ดรามาวงการผ้าเหลือง! ถึงแม้จะอยู่ในการตรวจสอบ... สึกหนีความฉาว “อดีตพระ” ท่ามกลางกระแสสังคม ที่ตั้งคำถามถึงผู้มีหน้าที่ตรวจสอบ ไม่ควรยุติอยู่ที่การสึก ควรตรวจสอบต่อไป หากมีความผิดจริง ไม่ควรปล่อยวงจรอดีตโล้นห่มเหลือง ชุบตัวเป็น “เซเลบ” หาเงินต่อไป โดยไม่มีความผิด!!?
หนีลาสิกขา เพราะคลิปคุยสยิว!?
กลายเป็นประเด็นร้อนที่หลายคนสงสัย ถึงคลิปเสียงที่มีหญิงสาวปริศนาสนทนากับชายคนหนึ่ง โดยน้ำเสียงฝ่ายชายถูกกล่าวหา ว่า มีความคล้ายกับอดีตพระนักเทศน์ชื่อดัง “พระพงศกร ปภัสสโร” หรือ “พระกาโตะ” รักษาการเจ้าอาวาสวัดเพ็ญญาติ จ.นครศรีธรรมราช
หลังจากนั้น ได้ออกมายืนยันว่า ไม่มีความเกี่ยวข้อง และยืนยันว่า ไม่ใช่เจ้าของเสียงในคลิป แต่ในที่สุดในช่วงกลางดึกที่ผ่านมา พระกาโตะ ได้ลาสิกขา เพื่อยุติอุปสรรคที่เกิดขึ้น เผยอ่อนพระธรรมวินัย
“การบวชนั้นได้บวชเพื่อโยมแม่ หวังพึ่งพาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เพื่อให้โยมแม่ ตนเป็นเพียงพระนวกะ ที่ยังอ่อนหัดในพระธรรมวินัยอย่างมาก เพื่อลบอุปสรรคนี้จึงตัดสินใจยุติในการดำรงเพศบรรพชิต จึงขอโอกาสขอขมาพระอาจารย์ทุกรูป และขอลาสิกขาในวันนี้”
ทว่า เมื่อตรวจสอบพบว่า หลังจากที่พระกาโตะได้แสดงตนสึกออกจากการเป็นพระสงฆ์แล้ว จึงส่งผลให้การดำเนินการทางวินัยสงฆ์เป็นอันยุติ โดยหลังจากนี้ หากมีกรณีที่เกี่ยวข้อง และเข้าข่ายละเมิดอาจเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมหรือไม่ก็ได้
เรื่องราวสะเทือนวงการสงฆ์ครั้งนี้ ได้รับความสนใจจากสังคม สร้างความ “เสื่อมศรัทธา” ในวงกว้าง เพื่อหาคำตอบของประเด็นดรามานี้ ทีมข่าว MGR Live จึงได้ขอความรู้จาก รศ.ดร.ธวัช หอมทวนลม อดีตหัวหน้าภาควิชาปรัชญา คณะศาสนาและปรัชญา มหาวิทยาลัยมหามกุฎราชวิทยาลัย เป็นผู้มาให้คำตอบ ว่า ตกลงแล้ว ถึงการครองผ้าเหลืองสามารถทำละความผิด และเลิกตรวจสอบได้หรือไม่!!?
“ต้องตั้งคณะกรรมการก่อน มันมีเหตุการณ์เหล่านี้บ่อยครั้ง อาจจะต้องมีกฎหมายออกมา เมื่อพระสงฆ์ที่ผิดด้านธรรมวินัยแล้ว อาจจะต้องมีคดีตามมาด้วย อย่างคดีอาญา มันต้องมีการลงโทษ
ไม่อย่างนั้น ปัญหาก็มีอย่างนี้ตลอด ไม่ใช่ว่ามีปัญหาแล้ว จะต้องยุติโดยการสึก แล้วเรื่องก็เงียบ ในกรณีของท่าน (อดีตพระกาโตะ) ที่กำลังดัง มีชื่อเสียง และได้ไปอบรมทั้งหน่วยราชการ โรงเรียนต่างๆ พอมามีกรณีผู้หญิง มันสร้างความเสียหายกับคณะสงฆ์มาก
โดยเฉพาะผู้ที่อยู่เหนือผู้ปกครอง เป็นผู้ว่าราชการจังหวัด, นายอำเภอ หรือเจ้าอาวาส ก็ตาม ซึ่งมันไม่ใช่ จะต้องมีการสอบสวนก่อน และมีความชัดเจน หากมีความผิดจริงก็สึก ให้ลาสิกขาไป ไม่ใช่ตัดปัญหาไปอย่างที่ทำในปัจจุบัน อย่างที่เข้าใจกัน”
นักวิชาการมองว่า การตรวจสอบกรณีอดีตพระกาโตะ ไม่ควรจบที่การสึก โดยเฉพาะเรื่องการสอบเส้นทางเงิน เช่นเดียวกับอีกหลายกรณี มองว่า การลาสิกขาในครั้งนี้ เป็นการหนีปัญหา
“ผมมองว่า อาจจะเป็นข้อตกลง เพื่อตัดปัญหาให้ข่าวมันจบลงไป อาจจะมีข้อตกลงหรืออะไรก็ตาม ไม่แน่ใจว่าจะเป็นแบบนั้นรึเปล่า แต่ผมมองว่าน่าจะเป็นแบบนั้น
จริงๆ ตามหลักทั่วไป ต้องมีการสอบสวนต้นเหตุ ว่า เกิดจากอะไร อันนี้เหมือนเป็นการหนีปัญหา คือ ทางคณะสงฆ์ ผู้ปกครอง ทำเหมือนเป็นการตัดปัญหา ให้ท่านสึกไปก่อน
ก็มองว่า ตามหลักธรรมวินัย ต้องเรียกท่านมาคุย มาสอบสวน ว่า ท่านทำถูกไหม ผิดจริงตามเขาอ้างรึเปล่า ถ้าไม่เข้ากระบวนการตรงนี้ ก็เหมือนหนีปัญหา ซึ่งมันไม่ใช่ เพราะตอนนี้ท่านกำลังดัง กำลังมีผลกระทบกับคณะสงฆ์
อีกทั้งท่านไปบรรยายให้เยาวชน โรงเรียนต่างๆ พอมีเหตุเกิดขึ้นมา ท่านหนีปัญหาด้วยการสึก มันไม่ใช่ มันไม่ถูกต้องตามหลัก เพราะว่ามีผลกระทบแน่นอน อาจจะมีอะไรแฝงอยู่ลึกๆ
ท่านหนีปัญหาด้วยการลาสิกขา มันไม่ใช่ มันเป็นทางที่ท่านมองว่าถ้าสึกแล้วปัญหามันจะจบ แต่มันไม่ใช่ มันจะมีผลกระทบต่อคณะสงฆ์เอง โดยเฉพาะคณะผู้ปกครอง คณะสงฆ์ พระวินยาธิการ ซึ่งดูแลท่านอยู่ ส่วนคนที่สงสัย ก็ยังมีประเด็นตรงนี้อยู่ว่า ทำไมทำแบบนี้”
เคลียร์ชัด “พระ” ใช้สื่อออนไลน์หากิน!?
อดีตพระกาโตะ ก็ยังมีกระแสวิจารณ์เกี่ยวกับเรื่องมีตำแหน่งเป็นรักษาการเจ้าอาวาสวัดเพ็ญญาติ แทนเจ้าอาวาสที่ป่วย จึงเกิดข้อสงสัยว่า อดีตพระกาโตะมีอำนาจในการดูแลเงินวัดมากน้อยเพียงใด เพราะกรณีสีกาตอง มีการกล่าวอ้างว่า อดีตพระกาโตะโอนเงินให้หลายแสนบาท
แน่นอนว่า หลังมีการสึก ทำให้มีการยุติกระบวนการตรวจสอบข้อเท็จจริงทั้งหมด รวมถึงเรื่องเส้นทางการโอนเงินว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่
ขณะที่ในมุมของพระสงฆ์ด้วยกัน พระราชธรรมนิเทศ หรือ พระพยอม กัลยาโณ เจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว ซึ่งเป็น พระนักคิดนักเทศน์ ชื่อดังอีกรูป โดยท่านให้ความเห็นกับผู้สื่อข่าว ว่า อดีตพระกาโตะ ชิงสึกก่อนถูกคณะสงฆ์สอบ ชี้เป็นเทคนิค เชื่อถูกกดดัน และมองเกี่ยวกับเรื่องนี้ ยังสามารถตรวจสอบเส้นทางการเงิน เอาผิดฐานปาราชิกได้
อย่างไรก็ดี สำหรับพฤติกรรมที่เกิดขึ้น ในสายตาของสังคม มองว่า หลายครั้งที่พระที่ลาสิกขากลายเป็นคนดัง ที่มียอดคนติดตามมากมาย ใช้สื่อออนไลน์ในทางหากิน
ทั้งนี้ ด้าน อ.ธวัช เป็นผู้มาให้คำตอบ ได้มองว่า เป็นเรื่องจริง เพราะในสังคมที่มันพัฒนามาถึงปัจจุบัน โลกโซเชียลสามารถพาไปได้ไกล ทางคณะสงฆ์จะต้องมีการกลั่นกรอง และตรวจสอบ ไม่ควรปล่อยให้มีความอิสรเสรี
“แน่นอนเลย เพราะทุกวันนี้ โลกโซเชียลมันไปได้ไกล และไว ถ้าในแง่ดี หมายถึงว่าที่เป็นนักพูด เป็นวิทยากร ไปอบรมก็เป็นประโยชน์ต่อคณะสงฆ์ เยาวชน แต่ตรงข้ามถ้ามีคดีขึ้นมา มันจะมีผลในแง่ลบ ซึ่งมีผลมากเหมือนกัน
ในส่วนนี้ทางคณะสงฆ์ต้องดูแล เพราะทุกวันนี้ เราเห็นว่า ปล่อยให้พระเราทำโดยอิสรเสรีเกินไปในบางครั้ง เพราะโดยทั่วไป จะมีการอบรม คนที่เป็นวิทยากรได้ ต้องมีการผ่านองค์กร ต้องมีการสอบประวัติ พฤติกรรมต่างๆ โดยทุกวันนี้ คณะสงฆ์เราไม่ได้ทำ
พอได้จังหวะ ดังขึ้นมาปุ๊บ ก็ไปเลย มันจะมีปัญหาต่อคณะสงฆ์ ที่เขาเรียกว่า อสรพิษ คือ พระพุทธเจ้าตรัสว่า อสรพิษมี 2 อย่าง คือ สุภาพสตรี และด้วยเงิน ก็เข้ากับเรื่องนี้ ที่อาจจะมีเรื่องเงินเข้ามา พอมีความดังเข้ามาปุ๊บ เรื่องเงินทองเข้ามา ญาติโยมก็มา
ถ้าท่านคุมตัวเองไม่ได้ หรือว่ามันจะจริงหรือไม่ก็ตาม ก็ต้องมีการสอบสวนก่อน แต่ถ้าเราปล่อยให้เกิดกรณีแบบนี้ ไม่สืบสวนสอบสวนก่อนว่า มันจริงเท็จยังไง ผลกระทบก็ต้องเกิดกับพระสงฆ์อีก
ก็ต้องมีขั้นตอน คัดกรองพระขึ้นมาออกบรรยาย ออกเทศน์สอนชาวบ้าน จะต้องมีการผ่านการอบรม ผ่านลักษณะสายการปกครองด้วย ไม่ใช่อยากจะเทศน์ก็เทศน์ อยากจะพูดก็พูด อย่างที่เราเจอข่าวบ่อยๆ ซึ่งบางทีท่านไม่ได้ผ่านการอบรม การศึกษามา แล้วพูดตามความคิดของท่าน ไม่ได้ทำตามคำสอนพระไตรปิฎก พระพุทธเจ้า หรือพระโอษฐ์ ซึ่งมันอาจจะถูกตีความผิดพลาดไป”
อย่างไรก็ดี ล่าสุด กาโตะ ได้ออกมายอมรับผ่านทาง รายการโหนกระเเส ว่า ได้พาผู้หญิงไปเขื่อนตอน 4 ทุ่มจริง ถูกผู้หญิงยั่วยวน อีกทั้งโดนบังคับขู่เอาเงินตลอด อ้างว่า มีค่านั้นนี้ จึงโอนไป โดยตั้งใจจะสึกปลายปีนี้อยู่แล้ว เพราะวัดยังไม่เสร็จ อยากให้วัดเสร็จก่อน ส่วนเงินเป็นเงินเทศน์ที่หามาเอง เงินที่ได้รับจากเวลาเทศน์ เป็นเงินของตัวเอง ไม่มีเงินวัดแน่นอน
นอกจากนี้ เมื่อตรวจสอบไปทางแฟนเพจ “หลวงพี่กาโตะ-ขวดสีฟ้าฝาสีเหลือง” ก็มีผู้ติดตามถึง 5 แสน 4 หมื่นคน พร้อมทั้งได้มีการอัปเดตภาพโปรไฟล์ตัวเองยิ้ม ร่าเริง และดูไม่มีอะไรเกิดขึ้น หลังจากออกมายอมรับสิ่งที่กระทำลงไป ที่ไร้การตรวจสอบ
สกู๊ปโดย : ทีมข่าว MGR Live
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **