เปิดเบื้องหลังความปัง “อายตา” จากเด็กสลัมสู้ชีวิต สู่ "บิวตี้บล็อกเกอร์" สาวไทยหนึ่งเดียวที่ได้เฉิดฉายอยู่บนอินสตาแกรมแบรนด์ระดับโลก ก้าวข้ามทุกดรามาด้วยความจริงใจ ไม่สนคำดูถูก พิสูจน์ตัวเอง กว่าจะมีวันนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย!!
คนไทยหนึ่งเดียว ในแบรนด์โลก!!
ภาพสวมเครื่องหัวเทพี สาวผิวน้ำผึ้ง นี่คือคนไทยหนึ่งเดียวที่ทางแบรนด์เครื่องสำอาง R.E.M Beauty ของ ‘Ariana Grande’ นักร้องสุดฮอต ที่คว้ารางวัลในแวดวงดนตรีระดับโลก รีโพสต์ภาพแต่งหน้าคัฟเวอร์ลุคของเธอขึ้นบนอินสตาแกรมของแบรนด์ เรียกได้ว่าถือเป็นอีกหนึ่งจุดสูงสุดในชีวิตของเธอ
เธอคือ ‘อายตา-ศรสวรรค์ ใจมั่น’ บิวตี้บล็อกเกอร์ และ influencer ผู้มีผู้ติดตามมากกว่า 1 ล้านคน ในวัย 30 ปี เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของคนรุ่นใหม่ที่ประสบความสำเร็จบนโลกออนไลน์
นับเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นสำหรับวงการบิวตี้ไทย วันนี้เธอจะมาเล่าถึงความภาคภูมิใจของความสำเร็จที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ พร้อมบอกเล่ากว่าจะมีวันนี้ได้ ต้องผ่านความยากลำบาก เพื่อให้ครอบครัวได้มีชีวิตสุขสบาย
“เราดีใจ เราลงรูป ลงวิดีโออะไร แล้วเขาเห็นเราก็ดีใจแล้ว แต่พอเขาลงรูปนั้น รู้สึกปลาบปลิ้ม ปีติ ยินดี เพราะเขาเป็นแบรนด์ที่ไม่มีขายในไทยด้วยซ้ำ เราก็ไปดั้นด้นกระเสือกกระสนที่จะไปสั่งซื้อ ไปสั่งข้ามน้ำข้ามทะเลมาเอง ก็ดีใจที่เขามองเห็นค่ะ” เธอเผยถึงความรู้สึกด้วยความจริงใจ
แน่นอนว่าหลังจากถูกแบรนด์เครื่องสำอางของนักร้องระดับโลกขอนำรูปไปแชร์ ได้เกิดความสนใจเข้ามาอย่างถล่มทลาย บ้างให้ความสนใจไปในประเด็นฝีมือการแต่งหน้าที่สมจริง
“อายตาติดตามผลงานของ Ariana Grande อยู่แล้ว อาจจะไม่ได้เป็นแฟนคลับตัวยง แต่ก็ติดตามและชื่นชอบ พอเขาออกแบรนด์เราก็ติดตามว่าเขาจะวางขายเมื่อไหร่ ฉันจะกดซื้อ
อย่างเมืองนอกเขาจะบอกเวลา ว่าเขาจะวางขายวันนี้ เวลาเท่านี้ เราต้องคอยกด เราต้องรอ F นะคะ ไม่อย่างนั้นของหมด เราก็เตรียมไว้เลย ว่ามันมีไอเท็มไหน เพราะเวลาเขาออก เขาไม่ได้ออกตัวเดียว มีหลายชิ้นหลายไอเท็ม มีสีไหน เราก็คิดไว้แล้วในใจ แล้วพอเมื่อเวลาเขาเปิดขาย เราก็สั่งซื้อ
แล้วแบรนด์นี้ไม่มีขายในไทย เวลาสั่งซื้อ อายตาต้องสั่งซื้อเป็นเว็บของนอกเลย แล้วสั่งไปส่งโกดังที่ shipping ของประเทศนั้นๆ เสร็จแล้วเขาก็จะส่งมาที่ไทย ซึ่งใช้เวลาในการส่งนานมาก เพราะตัวแบรนด์เขาเองก็ต้องใช้เวลาในการส่งไปที่ shipping นานมาก แล้วกว่าจะถึงไทยก็เป็นเดือนเหมือนกัน
แล้วตอนที่อายตากดซื้อ อายตาก็คิดแล้วว่าอายตาจะแต่งลุคนี้ ลุคที่มีเครื่องหัวเทพี ที่เป็นเหมือนอะคริลิกใสๆ เพราะว่า Ariana เขามีแต่งลุคนี้ แต่จริงๆ เขามีแต่งหลายลุค เพื่อสำหรับโปรโมตเครื่องสำอางของเขา
เรารู้สึกว่าลุคนี้เก๋ มันมีเครื่องหัวด้วย ประจวบกับอายตามี stylist ที่ทำงานร่วมกัน บางทีเราสามารถสั่งตัดชุด สั่งตัดอุปกรณ์ได้ อายตาก็ทักบอกว่า อยากได้เครื่องหัวเป็นตัวนี้ทำให้หน่อย เขาก็ไปทำ สั่งตัดอะคริลิกมาเหมือนเป๊ะสุดๆ ก๊อปเกรดเอ มิลเลอร์
หลังจากได้เครื่องสำอางมา อายตาก็ดูจากลุคนั้นที่เขาใส่ ว่าแต่งหน้าประมาณไหน โทนประมาณไหน เขาจะแต่งหน้าที่ไม่ใช่ฉูดฉาดมาก แต่อาจจะมีความธรรมชาติ แล้วก็มีตาสีเงิน แต่อายตาอาจจะไม่ได้แต่งตามสีแบบเป๊ะๆ เลย
เพราะเรารู้สึกว่าต่อให้แต่งตาสีแบบเป๊ะๆ แต่หน้าเราไม่ใช่ คนก็อาจจะพูดอีกว่าแต่งยังไงให้เหมือนแต่ไม่เหมือน เราก็แค่เอาเครื่องประดับให้ดูคล้าย เอาผมให้ดูคล้าย แล้วลุคนั้นเหมือนเอาเส้นผม แฮร์พีซมาทำเป็นโชกเกอร์บริเวณคอ เหมือนเป็นสร้อย เราเห็นว่าน่ารักดี เราก็ไปตัดตรงแฮร์พีซมาทำ เพื่อให้ดูคล้ายกับลุคที่เขาทำ
และเหมือนลุคนั้นถ้าจำไม่ผิด เขาจะถ่าย background ที่ออกเทาๆ อายตาถ่ายงานกับผู้จัดการก็คุยๆ กันว่าจะถ่ายตรงไหนดี อุตส่าห์ทำเครื่องหัวมาเหมือน แต่งหน้ามาสวยๆ เราจะไปถ่ายตรงโลเกชันบ้งๆ ไม่ได้นะ
แล้วตรงไหนของบ้านเราที่เป็นเทาๆ ก็เลยถ่ายกับผ้าม่านที่บ้านเทาๆ นี่แหละ แต่เราก็เลือกใช้กล้องเลนส์ที่มันเอฟต่ำ มันจะได้ละลายหลังนิดหนึ่ง จะได้ดูไม่รู้ว่าเป็นผ้าม่านสีเทา เขาจะได้นึกว่าเป็นฉากสีเทา ไม่ใช่ค่ะ ถ่ายในบ้าน จากผ้าม่านบ้านๆ อย่างนี้เลยค่ะ”
กว่าจะได้ลุคสุดปังนี้ เรียกได้ว่าถูกรังสรรค์ขึ้นมาจากความตั้งใจเพื่อให้ได้ผลงานที่ดี เธอเปิดใจให้ฟังว่าเหตุการณ์ในครั้งนี้ทำให้รับรู้ว่ามีคนติดตาม และเป็นกำลังใจให้เธออย่างล้นหลาม
“อายตาเป็นคนชอบติดตามอยู่แล้วในเรื่องของ beauty ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ที่ขายในไทย หรือว่าแบรนด์ฝรั่งที่มีขายในไทย เราชอบติดตามโดยความชอบของเราอยู่แล้ว ว่าอะไรออกใหม่ มีแบรนด์ไหนออกใหม่ หรือว่าแบรนด์เขาออกคอลเลกชันอะไรใหม่
เพราะว่าอายตามีความรู้สึกว่าอะไรก็ตามที่ฮิตในไทย มันยังตามฝรั่งอยู่นิดหนึ่ง เราจะต้องติดตามข่าวสารจากต่างประเทศด้วยว่าต่างประเทศเขาฮิตอะไร แล้วเทรนด์พวกนั้นมันอาจจะมาฮิตในไทยเป็นลำดับต่อไป
ถามว่าเปลี่ยนแปลงไหม อายตามองว่ามันก็เปลี่ยนนิดหนึ่งนะคะ แต่อายตาไม่ได้มองว่าเหตุการณ์นี้เป็นปัจจัยในชีวิต ที่ทำให้เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ แต่มันก็ทำให้อายตารับรู้ได้ว่ามันมีคน support เรา และยินดีกับความสุขของเราด้วยเยอะเหมือนกัน
คือบางทีเรามีความสุขมากๆ มันจะมีความรู้สึกนิดหนึ่งที่มันจะมีใครมาเหม็นขี้หน้าเราไหม แต่พอมีเหตุการณ์นี้ คนมาร่วมแสดงความยินดีเยอะมาก
คน dm (direct message) คนทักมา ‘ดีใจมากเลย พี่อายตาเจ๋ง’ เรารู้สึกว่ามันไม่ใช่แค่ว่าเราทำตรงนี้เราดีใจคนเดียว แต่มันทำให้รู้ว่าเราอยู่ตรงนี้เราไม่ได้อยู่คนเดียว ถึงแม้เราถ่ายวิดีโอ เรานั่งถ่ายคนเดียว มองกล้อง พูดคนเดียว อัปวิดีโอคนเดียว แต่จริงๆ แล้วอายตาอยู่วงการนี้มาเกือบ 10 ปี อายตาอาจจะรู้สึกว่าคนจะเห็นไหม
หลายคนเขาเห็น แค่เขาอาจจะไม่มาเมนต์มาบอก แต่พอมีเหตุการณ์นี้ เขาแท็ก story มา เขาทัก inbox เขาทัก dm เจอหน้ากันก็บอก เพื่อนก็ทักไลน์มาบอก เรารู้สึกว่า จริงๆ มีคน support เราเยอะมาก มีคน appreciate กับสิ่งที่เราทำเยอะมาก
เขาแค่ไม่ได้พูดเฉยๆ พอถึงตรงนี้เขารู้สึกประทับใจจนเขาต้องพูด ก็เลยเป็นสิ่งที่อายตารู้สึกว่ามันเปลี่ยนไป จนทำให้ความคิดอายตาเปลี่ยนไป ที่ว่าแต่ก่อนอายตาทำวิดีโอ คิดว่าจะปังไหม view ก็ไม่เยอะ ทำไปทำไม
ทั้งที่จริงๆ มันมีคนดู แต่แค่เขาอาจจะไม่ได้มานั่งปั่นวิวให้เรา มันทำให้เราคิดว่ามันมีกำลังใจมากขึ้น สิ่งที่เราทำอยู่มันโอเค มันมีคนดู มีคนเห็นจริงๆ ทำต่อไปดีแล้ว”
สยบดรามา “ขอโทษที่หนูไม่ดัง”?!
“ขอโทษด้วยที่หนูไม่ดัง หนูก็อยากดังเหมือนกัน แต่หนูดังได้แค่นี้ หนูก็พยายามได้แค่นี้”
คำพูดข้างต้นแน่นอนว่าหากใครพอที่จะจำได้ กับเหตุการณ์รีวิวข้อดี-ข้อเสียเครื่องสำอางแบรนด์หนึ่งอย่างตรงไปตรงมา
ทว่า… ทันทีที่ตัดสินใจออกมาพูด ชีวิตก็กลับกลายจากหน้ามือเป็นหลังมือ เพราะทั้งงานรีวิว งานแต่งหน้า วิ่งเข้าหาอย่างไม่ขาดสาย และถือเป็นอีกหนึ่งปีที่กราฟชีวิตของเธอมีความพลิกผันอย่างมาก จนถูกบางคนมองว่า เธอขายดรามา?!
อายตาได้ย้อนความรู้สึก คำพูดให้แก่ผู้สัมภาษณ์ได้รับทราบ เมื่อกลายเป็นที่สนใจบนโลกออนไลน์ ก็ย่อมมาพร้อมกับความคิดเห็นที่หลายหลากที่ไม่อาจเลี่ยงได้
เธอกล่าวย้ำด้วยว่า ไม่มีเจตนาในทางที่ไม่ดี ทุกคำพูดที่ได้กล่าวออกมานั้นล้วนผ่านความคิด และหลีกเลี่ยงดรามาต่างๆ ด้วยความจริงใจ
“บุคลิกอายตาเป็นคนพูดจาโผงผาง ซึ่งอายตารู้จุดด้อยของตัวเองดีว่า การที่อายตาพูดจาโผงผางบางคนอาจจะชอบ เราเป็นคนตรงๆ แต่บางคนอาจจะรู้สึกว่าดูไม่มีมารยาท
อายตาเลยรู้สึกว่าอันนี้คือจุดด้อย ที่เราไม่อยากให้คนเข้าใจผิดว่าเราไม่มีมารยาท หรือว่าเราเป็นคนพูดจาไม่ดี ก่อนที่จะโพสต์อะไร พิมพ์อะไร อายตาพยายามอย่างมากที่ไม่ให้เกิดดรามาอะไรที่มันเป็นจุดที่ sensitive มากๆ อายตาก็จะปรึกษากับทีมก่อน มันก็เลยทำให้...ทำไมอายตาอยู่เกือบ 10 ปี ไม่มีกระแส ไม่มีดรามาเลย
ถามว่าไม่มีเลยไหม ก็เคยมี แต่พอหลังมีดรามามา ทำให้เราศึกษามากขึ้น และรู้จักที่จะปกป้องตัวเองมากขึ้น และอะไรที่ดูแล้วว่าจะโดนด่าแน่ๆ ก็ไม่ทำดีกว่า
แล้วอย่างดรามาที่ผ่านมา อายตาก็ต้องยอมรับว่ามันเป็นกระแส คนเขา support เรา อายตารู้สึก appreciate อย่างบางครั้งที่จะทำคอนเทนต์รีวิว คืออายตาเป็นคนพูดตรงโดยสันดาน ไม่ได้สาระแน จะพูดตรงเพื่อจะให้เป็นกระแส แต่อายตาเป็นคนพูดขวานผ่าซากจริงๆ โดยนิสัย
เรามองว่าถึงจุดประมาณไหนที่มันพูดได้ดี พูดแล้วคนไม่น่าจะเหม็นเรา อายตาจะตบท้ายด้วยว่า... อันนี้เป็นความคิดเห็นของอายตานะ ถ้าใครใช้แล้วดีหรือว่าไม่ดีบอกกันด้วยนะคะ
คือ เหมือนให้คนเขารู้สึกว่าเราพูดตรงประมาณหนึ่ง แต่เราก็น้อมรับ feedback หรือว่าถ้าคนมีความคิดเห็นที่ไม่ตรงกับเรา เราก็น้อมรับ แต่ถ้าถามว่าพอมีดรามาแล้ว อายตารับมือยังไง ถามว่าเสียใจไหม เวลามีเรื่องแบบนี้ ทุกคนเสียใจ เพราะทุกคนเป็นธรรมดามีความรู้สึก happy เสียใจ อายตาก็ร้องไห้นะ
ทุกคนเวลามีคอมเมนต์เล็กๆ มาด่าเล็กๆ น้อยๆ อายตาอ่านแล้วอายตาก็ร้องไห้เหมือนกันนะ แต่อายตาก็พยายามไม่รู้สึกยังไงแล้วพิมพ์ไปเลย เพราะว่าช่วงวัยรุ่น อายตาก็พลาดมาเยอะเหมือนกัน บางทีความรู้สึกตอนนั้นมันอาจจะคุกรุ่น มันยังไม่ได้ตกตะกอนความคิด มันยังไม่ได้ผ่านความคิดที่ไตร่ตรองมาดี อายตาจะยังไม่โพสต์เลย จะยังไม่พูดเลย จะรอก่อน
บางทีก็เสียใจนะ บางทีก็โกรธนะ แต่จะนั่งคิดก่อน รอก่อนแป๊บหนึ่ง ไปนอนก่อนสักตื่นหนึ่ง เพื่อที่อยากรู้ว่าความคิดที่เราคิดมาตอนแรก มันเป็นความคิดที่ถูกต้องจริงๆ ไหม แล้วเรารู้สึกแบบนั้นจริงๆ ไหม เราอยากพูดแบบนั้นจริงๆ ไหม
เพราะว่าสิ่งที่อายตาไม่อยากให้เกิดขึ้นเลยในชีวิต คือไม่อยากจะมาพูดว่ารู้งี้ตอนนั้นกูน่าจะอย่างนั้น รู้งี้ตอนนี้กูน่าจะอย่างนี้ อย่าทำอะไรแล้วมานั่งพูดว่ารู้งั้น รู้งี้ เพราะฉะนั้นทำอะไรอย่าให้มาทำอะไรเสียใจทีหลัง
อย่าให้มานั่งคิดว่าเราไม่น่าพูดอย่างนั้นเลย ก็เลยค่อนข้างจะรอให้ตกตะกอนก่อน แล้วอายตาค่อยมาคิดว่าจะมาพูดยังไง หรือจะไม่พูดดี ไม่พูดก็ได้นะ แต่ด้วยความที่เราเป็นคนตรงๆ เราไม่ค่อยโอเคกับการที่บางทีคนเขาอาจจะเข้าใจผิด”
บุคลิกตรงไปตรงมา แต่ซื่อสัตย์ต่อคำพูดต่อตัวเอง ที่บิวตี้บล็อกเกอร์คนนี้ยึดหลักเอาไว้ในประจำวันเสมอ
โดยคอนเทนต์ที่ถ่ายทอดช่องทางยูทูปของอายตา ส่วนใหญ่คือเกี่ยวกับการแต่งหน้า ความสวยงามความงาม รีวิวเครื่องสำอางตรงไปตรงมา แม้จะมีสปอนเซอร์ก็ตาม พร้อมมอบพลังบวกให้คนที่ติดตาม จนทำให้รักในการดูแลตัวเองมากยิ่งขึ้น
และมักปรากฏกายอย่างมั่นใจในเสื้อผ้าหลากสไตล์ หรือจะเป็นชุดแนวเซ็กซี่ สายฝอ ทำเอาใครก็ตามที่ได้เห็นต่างพากันกดไลก์ให้รัวๆ
“ที่อายตาพูดว่าขอโทษว่าไม่ดัง อายตาไม่ได้กวนตีน แต่อายตาก็ไม่ได้มองว่าอายตาดังขนาดนั้น ถ้าลองเทียบกับคนไทย 74 ล้านคน เรามีคนติดตามแค่ 1 ล้าน มันแค่หยิบมือเอง เราก็พูดจริงๆ ไม่ได้ไปกวนตีน ถามว่าอันนี้รู้ไหม ต้องใช้แบบนั้น ...รู้ แค่ qualified ตัวเองเฉยๆ ไม่ได้ออกมากวนตีนหรืออะไร ก็ไม่ได้อยากให้คนมาหาด่า
เพราะบางทีเขาด่า เขาไม่ได้ด่าตัวเรา เขาด่าถึงพ่อถึงแม่ ถึงสถาบัน ว่าเรียนจบจากไหน ครูบาอาจารย์เป็นใคร เราก็ไม่อยากให้มีผลกระทบแบบนั้น เราก็ออกมาพูดชี้แจงในสิ่งที่เราอยากจะพูดแค่นั้น ไม่ได้ต่อความยาว สาวความยืด
จริงๆ แล้ว หลังจากที่มีดรามา ก็มีหลายเพจ และหลายสำนักข่าวติดต่อมาเยอะมาก ที่อยากจะสัมภาษณ์ แต่อายตารู้สึกว่า ถ้าตอนนั้นอายตาสัมภาษณ์ก็ได้ ก็เป็นกระแส ตีดรามาต่อไปก็ได้ ก็ไม่จบก็ได้ ต่อไปเลยยาวๆ ก็ได้
แต่อายตาก็เลือกที่จะไม่เอา ไม่พูด เพราะอายตาได้พูดในสิ่งที่อายตาอยากพูดแล้ว พอแล้ว จบแล้ว อายตาก็มีหน้าที่อย่างอื่น ที่เราอยากทำต่อไป เพราะว่าการ handle เรื่องดรามาไม่ใช่งานหลักของเรา การทำคอนเทนต์ดีๆ คืองานหลักของเราค่ะ”
รีวิวตรงๆ ไม่ขายวิญญาณ!! “จุดยืนจริงๆ อายตาว่า อย่างคนที่ติดตาม หรือคนที่รู้จักอายตามาบ้าง เขาจะรู้ว่าเป็นคนเขียนอะไรตรงๆ ตลกๆ ให้มันดูมั่นๆ ให้มันดูโปกฮา จริงๆ อาจจะไม่ต้องไปบอกเขาหรอก เขารู้เดี๋ยวเขาก็มาดูคอนเทนต์เอง บางทีลงรูปอะไร เขียนข้อความเพ้อเจ้อ 18+ ให้ขำๆ แต่ที่อยากบอกเลย แบรนด์สินค้า ว่าบางทีเขาคาดหวังให้เรารีวิว เขาไม่สามารถคาดหวังได้ว่าเราจะชอบสินค้าเขาได้ 100% และเขาไม่สามารถคาดหวังได้ว่า การที่เขามีเงินและมาสปอนเซอร์เรา เราจะต้องพูดเป็นหุ่นเชิด เป็นตุ๊กตาให้เขา เรามีสิทธิ์ที่จะชอบหรือไม่ชอบ ในฐานะที่อายตาทำงานตรงนี้มา มันมีเยอะมาก ที่มีสินค้าที่เขาอยากจะจ้าง แต่เราไม่ชอบ อายตาก็ไม่รับ เราก็ไม่ได้มาพูด อย่างสินค้าสปอนเซอร์ เราก็เผยแพร่ คนดูก็จะรู้ว่าอายตารีวิวอะไรบ้าง แต่อันไหนที่ไม่ได้รีวิว และไม่ได้รับ เราไม่ได้มานั่งพูด มานั่งบอก เขาอาจจะมองว่าอายตารีวิวเยอะ แต่จริงๆ อันที่ไม่ได้รับรีวิวก็เยอะค่ะ อันที่ใช้ไม่ค่อยโดนก็เยอะค่ะ เพราะฉะนั้นไม่อยากให้คนรู้สึกว่า influencer มีสปอนเซอร์ จะต้องชม จะต้องอวย...อ๋อ ไม่ค่ะ อันที่ชม ที่อวย คือผ่านการคิด การใช้มาแล้วว่าอันนี้ควรจะชม เพราะใช้ดีจริงๆ แต่อันไหนที่รู้สึกว่าหนักปาก ไม่กล้าพูด เดี๋ยวคนเขาด่า ก็ไม่รับแค่นั้น เพราะว่าอายตารู้สึกว่า คนสมัยนี้ควรรับรู้ในจุดจุดนี้มากขึ้น ไม่ได้หมายความว่าจะไปปิดตา ปิดหูของเขา เราก็มีจุดยืนของเรา ไม่ใช่ว่ามีเงินมาจะให้จ้าง เราไม่ขนาดนั้น เราไม่ขายวิญญาณค่ะ” |
ไม่เกี่ยว! ด่าก่อน ตบคำชม “ถามว่าสไตล์รีวิวอายตามันก็ไม่ใช่เชิงเป็นสไตล์หรอก คืออายตาเป็นคนพูดตรงๆ โดยนิสัย คือมันไม่ใช่สไตล์ฉันจะต้องเป็นแบบนี้ๆ เข้าแพลตฟอร์ม เข้า intro วินาทีนี้ แล้วก็ต่อด้วยไฮไลต์วินาทีนี้ ไม่ได้เป็นแบบนั้น เราก็พูดตามตรง พูดไปเรื่อยแล้วแต่ที่เราชอบ ตามประสบการณ์ ทำวิดีโอมากว่า 1,000 วิดีโอแล้ว เข้าไปดูใน channel ได้ อายตาไม่มีแพลตฟอร์ม ถ้าอันไหนที่อายตาคือชมเลย ไม่มีด่าก็มี ไม่ว่าจะเป็นสปอนเซอร์ หรือไม่สปอนเซอร์ ไม่เกี่ยวเลย ถ้าชอบมาก ชมมาก ถ้ามีข้อติ ก็ติ ถ้ามีข้อติเยอะก็ติเยอะ บางวิดีโอชอบมาก ชมจนคนมาเมนต์ อันนี้อวยมาก ได้สปอนเซอร์แน่นอน คือเธอมารู้ได้ยังไง ไม่ใช่ ไม่ได้เงินเลย ก็อยากได้สปอนเซอร์เหมือนกัน แต่เขาไม่ได้จ้าง บังเอิญมันชอบ จนบางทีคนเข้าใจผิด รู้สึกว่าบางทีเราไม่จำเป็นต้องไปอะไรกับเล็กๆ น้อยๆ มากขนาดนั้น ก็ปล่อยๆ ไปให้เป็นเรื่องขำๆ ในชีวิตนิดหนึ่ง มันไม่ได้เป็นสไตล์หรืออะไรหรอก แต่แค่อยากจะบอกว่าอายตาเป็นคนพูดจาแบบนี้ มีเหมือนกันที่บางคนเขาไม่ชอบสไตล์การพูดของเรา ดูห้วนๆ ไม่ค่อยลื่นหู ซึ่งอายตาเข้าใจ เพราะคนเรามีบุคลิกที่ต่างกันมาก แล้วเราจะไปคาดหวังให้เขาจู่ๆ มารักเรา จู่ๆ มาชอบเรา เป็นไปไม่ได้เลย แล้วเขาอาจจะคาดหวังให้อายตามาเปลี่ยน อายตาก็คงทำได้ไม่กี่วิดีโอ แล้วอายตาก็กลับมาเป็นตัวเอง ให้เขาด่าทำไมว่า จะตอแหลทำไม จะเปลี่ยนตัวเองทำไม เพราะฉะนั้นอายตาก็รู้สึกว่า เป็นแบบนี้แหละ เพราะสไตล์ของเรา ก็แล้วแต่ว่าเราจะรู้สึกยังไง เราก็พูดไปแบบนั้น แล้วไม่ได้เกี่ยวเลยว่าต้องเป็นด่าก่อนชม ถ้าตอนนี้มันนึกชมได้ ก็พูด แต่ถ้าตอนนี้มันนึกข้อด่าได้ ก็พูดออกมา และไม่ได้เกี่ยวเลยว่าเขาจะต้องจ่ายเงินหรือไม่จ่ายเงิน” |
สลัดชีวิตติดลบ-เด็กส่งยา สู่เสาหลักครอบครัว
อาจเพราะบุคลิกที่ดูร่าเริงและมั่นใจ หลายคนจึงอาจไม่รู้มาก่อนว่ากว่าอายตาจะประสบความสำเร็จนั้น ไม่ง่าย
ในวันนี้หลายคนรู้จักอายตาในฐานะยูทูบเบอร์สาวสวยอารมณ์ดี ที่ส่งมอบความสุขให้ผู้ชมเสมอ แต่เบื้องหลังรอยยิ้มของเธอนั้น ใครจะรู้ล่ะว่าเต็มไปด้วยทัศนคติที่ไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคในชีวิต โดยในครั้งนี้เธอได้เปิดเผยเรื่องราวชีวิตที่ยากลำบากในวัยเด็ก พร้อมส่งแรงบันดาลใจชีวิต
“ตั้งแต่จำความได้ ตอนประถม อายตาอยู่สลัมย่านแถวพระโขนงกับแม่ กับพี่สาว ตอนนั้นก็ยังมีพ่ออยู่ แต่ว่าพอหลังๆ มา พ่อกับแม่เขาหย่ากัน ก็อยู่กับแม่มาโดยตลอด
ตอนนั้นอยู่สลัม ตอนเด็กๆ เราก็ไม่รู้หรอกความจนมันเป็นยังไง เพราะเราอยู่โลกแคบๆ ถูกไหม เราไปเนิร์สเซอรีเราก็ไปในสลัม ไมได้ออกไปไหนเลย ไปโรงเรียนประถมก็ไปโรงเรียนเล็กๆ แล้วพอเราโต เราได้เข้ามหาวิทยาลัย เราก็เลยรู้สึกว่า เฮ้ย! ไอ้สิ่งที่กูเป็น มันคือความจน มันคือความลำบาก”
เด็กน้อยที่อาศัยอยู่ในสลัมบ้านไม้สังกะสีเล็กๆ หนักหนาถึงกับเคยไม่มีข้าวกิน ได้เล่าถึงความยากลำบาก ทั้งปัญหาเรื่องครอบครัว ความยากจน แม่มีอาชีพเป็นแม่บ้าน ต้องรับหน้าที่ดูแล หาเงิน อายตา และพี่สาว บางครั้งในช่วงที่แม่ไปทำงาน ต้องอาศัยอยู่กับข้างบ้าน จนเกือบพลาดเข้าใกล้วงจรยาเสพติด
“มีแม่เป็น role model เลย เขาขยันมาก เขาอดทนมาก เรารู้สึกว่าเขาทำงานแค่คนเดียว ไม่ได้มีการศึกษา เป็นแค่แม่บ้านทำความสะอาดบ้านคนรวย เขายังเลี้ยงลูก 2 คนจบปริญญามาได้ เราแค่เรียนให้จบ แล้วทำงานดูแลตัวเองให้ได้ เราไม่เคยมองว่ามันทำไม่ได้เลย
มองแค่ว่าถ้ามันยังทำไม่ได้ ถ้ามันยังไม่ถึงเรา เราอาจจะยังพยายามไม่พอรึเปล่า มันอาจจะไวเกินไปสำหรับเรารึเปล่า พยายามต่อไปๆ เดี๋ยวมันได้ค่ะ
ไม่ได้รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ มันก็บ้างตามวัยเด็ก แต่ก็รู้สึกว่า ให้ทำไง ก็มันจน ฉันรวยกว่านี้มากไม่ได้แล้ว เพราะว่าแม่อายตาก็เป็นคนขยันเท่าที่ผู้หญิงคนหนึ่งจะขยันได้แล้ว และเขาก็ไม่มีการศึกษา
เขาทำงานทุกวัน ไม่มีวันหยุด เราก็รู้สึกว่า แม่ก็ทำเต็มที่ สิ่งที่เราได้ คือความตั้งใจเรียน ถ้าเป็นอายตาตอนนั้นมองว่า เซ็งว่ะ อยากมีครอบครัวที่ดีกว่านี้ แต่ถ้ามองตอนนี้ คือบางทีเราเลือกเกิดไม่ได้ เราเลือกได้ เราก็อยากเลือกครอบครัวที่มีเงิน
สิ่งที่เราทำได้ คือตั้งใจเรียน แต่โชคดีตอนที่เรียน อายตาก็มีได้ทุนการศึกษาบ้าง มันเหมือนได้มาช่วยแม่ แล้วโชคดีมากๆ ที่ได้โครงการช้างเผือก เป็นเหมือนโควตาของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อายตามองว่า หลายๆ สิ่งหลายๆ อย่าง ถึงแม้ว่ามันจะลำบาก มันจะยากจน แต่ถ้าเราใฝ่ดี ใฝ่เรียน แล้วเรามีจุดมุ่งมั่น จุดมุ่งหมายของเรา
จำได้ว่าตอนที่อายตากำลังจะเข้ามัธยม อายตาอยากเข้าโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการมาก แล้วเหมือนทะเบียนบ้านอยู่ในแวดวงที่เขาให้ไปจับฉลากเข้าได้ พอไปจับฉลากปุ๊บไม่ได้ เดินลงมาจากที่จับฉลากร้องไห้กับแม่ แม่ก็ปลอบไม่เป็นไร
ตอนนั้นคิดในใจ ว่าอยากเรียนที่นี่มาก เพราะโรงเรียนที่นี่มันโรงเรียนดี หนูอยากได้เรียนที่ดีๆ หนูอยากมีเพื่อนดีๆ หนูอยากมีสังคมดีๆ หนูไม่อยากอยู่สลัมที่บ้านแล้ว
เพราะว่าตอนนั้นมีตัวเลือกแค่ว่า ถ้าตรงนี้ไม่ได้ ต้องเรียนโรงเรียนใกล้บ้าน ที่เป็นโรงเรียนที่ชื่อเสียงไม่ดีมากนัก แล้วเรารู้ว่า เราไม่ได้เป็นคนที่เรียนเก่ง ถ้าเรียนที่นั่น คิดในใจเราต้องท้องแน่เลย ไม่ได้บอกว่าคนท้องมีผัวไม่ดีนะ แต่เรารู้ตัวเองเราไม่ได้เป็นคนเรียนเก่ง ไม่ได้มุ่งมั่นการเรียนขนาดนั้น แต่เราแค่อยากเป็นคนที่มีชีวิตที่ดีขึ้น”
จากเด็กธรรมดาคนหนึ่งที่สู้ดิ้นรน ถีบตัวเองเพื่อให้ตัวเองและครอบครัวมีชีวิตที่ดี แม้จะเหนื่อยแต่เธอก็ไม่เคยยอมแพ้ต่อความจนเลย
“อายตามองว่าในทุกความยากลำบาก มันอาจจะมี factor ที่อาจจะไม่เหมือนกัน บางคนอาจจะรู้สึกว่า ก็แน่สิ คุณพูดได้ ก็เพราะคุณผ่านมาแล้ว แต่บางคนผ่านไม่ได้ หรือว่าฉันลำบากกว่าคุณเยอะ แต่อายตามองว่าความขยัน และความอดทน ความมีวินัย ความสม่ำเสมอในความขยันสำคัญมากๆ
อยากให้ keep ไฟนั้นในใจ อยากทำให้ไฟนั้นคงอยู่ในใจได้นานๆ หาอะไรที่เป็นเป้าหมายในชีวิต หาอะไรที่เป็น goal ในชีวิต อย่างอายตาไม่ได้อยากเป็นคนที่ดังที่สุด ไม่ได้อยากเป็นคนที่รวยที่สุด ไม่ได้อยากจะซื้อของแบรนด์เนม แต่อายตาแค่อยากมีชีวิตที่ดีขึ้นจากแต่ก่อน แต่ก่อนไปไหน อยากกินขนมไม่ได้กิน เพราะแม่ซื้อให้ไม่ได้
แค่อยากยกระดับชีวิตตัวเอง คือมีเป้าหมายให้ชัดเจน และตั้งมั่น มันจะทำให้ไฟในใจเรา หรือความขยันในใจเรา ความอดทนในใจเรา มันมีอยู่เรื่อยๆ
อายตารู้สึกว่าความขยันอดทน ความมุมานะ ความสม่ำเสมอ มันไม่มีวันจะทำร้ายเรา หรือทรยศหักหลังเรา บางคนอาจจะพูดว่าขยันผิดที่ ทำให้ตายก็ไม่รวย แต่ไม่เป็นไร อย่างน้อยขยันก็ดีกว่าขี้เกียจถูกไหม
ถ้าเรารู้ว่าผิดที่ เราก็เปลี่ยนไปทำอย่างอื่น แต่คงความขยัน คงไฟในใจตรงนี้ แล้วอายตาเชื่อว่าความที่เราตั้งใจ ขยัน อดทน มันจะผ่านเหตุการณ์นั้นไปได้ ตอนนี้อาจจะยาก อายตาก็เคยผ่านในวันที่เคยร้องไห้ วันที่เสียใจ วันที่กอดแม่ร้องไห้ มันมี ทุกคนมันมีคนที่ลำบาก
แต่ถ้าเราผ่านวันนั้นมาได้แล้ว เราจะมองเรื่องราวอดีตตรงนั้นเป็นเรื่องราวดีๆ เป็นเรื่องที่เรานึกถึง และอมยิ้มกับมันได้ ถึงแม้ว่าตอนนี้มันยังไม่ผ่านมา มันอาจจะขื่นขม คิดทีไรมันก็เจ็บในหัวใจ คิดทีไรมันก็เสียใจ แต่ว่ามันจะผ่านได้จริงๆ ค่ะ”
ไม่ต้องสวย แต่ต้องเป็นตัวเองถึงอยู่ได้ยาว!!
ตามประสาของเด็กวัยรุ่นทั่วไป ที่พอโตขึ้น ก็จะเริ่มรู้สึกรักสวยรักงาม เมื่อร่างกายเกิดความเปลี่ยนแปลง ก็มักจะมีเรื่องให้กลัดกลุ้มใจหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง “สิว” ที่เรียกได้ว่าเป็นเพื่อนสนิทของวัยรุ่น หรือ “เส้นผม” ที่อาจจะไม่ได้ยืดตรงสวยงามตาม ‘beauty standard’ แต่นั่นก็กลายเป็น จุดเริ่มต้น ที่เป็นกูรูเรื่องความสวยความงามมาจนถึงทุกวันนี้
“ถ้ามองว่าอะไรที่ทำให้ชอบการแต่งหน้า อาจจะตอนเด็กๆ ช่วง ม.ต้น-ม.ปลาย อายตาเป็นลูกเป็ดขี้เหร่มาก หัวก็ฟู เป็นคนผมหยักศก สมัยก่อนหัวฟูไม่ได้ ต้องไปยืด หน้าก็เป็นสิว ตอนนั้นก็ไม่รู้ว่ามีอาการแพ้น้ำที่บ้าน
เป็นสิวจนไม่มีที่ว่างที่หน้า เพื่อนก็ล้อนิดหนึ่ง อาจจะไม่ได้ล้อให้เป็นปมด้อย แต่พูดว่าอายวันนี้หน้าเฟะเลยนะมึง แต่มันก็คิดเหมือนกัน เพราะเราเป็นเด็กผู้หญิง เราก็อยากน่ารักเหมือนเพื่อนคนนั้นที่น่ารักจังเลย เขาได้เป็นลีด แต่เราเป็นอะไร เราเป็นตัวตลกให้เขาขำ
เราก็เหมือนอยากสวยตามประสาเด็กหญิงทั่วไป แล้วประกอบกับตอน ม.ต้น และ ม.ปลายเป็นสิวเยอะมาก จนส่องกระจกดูหน้าตัวเองร้องไห้นะ มันไม่หายสักที หัวก็ฟู ตัวก็ดำ สิวก็เต็ม ไปโรงเรียนก็ไม่ได้เป็นคนน่ารัก เป็น nobody
คือเด็กทุกคน อายตามองว่าอยากเป็น someone สำหรับบางคน แล้วพอขึ้นมหาวิทยาลัยปุ๊บ จู่ๆ มันดีขึ้น เพราะว่าเพิ่งรู้ว่าสิวที่เป็นเพราะแพ้น้ำประปาที่บ้าน พอเราขึ้นมหาวิทยาลัย เราไปอยู่หอ จู่ๆ มันดีขึ้น ไม่ได้หายหรอก รอยสิวมันก็ยังมี แต่มันดีขึ้น
พอมันดีขึ้นทำให้เรารู้สึกว่า ฉันเห็นทางสว่างแล้ว เหมือนเราเห็นแสงสว่างตรงปลายอุโมงค์ว่า ฉันก็สามารถหน้าดีได้ ฉันไม่จำเป็นต้องเป็นอีอายหน้าเฟะอีกต่อไปแล้ว”
หลายคนอาจจะมองว่าต้องสวยเท่านั้น ถึงจะเป็นบิวตี้บล็อกเกอร์ได้ แต่เธอกลับมองว่า หน้าตาไม่ได้สำคัญ แค่กล้าที่จะลงมือทำ และเป็นตัวของตัวเอง และรักในสิ่งที่ทำเท่านั้นเอง
“อย่าไปบอกว่า หน้าแบบนี้จะไปเป็นบิวตี้บล็อกเกอร์ อ้าว! แล้วปากแบบนี้เป็นคนได้ยังไง ไม่ได้นะ คุณจะไปหาพูดแบบนี้ไม่ได้ ทุกคนอยากสวยค่ะ เขาสวยพอเท่าที่เขาทำได้ เท่าที่เขาแต่งได้แล้ว
แต่การที่คุณไปพูดแบบนี้ไม่ถูกต้องเลย และอายตาอยากจะบอกว่าความสวยใครๆ ก็สวยได้ แต่ไม่ใช่คนที่สวยที่สุดเป็นคนที่ปังที่สุด เพราะว่าบางทีเวลาที่คนจะติดตามใคร ความสวยอาจจะเป็นประตูบานแรกที่ทำให้สนใจ เข้าไปดูคอนเทนต์ต่อ
แต่คอนเทนต์ไม่เริ่ด ไม่ทำคอนเทนต์ ไม่ขยัน ไม่สม่ำเสมอ เขาก็ไม่ติดตามเพราะความสวยนะคะ อายตามองว่ายิ่งถ้าบางคน อย่างหน้าบ้านๆ เลย อย่างอายตา ถอดวิกออกมา ล้างหน้าก็คือบ้านๆ เลย คนจะมองว่าเข้าถึงง่าย เวลาแต่งเราดูได้ ดูสวยจริง แต่เวลาไม่แต่งเราก็ธรรมดานี่แหละ หน้าบางวันก็มีสิวเหมือนกัน มีแพ้เหมือนกัน เจอแดดก็ตัวดำเหมือนกัน เขาก็จะมองว่านี่คือตัวอย่างของผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งเหมือนกัน
คำว่าสวยหรือไม่สวย ไม่ได้บ่งบอกเลยว่าคุณจะเป็นบิวตี้บล็อกเกอร์ได้หรือไม่ได้ แต่สิ่งที่ทำให้คุณเป็นได้หรือไม่ได้ คือ คุณรักงานตรงนี้รึเปล่า สวยมากแค่ไหน แต่คุณไม่ได้ชอบงาน beauty คุณก็อาจจะทำไม่ได้ก็ได้ค่ะ”
ทุกวันนี้มีช่องยูทูบผุดออกมาให้ผู้ชมเลือกชมได้หลากหลายช่องมาก แต่อะไรกันที่ทำให้ช่อง “EYETA” ถูกพูดถึง และยังมีคนติดตามขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเธอก็เล่าว่าการเป็นตัวเองและจริงใจกับสิ่งที่ทำ ไม่หยุดสร้างโอกาสใหม่ๆ ให้ตัวเอง คือเรื่องที่สำคัญ
“จริงๆ ณ ตอนนี้ อายตาก็ไม่ได้มองว่ามันมั่นคงขนาดนั้น แต่ถ้าถามว่าตอนนี้มันยังทำได้อยู่ไหม ก็ทำได้ อย่างที่เห็น คือมีบิวตี้บล็อกเกอร์ หรือ influencer เกิดขึ้นเยอะ แล้วอายตาก็ไม่ได้มองว่าเป็นคู่แข่ง เป็นอาชีพที่ใครๆ ก็สามารถทำได้
ก็แข่งกันที่คอนเทนต์ อย่างอายตาเจอ influencer ท่านอื่น เราก็เป็นเพื่อนกัน ไม่ได้มองว่า ฉันดังกว่าคนนั้น คนนี้ แต่ก็ต้องยอมรับว่ามันเป็นงานที่ไม่มั่นคง
มันก็มีช่วงโควิด-19 แรกๆ งานก็หายเลื่อนไปเลย อย่างงานอายตาไม่ใช่นึกอยากจะถ่ายอะไรก็ถ่าย อายตามีแพลนล่วงหน้า ลูกค้าสปอนเซอร์เข้า ต้อง book ล่วงหน้า 2-3 เดือน พอโควิดมาก็หายไปเลย มันก็มีเหมือนกัน ซึ่งถ้าเราไม่มีเงินเก็บหรือว่าไม่ได้ดูแลตรงนั้น ถ้าเกิดอะไรแบบนี้ขึ้นมา ซวยเลย
บางคนมองว่าได้เงินง่าย ได้เงินเยอะ มันก็จริงส่วนหนึ่ง แต่ถามว่ามันจะหายได้ไหม มันก็หายได้เหมือนกัน ก็มีบางเดือนที่อายตามองว่าได้น้อยเหมือนกัน
สุดท้ายอายตาก็มองว่า ความขยัน มันเป็นจุดที่จะบอกเรามากที่สุด เพราะว่าไม่ใช่ว่าเดือนนี้มีลูกค้าแบรนด์สปอนเซอร์น้อย ฉันก็เลยจะไม่ทำคอนเทนต์ และวิดีโอเลย ก็ไม่ค่ะ ไม่มีใครจ้างฉันก็ทำ
อายตามองว่าถ้าเราขยันทำคอนเทนต์เยอะๆ บางทีลูกค้าหรือว่าแบรนด์ไม่ได้รู้จัก แต่เราออกมาเยอะๆ เขาจะรู้ว่าอายตาทำคอนเทนต์แบบนี้ มันรีวิวของได้ ฉันมีของออกใหม่ ฉันก็ไปจ้างมันลงก็ได้
คือ มันเป็นการสร้างโอกาสให้ตัวเองมากขึ้น ไม่ได้มองว่า งานมีน้อยลง มันก็คงตายไปแล้ว ไม่มีใครจ้างเราก็ตายเลย นอนแห้งไปเลย เราต้องพยายามสร้างโอกาสให้ตัวเองขึ้นมา ความขยัน จะทำให้มั่นคงมากขึ้น แต่จริงๆ ตอนนี้โลกไม่มีอะไรมั่นคง ทำงานออฟฟิศก็ยังโดนเลย์ออฟได้
อายตารู้สึกว่า สิ่งที่เราพอจะยึดเหนี่ยว และกอดเราไว้ คือ ทักษะ ความรู้ของเรา และความขยันเท่านั้น เพราะฉะนั้นทำงานอะไรไม่มีอะไรมั่นคงเลย อายตาไม่ได้มองว่างานที่ทำไม่มีวันล้ม อายตาเผลอๆ ก็อาจจะล้มก็ได้”
ดูโพสต์นี้บน Instagram
...#อายตา ย้ำ คนที่สวยที่สุด ไม่ใช่ คนที่ปังที่สุด...
.
ล่าสุด กลายเป็นบุคคลสุดปังที่แบรนด์โลก เลือกภาพเธอไปโชว์
.
คลิปเต็ม>>> https://t.co/ldM4mtSsGF
.#บิวตี้บล็อกเกอร์ #รีวิว #รีวิวเครื่องสำอาง #แม่ค้าออนไลน์ #ขายของออนไลน์ pic.twitter.com/UFvZVKBlDp— livestyle.official (@livestyletweet) May 4, 2022
@livestyle.official ...#อายตา ย้ำ คนที่สวยที่สุด ไม่ใช่ คนที่ปังที่สุด... @eyetayungmaitaii #LIVEstyle #บิวตี้บล็อกเกอร์ #รีวิว #รีวิวเครื่องสําอาง ♬ original sound - LIVE Style
สัมภาษณ์ : ทีมข่าว MGR Live
เรื่อง : ภูริฉัตร ปริยเมธานัยน์
คลิป : อิสสริยา อาชวานันทกุล
ขอบคุณภาพ : แฟนเพจ “Eyeta”, อินสตาแกรม @Eyetayungmaitaii และยูทูบ “EYETA”
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **