อาลัย “อลิส อริศรา” เน็ตไอดอลสาว ผู้จากไปอย่างไม่มีวันกลับ จากเหตุ “สำลักอาหาร” จนกลายเป็นเจ้าหญิงนิทรา แพทย์เผย หากปฐมพยาบาลคนอาหารติดคอถูกวิธี ใน 3 นาที พลิกวิกฤตเป็นโอกาสรอดได้!!
“สำลักอาหาร” อันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้
“อยากฝากเตือนวัยรุ่นทุกๆ คน ให้ดูแลสุขภาพตัวเองให้ดี กินอาหารให้ตรงต่อเวลา พักผ่อนให้เพียงพอ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่มองข้ามไม่ได้ เพราะวัยรุ่นสมัยนี้จะไม่ค่อยสนใจเรื่องสุขภาพตัวเองเท่าไหร่ เหมือนน้องอลิส ถ้าตนอยู่ด้วย คงไม่เกิดเรื่องเศร้าแบบนี้ แล้วก็ไม่อยากให้เกิดเรื่องแบบนี้กับใครหรือครอบครัวไหนอีก”
สุพิชา อัลเลน ได้กล่าวถึงการสูญเสียครั้งสำคัญของครอบครัว เมื่อ “อริศรา กาพย์เดโช” หรือ อลิสเน็ตไอดอลชื่อดัง ผู้เป็นลูกสาวของเธอ จากไปอย่างไม่มีวันกลับ ในวัย 28 ปี ด้วยสาเหตุ “สำลักสิ่งแปลกปลอมในทางเดินหายใจ” ท่ามกลางความเสียใจของครอบครัวและบรรดาแฟนคลับ
[ สุพิชา อัลเลน ผู้เป็นแม่ของเน็ตไอดอลสาว ]
แม่ของเน็ตไอดอลผู้ล่วงลับ กล่าวว่า ตนมีลูกชาย 2 คน ลูกสาว 1 คน อลิสเป็นลูกคนกลาง ลูกสาวทำงานหนักและพักผ่อนไม่เป็นเวลา ในวันเกิดเหตุ น้องหิวข้าว พี่ชายจึงไปซื้อข้าวเหนียวหมูปิ้งมาให้ ด้วยความหิวอาจจะทำให้น้องรีบรับประทานเร็วเกินไป ทำให้สำลักอาหารจนไปติดที่หลอดลม จึงรีบนำตัวส่งโรงพยาบาล
ตอนแรกตนก็ไม่คิดว่าจะเป็นอะไรมาก ถึงมือหมอเดี๋ยวก็คงหาย แต่คุณหมอแจ้งว่า มาถึงช้าไปประมาณ 9 นาที ทำให้ขาดอากาศหายใจ และกลายเป็นเจ้าหญิงนิทรา ต้องรักษาตัวนานกว่า 2 เดือน ก่อนจะเสียชีวิต
สำหรับกำหนดการสวดอภิธรรมศพ จะมีขึ้นเป็นเวลา 5 คืน ที่ศาลา 4 วัดบัวขวัญพระอารามหลวง อ.เมือง จ.นนทบุรี และจะมีพิธีฌาปนกิจในวันที่ 10 มิถุนายน 2565 เวลา 17.00 น.
ทั้งนี้ ชื่อของ “อลิส อริศรา”กลายเป็นที่รู้จักบนโลกโซเชียลฯ จากการเป็นเน็ตไอดอล และนางแบบสไตล์น่ารักเซ็กซี่ โดยเธอมีผู้ติดตามเฟซบุ๊ก Arisara Karbdecho (Alice) ราว 1 ล้านคน และอินสตาแกรม @alicebambam มีผู้ติดตามถึง 1.5 ล้านคน
และในปี 2558 เธอยังเคยเจอมรสุมดรามา วิจารณ์เรื่องรูปร่างอย่างหนัก ก่อนที่ “เชน-ธนา ลิมปยารยะ” อดีตนักร้อง นักแสดง ที่ผันตัวมาเป็นนักธุรกิจ ได้เสนอให้เงิน 100,000 บาท ต่อการลดน้ำหนัก 1 กิโลกรัม โดยเธอได้ออกกำลังกายและสามารถลดน้ำหนักไปถึง 7 กิโลกรัม ภายใน 22 วัน รับเงินไป 700,000 บาท
โอกาสเป็น-ตาย อยู่ใน 3 นาที
จากเหตุการณ์ความสูญเสียที่เกิดขึ้น ก็ทำให้ผู้คนในสังคมเกิดความตระหนักถึงอันตรายจากการสำลักอาหาร ที่อันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ทีมข่าว MGR Live ได้ขอความรู้จาก “หมอกอล์ฟ-นพ.สิทธา ลิขิตนุกูล” แพทย์สังคมสื่อสารเพื่อคุณธรรม เจ้าของเพจ “คุณหมอสตอรี่”
หมอกอล์ฟ อธิบายว่า การสำลักอาหารสามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกช่วงวัย และหากช่วยเหลือได้ไม่ทัน ก็มีโอกาสเสียชีวิตได้ ภายใน 3 นาที
[ หมอกอล์ฟ เจ้าของเพจ “คุณหมอสตอรี่” ]
“เรื่องของการที่อาหารติดคอแล้วเสียชีวิต ส่วนใหญ่เข้าใจว่าจะเกิดในวัยสูงอายุ ไม่ใช่ สามารถเกิดได้ทุกเพศทุกวัยครับ มักจะเป็นในขณะที่กินไปคุยไป หรือว่าบางทีเกิดจากการที่รีบกินเกินไป ที่มักจะสำลักกันจะเป็นพวกธัญพืช ลูกชิ้น ลูกกวาด ลูกอม
ปกติแล้ว ถ้าอาหารหรืออะไรก็ตามอุดตันหลอดลม อุดตันขั้วปอด แล้วออกซิเจนไปไม่ถึงสมอง ภายใน 3 นาที โอกาสที่จะเสียชีวิตเป็นไปได้ง่าย
เขามีกฎเลข 3 ให้จำ ถ้าเกิดเราขาดอาหาร เราขาดได้ 3 สัปดาห์ ถ้าขาดน้ำขาดได้ไม่เกิด 3 วัน และถ้าเกิดขาดอากาศไม่ควรเกิน 3 นาทีครับ
ของคุณอลิสอาจจะไม่ได้อุดตันเต็มที่ 100 เปอร์เซ็นต์ เพียงแต่ว่า 9 นาที ถึงจะไปโรงพยาบาล สมองขาดออกซิเจนไปบางส่วน แล้ว ถ้าส่วนที่ขาดมันเกี่ยวข้องกับการเรียนรู้ เกี่ยวกับเรื่องของการหลับ การตื่น ก็ทำให้มีผลในเรื่องของการที่เขาเป็นเจ้าหญิงนิทราครับ”
[ วิธีช่วยเหลือผู้ป่วยสำลักอาหาร ด้วยการสอดมืออ้อมด้านหลังและกระทุ้งใต้ลิ้นปี่ ]
สำหรับวิธีช่วยเหลือเบื้องต้น หากตนเองหรือคนใกล้ตัวมีอาการสำลักอาหาร คุณหมอท่านเดิม กล่าวว่า หากยังมีสติให้ลองกระแอมออกมาก่อน และทำตามขั้นตอนตามบรรทัดต่อจากนี้
“อาการเตือนเบื้องต้นของคนที่อาหารอุดตัน คือ กินแล้วอยู่ดีๆ รู้สึกสำลัก ถ้าเป็นน้อยๆ ยังพอไอ กระแอมได้ ยังรู้ตัว หรือถ้าเป็นหนัก คนที่อุดตันมากๆ แม้กระทั่งจะพูดก็ไม่ออก ไอก็ไม่ได้ หน้าจะเขียว ถ้าเป็นเยอะๆ จะหมดสติ
แนะนำอย่างนี้ดีกว่า ถ้ามีคนช่วย ก็ให้คนช่วยอ้อมด้านหลัง แล้วเอามือกระทุ้งขึ้นมาบริเวณใต้ลิ้นปี่ ดันเป็นเซต เซตละ 5 ครั้ง ในเด็กถ้าเกิดเด็กตัวเล็ก จะต้องอุ้มพาดบ่า แล้วเอามือเคาะบริเวณสะบัก มันจะเป็นคนละท่ากันครับ
แต่ถ้าอยู่คนเดียวแล้วเกิดอาหารติดคอ ทำยังไง อาจจะต้องพยายามกระแอมออก ถ้ากระแอมแล้วไม่ออก สำคัญที่สุดถ้ายังมีสติอยู่ ยังไม่หมดลม โทร.1669 เรียกสายฉุกเฉินให้เขามาช่วย หรือไม่ก็อาจจะต้องเปิด video call โทร.หาคนที่เราไว้ใจ เขาอาจจะช่วยเราได้”
[ วิธีช่วยเหลือตัวเองด้วยเก้าอี้ กรณีอยู่ตามลำพัง ]
สุดท้าย แพทย์สังคมสื่อสารเพื่อคุณธรรม ได้ย้ำว่า การมีความรู้เรื่องปฐมพยาบาลเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์อย่างมาก และควรบรรจุลงในหลักสูตรของเด็กตั้งแต่ประถมวัย หากช่วยเหลือได้ถูกวิธีจะเป็นการลดความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นได้
“สำคัญคือ เวลาจะกินอาหารนะครับ เคี้ยวให้ละเอียด ไม่กินไปพูดไป และผมคิดว่าวิชาใดก็ตามที่เราเรียนอยู่ในปัจจุบัน ถ้าเราเก่งหรือมีความสามารถอะไรต่างๆ ก็ตาม แต่ถ้าเรากู้ชีพหรือกู้ภัยตัวเอง หรือแม้กระทั่งคนรอบข้างไม่เป็น ผมถือว่าคุณสอบตกวิชาชีวิตครับ
เพราะฉะนั้น การฝึก CPR การฝึกช่วยคนเวลาที่อาหารอุดตันหลอดลม ถือว่าเป็นอีกหนึ่งหลักสูตรที่น่าสนใจ ที่ควรจะบรรจุในวิชาสุขศึกษาของเด็กประถมด้วยซ้ำครับ”
ข่าวโดย : ทีมข่าว MGR Live
ขอบคุณภาพและข้อมูลเพิ่มเติม : เฟซบุ๊ก Arisara Karbdecho (Alice) และ “มูลนิธิหมอชาวบ้าน”
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **
