เปิดใจ “น้ำ-กันต์นที” จากแอร์โฮสเตส สู่กูรูน้ำมันหอมระเหยตัวแม่ เผย มหัศจรรย์แห่งกลิ่น เป็นทั้งศิลป์และวิทยาศาสตร์ “เปลี่ยนบรรยากาศ-บำบัดจิต-กระตุ้นความทรงจำ”
“สิ่งสุดท้ายที่เราจะลืมคือกลิ่น”
“ทุกอย่างในชีวิตมันพลิกไปพลิกมาตลอด จบกฎหมาย ไปเป็นแอร์ฯ แล้วพอมาเป็นแอร์ฯ เราทำไป 6 ปี โควิดก็มา ก็เลยต้องหาอย่างอื่นทำ เพื่อที่จะประคองชีวิตกันไป เพราะในสถานการณ์ตอนโควิดมันบินไม่ได้เลยแบบ 100 เปอร์เซ็นต์
น้ำ ก็มองว่า เราชอบเรื่องกลิ่น ก็เลยลองเอาเรื่องกลิ่นมาสอน ก็เลยได้คลาสนี้ออกมา Qraft by AQUA เป็นเวิร์กชอปที่สอนหลักการปรุงกลิ่นโดยเฉพาะค่ะ
มีนักเรียนที่ติดโควิดแต่หายแล้ว เขาบอกว่า อยากเรียนมาก เพราะตอนที่เขาไม่ได้กลิ่น เขารู้สึกแย่มาก ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้นไม่เคยรู้เลยว่ากลิ่นสำคัญขนาดไหน จนสุดท้ายตอนที่เขาไม่ได้กลิ่นขึ้นมา ก็รู้แล้วว่า ไม่ได้กลิ่นมันก็แย่นะ
กลิ่นมันอาจจะเป็นเซนส์ที่เบาบางที่สุด ดูจะไม่สำคัญ แต่ถ้าไม่มีแล้ว มันก็ขาดรสชาติชีวิตไปได้เหมือนกัน”
หญิงสาวผมสั้นสีชมพู ผู้มาพร้อมรอยยิ้มอันสดใส ที่กำลังนั่งอยู่เบื้องหน้าทีมข่าว MGR Live คือ กันต์นที นีระพล ลิ้มวิรัตน์ หรือ น้ำ แอร์โฮสเตสสายการบินชื่อดัง และเจ้าของ Qraft by AQUA สตูดิโอเวิร์กชอปเรื่องกลิ่นจากน้ำมันหอมระเหยกว่า 60 กลิ่น หนึ่งเดียวในไทย
บทสัมภาษณ์นี้ จะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับ “กลิ่น” 1 ในประสาทสัมผัสทั้ง 5 ที่ไม่สามารถมองไม่เห็นด้วยตา แต่สัมผัสได้จากการดอมดม จากการถ่ายทอดของกูรูเรื่องกลิ่นวัย 33 ปี
หายใจเข้าให้ลึก และดำดิ่งไปกับเรื่องราวแห่งกลิ่นไปพร้อมๆ กัน ตามบรรทัดต่อจากนี้ ...
“เราเป็นที่แรกๆ ที่เน้นสอนเรื่องกลิ่นมากกว่าการสอนเป็น product ตัวน้ำเองก็อยากให้คนรู้จักเยอะขึ้นในเรื่องของกลิ่น ว่า มันไม่ใช่แค่การทำน้ำหอมเท่านั้น จริงๆ แล้ว กลิ่นอยู่ในชีวิตประจำวันของเราแทบจะทุกอย่าง ตั้งแต่ตื่นเช้า เราได้กลิ่นกาแฟมาก่อน อาบน้ำก็มีกลิ่นสบู่ กลิ่นยาสระผม
หรืออาจจะทำให้คนประทับใจ เช่น การใช้กลิ่นเพื่อเรียกลูกค้าของ Starbucks หรือ MUJI เขาจะมีการพ่นกลิ่นเอาไว้ จริงๆ มันก็เป็น Sensory Marketing (การทำการตลาดของแบรนด์ผ่านทางสัมผัสทั้ง 5) อีกอย่างเช่นกัน ก็เลยอยากให้ทุกคนมองภาพกว้างของกลิ่นมากขึ้น นอกจากการเป็นน้ำหอม มันยังเป็นได้อีกหลายอย่างมากๆ”
ในต่างประเทศ มีการศึกษาและนำประโยชน์ของกลิ่นมาใช้ในการแพทย์มาช้านาน โดยเฉพาะเรื่องของการบำบัดและกระตุ้นความทรงจำ
“กลิ่น นอกจากจะทำน้ำหอมได้ หลายๆ ที่ก็ใช้กลิ่นในการบำบัดได้ด้วย การบำบัด คือ ช่วยรับมือกับอาการต่างๆ เช่น โรค Anxiety วิตกกังวล หรือ Depression อาการซึมเศร้า ทางตะวันตกเขาก็มีการใช้กลิ่นไปช่วยในด้านนั้นของผู้ป่วยได้จริงๆ
แม้กระทั่งผู้ป่วยอัลไซเมอร์ (Alzheimer) กลิ่นมันเป็นเรื่องเกี่ยวกับประสบการณ์และความทรงจำ บางความทรงจำลืมไปหมดแล้ว แต่กลิ่นมันเรียกกลับมาได้ เขาก็เอาเรื่องของกลิ่นมาช่วยรักษาอาการอัลไซเมอร์ของผู้ป่วยได้เช่นกัน
น้ำจำไม่ได้ว่าไปอ่านจากที่ไหน เขาบอกว่า ในประสาทสัมผัสทั้ง 5 สิ่งแรกที่คนเราจะลืม คือ เสียง สมมติว่า เราไม่ได้เจอคนๆ นึงนานๆ เราจะจำเสียงเขาไม่ได้แบบ 100 เปอร์เซ็นต์ เสียงจะหายไปก่อน แล้วสิ่งสุดท้ายที่เราจะลืม คือ กลิ่น เพราะกลิ่นมันอยู่ในสมองเรา
จะมีสมองอยู่ส่วนนึงที่ทำงานร่วมกับกลิ่น และความทรงจำ มันชื่อว่า Limbic System จะเป็นส่วนที่กักเก็บความทรงจำระยะยาวเอาไว้ มันก็เลยทำให้ทุกครั้งที่ได้กลิ่น สมองส่วนนี้จะเรียกความทรงจำกลับมาได้ เพราะฉะนั้น ไม่ว่าเราจะอยากลืมใครแค่ไหน แต่กลิ่นจะช่วยให้เราจำเขากลับมาได้ มันเป็นเรื่องสุดท้ายที่คนจะลืม”
หยุดบินมาเดินตามกลิ่น
ย้อนกลับไปในวัยเด็ก เธอเติบโตมาท่ามกลางกลิ่นดอกไม้ จากร้านดอกไม้ของครอบครัวใน จ.กาญจนบุรี แต่ด้วยความที่ต้องคลุกคลีกับกลิ่นเหล่านี้จนเคยชิน ในตอนนั้นจึงไม่รู้สึกถึงความพิเศษอะไร รู้แต่เพียงว่า ตนเองมีประสาทสัมผัสเรื่องกลิ่นที่ค่อนข้างไว หรือเรียกง่ายๆ ว่า เป็นคนจมูกดี
“ตั้งแต่เด็กๆ น้ำโตมากับร้านดอกไม้ของคุณแม่ เป็นร้านดอกไม้อยู่ต่างจังหวัด ตั้งแต่ดอกไม้สด ดอกไม้แห้ง ทำงานแต่ง งานศพ ขึ้นบ้านใหม่ มีทุกอย่าง ในความเป็นเด็ก ก็จะรู้ว่ากลิ่นลิลลี่จะมีแบบนี้ กลิ่นกุหลาบจะเป็นแบบนี้ บางทีแม่ขนดอกไม้เข้ามาในบ้าน ยังไม่ทันเห็น เราก็จะจำกลิ่นของมันได้ก่อนค่ะ
ณ ตอนนั้น เราเด็กมาก อย่างที่บอกว่าเป็นคนที่จมูกค่อนข้างไวในการแยกประสาทสัมผัสเรื่องกลิ่น เรารู้ว่ากลิ่นนี้มันคือดอกอะไร ดอกนี้มีกลิ่นแบบไหน เราแยกได้ แต่เราไม่เคยรู้ ไม่ได้สนใจเป็นพิเศษ แล้วมันก็ไม่มีอะไรให้ศึกษาด้วย แต่เราจะมีความรู้สึก เช่น เวลาเราได้กลิ่นกุหลาบ เราจะรู้สึกว่ามันหอมจัง เรามีความสุขกับกลิ่นเขา หรือดอกบางดอกเราไม่ชอบ
เหมือนเราเริ่มรู้ว่าเรื่องกลิ่นมันมีเรื่องเกี่ยวกับความทรงจำ กับประสบการณ์ของคนได้ มันส่งผลต่ออะไรสักอย่าง อาจจะเป็นจิตใจ ร่างกาย หรือสมอง ซึ่งตอนนั้นเราไม่รู้ พอโตขึ้นหลังจากที่ไม่ได้อยู่กับร้านดอกไม้คุณแม่แล้ว ทุกครั้งที่เราได้กลิ่นเดิมที่เราเคยได้จากร้านแม่ เราก็จะหวนกลับไปนึกถึงตอนเด็กๆ ที่เราช่วยแม่ทำงาน ที่อยู่กับร้านดอกไม้ของแม่ค่ะ”
เมื่อถึงวัยที่ต้องศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา น้ำเลือกที่จะเรียนทางด้านนิติศาสตร์ ตามคุณพ่อที่ทำงานด้านกฎหมาย แต่เมื่อได้ลองสัมผัสแล้ว กลับพบว่า เส้นทางนี้ไม่ใช่ตัวตนของเธอ จึงตัดสินใจเบนเข็มมาเดินตามความฝัน คือ การเป็นพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน หรือ แอร์โฮสเตส ในเวลาต่อมา
“คุณพ่อทำงานด้านกฎหมายค่ะ เด็กต่างจังหวัดมันไม่ค่อยมีต้นแบบเยอะ เรารู้จักอาชีพแค่ไม่กี่อาชีพ เราก็มองใกล้ตัวที่สุด ก็เห็นว่าพ่อเขาจบกฎหมายมา เขาก็พยายามเข้าให้ได้ตามเขา ตอนแรกๆ ก็โอเค เรียนไปเรียนมาก็เริ่มรู้แล้ว ไม่ค่อยเหมาะกับเราเท่าไหร่ เรียนได้แต่ไม่ได้ชอบ ก็เข็นตัวเองให้มันจบให้ได้ สุดท้ายก็จบมาได้
ก่อนที่จะอยากเรียนกฎหมาย ใจเราชอบภาษามากกว่าอยู่แล้ว ตั้งแต่เรียนจบ เรามุ่งมั่นว่าอยากเป็นแอร์ฯ แต่การสมัครแอร์ฯ มันไม่ใช่แค่สมัครแล้วมันได้เลย ระหว่างทางก็สมัครงานอื่นไปด้วย แล้วได้งานที่สถานทูต (สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกา) ได้ไปทำในฝ่ายกงสุลที่ทำวีซ่า เป็นงานเกี่ยวกับงานบริการพอดี เหมือนเราได้ฝึกฝนไปด้วย
ทำงานที่สถานทูตประมาณ 1 ปีครึ่ง สมัครแอร์ฯ ครั้งสุดท้ายที่ได้ คือ ครั้งที่ 13 เราก็กะว่า ถ้าไม่ได้รอบนี้ก็น่าจะไม่สมัครแล้ว เพราะอายุก็ 23 จะ 24 ถ้าไม่ได้ก็คงไม่ใช่แล้ว พอดีมันได้ก็โอเคที่ได้ จังหวะมันได้พอดี
เป็นแอร์ฯมาถ้านับถึงปัจจุบันก็ 8 ปีแล้วค่ะ แต่ตอนบินจริงๆ คือ 6 ปี เพราะว่าหยุดโควิดมา 2 ปี หลังจากที่บริษัทมีการเอาพนักงานออกครึ่งนึง เขาคัดตามคะแนนตอนที่บิน ก็ถือว่าตัวเองโชคดีตรงที่ทุกครั้งที่เราออกไปบิน เราทำเต็มที่ คะแนนที่ได้ออกมามันก็เป็นผลพิสูจน์ว่าสิ่งที่ตั้งใจทำไป มันก็ส่งผลกลับมา ตอนนี้เราก็เป็นพนักงานของบริษัทอยู่ แต่ว่าไม่รับเงินเดือนค่ะ”
ตลอดเส้นทางชีวิตที่ดำเนินไป ก็มีเหตุการณ์ให้หวนกลับมาวนเวียนในเรื่องราวแห่งกลิ่นครั้งแล้วครั้งเล่า
“ก่อนหน้านี้ เราก็เฉยๆ ไม่ได้สนใจมากขนาดนั้น จนแต่งงานแล้วทำของชำร่วยเอง น้ำทำเป็นสบู่น้ำมัน แล้วมันต้องมีการใส่กลิ่นลงไป ไปใช้ตัว Fragrance Oil ที่เป็นการสังเคราะห์ขึ้นมาจากเคมี มันเจ็บจมูกมาก เวียนหัวมาก ดมไม่ได้เลย เคยนั่งทำอยู่ 3- 4 วันแรก จะไม่เป็นอะไร พอเริ่มวันที่ 5 วันที่ 6 นั่งอยู่เฉยๆ แล้วเลือดกำเดาไหล เราเลยรู้สึกว่าไม่ได้แล้ว
[ สบู่ทำเอง ของชำร่วยในงานแต่งงาน ]
ปกติน้ำเป็นไซนัสอยู่แล้ว ด้วยความที่จมูกเราอาจจะละเอียดมั้ยไม่แน่ใจ ตอนที่ทำสบู่มันต้องใช้หัวเชื้อ เปิดทิ้งไว้เฉยๆ แทบจะไม่ได้ดมเลย แต่มันเข้าไปเรื่อยๆ เลือดกำเดามันไหลออกมา เราก็โห… อันตรายจังเลย เราไม่รู้ว่ามันแรงขนาดนั้น พอเลือดกำเดาไหล ก็เลยเลิกใช้ Fragrance oil มาใช้ตัว Essential oil แทน ซึ่งมันมาจากธรรมชาติ มันจะมีความแตกต่างกัน
หลายคนจะเข้าใจว่า ไซนัสมันจะทำให้ประสาทสัมผัสทางจมูกเพี้ยนไป น้ำเป็นแต่พยายามจะรักษาให้มันเป็นได้น้อยที่สุด ไม่ได้เป็นขั้นรุนแรงมาก แล้วพอมาเป็นเรื่องของ Essential oil บางตัวมันก็ช่วยเรื่องไซนัสได้ด้วยนะคะ ช่วยในเรื่องการแก้ปวดหัว ช่วยไซนัส เราก็เลยค่อนข้างอยู่กับเขาได้นาน”
จากการได้ลองทำสบู่เพื่อเป็นของที่ระลึกในงานแต่งงานของตนเองในครั้งนั้น เสน่ห์ของ Essential oil หรือ น้ำมันหอมระเหย ก็เย้ายวนให้ น้ำ หันมาสนใจในเรื่องราวของกลิ่นแบบถอนตัวไม่ขึ้น จนถึงขั้นลองเวิร์กชอปเรื่องกลิ่นอย่างจริงจัง และมีน้ำมันหอมระเหยกลิ่นต่างๆ จากทั่วโลกเป็นของสะสม
“พอจบกระบวนการการทำสบู่ไป มันก็ยังมีความรู้สึกตกค้างกับสิ่งนี้อยู่ มันดูน่าสนใจจังเลย แล้วพอเอาอันนี้มาผสมอันนี้แล้วมันมีกลิ่นใหม่ขึ้นมา ประมาณ 4 ปีที่แล้ว ตอนนั้นไปบินที่ลอนดอนแล้วไปเจอเวิร์กชอปเล็กๆ ฝรั่งสอน ก็ไปนั่งเวิร์กชอปกับเขา รู้สึกว่า โห… ชอบมากเลย โลกมันกว้างมาก น่าสนใจมาก
[ หนังสือเกี่ยวกับน้ำมันหอมระเหย หนึ่งในของสะสม ]
ตอนนั้นได้เทคนิคมาว่า เราจะทำยังไงให้แต่ละกลิ่นมันผสานกันได้ดี แล้วก็ได้เรียนรู้เรื่อง Top Middle Base เรื่องพื้นฐานทั่วไป มีเรื่องที่น่าสนใจเยอะมาก มีขั้นจริงจังว่า เราไปหาหนังสือเกี่ยวกับ Essential oil ตามต่างประเทศ เพราะในเมืองไทยหายากมาก มันก็เลยเป็นจุดเริ่มต้นที่เราซื้อหนังสือมาสะสม เราก็เริ่มจริงจังขึ้น เริ่มซื้อตำรามานั่งอ่าน
ตั้งแต่ตอนนั้นมาก็เลยเริ่มสะสมน้ำมันหอมระเหย เนื่องจากว่าในแต่ละที่ กลิ่นเดียวกัน แต่ละที่กลิ่นไม่เหมือนกัน ลาเวนเดอร์ประเทศนี้กลิ่นเป็นแบบนี้ ลาเวนเดอร์อีกประเทศนึงกลิ่นเป็นแบบนึง ก็ซื้อมาลองเปรียบเทียบกัน
พอได้หนังสือ ได้น้ำมันมาก็เริ่มทำนู่นทำนี่ เราก็เริ่มหาข้อมูลเพิ่มขึ้นแล้วว่าประเทศนี้มีกลิ่นไหนดี ซื้อกลับมา ประเทศนั้นอันนี้ดี ลองซื้อกลับมา มันก็เลยกลายเป็นของสะสม ก็เริ่มมาจากตอนนั้นเลยค่ะ
ไม่เคยรู้ด้วยซ้ำว่ามันเป็นเรื่องที่พิเศษยังไง แทบจะไม่มีคนพูดถึงเรื่องการใช้กลิ่นอย่างจริงจังมาก่อน เราก็ไม่เคยรู้เลยค่ะว่ามันมีการเรียนการสอนรึเปล่า เราแค่ชอบเท่านั้นเลย แล้วก็มารู้ตัวจริงๆ ตอนโตแล้ว มันมีเรื่องที่เขาศึกษากันอยู่จริงๆ”
“Qraft by AQUA” เวิร์กชอปกลิ่น หนึ่งเดียวในไทย
จากความสนใจในเรื่องของกลิ่นและเก็บเกี่ยวความรู้มาพอสมควร ประกอบกับสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ที่เกิดขึ้น ก็เป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้สตูดิโอ Qraft by AQUA ถือกำเนิดขึ้นมา
“ตอนที่หยุดบินช่วงเดือน มี.ค. 2020 ช่วงที่ประเทศเริ่มปิด มันก็บินต่อไม่ได้ ประกอบกับว่า บริษัทเขาก็ขอให้เราช่วยไม่รับเงินเดือน เราก็เลย leave without pay หลังจากนั้น ก็ต้องมาหาอะไรทำ เงินเก็บมันค่อยๆ ร่อยหรอลงไปเรื่อยๆ การหาเงินมันยากขึ้น มีเย็บหน้ากากผ้าขาย ขายนู่นขายนี่บ้างเล็กๆ น้อยๆ เพื่อที่จะมีเงินมาใช้จ่าย เพื่อที่จะต่อยอดชีวิตตัวเองไปได้
[ เย็บหน้ากากผ้าขายเป็นรายได้เสริม ]
เราก็มองว่า ในไทยยังไม่มีใครสอนเรื่องกลิ่น ส่วนใหญ่เขาจะสอนเป็น product สอนทำเทียน สอนทำสบู่ ทำกระเป๋า ตัวเราเป็นคนที่ชอบไปเรียนอะไรพวกนี้อยู่แล้ว แต่เรื่องกลิ่น เรื่องพื้นฐานไม่มีใครสอน ก็เลยลองดูดีกว่าจากของสะสมเรานี่แหละออกมาสอน ตอนแรกอาจจะมีแค่ประมาณ 30 ชิ้น แล้วเราก็อยากให้มันมีเพิ่มขึ้น ก็เลยไปหาเพิ่มเติมมา
บางตัวก็ได้มาจากในไทยก็มี แต่ส่วนใหญ่แล้วจะมาจากทั่วโลกที่เราไปมา ก็จะ shipping เข้ามา น้ำมันหอมระเหยพวกนี้มาจากธรรมชาติล้วนๆ จะต้องอยู่ในภาชนะที่เป็นแก้วและมีสีที่ค่อนข้างทึบ ถ้าเจอความร้อนเยอะก็ทำให้กลิ่นหายไปไวขึ้น ระยะเวลาของเขาจะอยู่ได้ 3-5 ปี ถ้าถามว่ามันเริ่มต้นได้ยังไง จริงๆ ก็เพราะโควิดด้วยที่ทำให้ตัดสินใจได้ทันทีว่าทำดีกว่า”
สำหรับสตูดิโอแห่งนี้ มีการเปิดเวิร์กชอปเรื่องกลิ่นมาได้ราว 1 ปีกับอีก 7 เดือน โดยมีเนื้อหาการสอนเริ่มต้นตั้งแต่ กลิ่นคืออะไร และช่วยนักเรียนปรุงน้ำหอมตามแบบฉบับของแต่ละคน
[ บรรยากาศการเรียนการสอน ]
“เนื้อหาการสอน เราจะเน้นไปในเรื่องของกลิ่นโดยเฉพาะ เราก็จะมีการเล่าให้ฟังเริ่มต้นว่ากลิ่นคืออะไร หัวน้ำหอมบนโลกมีกี่แบบ หลังจากนั้น ทุกคนจะได้ดมกลิ่นกัน ในคลาสก็จะมีกลิ่น 60 กลิ่นพื้นฐาน เจอชื่อพวกนี้บ่อยๆ ในน้ำหอม
พอดมกลิ่นเสร็จก็จะอธิบายในแต่ละตัว กลิ่นนี้ช่วยอะไร เราจะมีชีทสรุปให้ ทำอันนี้แล้วจะได้ความรู้สึกแบบไหน พอเสร็จแล้วก็จะเป็นการลองให้เขาปฏิบัติ หลังจากนั้น ทุกคนจะได้ทำน้ำหอมเป็นของตัวเองกัน ซึ่งเราจะเป็นคนดูแลให้ เราจะไม่มีการมากำหนดว่าอันนี้ถูก อันนี้ผิด อันนี้ใช่ อันนี้ไม่ใช่ เพราะว่ากลิ่นมันเป็นเรื่องของประสบการณ์และความทรงจำของแต่ละคน
บางคนดมกลิ่นเดียว คนนึงว่าหอม อีกคนว่าไม่หอมก็มี เพราะฉะนั้นเป็นเรื่องที่ปัจเจกมากๆ เป็นเรื่องเฉพาะบุคคลมากๆ เราก็เลยจะไม่มีการบอกว่าเรื่องนี้ถูกหรือผิด แต่เราจะเป็นคนดูแลให้ว่า สิ่งไหนมันควรจะไปด้วยกัน อาจจะแก้ แก้ยังไง เหมือนเราเป็นไกด์นำทางให้เขามากกว่าค่ะ
เราจะพยายามให้ได้ทุกเสาร์-อาทิตย์ เพราะคนก็จะว่างเสาร์-อาทิตย์กันเยอะ ก็จะพยายามให้ได้เดือนละ 10 คลาส แต่ก็จะเยอะตามจังหวะเวลาของมัน เดือนนี้มากสุด 25 คลาส ต้องหยุดรับแล้ว ตอนนี้ยังมีคนทักมา เราสอนไม่ไหว เพราะถ้าเราพลังหมดก็เริ่มสอนไม่สนุก เราก็อยากให้ตัวเราไหวด้วย และคนที่มารับเขาได้รับไปเต็มที่ด้วย”
ในส่วนของนักเรียนที่มานั้น มีมากมายหลากหลายประเภท ทั้งคนที่ต้องการนำไปต่อยอดกับอาชีพของตน คนที่มาเรียนเพราะสนใจ รวมไปถึงคนที่หากิจกรรมทำในยามว่าง
“ส่วนใหญ่จะเซอร์ไพรส์ไปเรื่อยๆ เราเจอหลายอาชีพ สถาปนิกมาเรียนเพื่อออกแบบกลิ่นให้ลูกค้า ทำให้การออกแบบบ้านของเขามันดีขึ้น เรามีคุณหมอมาเรียนค่อนข้างเยอะ ถามไปถามมา สอนหมออีกแล้ว แต่คุณหมอส่วนใหญ่ไม่ได้เอาไปทำอะไรนะคะ เขาอยากเรียนเฉยๆ เครียด เหนื่อย ก็มานั่งเรียนกัน
ล่าสุด มีคุณหมอศัลยกรรมมาจากเชียงใหม่ เขาบอกว่า เวลาคนไข้ตื่นเต้น อยากให้กลิ่นทำให้ใจเขาเต้นช้าลง ให้เขาสงบลงได้ มีรึเปล่า บางกลิ่นมันช่วยได้ จะเป็นโซน Earthy เป็นกลิ่นธรรมชาติที่ให้ความรู้สึกเย็น สงบ เช่น พวกกลิ่นของ Cedar Wood ซึ่งมีวิจัยออกมาว่า กลิ่นของเขาทำให้ slow down ทำให้รู้สึกหัวใจเต้นช้าลงได้ แต่มันอาจจะไม่ได้ช่วย 100 เปอร์เซ็นต์ขนาดนั้น เพราะคนตื่นเต้นยังไงก็ตื่นเต้น (หัวเราะ)
แล้วก็จะมีไปถึงหมอดูมาเรียนเพื่อไปทำน้ำมันเจิม เขาบอกว่าเขาอยากทำน้ำมันที่กลิ่นไม่เป็นศาสนาขนาดนั้น อยากให้มันดูเป็นกลิ่นที่น่ารักหน่อย ก็สนุกดีค่ะเวลาได้สอน ได้เห็นอาชีพที่หลากหลาย”
กูรูน้ำมันหอมระเหย ยอมรับว่า ยากไม่น้อยสำหรับการย่อยสิ่งที่จับต้องไม่ได้อย่างเรื่องกลิ่น ให้ออกมาเข้าใจง่ายและเป็นรูปธรรม
“ยากนะคะ ถ้านักเรียนไม่เปิดใจ ถ้าเขายังมีความหอมคือหอม เหม็นคือเหม็น อันนี้จะยาก แต่ก็สนุกไปอีกแบบนึง เพราะเราก็ได้จากนักเรียนมาเหมือนกัน คนนี้บอกว่ากลิ่นนี้เหมือนอันนี้ เราไม่เคยรู้สึกเลย เราก็เอาอันนี้ไปสอนต่อ คลาสต่อไปคนนี้อาจจะรู้สึกอีกแบบนึง เราก็ได้ประสบการณ์จากนักเรียนมาด้วย
แต่ทุกครั้งเราจะบอกนักเรียนว่าอยากให้สนุกไปกับเขา ไม่อยากให้มองว่ามันมีแค่กลิ่นหอมกับกลิ่นเหม็น แต่อยากให้มองว่า กลิ่นมันมีหลายรูปแบบ และมันไปเรียกความทรงจำของแต่ละคนออกมาได้คนละแบบ มันก็เป็นนามธรรมจริงๆ แล้วมันก็เป็นเรื่องเฉพาะบุคคล
เรื่องของกลิ่นสำหรับเรา รู้สึกว่า มันเป็น 2 ศาสตร์ที่มารวมกัน ความเป็นวิทยาศาสตร์ในตัวเขามันเกิดจากโมเลกุล แต่เรื่องความชอบหรือความไม่ชอบ เรื่องการที่จะทำกลิ่นออกมาของบุคคล มันเป็นเรื่องของศิลปะ”
สู่งานเขียน “Nose Note บันทึกเรื่องกลิ่นจากปลายจมูก ฝนตกข้างบ้าน ถึงจักรวาลอันไกลโพ้น” “เราเป็นคนชอบเขียนอะไรยาวๆ เอาไว้ในแพลตฟอร์มของเรา ตอนที่สำนักพิมพ์ Avocado books เขามานั่งเรียน เขาก็บอกว่าเป็นคนเล่าเรื่องสนุกมาก อยากลองเขียนมั้ย เราก็บอกไม่รู้จะเขียนอะไรเพราะเรื่องแอร์ฯ ก็มีคนเขียนไปแล้ว เรื่องกฎหมายไม่รู้จะเขียนอะไร เรื่องชีวิตเราใครจะไปอ่าน เขาก็บอกว่าลองเขียนเรื่องกลิ่นดูสิ เขาก็ให้ลองเขียนเรื่องราวในคลาส คลาสไหนที่รู้สึกชอบมาก รู้สึกประทับใจมาก ลองเขียนเล่าออกมา เราก็เขียนๆๆ ส่งให้เขาอ่าน 1 บท เขาก็บอกว่า ดีมาก เขียนเรื่องให้ใหญ่กว่านี้หน่อยได้มั้ย เริ่มจากคลาสก็ขยายไปกว้างขึ้น เช่น เรื่องเกี่ยวกับกลิ่นบนโลกใบนี้ ลองหามาให้หน่อย เราก็เกาหัวเลยเพราะก็ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง ก็ค่อยๆ เริ่มจากความสนใจของตัวเองก่อน มีโพสต์ถามเพื่อนบ้าง เช่น ใครชอบกลิ่นไหนเป็นพิเศษบ้าง เราได้คำตอบมาก็หาเหตุผลของคำตอบนั้น ทำไมคนถึงชอบกลิ่นเด็กอ่อน ทำไมคนถึงชอบกลิ่นฝน มันทำให้เราตั้งคำถามไปเรื่อยๆ ซึ่งก็ใช้เวลาเขียนไปทั้งหมด 1 ปีค่ะ สุดท้ายก็ได้ออกมาเป็นหนังสือ (ตีพิมพ์) ตอนเดือน ก.พ. แล้วก็พิมพ์ครั้งที่ 2 เดือน มี.ค. โชคดีมากที่คนค่อนข้างสนใจเยอะ และไปถึงมือของ Influencer ค่อนข้างเยอะ ก็ต้องขอบคุณทางสำนักพิมพ์และตัวหนังสือด้วย มันก็มีความน่าสนใจของมัน พอคนอ่านแล้วก็บอกต่อกันมาเรื่อยๆ ก็เลยได้พิมพ์ครั้งที่ 2 ภายในไม่เกิน 2 อาทิตย์ด้วยซ้ำ ก็ดีใจ เป็นเรื่องที่ภูมิใจอีกเรื่องนึงค่ะ ถามว่าชอบมั้ยงานเขียน ก็ชอบ แล้วก็รู้สึกดีที่คนอ่านเขาชอบด้วยเหมือนกัน คนก็ตามมาเรียนจากหนังสือเยอะเลยค่ะ มาจากเชียงใหม่ จากภูเก็ต จากอุบลฯ ก็ต้องขอบคุณตัวหนังสืออีกเหมือนกัน คือ มีคลาสมาปีกว่าๆ คนที่สนใจส่วนใหญ่ก็มาเรียนกันหมดแล้ว พูดกันตามตรงมันก็จะเริ่มซาๆ พอมีหนังสือ พอได้ออกสื่อได้ คนก็กลับมาเริ่มสนใจมากขึ้นอีก คนก็รู้ว่ามีการสอนแบบนี้อยู่นะ ก็ดีใจค่ะที่มีคนตามมา” |
ศาสตร์แห่งกลิ่น ลึกซึ้งกว่าที่คิด
เมื่อเจาะลึกลงไปมากขึ้น กูรูน้ำ อธิบายว่า ความสามารถในการรับกลิ่นของแต่ละคนไม่เท่ากัน โดยมีปัจจัยหลักคืออายุและเพศเป็นตัวชี้วัด
“วัยเป็นตัวกำหนดตัวแรก เด็กสุดที่เคยสอนคือน้องอายุ 10 ขวบ น้องแยกกลิ่นดีมาก ประสาทสัมผัสจมูกไวมาก แต่เขาประสบการณ์น้อย เขาไม่รู้ว่ามันคือกลิ่นอะไรเลยไม่สามารถอธิบายกลิ่นออกมาได้ แต่เขารู้ว่าอันนี้เปรี้ยว อันนี้หวาน
แต่ถ้าเริ่มมีอายุขึ้นไปซัก 60 กว่าๆ จมูกจะช้าลง จะเริ่มแยกกลิ่นไม่ค่อยได้ แต่จะมีความทรงจำมากกว่า 2 วัยนี้จะสลับกันเลยค่ะ ช่วงอายุที่เรียนแล้วสนุกจะเป็นช่วง 20-50 จะเป็นช่วงที่จมูกเรายังดีและประสบการณ์ชีวิตเริ่มพอมีบ้าง
จะมีบางคลาสที่มาเป็นพ่อแม่ลูก ลูกก็เด็ก 12 ขวบ พ่อแม่ 50 คลาสแบบนั้นก็จะชาเลนจ์เรานิดนึง เราจะทำยังไงให้เขาไปด้วยกันได้ เพราะแต่ละคนประสบการณ์ก็ไม่เหมือนกัน ก็สนุกไปอีกแบบ
แล้วก็อยู่ที่เพศด้วย ผู้ชายเซนส์จมูกจะดีกว่าผู้หญิง บางวิจัยบอกว่าผู้หญิงดีกว่า แต่ถ้าเอาจากในคลาสเรา ผู้ชายเซนส์จมูกดีกว่า เราก็เลยลองไปหาข้อมูลว่ามันเป็นเพราะอะไร เขาบอกว่าผู้ชายฮอร์โมนนิ่งในทุกๆ เดือน
แต่ผู้หญิงที่ประจำเดือน ทุกครั้งที่มีประจำเดือน ฮอร์โมนเราก็จะเปลี่ยน นั่นอาจจะเป็นเหตุผลสำคัญที่ผู้หญิงจะมีลิปสติกสีแดง 10 เฉด สีชมพู 10 เฉด เพราะว่าความชอบเราเปลี่ยนได้เรื่อยๆ เราก็เลยรู้สึกว่าเรื่องเพศก็เป็นอีกเรื่องนึงที่สำคัญ เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนในเรื่องกลิ่น”
เมื่อเป็นผู้ให้ความรู้ด้านกลิ่น แน่นอนว่า ในแต่ละวันย่อมต้องเจอกับสารพัดกลิ่น เธอจึงมีเทคนิคในการดมอย่างไรไม่ให้สับสน ตลอดจนสิ่งที่ควรทำเพื่อถนอมสุขภาพจมูกไว้ให้ดีอยู่เสมอ
“เราจะสังเกตได้ว่าตามร้านน้ำหอม เวลาเราดมไปเรื่อยๆ ก็จะมีเมล็ดกาแฟตั้งไว้ให้เราดมตัดกลิ่น ในคลาสก็มีเหมือนกัน นักเรียนดมไปแล้วเริ่มแยกกลิ่นไม่ได้ แยกกลิ่นไม่ชัด เราก็จะให้ดมเมล็ดกาแฟ
มีเหตุผลสำคัญว่าทำไมต้องเลือกใช้เป็นกาแฟ จริงๆ แล้วเมล็ดกาแฟมีส่วนช่วยในการเคลียร์ทางให้เราได้ เพราะสมองไม่จดจำกลิ่นกาแฟเอาไว้ ดมเสร็จปุ๊บเราปิดฝา ให้เรานึกกลิ่นกาแฟเราจะนึกไม่ออก แต่ที่บางคนจำได้เพราะว่าเคยดื่มมัน เราจำจากการกินเข้าไป แต่จมูกกับสมองไม่จำกลิ่นกาแฟ นั่นก็เลยทำให้กาแฟสามารถเป็นตัวที่ตัดกลิ่นได้ ช่วยให้เริ่มต้นใหม่ได้
เคยมีนักเรียนติดกาแฟมาก ดมกาแฟทีนึง ดมน้ำหอมทีนึง ล้าจมูก เหนื่อยมาก สุดท้ายกาแฟก็ใช้จมูกเหมือนกัน กาแฟ ก็คือ ช่วยเคลียร์ทางได้ แต่ไม่ควรจะไปดมเขาบ่อยมาก
จากที่สังเกตดูจากนักเรียนในคลาส ก็จะเห็นว่าคนที่จมูกไม่ค่อยดีส่วนใหญ่ก็จะเป็นคนที่สูบบุหรี่ มันอาจจะส่งผลทั้งปอดด้วย ทั้งจมูกด้วย ทุกครั้งเราจะพยายามไม่ใช้จมูกเยอะเกิน เวลาทำน้ำหอม ถ้าเราดมแล้วเหนื่อย เริ่มรู้สึกล้า เราจะหยุด ไม่ฝืนทำต่อ กับอีกอย่าง คือ พยายามไม่เข้าไปที่ควันเยอะๆ เช่น พวกควันบุหรี่ ท่อไอเสีย เวลาเราดมจะรู้สึกว่ามันเวียนหัว มันเจ็บมาก เราก็เลยจะหลีกเลี่ยงในเรื่องพวกนี้ค่ะ”
นอกจากนี้ เธอยังกล่าวต่อว่า กำลังสนใจในเรื่องของ Aromatherapy หรือศาสตร์การบำบัดโดยใช้น้ำมันหอมระเหย เพื่อต่อยอดเป็นประโยชน์ทางการแพทย์ในอนาคตอีกด้วย
“ศาสตร์ของ Aromatherapy ที่เราเคยได้ยินกันมาตั้งแต่เด็กๆ ในไทยยังไม่เจอที่ใช้อย่างจริงจัง ก่อนหน้านี้ ทุกคนก็เฉยๆ แต่ช่วง 2 ปีนี้สังเกตง่ายๆ ว่า มันก็เริ่มชัดเจนขึ้นตอน work from home คนเริ่มสนใจมากขึ้นเพราะอยู่บ้านแล้วไม่มีอะไรทำ เริ่มซื้อเทียนมาจุด เริ่มมี Diffuser มันช่วยเปลี่ยนบรรยากาศได้ นั่นเลยทำให้คนมาสนใจเรื่องกลิ่นมากขึ้น
น้ำมาได้นักเรียนมาเรียนเยอะมากจากคนที่ work from home เพราะเขารู้แล้วว่ากลิ่นมันเปลี่ยนบรรยากาศได้ มันช่วยในเรื่องของร่างกาย เรื่องจิตใจเขาได้ เราว่ามันน่าจะต่อยอดไปได้อีกเยอะมากๆ
แล้วก็คิดไว้ว่าตอนนี้เรากำลังลงเรียนเป็น Certified Aromatherapist ตัวเราเองรู้สึกว่าถ้ามาขนาดนี้ก็จริงจังเลยแล้วกัน ก็ลงเรียนเป็น Aromatherapists ที่ได้ใบประกาศจากสถาบันทางสหรัฐฯ ถ้าจบมาแล้วเราก็มองต่อยอดไป เราก็อยากจะเอาเรื่องกลิ่นไปอยู่ในทางการแพทย์ให้ได้ ก็อาจจะไปลองคุยกับจิตแพทย์หรือนักบำบัดต่างๆ ในทางของจิตวิทยา ก็คิดว่าถ้าตอนนี้ยังไม่มีใครทำเราก็อยากจะทำในจุดนั้นค่ะ”
ลุยมีหน้าร้าน สวนทางยุคออนไลน์
นอกจากการสอนแล้ว เธอผู้นี้มีไลฟ์สไตล์ที่ชื่นชอบการชมภาพยนตร์ และหลายครั้งก็ได้แรงบันดาลใจจากภาพยนตร์เรื่องต่างๆ มาต่อยอดให้กับงานที่ทำอีกด้วย
“แรงบันดาลใจก็มาจากหลายที่ จากหนัง จากเพลงบ้าง เวลาที่ไม่ได้สอน เมื่อก่อนจะเป็นคนชอบดูหนังมากๆ ถ้าตอนมหาลัยเรียนธรรมศาสตร์ นั่งรถตู้เข้ามาดูหนังลิโด้ สกาลา ตลอด เคยนั่งดูหนังเรื่องที่ชอบแล้ว pause จดประโยคที่พูดถึงกลิ่น แล้วเราก็รู้สึกว่า ทำไปทำไม (หัวเราะ) แต่สุดท้ายก็เอามาเล่าต่อได้
อย่าง The Lord of the Rings จะมีบทที่แกนดัล์ฟพูด จำแม่นๆ ไม่ได้แต่จะพูดประมาณว่า ‘ถ้าไม่รู้จะเชื่ออะไร ให้เชื่อจมูกของตัวเอง’ follow your nose อะไรแบบนี้ เราก็เลยว่าจริงเพราะจมูกมันไม่โกหก หอมคือหอม เหม็นคือเหม็น แล้วความทรงจำกับประสบการณ์ของแต่ละคนมันมาไม่เท่ากัน เราก็เลยรู้สึกว่าชอบประโยคนี้มาก
หรือว่าการเดินออกไปข้างนอก เวลาเราไปต่างประเทศ เราก็จะได้ประสบการณ์กลับมาตลอด คือ ไปบินจริงๆ ไม่ได้มีเวลาเที่ยวเยอะเลยนะ สมมติไปยุโรป ไปถึงตอนเช้า เราจะต้องกลับเช้าอีกวัน บางคนก็นอนยาวเลยค่ะ มันเหนื่อยเนอะบินที 12-13 ชั่วโมง นี่นอนแค่ 2 ชั่วโมงออกเลย ก็รู้สึกโชคดีที่ตอนนั้นตัดสินใจออก เพราะถึงตอนนี้ออกไปไหนไม่ได้แล้ว”
และอย่างที่ทราบกันดีว่า ปัจจุบันเป็นยุคที่การทำธุรกิจบนโลกออนไลน์ กำลังได้รับความนิยมอย่างมาก แต่สำหรับ น้ำ กลับมองหาหน้าร้าน โดยให้เหตุผลว่า หากเป็นเรื่องของกลิ่น ต้องมาสัมผัสด้วยตนเองเท่านั้นเพื่อความแม่นยำ
“การทำเรื่องกลิ่นมันยากอย่างนึงตรงที่มันต้องดม จมูกมันใช้ได้อย่างเดียวคือสำหรับการดมเท่านั้น เราไม่สามารถจินตนาการภาพตามได้เลย คนเราไม่ได้ประสบการณ์ตรงกันในทุกๆ คน
จริงๆ กำลังมีไอเดียต่อยอดธุรกิจ ช่วงนี้เลยวุ่นวายกับการหาหน้าร้าน ปัจจุบันนี้การขายออนไลน์มันเยอะมากๆ แต่เราไปสวนทางกับเขาตรงที่เราอยากมีหน้าร้านขึ้นมา เรายังรู้สึกว่าการมีหน้าร้านมันเหมาะกับเรื่องของกลิ่นมากกว่า เราก็พยายามหาแหล่งที่มันเหมาะสม เปิดให้คนผ่านไปผ่านมาได้เห็นชัดภาพขึ้น จุดที่มีการเดินทางที่สะดวกขึ้น อาจจะทำให้มันสวยๆ หน่อย คนจะได้อยากไปถ่ายรูป ก็คิดว่าน่าจะเวิร์กถ้าทำได้
แล้วก็มองไปถึงว่า นักเรียนเราค่อนข้างเยอะ ส่วนใหญ่ก็จะขายออนไลน์หมด เราก็เลยรู้สึกว่าถ้าเรามีหน้าร้านเอง ก็อยากจะเป็นพื้นที่สำหรับนักเรียนของเรา ที่เขาสามารถเอาของไปวางได้ เพราะว่าเรื่องกลิ่นหอมพอขายในออนไลน์แล้วมันก็ยากนิดนึงในการขาย ถ้าเรามีพื้นที่ให้ก็น่าจะดีกับตัวนักเรียนและกับตัวเราด้วยค่ะ”
สุดท้าย กูรูน้ำมันหอมระเหยวัย 33 ปีผู้นี้ กล่าวถึงสิ่งที่วาดหวังไว้ว่า ในอนาคตทั้งของตนเองและ Qraft by AQUA จะต้องเติบโตขึ้น ในแง่ของความรู้ด้านกลิ่นที่หลากหลายกว่าเดิม ตลอดจนต่อยอดไปถึงจิตบำบัดจากกลิ่นอีกด้วย
“ในอนาคตตั้งใจไว้ว่า ถ้าเราได้ใบประกาศจากสถาบันที่รับรองอย่างถูกต้องแน่นอน เราอยากจะเอาไปต่อยอดเกี่ยวกับทางการบำบัดเรื่องจิตวิทยา ไป co กับจิตแพทย์ ตั้งใจว่าคงจะทำให้ได้
ตอนนี้จริงๆ สอนอยู่เรื่องเดียวเพราะคนยังสนใจอยู่เรื่อยๆ แต่เดี๋ยววันนึงที่เริ่มอยู่ตัว ก็อยากมีคลาสที่เพิ่มขึ้น แต่ก็ยังเกี่ยวกับเรื่องกลิ่นอยู่ แล้วก็อยากจะต่อยอดให้กลิ่นมันไปได้หลากหลายมากขึ้น ยังจะใช้เป็นน้ำมันหอมระเหยที่มาจากธรรมชาติ เพราะมันจะไปในส่วนของการทำครีม ทำโลชั่น ทำน้ำมัน บำบัด ทำอะไรได้เยอะมากๆ
ตอนนี้จะยังไม่มีผลิตภัณฑ์จริงจัง ที่เคยมีออกมาก็ 2-3 ครั้งเป็น season แต่ส่วนใหญ่จะเน้นสอนและขายวัตถุดิบที่จะเป็นน้ำมันให้นักเรียนเอาไปผสมเองมากกว่า และในอนาคตอาจจะมีการ co กับแบรนด์ใหญ่ๆ มากขึ้น ก็มีเริ่มติดต่อมาแล้ว อยากให้ไปช่วยออกแบบกลิ่นที่นั่นที่นี่ให้ ประมาณนี้ค่ะ
แล้วก็อย่างที่บอกว่า พอมีหน้าร้านก็อาจจะไม่ต้องเรียนจริงจัง เราอยากเปิดให้ทุกคนไปทำ custom made ของตัวเอง สามารถให้ทุกคนรังสรรค์กลิ่นตัวเองขึ้นมาได้ ก็เลยรู้สึกว่าจะต่อยอดไปได้อีกไกลเหมือนกันสำหรับเรื่องกลิ่นค่ะ”
สัมภาษณ์โดย : ทีมข่าว MGR Live
เรื่อง : กีรติ เอี่ยมโสภณ
ภาพ : พลภัทร วรรณดี
ขอบคุณสถานที่ : สตูดิโอ Qraft by AQUA
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **