xs
xsm
sm
md
lg

สวรรค์คนเป็นเบาหวาน “วุ้นคีโต” โกยเงินแสน จากจุดเปลี่ยนสุขภาพตัวเอง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“มันคืองานศิลป์ที่กินได้” เปิดใจเจ้าของร้านขนม Bann Lada จากคนมีปัญหาสุขภาพ ต้องมาทำอาหารกินเอง สู่การต่อยอด “วุ้นคีโต” ของหวานที่เป็นมิตรต่อเบาหวาน สร้างรายได้ต่อเดือนเฉียดแสน!!

วุ้นคีโต รายได้เสริม ทำเงินเกือบแสน

“ตัวซิกเนเจอร์เลยจะเป็นวุ้นช่อดอกไม้ ส่วนใหญ่จะสั่งไปให้ของขวัญขึ้นตำแหน่ง วาเลนไทน์ แล้วก็รับปริญญา เป็นของขวัญจะขายดี ทุกครั้งที่คนทักเข้ามาใน inbox จะถามว่าคนเป็นเบาหวานรับประทานได้ใช่มั้ย รับประทานแล้วไม่อ้วนใช่มั้ย

อย่างช่วงเทศกาลสงกรานต์ มีลูกค้าสั่งเป็นเซตพวงมาลัยไปไหว้ผู้ใหญ่ เขาก็จะบอกว่า ทุกคนชอบมาก เพราะมันไม่หวาน ส่วนใหญ่พอเริ่มมีอายุเขาก็จะเป็นเบาหวานกันด้วย พอเราบอกของเราเบาหวานรับประทานได้ เป็นมิตรต่อเบาหวาน เขาก็โอเค จากสั่งครั้งแรกแล้วก็สั่งต่อเนื่องมาเรื่อยๆ เป็นลูกค้าประจำค่ะ”



“ตุ่น-ลดาวัลย์ ธนะพงศ์พร” เจ้าของร้านวุ้น “Bann Lada” กล่าวกับทีมข่าว MGR Live

ในยุคสมัยนี้เทรนด์อาหารเฮลตี้ยังคงได้รับความนิยมมาอย่างต่อเนื่อง และตุ่นก็เป็นอีกคนที่เล็งเห็นความสำคัญของการดูแลรักษาสุขภาพ

เมื่อว่างจากงานหลักคือ ร้านขายแพกเกจจิ้งและร้านขายสังฆภัณฑ์ เธอก็มารังสรรค์ “วุ้นแฟนซีสูตรคีโต” เป็นอาชีพเสริมที่สร้างรายได้อย่างงาม โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลมียอดขายพุ่งไปแตะหลักแสนบาทต่อเดือน!!

หญิงวัย 48 ปีเล่าถึงจุดเริ่มต้นว่า เดิมทีตนเองน้ำหนักมาก แต่ก็ชอบรับประทานขนมหวาน จึงหาทางลดน้ำหนักมาหลายวิธีแต่ก็ไม่ได้ผล จนในที่สุดก็มาเจอกับการควบคุมน้ำหนักด้วย “อาหารคีโต” ที่ได้ผลลัพธ์เป็นที่น่าพอใจสำหรับตนเอง

“คีโตมันเป็นวิธีการลดน้ำหนักโดยการงดแป้ง งดน้ำตาล ไขมันที่เรารับประทานได้จะเป็นไขมันดีทั้งหมด เนยรับประทานได้ นมจะรับประทานได้เฉพาะนมถั่ว ต้องเป็นถั่วอัลมอนด์ด้วย แล้วผลไม้ทุกชนิดตัดหมดเลย จะรับประทานได้เฉพาะตระกูลเบอร์รี สตรอว์เบอร์รี แครนเบอร์รี บลูเบอร์รี พวกนี้ได้ ที่พอรับประทานเข้าไปแล้วมันจะไม่เปลี่ยนให้เป็นน้ำตาล



[ ผลลัพธ์จากการกินคีโต ]
น้ำหนักก่อนท้อง 45 ตอนท้องขึ้นไป 65 ขึ้นมา 20 กิโลฯ หลังจากคลอดลูกมันก็ไม่ลงค่ะ ด้วยอายุมันเยอะขึ้น เผาผลาญน้อย แล้วเสื้อผ้ามันเริ่มใส่ไม่ได้ เราไม่มั่นใจตัวเอง ก็เริ่มที่จะหันมาดูแลสุขภาพ อยากจะลดน้ำหนักจริงจัง

มีเพื่อนแนะนำมาเพราะเขารับประทานคีโตแล้วได้ผล ก็เลยมาเปลี่ยนตัวเองใหม่หมด อยากกินก๋วยเตี๋ยวก็ต้องกินเกาเหลา ต้องมีวินัยพอสมควร แต่ถามว่าผลตอบรับโอเคมั้ย โอเคนะคะ ลดมาหลายวิธี คีโตมันลงเองเลย

จากน้ำหนักตั้งต้นที่ 65 รับประทานไปประมาณ 4 เดือน ก็ลงมาถึงเป้าที่เราตั้งไว้คือ 55 ช่วงแขนจะเล็กลง เห็นได้ชัดสุดคือหน้าท้อง มีอยู่วันหนึ่งเราใส่กางเกงยีนส์ที่เราเคยใส่ไม่ได้แล้วเราใส่ได้ ทุกคนก็บอก ‘พี่ตุ่นขาเล็กลงมาก’ มันก็เลยมีกำลังใจ

ก็รับประทานมาเรื่อยๆ จนน้ำหนักมันมาถึงจุดที่เราต้องการคือเซตไว้ที่ 55 หลังจากนั้นก็รับประทานแต่ไม่เคร่งมาก คีโตหลีกเลี่ยงตรงไหนเราก็เลี่ยงตรงนั้น ตอนนี้กลายเป็นรับประทานข้าวน้อยลง ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่รับประทานข้าวเลย รับประทานเป็นกับแทน”

และส่วนตัวของตุ่น เป็นคนที่ชอบรับประทานขนมหวาน เนื่องด้วยขนมคีโตตามท้องตลาดก็ราคาค่อนข้างสูงกว่าขนมทั่วไป เธอจึงลุกขึ้นมาเข้าครัวทำขนมสุขภาพเองเสียเลย



“เป็นคนติดขนมหวานมาก ทีแรกสั่งจากกลุ่มคนรับประทานคีโตในเฟซบุ๊กแล้วราคาก็ค่อนข้างแพงเพราะว่าวัตถุดิบมันแพง ถ้าจะสั่งบ่อยเราก็ไม่ไหว ก็เลยพยายามหาสูตรที่จะทำ

มีอยู่วันหนึ่งวุ้นมันเด้งขึ้นมา มันเป็นงานที่สวยมากก็เลยอยากจะลองทำ ช่วงที่หาของหวานรับประทานมันไม่มีวุ้น เราก็เลยทำเองดีกว่า แรกเริ่มเลยดูจากยูทูบก่อน แต่มันจะเป็นสูตรแบบปกติที่เขาใช้น้ำตาล เรากินเองจะมาปรับสูตรไม่ใช้น้ำตาล เราใช้สารให้ความหวาน มี 2 ตัวที่เราใช้ได้คือ อิริทริทอล (Erythritol) กับ น้ำตาลหล่อฮังก้วย ก็เลยเอามาลองทั้ง 2 อย่าง

หัดทำลองผิดลองถูก เอารสชาติที่เราชอบ ก็ได้สูตรมา เสร็จแล้วก็ทำให้น้องๆ ให้เพื่อนๆ รับประทาน ทำแจก ทุกคนเขาก็บอกโอเคเลย เปิดขายสิ บางคนก็เริ่มจากสายบุญ คือตัวเองจะชอบทำบุญ เขาก็จะมาสั่งไปออกโรงทาน ก็เริ่มจากจุดนั้นมา มันก็กลายเป็นได้ทำมาเรื่อยๆ”

สำหรับเมนูวุ้นของร้านนี้ นอกจากวุ้นคีโตแล้ว ยังมีวุ้นสูตรปกติและวุ้นสอดไส้ ดีไซน์ตามความต้องการของลูกค้าและตามเทศกาลต่างๆ เป็นอาชีพเสริมที่สร้างรายได้ขั้นต่ำถึง 50,000 บาทต่อเดือน



“เราก็จะถามลูกค้าว่าซีเรียสมั้ยเพราะสูตรเราคีโตล้วน พอเป็นคีโตปุ๊บต้องตัดน้ำมะพร้าวออก ถ้าอยากได้ความหอม มันก็จะไม่คีโตล้วนนะ ก็จะมีบางคนก็จะไม่ซีเรียส ตอนนี้จะมีอยู่ 3 ไส้ จะเป็นไส้ครีมมะพร้าว ไส้บัตเตอร์เค้ก และไส้ถั่วแดง ไส้ถั่วแดงก็จะมา adapte เป็นวุ้นชาเขียว วุ้นชาไทย จับให้แมตช์กัน สามารถเก็บในตู้เย็นได้ 5-7 วันโดยไม่ใส่สารกันเสีย

เริ่มต้นถ้าเป็นเค้ก 1,000 บาทขึ้นไป แล้วแต่น้ำหนัก เราจะชั่งตามน้ำหนักวุ้นที่ใช้ด้วยค่ะ ถ้ายิ่งประดับเยอะ น้ำหนักเยอะ ราคาก็จะอัปขึ้นไป ช่วงเทศกาล ตรุษจีนก็จะมีเซตตรุษจีน เซตลอยกระทง สงกรานต์เราก็จะทำเซตไหว้ผู้ใหญ่ รดน้ำดำหัว เรารับออเดอร์ล่วงหน้า เราจะแพลนงานเราได้ว่าเรารับได้เต็มที่เท่าไหร่

ถ้าเป็นช่วงเทศกาลขยันๆ จะได้เยอะหน่อย ก็จะ 70,000 ถึงแสนต่อเดือน ช่วงที่ไม่ใช่เทศกาลก็จะดรอปลงมาหน่อย แต่ 50,000 บาทต่อเดือนถึงแน่นอน อันนี้เป็นยอดขาย กำไรเราไม่เยอะค่ะเพราะด้วยวัตถุดิบ ตอนที่ทำไม่ได้คิดว่ามันจะเป็นรายได้ได้ขนาดนี้ เราก็คิดว่าเราทำไปเสริม ได้มาก็ตกใจเหมือนกัน”

ค้นพบพรสวรรค์ด้านอาหารเพราะ “คีโต”

แล้วก็มาถึงเรื่องราวการดูแลสุขภาพแบบเจาะลึก ตุ่นกล่าวว่า หลังจากที่ตัดสินใจหันมาควบคุมน้ำหนักด้วยอาหารคีโตทำเองเมื่อราว 1 ปีที่แล้ว ทำให้ต้องเปลี่ยนเครื่องปรุงในครัวใหม่ทั้งหมด และติดนิสัยกลายเป็นคนที่ใส่ใจในการอ่านรายละเอียดด้านหลังฉลากผลิตภัณฑ์ไปด้วย

“ช่วงปีที่แล้วที่ตั้งใจเต็มที่เลย เพราะว่าด้วยความที่อายุเริ่มเยอะ น้ำหนักตัวมันเยอะ ขามันใหญ่ เดินแล้วเริ่มปวดเข่า ลูกสาวเลยบอก หม่าม้าต้องลดน้ำหนักแล้ว แล้วเราชอบขนมหวาน คืออย่างน้อยเช้ามาข้าวไม่รับประทานไม่เป็นไร แต่ต้องมีกาแฟกับขนมหวาน ซื้อของคนอื่นบางครั้งที่เราไม่มีเวลาทำ ก็เริ่มทำเองด้วย เพราะเราจะรู้ว่าเราชอบอะไร

พอเราศึกษาว่าคีโตต้องแบบนี้ เขาจะสอนเราอ่านฉลากส่วนผสม รู้มั้ยคะเครื่องปรุงบ้านเราทุกตัว ไม่ว่าจะซีอิ๊วขาว น้ำมันหอย น้ำตาลเยอะมากในส่วนผสม มันก็เลยกลายเป็นว่าที่เราอ้วนกันเร็ว ส่วนหนึ่งจากอาหารที่เรารับประทานเข้าไป เครื่องปรุงในห้องครัวก็ต้องเปลี่ยน บังคับเปลี่ยนทั้งบ้านไปในตัว (หัวเราะ)




[ ตัวอย่างเมนูคีโตที่เคยทำ ]
น้ำมันใช้ทำอาหาร จากเดิมเป็นน้ำมันปาล์ม ตอนหลังจะใช้ 2 อย่าง น้ำมันมะกอก กับน้ำมันมะพร้าว อย่างเกลือจากเกลือปกติ ตอนนี้ก็เป็นเกลือชมพูหมด น้ำปลาก็จะเป็นน้ำปลาที่คีโตรับประทานที่สัดส่วนน้ำตาลน้อย”

จากการตัดสินใจเริ่มทำอาหารคีโตรับประทานเอง ทั้งที่เดิมทีเป็นคนไม่ชอบการทำอาหาร กลับกลายเป็นว่าเป็นการปลุกพรสวรรค์ด้านนี้ในตัวขึ้นมาไปโดยปริยาย จนทำให้คนรอบตัวต่างอึ้งในรสมือไปตามๆ กัน

จริงๆ เป็นคนไม่ชอบทำอาหาร แล้วจะเป็นคนที่ไม่ชอบเข้าครัวเลย (หัวเราะ) แต่ด้วยความที่เราอยากสวย เราก็เลยลอง ลูกสาวจะบอกว่า หม่าม้าเหลือเชื่อมาก เพราะปกติหม่าม้าเป็นคนไม่เข้าครัว ไม่ทำกับข้าวเลย แล้วพอวันหนึ่งที่เราลุกขึ้นมาทำ มันก็กลายเป็นอร่อยด้วยนะ ไม่ได้ว่าทำแล้วรับประทานไม่ได้




[ ตัวอย่างเมนูคีโตที่เคยทำ ]
เริ่มต้นของคีโตจะไม่ใช่วุ้นนะคะ จะเป็นขนมปังอันดับแรก เปิดยูทูบเลย ขนมปังคีโต สูตรอะไรบ้าง แต่สูตรของเขาบางทีก็ไม่ถูกลิ้นเรา เราก็มาปรับเอาเอง ก็จะมีทั้งขนมทั้งอาหาร มีขนมปัง มีเค้ก มีครัวซองต์ บลูเบอร์รีชีสเค้ก นมข้นหวานคีโตเอาไว้จิ้มขนมปัง ปาท่องโก๋ มายองเนส น้ำสลัด เป็นคีโตหมดเลย

(ทำวุ้น) วันเกิดน้องสาว ทุกคนอึ้งมาก บอกมันโอเค รสชาติได้ ดีไซน์ได้ เราก็โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว วันนี้ทำอันนี้ แล้วตอนหลังเพื่อนในเฟซบุ๊กอยากได้เหมือนกัน ไปให้คุณแม่ ไปให้คุณป้า ส่วนใหญ่เขาจะมองว่าเป็นคนสูงอายุต้องระวัง แต่จริงๆ รับประทานได้หมดเลย ทุกคนก็จะบอกว่า พี่ตุ่นแปลกมาก ไม่เคยทำแต่ทำแล้วมันโอเค เราก็ดีใจ ภูมิใจ มีกำลังใจ

พอเราทำรับประทานเองมันเริ่มเยอะ เริ่มสนุก (หัวเราะ) ทำทีหนึ่งมันก็จะมีเหลือบ้างอะไรบ้าง เราก็แจกเพื่อน พอแจกเพื่อนเพื่อนก็จะบอก เอาไปออกโรงทานมั้ย รับจัดเบรกมั้ย เขาก็บอกเปิดขายสิ ขายออนไลน์ ก็เลยเริ่มทำมา”

เมื่อคิดได้ว่าจะทำวุ้นคีโตขายแบบจริงจัง ตุ่นก็เริ่มหาสูตรจากทางอินเทอร์เน็ตและนำมาปรับให้เป็นสูตรสำหรับคนรับประทานคีโต อีกทั้งยังลงเรียนเทคนิคการทำวุ้นแฟนซีเพิ่มเติมเพื่อความสวยงามของชิ้นงาน


“วันนี้อยากทำอันนี้เราก็เปิดดู สูตรในยูทูบมันจะเป็นสูตรปกติที่ไม่ใช่สำหรับคีโต สมมติวุ้นน้ำผลไม้เราก็จะดูสูตรเขาว่าใช้อะไรบ้าง แล้วเราก็เอามาทดแทนอัตราส่วนของเรา เช้ามาเราเตรียมของ เราก็เปิดไปด้วย ทำไปด้วย ชิมไปด้วย ถ้าครั้งแรกไม่ได้ รสชาติไม่ผ่าน เราก็เอาใหม่ เรามาปรับของเราลงซิ แล้วก็ให้ในบ้านชิม ให้เพื่อนชิม

ครั้งแรกที่เราเห็นคนทำมันสวย เราชอบ ดูยูทูบเขาก็จะสอนวิธีหยอด แต่เหมือนบางทีเราไม่รู้วิธีแก้ มันมีการกันสีตกอะไรยังไง แล้วมันก็เด้งขึ้นมาว่ามีคอร์สเรียนเป็นออนไลน์ ในการผสมสี การทำลาย วิธีการหยอด ก็เข้าไปเรียนรู้เทคนิคเพิ่ม ตอนแรกที่เราไม่ได้เรียนมันก็จะเป็นสีเดียวล้วนๆ ในดอก สีฟ้าก็ฟ้าไปเลย มันก็จะมีลูกเล่นวิธีทำ สลับกันให้เหมือนจริงมากขึ้น

บางทีช่วงแรกก็จะมีเละ ผสมวิ่งเข้าหากัน เราอยากจะแยกเป็นโซนกลีบ โซนเกสร ช่วงแรกก็รวมกันหมดเลย ต้องฝึกบ่อยๆ ถ้าเราทิ้งช่วงไปแล้วเราไม่ได้ทำนาน เอากลับมาทำอีกรอบก็เละเหมือนกันนะคะ

เสีย 80-90 เลยนะ (หัวเราะ) ทิ้งเป็นหม้อเลยก็มี ผสมออกมาแล้วไม่หวาน ช่วงแรกผสมสีเละเทะมาก เราอยากได้สีเขียวมินต์แล้วได้สีเขียวอื๋อ ทำแจกทำทิ้งเยอะค่ะ แต่เราก็ยอม มันก็คือประสบการณ์ มันต้องเก่งขึ้นเรื่อยๆ”


เมื่อถามว่า เพราะเหตุใดจึงตัดสินใจเลือกต่อยอดที่วุ้น ทั้งที่ก่อนหน้านี้ก็ลองทำอาหารและขนมคีโตมาหลายอย่าง เธอก็ให้คำตอบว่า การได้ทำวุ้นเหมือนกับเป็นการฝึกสมาธิไปในตัว

“ที่ชอบทำวุ้น มันมีสมาธิ เรามีความรู้สึกว่า กว่าเราจะใช้เวลาในการคิด ในการหยอด ในการผสมสี มันมีสติอยู่ตรงนั้นด้วย พอทำออกมาแล้วจะจัดเรียงยังไงให้มันสวย พอเห็นมันออกมาสวยเราก็ภูมิใจ

จริงๆ แล้วจะบอกว่า ทุกครั้งที่ทำแล้วเราถ่ายรูปลง เราก็จะบอกว่า คีโตมันช่วยฉันเยอะมาก มันทำให้ฉันค้นพบตัวตนว่าอะไรที่คิดว่าเราทำไม่ได้ กลายเป็นเราทำได้นะ

เพราะฉะนั้นอะไรที่เรายังไม่เคยทำ ลงมือทำก่อนค่ะ แล้วเราจะรู้ว่าศักยภาพเรามีนะ อย่างขนมปังก็ไม่คิดว่าจะมีเวลามานวดแป้ง แต่ทำได้ แล้วอบออกมาสีสวย มันทำได้แล้วมันภูมิใจ เชื่อว่าทุกคนทำได้”

ลงทุนเพื่อสุขภาพ ก่อนจะสายเกินแก้

ในส่วนของการหาไอเดียหรือแรงบันดาลใจมาใส่ในงานแต่ละชิ้นนั้น ตุ่นเล่าว่า มาจากสิ่งต่างๆ รอบตัว ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่จะวางโทนที่ชอบมาเบื้องต้น แล้วให้เธอเป็นผู้ใส่ไอเดียได้เต็มที่

“เป็นคนชอบดอกไม้ ไอเดียที่ได้ในการทำแต่ละครั้ง บางทีก็มาจากสิ่งรอบตัวค่ะ บางทีเราขับรถผ่านแล้วเห็นโฆษณาชิ้นนี้ รูปนี้สวย เอามาลองทำได้มั้ย จาก Google จากหนังสือก็มีค่ะ

พอลูกค้าสั่งเข้ามา เราก็จะถามว่าใช้วันไหนคะ ชอบโทนไหน อยากได้แบบไหน อย่างวันเกิดอาม่า เราก็จะมานั่งคิดคอนเซ็ปต์แล้ว เขาก็จะบอกว่า ขอธีมวันเกิดคุณแม่ คุณแม่ชอบโทนนี้ วันเกิดอาม่าต้องอวยพรอายุยืน ที่เหลือคือเราต้องมาคิดเองแล้วจะจัดอะไร ถึงต้องสั่งล่วงหน้าประมาณ 2-3 วัน



แรกๆ ที่เริ่มทำ แค่ดอกไม้ช่อเดียวนี่ทั้งวันเลยนะ เพราะเราเป็นคนไม่ถนัดในการนั่ง เราจะต้องยืนเพ่งแล้วหยอด กว่าจะได้ชิ้นหนึ่ง เค้กก้อนหนึ่ง หมดไปทั้งวันเลยค่ะ แต่ตอนหลังเริ่มมีความชำนาญจากการที่เราไปหาความรู้เพิ่ม ต้องเตรียมอะไรเป็นลำดับ 1-2-3-4 มันก็จะเซฟเวลามากขึ้น ทำให้ทำได้เร็วขึ้น จากเค้กก้อนหนึ่งเคยใช้เวลาทั้งวัน ก็เหลือ 2-3 ชั่วโมงต่อชิ้น”

แน่นอนว่าเมื่อทำขนมหวาน ส่วนประกอบหลักย่อมเป็นน้ำตาล แต่เมื่อเป็นขนมคีโตแล้วจะไม่สามารถใช้น้ำตาลทรายได้ ทำให้เจ้าของร้านวุ้นผู้นี้ต้องหาสารให้ความหวานอื่นที่มีราคาสูงกว่าน้ำตาลทรายปกติถึง 10 เท่ามาทดแทน

“ข้อมูลสารทดแทนที่เราจะต้องใช้ เราจะดูจากในกลุ่มของคีโต เขาจะบอกว่าตัวไหนแทนตัวไหน ความหวานใช้อะไรแทน ความเค็มใช้อะไรแทน อย่างเกลือเราจะใช้เป็นเกลือชมพู เกลือหิมาลายัน

ตัวหลักเลยคือน้ำตาลเราไม่ใช้ ก็จะใช้เป็นอิริทริทอลแทน ครั้งแรกสั่งอิริทริทอลของจีนมาแล้วมันขมติดปลายลิ้น ไม่ผ่าน เราก็เลยไปหาว่านอกจากของจีนมีของอะไรอีก มันมีอีกตัวหนึ่งของฝรั่งเศส สั่งมาใช้แล้วโอเค รสชาติได้ ไม่ขม



อีกตัวหนึ่งก็คือน้ำตาลหล่อฮังก้วยสีทอง อันนี้เหมือนน้ำตาลทรายเลย รสชาติได้ แต่ราคาสูงมาก กิโลฯ ละพันกว่าบาท ถ้าเราจะมาทำขาย หล่อฮังก้วยลูกค้าอาจจะสู้ราคาไม่ได้ เราก็เลยเปลี่ยนมาเป็นอิริทริทอลฝรั่งเศส

ถ้าเป็นสูตรปกติน้ำตาล 35-40 บาท ของเราก็จะมาเจออิริทริทอล 300-400 บาท แต่ว่าความหวานจะหวานเยอะกว่า 10 เท่าเหมือนกัน เพราะฉะนั้นเราต้องมาเวตสูตรลง อย่างสูตรในยูทูบเขาให้สูตรนี้ใช้ 120 กรัม เรามาปรับลงจนกว่าจะได้รสชาติที่เราชอบ จนได้สูตรที่พอใจ ชิมแล้วโอเค ไม่หวานจนขมติดลิ้น

ของพี่จะมีไส้ด้วย ไส้บัตเตอร์เค้ก ไส้ครีมมะพร้าว อย่างครีมมะพร้าวจะใช้ความหนืด ถ้าเป็นราดหน้าจะใช้แป้งข้าวโพด เราก็ต้องมาดูว่าของคีโตใช้ตัวไหนที่แทน ก็จะได้เป็น แซนแทนกัม (Xanthan gum) เป็นอีกสารหนึ่งที่ใช้ให้ความหนืดแล้วบัตเตอร์เค้กมันก็จะมีแป้ง ก็จะใช้เป็นแป้งอัลมอนด์ แป้งมะพร้าวแทนแป้งสาลี ในสูตรการทำเค้ก อย่างแป้งสาลี แป้งพัดโบกที่เราเอามาทำเค้กถุงหนึ่งก็ 45-50 แต่แป้งอัลมอนด์กิโลฯ ละ 500 บาท”

เมื่อถามว่า คิดเห็นอย่างไรกับคำพูดที่ว่า ‘อาหารสุขภาพคืออาหารสำหรับกลุ่มคนมีเงิน’ ตุ่นก็ให้ความเห็นว่า มีส่วนที่เป็นความจริง แต่อาหารที่มีประโยชน์ก็มีให้เลือกหลายราคา ไม่จำเป็นต้องแพงเสมอไป



“รับประทานอาหารสุขภาพต้องเป็นคนที่มีปัจจัยหน่อยใช่มั้ยคะ มันก็มีส่วน เพราะโดยตัววัตถุดิบทุกอย่างมันก็มีราคาของมัน ถ้าเรามองว่าดีกว่าเรารอให้มันเป็นแล้วมารักษา ต้องระวังตั้งแต่เริ่มต้น ตั้งแต่เรานำเข้าร่างกาย ตุ่นมองแบบนี้

จริงๆ มันก็ไม่ได้แพงทุกอย่างนะคะ สมมติน้ำปลาที่เราเคยใช้ น้ำปลามันจะมีทั้งเรตราคาสูงราคาต่ำ ถ้าเรตลงมาหน่อยจะเป็นตราหอยหลอด อันนี้รับประทานได้ ให้เราลองเลือกดูตามที่เราไหว

หลักๆ คีโตเขาเน้นรับประทานจืด ไม่ต้องปรุงอะไรเยอะ เน้นเป็นธรรมชาติ อย่างเราทอดไก่เราแค่เปลี่ยนน้ำมัน เป็นน้ำมันมะพร้าวหรือน้ำมันหมูได้ ถ้าเป็นอาหารปกติ เราเปลี่ยนนิดหน่อย เปลี่ยนแค่เกลือ น้ำปลา มันไม่จำเป็นต้องราคาแพงเสมอไป

เราอย่าไปรอให้ถึงวันนั้น อย่างคุณแม่เพื่อนบางท่านชอบของหวานแล้วก็เป็นเบาหวาน ซึ่งเขารับประทานขนมของเราได้ถ้าเขาติดหวานจริงๆ ไม่ใช่เฉพาะของเราที่เป็นสูตรคีโต สูตรอะไรก็ตามที่มันดีต่อสุขภาพ ให้เขาเริ่มจากตรงนี้ แล้วเขาจะค่อยๆ ลดไปเรื่อยๆ รับประทานเมื่อเราอยาก แต่ถ้าจำเป็นจริงๆ เราก็ตัด เริ่มต้นจากตัวเราดีกว่า อย่ารอให้มันเป็นแล้วค่อยไปรักษาค่ะ”

ใส่ใจทุกขั้นตอน จนกว่าถึงมือลูกค้า

นอกจากส่วนประกอบทุกอย่างที่บรรจงเลือกสรรมาใส่ในวุ้นแล้ว ในส่วนของการบริการก็ใส่ใจไม่แพ้กัน ก็เพื่อที่จะเป็นการซื้อใจลูกค้า และนำเสียงตอบรับมาแก้ไขพัฒนาต่อไป

“ลูกค้าแต่ละคนเขาจะไม่ชอบเหมือนเราหมดถูกมั้ยคะ เขาสั่งไป เราก็จะถามฟีดแบ็กตลอด รับประทานแล้วติชมได้นะคะ เป็นยังไงบ้าง จะได้เอามาต่อยอดพัฒนา บางคนก็จะบอกว่าโอเคแล้ว บางคนก็จะบอกว่าหวานไปนิดหนึ่ง บางคนก็อยากได้หวานอีกนิด ก็จะจดเป็นลิสต์ไว้ ลูกค้าคนนี้เคยสั่งขอหวานเพิ่ม แล้วพอเขาทักมาก็จะรู้แล้วว่าลูกค้าเก่า

ต้องแบบนั้นเลย แล้วลูกค้าจะบอกว่าไม่ผิดหวังเลย เขาก็จะประทับใจ มันก็คือกลยุทธ์หนึ่งของเรา เพราะว่าเราก็รู้สึกว่า ถ้าอย่างเป็นเราซื้อของ แล้วเจ้าของร้านเขาจำเราได้ เราก็จะดีใจเนอะ เอาแบบนี้เหมือนเดิมนะคะ เพราะฉะนั้นพอเรามาเป็นคนให้บริการบ้าง เราก็อยากได้แบบนี้เหมือนกันค่ะ”



ตามที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น ร้านวุ้น Bann Lada เป็นรายได้เสริมจากธุรกิจหลัก ร้านขายสังฆภัณฑ์และร้านขายแพกเกจจิ้ง ทีมข่าวจึงถามต่อว่า ในเมื่อมีธุรกิจที่มั่นคงอยู่แล้ว เหตุใดต้องหารายได้เสริมอีก

เจ้าของร้านวุ้นคีโตก็กล่าวว่า ช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ผ่านมากระทบงานหลักไม่น้อย ประจวบเหมาะกับช่วงเวลานั้นที่ได้รายได้จากวุ้นเข้ามาช่วย จนสามารถต่อยอดไปได้ไกลกว่าที่เป็นอยู่

“ช่วงโควิดหน้าร้านก็ดรอปนะ เพราะว่าอย่างแพกเกจจิ้งลูกค้าหลักของเราจะเป็นพ่อค้าแม่ค้า บางคนเขาไม่ไหว ร้านอาหารหยุดไปไม่ได้ใช้ แล้วจังหวะเราช่วงนั้นเราทำตัวนี้ทางออนไลน์พอดี ก็ได้ตรงนี้เข้ามาเสริมค่ะ

เริ่มจากช่วงโควิดเลย ก็ถือว่าเข้ามาเป็นอีกรายได้อีกหนึ่งช่องทาง แล้วมันต่อยอดได้อีกนะคะ ตอนนี้มีแพลนในหัวว่า ไหนๆ มันเป็นสิ่งที่เราถนัด เราเปิดคอร์สออนไลน์ได้มั้ย เปิดได้นะ ต่อยอดไปอีก

ไม่กลัว (คนทำแข่ง) เลยค่ะ เพราะมองว่าพื้นที่แต่ละพื้นที่ไม่เหมือนกัน วุ้นไม่สามารถส่งต่างจังหวัดได้ มันอันตราย มันเปราะบาง ตอนที่เราเรียน เขาก็ยังไม่กลัวเรา แชร์มาร์เกตกันไปตามโซนลูกค้าแต่ละคน มันอยู่ที่ลูกค้าด้วย ทำยังไงให้เราแตกต่างจากคนอื่น ให้ลูกค้าที่เคยซื้อเรากลับมาซื้อซ้ำ

ตอนนี้ทำคนเดียวค่ะ ส่วนใหญ่ลูกค้าจะนัดเข้ามาแล้วเราก็เซตวัน เช็กตารางว่ามีชนคิวอะไรมั้ย ร้านแพกเกจจิ้งส่วนใหญ่จะให้คนในบ้านไปดู ที่ร้านจะเข้าเป็นบางช่วง ปลายเดือนอะไรแบบนี้ แต่ระบบมันมีอยู่แล้ว ก็จะมีน้องๆ ไปช่วยดูร้านให้”



ในส่วนของช่องทางการขายของร้านขนมแห่งนี้จะอยู่ในแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ทั้งเฟซบุ๊ก อินสตาแกรม และไลน์ออฟฟิเชียล ในชื่อ “Bann Lada” และอาศัยการบอกปากต่อปากจากลูกค้าที่เคยได้ลิ้มลอง

“ไม่ขายผ่านแอปฯ เลย มีลงเฟซบุ๊ก ไลน์แอด และไอจีค่ะ ออนไลน์ล้วน แต่เอาจริงๆ มันจะมาจากเพื่อนบอกต่อๆ กันมาเยอะ ปากต่อปาก ลูกค้าเก่าบอกมา ถามว่ายิงแอดมั้ย ไม่ได้ยิง ยิงไม่เป็น ด้วยความที่โซเชียลฯ ไม่ได้เก่งมาก

แต่ตอนนี้เริ่มมาเรียนแล้ว ช่วงไหนที่ว่างจากการทำวุ้นเราก็จะไปเริ่มเรียนการยิงแอด การเขียนคอนเทนต์ยังไง พอเราเห็นรายได้ที่กลับมา มันก็ใช้ได้ เราก็เลยเริ่มหาข้อมูลตรงนี้เพิ่มค่ะ

หน้าร้านไม่ได้คิดเลยค่ะ เพราะมองว่าออนไลน์มันไปได้ หน้าร้านความกังวลคือเราต้องไปเข้าร้านทุกวัน บางทีเราไม่มีเวลาตรงนั้น แล้วมันเป็นของที่ถ้าทำทิ้งไว้ เหลือมันก็เป็นต้นทุน เพราะฉะนั้นแบบนี้คิดว่าโอเคแล้วค่ะ เราสั่งล่วงหน้าด้วยไง เราเตรียมของเตรียมวัตถุดิบได้ เราคำนวณได้ไม่ให้มันเหลือทิ้ง”

สำหรับเหตุผลที่ร้านขนมแห่งนี้ตัดสินใจยังไม่ลงขายในแอปพลิเคชันส่งอาหาร หรือ Food Delivery ต่างๆ ท่ามกลางยุคสมัยที่ร้านอาหารส่วนใหญ่พึ่งพาแอปฯ เหล่านี้ ด้วยเพราะอยากส่งขนมให้ถึงมือลูกค้าด้วยตนเอง



“เป็นคนที่จะห่วงไปหมด ห่วงว่าจะถึงลูกค้าปลอดภัยมั้ย อะไรที่เราทำเองได้เราจะทำเอง อย่างลูกค้าถามว่าส่งมั้ยคะ ส่งค่ะ ส่งเอง เพราะเราก็อยากเจอลูกค้า อยากให้ลูกค้าเจอเรา อย่างน้อยเจอเราเขาได้รู้จักหน้าตา เพราะเราไม่มีหน้าร้าน เจอเจ้าของร้านเอง บางทีมันก็เป็นการสร้างความน่าเชื่อถือไปอีกสเต็ปหนึ่ง ตุ่นคิดแบบนี้นะ

เคยมีงานหนึ่งให้ไรเดอร์ส่ง ไปถึงลูกค้าสภาพเละ ใจแป้วเลย เราถ่ายให้เขาก่อนออก ลูกค้าบอกขอบคุณค่ะสวยมาก พอไปถึงลูกค้า เละเทะ กระจายหมดเลย โชคดีที่ว่าเราทำเผื่อ ของมันมีเกินๆ เขาอยู่ไม่ไกล ก็เลยบอกเดี๋ยวทำไปให้ใหม่ เอาส่วนที่มีมาประกอบร่างใหม่ ส่งชิ้นใหม่ให้เขา ก็เลยบอกว่าถ้าที่ไหนไม่ไกลมากจะไปส่งเองดีกว่า เพื่อความสบายใจ

จนตอนหลังขั้นตอนแพก แพกเสร็จใส่กล่อง ต้องใส่กันกระแทกอีกทีหนึ่ง พอใส่ลงถุงก็กันกระแทกอีกที หนีบถุงบล็อกเลย ถ้าเคสไหนที่เราส่งเองไม่ได้จริงๆ เราเรียกไรเดอร์ส่ง เราก็จะบอกว่า ‘พี่คะ อย่ากระแทกมาก’ เราก็จะกังวล ก็จะตามงานเป็นระยะ พอลูกค้าถ่ายรูปส่งมาว่าถึงอย่างปลอดภัยก็จะโล่งมาก

คิดว่าจากที่ผ่านๆ มา หาการแก้การป้องกันต่างๆ คิดว่ามันโอเคแล้ว อย่างน้อยก็ 90 เปอร์เซ็นต์แล้วค่ะ ถ้ามันไม่สุดวิสัยจริงๆ ที่เหลือก็อยู่ที่ฝีมือไรเดอร์แล้วค่ะ”

“มันคืองานศิลป์ที่กินได้”

ตลอดการพูดคุย ดูเหมือนว่าเส้นทางที่ร้านวุ้น Bann Lada เดินมานั้นดูจะราบรื่น แต่ขณะเดียวกันก็มีสิ่งที่ไม่ถนัด เข้ามาให้พิสูจน์ฝีมือและเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา

“จะเป็นพวกน้องสัตว์ทั้งหลาย น้องหมียากมาก ด้วยความหนาของเขา ตัวเขาอ้วน พวกนี้จะใช้เวลาในการเซตตัวนาน บางทีเราทิ้งไว้ชั่วโมงหนึ่งคิดว่าได้แล้ว แกะออกมาข้างในเละ แกะออกมาแล้วขาด ทิ้งเลยค่ะต้องทำใหม่ ก็เลยจะไม่ถนัดมาก นานๆ จะทำที ถ้ามันเป็นบางจุดที่ไม่ได้ซีเรียสมาก มันก็จะมีตัววุ้นใสเชื่อมได้

ความยากในการทำคือเทคนิคเราต้องไปเรียนเพิ่มเติม อย่างสีดอกไม้ เราจะไล่สียังไงให้มันออกมาเหมือนจริงที่สุด จะเอาสีไหนลงก่อน ให้กลีบกับตัวดอกคนละสี มือต้องนิ่ง ผสมผิดก็ผิดเลย

และจะคิดราคาเฉลี่ยตามน้ำหนัก บางทีลูกค้าเขาก็จะ… ราคาสูงจัง สมมติเจอวุ้นปอนด์ 1,500 บาท เราก็เลยบอกว่าต้องใช้เวลา เขาไม่รู้ความยาก-ง่ายของเรา มันก็คืองานศิลป์ที่กินได้ เราก็ต้องมาคิดไอเดีย”



แม้ระหว่างทางจะมีอุปสรรคเข้ามาทดสอบบ้าง แต่เจ้าของร้านวุ้นคีโตวัย 48 ปีก็ไม่ท้อ และเธอก็ยังกล่าวอีกว่า รู้สึกภูมิใจและไม่คาดคิดเช่นกัน ว่าร้านวุ้นจะมาไกลขนาดนี้

“เราต้องยอมรับตัวเอง ตอนนั้นก็ยอมรับว่าเราไม่เก่งด้วย เรายังไม่เคยเจอ เราก็เข้าใจว่ามันก็ง่ายๆ มีอยู่ครั้งหนึ่งลูกค้าสั่งเค้กมาล่วงหน้า 2 วัน แล้ววันที่จะส่ง นัดลูกค้า 6 โมง 4 โมงเรายังจัดเรียงไม่ได้

องค์ประกอบทุกอย่างเสร็จ เหลือแต่การจัดเรียงหน้าเค้กยังไงให้มันแมตช์ เกือบไม่ทันเวลา เสร็จเกือบ 5 โมงกว่า ก็เครียดเลย ตอนหลังต้องมาตั้งสติดีๆ ต้องไปหาความรู้เพิ่มว่าเราจะจัดสเต็ปยังไง

บางทีดอกไม้ทำเกินก็มี เราคำนวณไม่เป็น ทำเผื่อไว้ก่อน กลัวขาด กลายเป็นเหลือเยอะ แต่พอทำไปเรื่อยๆ แล้วเราจะรู้สเต็ปแล้วค่ะ ว่าจะวางยังไง ถ้าจะทำทรงนี้ใช้ประมาณกี่ดอก ไซส์ไหนดี จะเริ่มเก่งขึ้น

ไม่ได้คิดเลยค่ะ เอาจริงๆ คนทำเยอะนะวุ้น แล้วสวยๆ กว่าเราก็มี แต่เรามาได้ขนาดนี้เราถือว่าเราภูมิใจ แล้วเราก็ยังได้ไอเดียในการต่อยอดไปอีก อาจจะเพราะส่วนใหญ่คนจะชอบบอกว่าเจ้าโปรเจกต์ พอเราเห็นตรงนี้แล้วเราก็จะนึกสเต็ปต่อไปแล้วว่า ถ้ามันไปอีกทีได้มั้ย”



สุดท้ายนี้ ตุ่นได้กล่าวถึงอนาคตของร้าน “Bann Lada” ก็จะมีผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ออกมาให้ได้ลองชิมกัน ทั้งวุ้นกรอบ บราวนี และชีสเค้ก แน่นอนว่าทุกอย่างจะยังคงคอนเซ็ปต์ “ขนมคีโตเพื่อสุขภาพ”

“คิดไว้หลายตัวเลยนะ มีทั้งวุ้นกรอบ แต่กำลังลองทำอยู่ว่ามันจะใช้เวลาเซตนานมั้ย เก็บได้นานมั้ย เพื่อที่สะดวกในการทำเป็นของฝาก ของชำร่วยได้ เป็นบราวนี ชีสเค้ก ชีสเค้กนี่เป็นอันดับ 1 นะคะ ทำแล้วทุกคนชิมทุกคนชอบมาก เป็นสูตรคีโตเหมือนกัน แต่ยังไม่เคยเปิดขายค่ะ

จะลงในแอปฯ นะคะ ตั้งใจอยู่ แต่ว่าอาจจะไม่ใช่วุ้นเป็นหลัก อาจจะเป็นของแห้งมากขึ้น เป็นอะไรที่สามารถเคลื่อนย้ายได้ดีขึ้นค่ะ วุ้นก็มีบ้าง น่าจะลงไว้เป็นเมนูหนึ่งในร้าน

สำหรับคนที่ชอบขนมหวาน แล้วห่วงสุขภาพตัวเอง ฝากร้าน Bann Lada นะคะ เป็นวุ้นเพื่อสุขภาพ เป็นมิตรต่อคนเป็นเบาหวานรับประทานได้ค่ะ”

สัมภาษณ์โดย : ทีมข่าว MGR Live
เรื่อง : กีรติ เอี่ยมโสภณ
ภาพ : พลภัทร วรรณดี
ขอบคุณภาพเพิ่มเติม : เพจเฟซบุ๊ก “Bann Lada”



** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **




กำลังโหลดความคิดเห็น