริ่มเป็นวงดนตรีแล้ว คนนึงไมค์ คนนึงกีตาร์จับไม้กวาด คนนึงขัน ก็เป็นหลาน บ้านผมจะมีเด็กผู้หญิง 2 คน คือ น้องสาวแท้ๆ กับหลาน แต่น้องมอมแมมจะอยู่บ้านข้างๆ สุดท้ายน้องส้ม บ้านข้างๆ เหมือนกัน

น้องๆ เขาขี้อายกล้องกันตามประสาอยู่แล้ว น้องมอมแมมถึงจะเป็นคนที่พูดเก่ง แรกๆ เจอก็ช็อตไมค์เหมือนกัน ยอมรับว่า ทุกวันนี้ก็ยังเขินเวลามีการสัมภาษณ์กับสื่อ ก็ยังเกี่ยงกันพูดบ้างเล็กน้อย แต่เทียบกับเมื่อก่อนคือดีขึ้นมาก”

และเพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น ต่อได้เล่าถึงกระบวนการกว่าจะได้มา 1 ผลงานว่ามีขั้นตอนอย่างไร ตามบรรทัดต่อจากนี้

“ทุกวันนี้การทำงานมันก็ยังคล้ายๆ เดิมแต่มันจะเป็นระบบมากขึ้นเล็กน้อย เราทำงานเหมือนพี่น้อง มันก็จะเป็นในรูปแบบที่ถ้าเป็น BLACKPINK มีข่าวคัมแบ็ก เพลงใหม่จะออกมา เราก็วางไว้ในหัวอยู่แล้ว รอดูว่าจะปล่อยทีเซอร์วันไหน พอปล่อยปุ๊บดูเลย ส่งให้น้องในกลุ่มว่านี่คือเพลงที่เราจะถ่ายต่อไปนะ ดูๆ ไว้นะเดี๋ยวอีก 2-3 วัน อีกเดือนนึงพี่กลับไปถ่าย



ผมทั้งหมดเลยครับ ผมจะพยายามเป็นหัวหลัก เพราะเราทำหน้าที่ถ่าย ตัดต่อ คิดให้มันชัด แค่บอกน้องว่าต้องทำอะไร น้องๆ จะช่วยออกไอเดียบ้างเล็กน้อยถ้ามีเวลา น้องๆ โตขึ้นก็จะมีโยนให้ร้องบ้าง อย่างน้อยรู้ทำนองเพราะเวลาถ่ายจริงจะได้โยกตัวตามได้ หรือบางคำให้น้องไปท่องจำให้ได้เลยเพราะมันยาวมาก ท่าเต้นบางเพลงจะซ้อมถ้าท่ายากจริงๆ เพื่อให้ถ่ายทำง่าย แต่บางเพลงก็หน้างานเลย จะมีหลายรูปแบบมากๆ

MV วางสตอรี่บอร์ดมาให้แล้ว อะไรเริ่มอะไรจบ เราแค่แคปออกมาดูว่าจะใช้อะไรก่อน จะหยิบตรงไหนมาถ่ายก่อนก็ได้เพราะมันเป็นการถ่ายทีละช็อต บางทีเราก็จะเลือกถ่ายช็อตที่มันเป็นชุดนี้ให้หมดแล้ว วันต่อไปก็ถ่ายอีกชุดนึง การตัดอาจจะเริ่มตัดตั้งแต่ช่วงที่ถ่ายวันแรก ทยอยตัดไปพร้อมถ่าย แต่ว่าบางคลิปก็จะถ่ายให้เสร็จแล้วมาตัด เสร็จแล้วก็อัปโหลดลง”

แม้ทุกวันนี้อุปกรณ์ที่ใช้ในการถ่ายทำจะมีพัฒนามากขึ้น จากในตอนแรกที่มีเพียงโทรศัพท์มือถือเครื่องเดียว แต่ทางด้านของพร็อบประกอบ เสื้อผ้าหน้าผม และสถานที่ที่ใช้ในการถ่ายทำ ก็ยังคงรักษาคอนเซปต์เดิม คือ หาได้ใกล้ตัวและคงความเป็นต่างจังหวัดไว้

“อุปกรณ์ด้านโปรดักชันมีกล้องตัวเดียว ขาตั้งกล้องนานๆ ที แล้วก็จะเป็นกิมบอลที่ทำให้วิดีโอมันนิ่ง กันสั่น โน้ตบุ๊ก ประมาณนี้ครับ ในกองถ่ายจะมีแค่ผมยืนอยู่กับน้องแค่นั้น แต่ว่าบางทีนานๆ ทีจะมีให้น้องบางคนมาหยิบนู่นหยิบนี่ให้บ้าง


[ เบื้องหลังความเป๊ะช็อตต่อช็อต ]
ทุกคลิปที่ปล่อยไปแทบจะไม่มีต้นทุนเลย เราเน้นไปกับการซื้อกล้อง โน้ตบุ๊ก แล้วก็โปรแกรมรายเดือนที่เราต้องจ่ายเพื่อตัดต่อ ส่วนต้นทุนพวกอุปกรณ์ พร็อบต่างๆ บางคลิปไม่ได้เสียตังค์เลยด้วยซ้ำ คลิปที่เสียแค่ 100-200 ก็มี เรียกว่าใช้ต้นทุนทางความคิดมากกว่า บางทีก็จะหมดไปกับเวลาแค่นั้นเอง

เคยมีช่วงนึงที่ผมปรับทิศทางคอนเทนต์แต่ว่ามันผิดทางนิดนึง เราอยากให้มันว้าวขึ้น อยากให้คนดูรู้สึกเราลงทุนนะ ก็มีซื้ออุปกรณ์ ซื้อฝาชีใหม่ที่เราอยากได้สีนี้ แต่ยังเป็นคอนเซ็ปต์เดิม ซื้อราวตากผ้า หรือบางทีซื้อผ้าซิ่นที่มันเป็นสีดำ เพราะลิซ่าใส่สีดำ มีช่วงนึงเราเริ่มอยากให้มันเหมือนเกินไป แต่สุดท้ายก็แค่แป๊บเดียว เรารู้สึกว่าภาพมันออกมาไม่ใช่ที่คนดูอยากดู

เรื่องสถานที่ประมาณ 90 เปอร์เซ็นต์ จะเป็นรอบบ้าน เรามีข้อจำกัดหลายอย่าง หลังๆ จะเห็นมีบางคลิปที่ถ่ายมุมแปลกๆ บ้าง แต่ว่าในอนาคตก็จะพยายามให้คนเห็นอะไรมากขึ้น ถ้าคลิปไหนถ่ายสถานที่น้อยก็จะไปเล่นกับการตัดต่อให้มีสีมีอะไรแวบๆ เข้ามาหลอกตาให้มันไม่เหมือนเดิม”

แตกต่างแต่ลงตัว

อีกจุดเด่นของผลงานผ่านฝีมือต่อที่ถูกกล่าวถึงอย่างมาก นั่นคือ ความเป๊ะของมุมกล้องแบบเทียบได้ช็อตต่อช็อต โดยมีมาตรฐานของตนเองนั่นก็คือ ถ่ายจนกว่าจะรู้สึกว่าสะใจ

“สำหรับผม ผมอยากให้มันเหมือนที่สุด อยากให้มันดีที่สุด ไม่เหมือนก็ถ่ายใหม่ เอาให้เรารู้สึกว่าสะใจเรา ที่ทำทุกเพลงเราทำเพราะว่าเราอิน ทำการบ้านก่อน เพลง WHISTLE เราถ่ายไปทั้งหมดประมาณ 3 เดือน ต้นคลิปเห็นเลยว่าต้นไม้ต้นนั้นที่ถ่ายยังไม่มีใบ แต่พอมาปลายคลิปที่เราถ่ายเพิ่มต้นนั้นมีใบออกมาแล้ว ใช้เวลานานมากจนต้นไม้ออกใบออกดอกเลยครับ

เมื่อก่อนผมจะค่อนข้างละเอียดมาก คลิปแรกประมาณ 2-3 อาทิตย์ เพราะว่าผมก็ไม่มีประสบการณ์ มันเพิ่งเริ่มต้น น้องเองก็เล็กมากๆ อาจจะเป็นเพราะว่าน้องยังเด็กด้วย เราเลยพยายามขยี้ๆ ให้ได้ดั่งใจเรา

คุยกับเด็กเป็นอะไรที่ยากมาก ปกติถ่ายลิปซิงก์ก็ยากอยู่แล้ว การทำ MV เกาหลีคืออะไร การเต้นท่าแบบนี้ ทำอินเนอร์จิกกล้อง น้องๆ ต่างจังหวัดไม่รู้จัก เข้าใจยากเลยนานมากๆ

แต่คลิปหลังจะเร็วขึ้นเรื่อยๆ เพิ่งมาเร็วตอนผมเรียนจบ เพราะผมมีเวลาทำการบ้านกับตัวเองแล้วน้องก็โตขึ้นมากๆ ก็เลยกลายเป็นจาก 2 อาทิตย์เหลือประมาณ 1 อาทิตย์ แต่มันก็เป็นเพราะหลังๆ เราลดหย่อนจำนวนเวลาของคลิปลงด้วยครับ”



ทั้งนี้ คลิปที่ออกมาก่อนหน้านี้ เกิดขึ้นในช่วงที่เขากำลังศึกษาอยู่ในระดับปริญญาตรี ด้วยเวลาและหน้าที่ความรับผิดชอบอื่น ทำให้ความถี่ในการออกผลงานอาจจะไม่มากนัก และทำให้ค่อนข้างล่าช้ากว่าวันที่เพลงต้นฉบับถูกปล่อยพอสมควร แต่ก็ยังมีแฟนคลับของเด็กเซาะกราวที่เฝ้ารอชมอย่างเหนียวแน่น

“ในช่วงที่ยังเรียนไม่จบ ด้วยเวลาเรามีแค่ช่วงปิดเทอมเราก็เลยทำแค่ 1-3 คลิปต่อปี เลือกที่คิดว่าพีคที่สุด จริงๆ การแบ่งเวลามันไม่ได้ยุ่งขนาดนั้น กลับไปก็ถ่าย แต่น้องๆ เองจะมีเวลาหลังเลิกเรียนและเสาร์-อาทิตย์

เราก็คิดในใจรู้สึกอยากจะปล่อยคลิปให้ทันช่วงที่เพลงออกใหม่ๆ ตลอดเวลา แน่นอนว่ากระแสมันเกณฑ์คนดูเข้ามาดูง่ายกว่า แต่ว่าตอนนั้นเราต้องยอมรับว่าคนดูเหมือนเขาค่อนข้างอินกับคอนเทนต์ของเราที่เขาคอยตามดูเรา BLACKPINK อยู่ในจุดที่ติดลมมากๆ เราทำอะไรเกี่ยวกับเขาคนก็ยังดูแม้ว่าจะออกมาครึ่งปีแล้ว ก็เลยอยากให้มันลงเร็วๆ เหมือนกัน

ก็ยอมรับว่า มันน้อยกว่าที่ควรจะเป็นที่ปล่อยในตอนแรก แต่ว่าเรารับได้ครับ หลังๆ มา พอเรียนจบปุ๊บเราพยายามตัดปัญหานั้นทิ้ง ก็รอดูว่ารอบต่อไป BLACKPINK คัมแบค เราจะปล่อยเร็วขึ้นมากๆ ตอนนี้ก็ไม่ได้เตรียมอะไร เตรียมดู เตรียมใจ เตรียมคิด สะกิดน้องไว้เบาๆ ว่าเดือนหน้าแล้วนะ แต่ก่อนหน้านี้มันเป็นเพราะเรื่องเรียนด้วยที่ช้า เพราะบางที BLACKPINK คัมแบคช่วงที่ผมเรียนอยู่ อีก 2 เดือนถึงจะปิดเทอม ก็ใช้โอกาสนั้นในการคิดไอเดียไป”



เมื่อให้นิยามเสน่ห์ของเด็กเซาะกราว มือตัดต่อผู้นี้ให้คำตอบว่า ความเป็นเด็กๆ ความเป็นต่างจังหวัด และความเป๊ะช็อตต่อช็อต กลายมาเป็น ‘ความแตกต่างแต่ลงตัว’

“เสน่ห์หรือจุดเด่น ผมคิดว่าถ้าเมื่อก่อนความเป็นเด็กจะชัดมาก ทำอะไรก็น่ารัก อีกอย่างคือความเป็นต่างจังหวัด เวลาเราดูแล้วรู้สึกเข้าถึงง่าย ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนพอดูคลิปที่เป็นต่างจังหวัดก็รู้สึกว่าคนกลุ่มนี้ไม่มีกำแพงกั้น เราคิดว่าคนที่ดูน่าจะรู้สึกกับเราอย่างนั้น คอนเทนต์เรามันตลก ดูแล้วคลายเครียด

และอีกอย่างที่ชัดเจนทางเทคนิคหน่อย ก็คือ การตัดต่อ เราจะพัฒนาตลอด เพราะการตัดต่อจะเป็นอีกจุดนึงที่คนพูดถึงเยอะมาก อีกพอยต์นึงคือดึงคนที่เขาอาจจะไม่สนใจเพลง BLACKPINK ไม่สนใจเรื่องของต่างจังหวัด แต่เขาดูเรื่องของการตัดต่อ อาจจะเป็นกลุ่มของกราฟิกดีไซน์ต่างๆ ทำ visual effects ในไทย

มันจะเป็นการดึงหลายๆ จุดมารวมกัน การตัดต่อ เด็ก ต่างจังหวัด ความเป๊ะช็อตต่อช็อต ในเรื่องของการเล่าเรื่องผ่านความยิ่งใหญ่ของ BLACKPINK กับความบ้านๆ ของเด็กเซาะกราว มันรู้สึกถึงความเป๊ะ แตกต่างแต่ลงตัว”

“เด็กเซาะกราว” ไม่ใช่ทีมงานแต่เป็นครอบครัว

ปัจจุบัน นอกจากคลิปคัฟเวอร์ MV BLACKPINK ที่เป็นซิกเนเจอร์แล้ว เด็กเก่งกลุ่มนี้ยังแตกไลน์ไป คัฟเวอร์ ศิลปินคนอื่นๆ ตลอดจนมีงานล้อ ภาพยนตร์ การ์ตูน และโฆษณา เข้ามาอย่างต่อเนื่อง ต่อกล่าวว่า สิ่งสำคัญในการทำงานคือต้องพึงระวังคือเรื่องของ ‘ลิขสิทธิ์’ ให้ดี

“เราพยายามระวังเรื่องลิขสิทธิ์ชัดเจนอยู่แล้ว ระวังเรื่องการขายของ ยกตัวอย่างในกรณีที่มีสปอนเซอร์เข้ามา มีเยอะมากที่เขาถามว่าสามารถเอาสินค้าของเขาเข้ามาใน MV BLACKPINK ที่เราทำได้มั้ย เราจะบอกตลอดว่าไม่ได้เลย เพราะว่ามันเป็นเพลงของเขา เราทำเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ถ้าทำอย่างนั้นเราโดนฟ้องร้องเลย ผมจะปัดงานลักษณะนี้ทิ้งตลอด



ทุกเพลงที่ทำไปทั้งของนายอน BLACKPINK aespa Treasure ทำเพื่อความบันเทิงเอาสะใจทั้งนั้นเลย พอเราลงปุ๊บ YouTube จะขึ้นเตือนอัตโนมัติ มีอีเมลเข้ามาเลยว่า คลิปของคุณโดนลิขสิทธิ์นะ มีการตรวจพบเพลงของ BLACKPINK ในคลิปของคุณ แต่ไม่เป็นไรคุณสามารถอัปโหลดลงได้ เพียงแต่ว่ารายได้ทั้งหมดจะเข้าไปสู่เจ้าของลิขสิทธิ์ ขึ้นเตือนประมาณนี้

แต่งานจะมาหลังจากที่สปอนเซอร์เห็นงานของเราแล้ว เขาก็บอกเลยว่าให้คัฟเวอร์ ของเขาที่เขาเป็นเจ้าของ เราก็จะรับ ก็มาจากเจ้าของหนัง เจ้าของโฆษณาเรื่องนั้น แบรนด์นั้นติดต่อเข้ามาผ่านเอเยนซี่ หรือติดต่อโดยตรงมาหาเราเองเลยว่า คัฟเวอร์โฆษณาของเขาให้หน่อย คัฟเวอร์หนังตัวนี้ให้หน่อย ก็จะรับเฉพาะลักษณะนั้นที่ผู้ถือลิขสิทธิ์เขาติดต่อมาเอง”

(รายได้) อยู่ที่รายละเอียด ดูต้นฉบับว่าคลิปเขาสั้นหรือยาวแต่อย่างน้อยหลักหมื่นครับ เมื่อก่อนจะเน้นความสนุก สปอนเซอร์เข้าไม่เข้าไม่ซีเรียส ตอนนี้เราทำคอนเทนต์เพื่อความอยู่รอดด้วย มันไม่ใช่แค่งานแต่เป็นครอบครัวจริงๆ ญาติพี่น้อง คนรอบตัวเราหมดเลย มันเป็นแรงผลักดันเติมพลังให้เราว่าเงินก็เอามาเลี้ยงคนที่อยู่ข้างๆ มีสปอนเซอร์เข้า เราจะได้เงิน แต่ความสนุกยังอยู่เหมือนเดิมครับ”

ถามถึงพัฒนาการของเด็กเซาะกราวจากวันแรกถึงวันนี้ ผ่านมุมมองของผู้อยู่เบื้องหลังตั้งแต่ก้าวแรก นอกจากครอบครัวเด็กเซาะกราวจะใหญ่ขึ้น และไม่ได้มีแค่เด็กๆ มาร่วมแสดงเพียงอย่างเดียวแล้ว ทางด้านของฝีมือการตัดต่อของเขาก็เก่งขึ้นเป็นเงาตามตัว



“ที่เห็นได้ชัด คือ การแสดงออกของน้องๆ ที่คนทักบ่อยๆ เหมือนเรานำนักแสดงมาเป็นหมู่บ้านแล้วตอนนี้ ไม่ใช่แค่เด็กผู้หญิง 4 คน แต่กลายเป็นช่วยทำทั้งพ่อทั้งแม่ รวมถึงผู้ใหญ่ข้างบ้าน มันจะใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ในด้านของการแสดง

และที่ชัดอีกอย่างที่คนเห็น คือ การตัดต่อ จากแค่มือถือกลายมาเป็นโน้ตบุ๊กไม่มีเอฟเฟกต์อะไร กลายเป็นเริ่มมี CG หรือ visual effects เล็กๆ น้อยๆ มากขึ้น อย่าง Doctor Strange Spider-Man คลิปหลังๆ ที่จะเป็นของวงอื่นๆ aespa หรือ TWICE ที่นายอน solo ก็จะมีการใช้เอฟเฟกต์ที่ต้องใช้โปรแกรมอื่นๆ ที่ไม่ใช่แค่โปรแกรมตัดต่อแล้ว เป็นโปรแกรม visual effects เข้ามาช่วย

ไม่ใช่แค่การคัฟเวอร์ MV แต่เรายังมีคัฟเวอร์โฆษณา รวมไปถึงการ์ตูนอย่าง Turning Red ด้วย พอยต์หลักของเราคือทำท่าให้เหมือนแล้วลิปซิงก์ แต่ว่ามันจะต่างกันตรงที่การเต้นอินเนอร์ก็แรงๆ ไปเลยเพราะมันสนุก แต่พอเป็นการแสดงมันต้องจริง หน้าต้องไม่เวอร์ ทำให้คนดูเชื่อว่าเรารู้สึกอย่างนั้น แต่คาแรกเตอร์ของการ์ตูนมันจะเวอร์เกินคน

การรักษามาตรฐานอันดับแรก ทำให้เรารู้สึกสะใจที่สุดในตัวเราก่อน ใช้เซนส์ของตัวเอง พยายามไม่ให้อินเนอร์ตก การแสดงให้มันดีที่สุด จะพยายามใช้เพลงที่มีกระแสให้อินกับเรา ทำให้คนสนุกกับคอนเทนต์ของเราง่าย เพราะเราต้องการให้คนเห็นว่าเด็กเซาะกราวเราเอาจริงเอาจังกับเรื่องนี้ ไม่ใช่เราทำเล่นๆ”

และจากการที่แตกแขนงผลงานที่มากกว่าการคัฟเวอร์ MV ทำให้ในตอนนี้มีตัวละครเพิ่มมากขึ้น ซึ่งก็ได้คนในครอบครัวและคนในหมู่บ้านมาร่วมแสดง



“มันไม่เชิงเป็นการแคสติ้ง เอาที่เราหาได้และสนิท ณ ตอนนั้น พ่อแม่เขาก็อยู่ข้างหลังเห็นมาแต่ไหนแต่ไร เรียกว่าดึงมาเล่นๆ แต่พอหลังๆ มาก็ปฏิเสธไม่ได้ ช่วยๆ ไป จนสุดท้ายหลังๆ ก็ไม่มีคำถามอะไรแล้ว ให้ถ่ายอะไรก็ยอมเล่น

คนข้างบ้านบางทีก็แค่เดินมาซื้อน้ำเพราะบ้านเราเป็นร้านค้า มาซื้อน้ำก็มาเล่นให้หน่อยได้มั้ย ก็จะมีเด็กบางคนที่เขาอยากเล่นเลย หลังๆ มาก็จะมีเด็กชอบมารุมกองถ่าย ก็ถามว่า ‘พี่ต่อเมื่อไหร่จะถ่ายอีก มีเพลงผู้ชายบ้างมั้ย อยากถ่ายบ้าง’

ทุกวันนี้เราก็ไม่ได้คิดอะไรมาก ก็มีแต่ยาย พ่อแม่ แล้วก็น้องๆ ข้างบ้าน ที่ว่างแล้วอยากจะเล่นแค่นั้นเอง ไม่เคยคิดเรื่องคาแรกเตอร์ต้องตรง ก็หยิบมากลายเป็นเด็กเซาะกราวทีมเดียวกัน จริงๆ ใครเล่นก็ได้หมด ขออย่างเดียวแค่ว่าง

ถ้าผมไม่ได้ถ่ายบางทีผมก็แวบๆ เข้าไป Squid Game หาคนไม่ได้ก็เล่นเองก็ได้ มันจะลำบากนิดนึง ต้องมุมเป๊ะอะไรเป๊ะ แต่มุมที่ผมเล่นเองก็เอาเป็นมุมที่กล้องตั้งเบสิกเลย เวลาอยู่มหา’ลัย ผมก็อัดคลิปเล่นกับเพื่อนตลอด แต่พออยู่บ้านกับเด็กเซาะกราวมันไม่มีใครที่จะมาทำแทนเราได้ในตำแหน่งนั้น ถ้าเรามีตากล้องในอนาคตก็อาจจะผันตัวไปทำอะไรหน้ากล้องบ้าง”

สะท้อนใจ “ความสามารถคนไทย” ไม่ได้รับการผลักดันเท่าที่ควร

ตลอดระยะเวลากว่า 7 ปีที่เติบโตขึ้นมา พร้อมกับชื่อเด็กเซาะกราว ต่อ กล่าวว่า ในแง่ของการใช้ชีวิตไม่ได้มีอะเปลี่ยนไปจากเดิมนัก แต่สิ่งที่ภูมิใจที่สุด คือ การทำความชอบให้กลายเป็นรายได้เลี้ยงตนเอง ครอบครัว รวมไปถึงคนรอบข้างได้

“พูดตรงๆ ไม่ได้เปลี่ยนอะไรมาก เหมือนมันค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปเรื่อยๆ จนมาถึงทุกวันนี้ เราก็ทำมาประมาณ 6-7 ปี บางจุดก็พีกอย่างการมีสื่อเกาหลีเอาข่าวเราไปลง มีต่างประเทศติดต่อมาขอสัมภาษณ์ หรือการที่มีงานโฆษณาเข้ามา เราไม่ได้รู้สึกว่ามันต่างจากเดิม เราก็อยู่ที่เดิม ทำอะไรเหมือนเดิม และในอนาคตต่อให้เราจะอยู่ในจุดที่คนรู้จักเยอะแค่ไหน เราก็คิดว่ามันไม่ได้เปลี่ยนอะไรมาก ที่ผมรู้สึกตรงนี้เป็นเพราะผมคิดว่ามันเป็นตัวผมอยู่แล้วด้วย

ถ้ามองจุดแรกกับตอนนี้จะรู้สึกต่างมาก แต่ระหว่างทางมันไม่ได้ขึ้นเป็นกราฟสูง มันก็เลยรู้สึกเหมือนเดิม แต่ว่ารู้สึกดี ทุกวันนี้เราก็สามารถเลี้ยงตัวเองได้จากเงินที่เราได้รับจากงาน ไม่ว่าจะเป็นลักษณะสปอนเซอร์ รวมไปถึงน้องๆ ก็มีรายได้ให้กับน้องเรื่อยๆ บางทีก็ไม่ต้องขอเงินพ่อแม่ ของที่เขาอยากได้ก็ได้เงินจากเรา เรียกได้ว่ามันเปลี่ยนไปในทางที่รู้สึกว่าเราโตแล้ว ในลักษณะการเป็นครอบครัวเล็กๆ ของเราเอง



ไม่คิดเลยครับว่าจะมาไกลมาก เราถ่ายคลิปคัฟเวอร์ BLACKPINK เล่นๆ ทำเอาสะใจ เราคิดว่าบางคนทำเขาคงเบื่อไปแล้ว ต้องมานั่งเก็บรายละเอียดเป๊ะๆ แล้วอีกอย่างต้องมาคุมเด็กอีก แต่ก็คิดว่าคงเป็นเพราะความสนุก ความชอบของตัวเองแหละครับ ก็แฮปปี้ดี ดีที่ชอบงานแบบนี้ ถ้าไม่ชอบก็คงเลิกทำไปแล้ว กลายเป็นจุดหาเงินให้เราไปเลย ก็ภูมิใจครับ”

และเขายังได้สะท้อนถึงความสามารถของคนไทย ที่ไม่ได้แพ้ชาติใดแต่กลับไม่ได้รับการสนับสนุนเท่าที่ควร ทำให้หลายคนเลือกที่จะไปเติบโตในประเทศอื่นแทน

“เรื่องการสนับสนุน ผมไม่ได้รู้เบื้องหลังหรืออ่านข้อมูลการเมืองของต่างประเทศ เราก็รู้คร่าวๆ เหมือนกับคนอื่น จากที่เราเห็นก็ชัดเจนแล้วว่าประเทศที่เราติดตาม MV ของเขาเล่นใหญ่มาก เขารู้จุดขายของประเทศว่าเด็กเขาทำได้ดี เขาก็ดันเต็มที่ ซีรีส์ ศิลปิน นักร้อง ดารา K-pop แต่กับไทยทั้งๆ ที่เด็กเราก็มีศักยภาพ ไปเดที่เกาหลีก็เยอะ งานคัฟเวอร์ มีแข่งตลอด ตอนนี้ T-pop ก็มา เหมือนกับมันยังขาดการสนับสนุนจากภาครัฐ จากข้างหลังอยู่ดี มันสำคัญ ถ้าเขาช่วยต้องไปได้ไกลแน่นอน

คนเก่งในประเทศไทยผมว่ามีเยอะ คนเก่งกราฟฟิก CG เยอะมาก ที่เราเห็นในสื่อ CG แปลกๆ ผมว่าไม่ใช่เพราะเขาทำไม่ดี เหมือนค่าตอบแทนน้อยเขาก็เลยทำเท่าที่ทำได้ หรือหลายคนไปดังที่ต่างประเทศ ทีมงานคนไทยหลายคนมากที่ไปอยู่สตูดิโอดังๆ ต่างประเทศ นั่นเป็นเพราะว่าประเทศไม่สามารถตอบแทนความสามารถเขาได้จากค่าแรงขั้นต่ำหรืออะไรก็แล้วแต่



ค่าแรงขั้นต่ำหลังๆ มาเหลือหนึ่งหมื่น หมื่นสอง หมื่นห้า ด้วยซ้ำ แล้วต้องตัดต่อวิดีโอได้ ทำกราฟิก ทำรูป ทำโมชัน ล้านตำแหน่งในตำแหน่งเดียว จริงๆ มีหลายอาชีพที่เขาเก่ง ใช้ความสามารถทุ่มสุดตัว ต้นทางคือรัฐบาลจำเป็นต้องกำหนดพื้นฐานให้มันชัดเจนและสมเหตุสมผลขึ้นครับ”

สำหรับอนาคตนั้น มือตัดต่อวัย 24 ปีผู้นี้ วางไว้ว่า แฟนคลับจะได้เห็นผลงานจากเด็กเซาะกราว ที่นอกจากการคัฟเวอร์ แล้ว ยังมีคอนเทนต์อื่นๆ ให้ได้ติดตามอีกอย่างแน่นอน

“ในอนาคตเราก็คงจะเป็นเด็กเซาะกราวในรูปแบบของบริษัท เราอยากทำให้มันเกิดขึ้น แน่นอนว่า เราจะยังคงเป็น BLACKPINK ยาวไปจนกว่าเราจะทำได้ แต่เดี๋ยวนี้จะไม่ใช่แค่ BLACKPINK แล้ว จะเห็นภาพการคัฟเวอร์ ในรูปแบบอื่นๆ

ที่เห็นตอนนี้ คือ หนัง MV อาจจะเป็นเพลงวงอื่นๆ โฆษณา การ์ตูน แต่ว่ายังไม่จบแค่นี้เพราะเราไม่อยากทำแค่คัฟเวอร์อย่างเดียว เราอยากจะทำผลงานของตัวเอง อาจจะมีผู้เชี่ยวชาญหรือคนที่เขาถนัดด้านนี้ ได้ดีลกันได้อนาคต จริงๆ ก็มีมาเรื่อยๆ แต่ว่าเรายังหาจุดที่มันลงตัวอยู่

และไม่ใช่แค่มีเพลงของตัวเอง เราอยากจะทำ YouTube แต่อาจจะเป็น vlog ในลักษณะของคอนเทนต์ ไม่ใช่แค่คัฟเวอร์ จากที่ผมทำคนเดียวผมอาจจะกลายเป็นหัวหลักที่คุมคน มีครีเอทีฟ มีตากล้อง แต่เราก็ยังคงพยายามยึดคอนเซ็ปต์เดิม”



เมื่อบทสนทนาดำเนินมาถึงช่วงสุดท้าย ตัวแทนของกลุ่มเด็กไทยมากฝีมือผู้นี้ ก็ได้ฝากคำแนะนำถึงใครก็ตามที่ยังค้นหาตนเองไม่เจอ นอกจากเจ้าตัวที่ต้องพยายามแล้ว สิ่งสำคัญคือกำลังใจจากคนรอบข้าง ที่จะช่วยให้ทุกอย่างสำเร็จลุล่วงไปด้วยดีได้

“ผมว่าการหาตัวตนมันก็ยาก ผมฟลุกที่เราทำแล้วดัง คนรู้จักเยอะขึ้น ได้เงินอีก บางคนเขาหาเจอหาทางของตัวเองแล้วแต่ไม่มีเงินหรือถูกมองข้าม มันทำให้เขารู้สึกมันใช่ทางของเรารึเปล่า หรือเราทำไม่ดี

ถ้าแนะนำตัวคน อยากให้ทำให้มันสุด ทำให้เต็มที่ เริ่มต้นจากสิ่งที่ตัวเองชอบ ทุกบทสัมภาษณ์ผมพูดเสมอว่าผมทำเด็กเซาะกราว เพราะตัวเองชอบ ผมอยู่ทุกวันนี้ได้เพราะชอบ งานตัดต่อเหนื่อยมาก แต่อยู่ได้เพราะชอบ ในเมื่อเป็นตัวตนของผม

แต่ที่สำคัญคือ คนที่ซัปพอร์ต ถ้าพ่อแม่ไม่ซัปพอร์ต หรือไม่มีคนดู หยุดทำไปตั้งนานแล้วครับ คำพูดของคนรอบข้างมันสำคัญมากๆ ให้กำลังใจคนที่ทำว่าทำให้มันเต็มที่ คุยกับคนรอบข้าง แล้วก็อย่าเพิ่งยอมแพ้ กำลังใจมันสำคัญมากจริงๆ

บางคนอาจจะบอกว่าก็พูดได้สิดังแล้ว ก็จริง ดังแล้วพูดอะไรมันก็ง่ายขึ้นเพราะคนฟัง คนที่เขาเริ่มมันยาก แต่ก็อยากให้กำลังใจ เพราะถ้าเป็นงานที่เรารัก มันจะทำได้ดีและไม่เหนื่อย สุดท้ายก็ช่วยซัปพอร์ตเขาด้วย แล้วเราจะเจอทางของตัวเอง”

สัมภาษณ์โดย : ทีมข่าว MGR Live
เรื่อง : กีรติ เอี่ยมโสภณ
ขอบคุณภาพ : แฟนเพจ “Deksorkrao เด็กเซาะกราว” และ เฟซบุ๊ก “Sittichai Rakpinit”



** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **




กำลังโหลดความคิดเห็น