xs
xsm
sm
md
lg

พลิกตะหลิว พลิกชะตา!! “กะเพราเข้าตา” เมนูสิ้นคิด เปลี่ยนชีวิตอดีตกุ๊ก!!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“เราต้องทำเมนูนี้ให้ดีที่สุด” เปิดใจอดีตกุ๊กโรงแรม สู่เจ้าของร้าน “กะเพราเข้าตา” ผัดกะเพราไร้น้ำมัน ขายได้วันละกว่า 800 ห่อ 25 บาท มีอิ่ม “เมนูสิ้นคิด มันก็เลี้ยงตัวเราได้”

กะเพราไร้น้ำมัน ขายดีวันละ 800 ห่อ!!

“เราตั้งใจขายกะเพราอย่างเดียว บางสิ่งบางอย่างมันไม่ต้องคิดเยอะ ไม่ต้องคิดมาก เมนูง่ายๆ เราก็ทำให้เห็นว่า กะเพรา ที่เขาเรียกว่าเมนูสิ้นคิด มันก็เลี้ยงตัวเราเองได้ครับ

เราขายราคาย่อมเยา รสชาติ และที่สำคัญ เราไม่ใส่น้ำมันครับ จุดนี้มันทำให้คนมองมาแล้วชอบ กระแสตอบรับในช่วงที่ผ่านมามันก็ดี เราไม่ต้องไปมองเมนูอื่นครับ เรารู้สึกว่าสิ่งที่เราทำอยู่มันตอบโจทย์เรา มันตอบใจลูกค้า ลูกค้าให้การตอบรับเราดี เราต้องทำเมนูนี้ให้ดีที่สุด”

“ออม-วโรชา ขวัญเพชร” พ่อค้าหนุ่มวัย 32 ปี เจ้าของร้าน “กะเพราเข้าตา” กล่าวกับกับทีมข่าว MGR Live

จากกุ๊กในโรงแรมกว่า 7 ปี ตัดสินใจลาออกมาเป็นนายตัวเอง เปิดร้านขายเมนูอาหารจานเดียวง่ายๆ ที่คุ้นปากคนไทยอย่าง “ข้าวราดผัดกะเพรา” ที่เปิดมากำลังจะเข้าปีที่ 4



ด้วยรสชาติที่ถูกปาก เป็นผัดกะเพราในอุดมคติที่หลายๆ คนต้องการ ไม่มีผักชนิดอื่นนอกจากในกะเพรามากวนใจ และราคาสบายกระเป๋าเพียงห่อละ 25 บาท ส่งให้ร้านข้าวผัดกะเพราเจ้านี้ มียอดขายกว่าวันละ 800 ห่อ!!

“เรามีเนื้อสัตว์กับใบกะเพราแค่นั้นครับ เราไม่มีถั่วฝักยาว หอมใหญ่ หลายๆ คนเขาอาจจะถูกใจตรงนี้ด้วย อย่างนี้แหละกะเพราที่หามานาน (เมนูที่ร้าน) กะเพราหมู กะเพราไก่ ไก่กระเทียม แล้วก็มีกะเพราเด็กไม่พริกครับ เราจะถือเอารสชาติเผ็ดกลาง คนกินเผ็ดไม่เก่งก็กินได้ คนกินเผ็ดก็พอรู้สึกบ้าง เอารสชาติกลางๆ ไว้

ขายห่อละ 25 บาท 1 วันที่ขายอยู่ ผมใช้หมูสับ 60 โล ไก่ 20 โล รวมกันก็ 80 โล ผมใช้ใบกะเพราอยู่ 15 โล พริก 4 โล กระเทียม 2 โล ข้าวสารประมาณ 48 โล กระสอบใหญ่ๆ ส่วนใหญ่ก็หมดแทบทุกวัน

เราใช้หมู-ไก่ 80 โล ก็ได้อยู่ประมาณ 800 ห่อครับ ยอดประมาณนี้ เราก็ไม่รู้ว่ามันจะได้กระแสตอบรับดี ตอนเริ่มก็ 300 ห่อ รู้สึกว่าช่วงนั้นมันก็เยอะมากแล้ว มันเกินความคาดหมาย ยอดมันก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้น จาก 300 เป็น 400-450-500 มาสแตนดาร์ดที่ 600 แล้วก็มาได้ช่วงนี้อยู่ประมาณ 800 ห่อ”



กะเพราเข้าตา ยังมีจุดเด่นอีกอย่าง คือ “ผัดกะเพราแบบไร้น้ำมัน” ออม กล่าวว่า แม้จะเป็นเมนูที่ฟังดูง่าย แต่กว่าจะทำให้อร่อยนั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย

“ในตัวของเนื้อหมูมันก็มีมันผสมอยู่แล้ว เราเอามาคั่วด้วยไฟอ่อนๆ แค่นี้น้ำมันกับน้ำก็ออกมาเยอะแล้วครับ มันในเนื้อหมูมันก็เยอะแล้ว บวกกับซอสของเราด้วยก็ไม่ต้องใช้น้ำมันแล้ว แค่นี้ก็เพียงพอครับ หอมแล้ว

ลองผิดลองถูกอยู่นาน ให้คนนั้นชิม ให้คนนี้ชิม เอาประสบการณ์ในโรงแรมมาปรับใช้นิดๆ หน่อยๆ ได้ออกมาเหมือนทุกวันนี้ครับ ไม่ยากถ้าเข้าใจ มันก็เทคนิคนิดหน่อยในการเริ่ม ถ้าเริ่มด้วยไฟแรงมันติดกระทะอยู่แล้ว ถ้าเริ่มถูก ระหว่างทางจนไปถึงปลายมันก็ถูกแล้ว มันไม่ยากแล้ว ไม่ติดกระทะแน่นอน

เรารู้การเร่งไฟ จังหวะการเร่งไฟ การเกิดแก๊ส สมควรเร่งจังหวะไหน ควรเบาจังหวะไหน เราก็ได้เทคนิคตรงนี้มาช่วยทำให้การทำงานของเรามันง่าย การเริ่มของเรามันก็ง่ายขึ้นครับ



จริงๆ กะเพราผมว่าคนไทยทุกคนน่าจะทำได้เกือบหมดนะ แต่จะทำยังไงให้อร่อย ทำยังไงให้รู้สึกว่าโดนใจคน ทำให้คนรู้สึกว่าทำไมเราต้องไปซื้อกะเพราด้วย มันต้องมีคำถามแบบนี้อยู่แล้ว เราก็เลยต้องทำให้มันพิเศษขึ้น เราใส่ใจมันมากขึ้น มีลูกค้าหลายคนที่ลองกลับไปทำดูแต่ก็ไม่เหมือน มันเป็นความง่ายที่มันไม่ง่าย”

ส่วนที่มาของชื่อร้าน ก็มาจากการผัดพริก กระเทียม และใบกะเพรา ที่ทำเอาคนรอบข้างฉุนจนแสบตา จนกลายมาเป็นคำพูดติดปากว่า “กะเพราเข้าตา”

“ก่อนหน้านี้ ตั้งเป็นชื่อร้านบ้านกะเพรา หรืออะไรซักอย่าง เราก็ผัดๆ คนเดินมาแล้วควันกะเพราก็ไปเข้าตาเขา ‘อุ้ยกะเพราเข้าตา’  มันก็ติดหูเรามาตั้งแต่แรก ตอนนั้นก็ยังไม่ได้คิดถึงที่จะใช้คำนี้ แต่รู้สึกว่าชื่อที่ตั้งอยู่มันไม่สะดุดหู ไม่สะดุดตา

ผัดแล้วมันไปเข้าตาเขา ก็แสบ คนพูดกันเยอะเหลือเกิน ‘กะเพราเข้าตาๆๆ’ ก็เลยเอาคำนี้แหละ มันก็เข้าใจง่ายดี เลยออกมาเป็นชื่อนี้ เรียกง่ายด้วย”

ดาว TikTok ไวรัลผัด 3 กระทะ

แม้ร้านกะเพราร้านนี้ จะเป็นร้านเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ในตลาดบ้านฟ้า เลอ มาร์เช่ ลำลูกกา คลอง 6 แต่ชื่อเสียงในโลกโซเชียลฯ กลับไม่ได้เล็กตามไปด้วย เพราะช่อง TikTok “กะเพราเข้าตา” มีผู้ติดตามถึงเกือบ 90,000 บัญชี

“เริ่มเข้าไปอยู่ในแอป TikTok มากขึ้น ช่วงประมาณกลางปีที่แล้ว จริงๆ ไม่ได้เล่น TikTok เลย รู้จักแต่ชื่อแต่ไม่เคยเล่น จนเขาเล่นกันมานานแล้ว พวกผม 2 คน (ออมและแฟน) ถึงได้มีโอกาสได้มาทำ เห็นคนอื่นเขาเล่นก็เลยลองทำดูซิ ว่าทำไมคนนิยมเหลือเกิน ก็เลยลองถ่ายการทำงานของเราดู ลองเล่นเฉยๆ ทำกันสนุกๆ ไม่ได้คิดว่าจะสร้างเพื่อเป็นโปรไฟล์ให้ร้านครับ

ช่วงแรกๆ ลงคลิปไปแล้วก็เว้นไปเลย ไม่ได้ไปดู มันไม่ได้อยู่ในกิจวัตรประจำวันของเรา แล้วก็ได้มีโอกาสกลับเข้าไปดู ทำไมยอดวิวมันเยอะจังเลย ทำไมคลิปเรามันได้รับความสนใจเยอะ ได้ตอบโต้กันใน TikTok

ก็เลยมาคิดกันว่า ไหนลองจริงจังกับมันซิ ว่ามันจะเป็นไปได้มั้ย ที่เขาเรียกว่าดาว TikTok อะไรพวกนี้ มันเกิดขึ้นได้ยังไง ก็เลยลองทำจริงจัง ผลตอบรับมันก็ดี ได้พลิกชีวิตพวกผม 2 คนไปเลย เป็นที่รู้จักขึ้นมา



(คลิปที่ทำให้กลายเป็นที่รู้จัก) รู้สึกว่าจะเป็นกะเพราหมูไม่ใส่น้ำมันนี่แหละครับ คนที่ดูเขาก็สงสัย ไม่ใส่น้ำมันยังไง ซอสที่ผมใส่มันคืออะไร ผัดออกมาแห้งๆ ไปโดนใจคนหลายๆ คน เขาอยากกินกะเพราแห้งๆ แต่เขาไม่รู้จะไปหาซื้อที่ไหน”

สำหรับคอนเทนต์ที่นำเสนอผ่านช่อง TikTok ส่วนใหญ่จะเป็นการเปิดเผยขั้นตอนการทำงาน และการแชร์เทคนิคการผัดกะเพรา โดยเฉพาะการโชว์ผัดกะเพราพร้อมกัน 3 กระทะ ที่กลายเป็นภาพชินตาของลูกค้าร้านนี้

“คลิปที่ลงเราก็ลงการทำงาน ก็จะมีบางคอมเมนต์ ทำยังไง เริ่มต้นยังไง เราก็พยายามทำให้ดูว่า ถ้าใครอยากทำก็ลองทำตามเราดู เป็นขั้นตอนประมาณนี้ เริ่มอย่างนี้ ต่อไปใส่อะไร ตอนผัดผัดยังไง วิธีการ การนำเสนอ มันสามารถเลี้ยงตนเองได้นะ ถ้าใครรู้สึกว่าช่วงนี้ประสบปัญหาทั้งด้านโควิด ด้านการงาน ก็ลองดูเรา เป็นกำลังใจให้

ผมผัดคนเดียว 3 กระทะ เกิดเป็นภาพจำของลูกค้า ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาก็ไหลยาวมาเลย ตอนแรกเราก็ไม่ทัน ทำไปทำมาเหมือนพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ จนรู้สึกว่ามันคล่องขึ้น 3 กระทะมันก็ง่ายขึ้น

กะเพราที่ไม่ใส่ผัก ใส่แต่หมูกับใบกะเพราที่เขาชอบ เขาอยากกิน แต่ก็ยังหาไม่ได้ เราดันไปตอบโจทย์กับคนหลายๆ คน ทำให้คนกลุ่มนั้นเขาชอบ เขารู้สึกว่ากะเพราที่เราทำอยู่มันเป็นสิ่งที่เขาตามหามานานแล้วครับ”



แน่นอนว่า หลังจากกลายเป็นที่รู้จักในโลกออนไลน์ ก็ทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้น อีกทั้งยังมีลูกค้าที่ติดตามช่อง TikTok เดินทางมาจากต่างจังหวัดเพื่อมาลองชิมฝีมือโดยเฉพาะ

“ตอนแรกก่อนหน้านี้ยอดผมจะอยู่ประมาณ 500-600 ห่อ พอมาเป็นที่รู้จักใน TikTok คนจากที่อื่นก็บอกตาม TikTok มา และกระแสจากที่อื่นๆ ด้วยก็บวกๆ เข้ามา ยอดผมก็ค่อยถีบขึ้นจนมาถึง 800 ห่อ

มาซื้อไกลสุดก็น่าจะมาจากชลบุรีครับ ฝั่งในเมืองแถวตลิ่งชัน สมุทรปราการก็มา เขาบอกตาม TikTok ผมก็ดีใจแล้วก็เกร็ง กลัวเขามาไกลแล้วมันจะถูกปากเขารึเปล่า หรือแค่เห็นในคลิป ความอยากมันจะหายไปมั้ย กังวลนะ เกรงใจเขาด้วย แต่ส่วนใหญ่เขาก็จะบอกว่าอร่อย เขามาซื้อปุ๊บแล้วก็ไปนั่งกินในตลาด กินเสร็จก่อนกลับบ้านก็มาซื้อไปอีกหลายคนครับ

ตอนนี้ก็มีจ้างลูกน้องมาเพิ่ม 3 คน เพราะว่ายอดมันถีบขึ้น แล้วเรา 2 คนมันไม่ไหวครับ รู้สึกว่ามันเหนื่อยเกินไป ก็เลยต้องจ้างเขามาช่วย เพื่อเราจะได้มีโอกาสขยายสาขา วางรากฐานไว้ก่อน ที่คิดไว้นะครับ”

7 ปีกับอาชีพในฝัน “กุ๊กโรงแรม”

“ฐานะทางบ้านก็ลำบากครับ ไม่ได้ร่ำรวยอะไร หาเช้ากินค่ำ จริงๆ กุ๊กเป็นความฝันตั้งแต่เด็กเลยครับ เราอยากเป็นกุ๊ก อยากเป็นเชฟโรงแรม เราก็เรียนการโรงแรม พอเราจบก็ได้มีโอกาสไปฝึกงาน ได้ทำงานในส่วนของโรงแรมมา 7 ปี ก็ชอบ รู้สึกว่าสนุก อยากที่จะตื่นเช้าไปทำงาน รู้สึกว่าสนุกกับอาชีพนี้ เพราะมันเป็นอาชีพในฝันของเราอยู่แล้ว”

จากที่กล่าวไปแล้วข้างต้น ตัวของออมและแฟนสาว มีพื้นฐานด้านการทำอาหารและงานบริการมาก่อน เนื่องจากเคยเป็นกุ๊กในโรงแรมมากว่า 7 ปี ก่อนจะตัดสินใจออกมาเป็นเจ้าของกิจการเอง โดยที่ไม่มีการวางแผนไว้ก่อน เรียกได้ว่า “ไปตายเอาดาบหน้า” ก็ว่าได้

“มันรู้สึกว่าน่าจะถึงจุดอิ่มตัว เราอยากจะออกมาเป็นนายตัวเอง เราเห็นคนรู้จัก ทำไมเวลาว่างเขาเยอะจัง เขาไม่ได้ทำงานประจำไงครับ เขาไปเที่ยวไหนก็ได้ไป อยากทำอะไรก็ได้ทำ ไม่เห็นต้องมาฟิกซ์เวลาเลยว่า ตื่นมาจะต้องออกไปทำงาน ถึงเวลากลับบ้าน เรารู้สึกว่าเราอยากมีความเป็นอิสระ อะไรแบบนี้ครับ



ช่วงนั้นโควิดยังไม่เกิดครับ เราออกมาก่อน ก็คือออกมาวัดดวงไปเลย ก็ทำมาหลายอย่าง ขายเสื้อผ้า ขายนู่นขายนี่ รู้สึกว่ามันก็ยังไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการ ไม่ใช่สิ่งที่เราชอบ สิ่งที่เราถนัด

จริงๆ กุ๊กในโรงแรมก็มั่นคงนะครับ ถามว่าออกมากังวลมั้ย ตอนนั้นเราก็ตัดสินใจออกมาแล้ว เราก็ไม่ได้คิดถึงอะไรลบๆ เราก็มองข้างหน้าว่าเราจะทำอย่างนั้นอย่างนี้หลายอย่าง ก็ยังไม่สำเร็จ

ไปตายเอาดาบหน้าเลยครับ ตอนแรกก็ท้อนะ เราออกมาทำไม รู้สึกยังไม่ใช่แนวทางที่เราอยากจะได้ก่อนที่เราจะตัดสินใจออกมา ก็ไม่คิดว่าออกมาเราจะมาเจอสถานการณ์แย่ เรามองแต่ด้านบวก เราไม่ได้มองว่าด้านลบเราจะต้องเจออะไรบ้าง ตอนแรกก็คิดไว้ว่า เอาวะ ออกมาลองทำดู ได้ไม่ได้อีกเรื่อง ถ้าไม่ได้ก็กลับไปทำงานประจำเหมือนเดิม คิดแค่นั้น”

และก่อนที่จะมีร้านกะเพราเข้าตาอย่างทุกวันนี้ เขาเคยได้มีโอกาสเปิดร้านข้าวกะเพราจากการซื้อแฟรนไชส์ โดยยืมเงินของแม่มาลงทุนกว่าครึ่งแสน แต่ยอดขายก็ไม่ได้เป็นอย่างที่คาดคิดไว้



“ก็มาทบทวนว่าเราจะทำยังไงดี เราชอบทำอาหาร เราชอบงานบริการ ผมกับแฟนก็ผ่านงานบริการโรงแรมมา ทำยังไงดีที่จะนำความถนัดตรงนี้ออกมาใช้ได้ ก็เลยว่า สงสัยเราต้องออกมาขายอาหารแล้วมั้ง เราหนีตรงนี้ไม่พ้น

ระหว่างที่ออกมาคือติดลบอยู่แล้ว มีหนี้สินอยู่ข้างหลังด้วย เรายังไม่มีเงินก้อนของเราเองด้วยแล้วเรารู้สึกว่าอยากทำ อยากมีอะไรซักอย่าง ก็เลยตัดสินใจยืมเงินแม่มาลงทุนประมาณ 4-5 หมื่น เป็นแฟรนไชส์ข้าวกะเพรานี่แหละครับ แล้วรู้สึกว่าหักนู่นหักนี่มันไม่ได้เหมือนที่เคยคุยกันไว้ รู้สึกว่ากำไรมันน้อยเกินไป ก็เลยคืนเขาไป

เราก็เลยตัดสินใจว่า ทำเองดีกว่า ลองทำเองดู ได้ก็ได้ ไม่ได้ก็เจ๊ง วัดดวงไปเลย ก็เลยเปิดเป็นกะเพราในแบบของเรา แบบทุกวันนี้ เราจะไปทำในสิ่งที่ไม่ใช่ตัวเรา มันไม่ใช่สิ่งที่เราถนัด เรารู้สึกว่าเราทำมันได้ไม่ดี

ก็พยายามงัดเอาความถนัดของเราออกมา ความถนัดของผมคือด้านอาหาร แล้วก็ความถนัดของแฟน คือ การบริการมาอยู่ด้วยกัน ก็คือการเสิร์ฟ การเทคแคร์ลูกค้า แล้วก็เอาการทำอาหารของผมมารวมกัน

เราเป็นกุ๊ก ยังไงเราก็อยากทำอาหาร การขายแบบนี้มันตอบโจทย์เรามากที่สุดแล้วครับ เราอยากผัดให้เห็นต่อหน้า ใช้วัตถุดิบแบบนี้นะ มีกรรมวิธีแบบนี้นะ อยากเสิร์ฟให้เห็นต่อหน้าว่าเราทำยังไง ก็ออกมาเป็นร้านกะเพรานี่แหละครับ”

ต่อยอด “ซอสผัดกะเพราอเนกประสงค์”

นอกจากอาหารจานด่วนอย่างข้าวราดผัดกะเพราที่ขายอยู่ ออมยังได้ต่อยอดช่องทางรายได้เสริม เป็น “ซอสผัดกะเพรา” สูตรเดียวกับหน้าร้าน สำหรับลูกค้าทางไกลที่ไม่สามารถเดินทางมารับประทานได้ กว่าจะได้สูตรที่ลงตัว ก็ใช้เวลาลองผิดลองถูกไม่น้อย

“น่าจะประมาณปลายปีที่แล้วครับ ช่วง พ.ย.-ธ.ค. เพิ่งเริ่มไม่กี่เดือน จุดเริ่มต้นมาจากคลิป TikTok ที่เราได้ลง แล้วเกิดไปโดนใจคน กะเพราไม่ใช้น้ำมันมันเป็นยังไง มีจริงเหรอ หลายคนก็ไม่รู้จัก เราก็ไม่คิดว่ามันจะดัง คนก็ให้ความสนใจมากและสอบถามว่าซอสมีขายมั้ย เราก็ตอบไปตอนนั้นว่ายังไม่มีครับ



[ แตกไลน์ “ซอสผัดกะเพราสำเร็จรูป” ]
เราก็มาคุยกับแฟนว่าทำยังไงดี ลองทำซอสขายกันดูมั้ย คนเขาสนใจเยอะ เขาอยากเอาไปทำกินด้วย อยากลอง บางคนอยู่ต่างจังหวัด เขาก็อยากกินกะเพราเราแต่เขาไม่มีโอกาส เราก็ลองมาตัดสินใจทำดูว่าผลตอบรับมันจะออกมาเป็นยังไง

เป็นสูตรเดียวกันเลยกับที่เราใช้ขายที่ร้าน ตอนแรกก็ลองผิดลองถูก ลองทำดูไม่กี่วันก็เสีย ก็ศึกษาหาข้อมูล เราต้องทำยังไง จนมาได้สูตรทุกวันนี้แหละครับ การเก็บรักษาข้างนอกได้ 2 อาทิตย์ อยู่ในตู้เย็นได้ 6 เดือน เป็นอุตสาหกรรมครัวเรือนไปก่อน เพราะว่าเรายังไม่รู้ว่าตลาดเขาต้องการซอสเรามากขนาดไหน ก็เลยไม่อยากที่จะไปจ้างเขาผลิตในทีเดียว

เราก็เลยได้ทำในตัวซอสขึ้นมาลองส่งดู ผลตอบรับก็ดีครับ ก็โอเค มันก็เกินความคาดหมายเรา เราขาย 2 ช่องทาง ทั้งในส่วนของ Shopee และในส่วนของเพจ ตั้งแต่เริ่มก็น่าจะอยู่ประมาณ 3,000-4,000 ขวด ก็ถือว่ามันตอบโจทย์เราได้ระดับนึง ก็คิดว่าถ้าผลตอบรับมันยังดีอยู่ ผมก็จะจ้างเขาผลิตเป็นเรื่องเป็นราวจริงจังไปเลย”



ในส่วนของที่ตั้งของร้านที่อยู่ในตลาดบ้านฟ้า เลอ มาร์เช่ ลำลูกกา คลอง 6 ก็ถือว่าเป็นทำเลทอง เพราะเป็นตลาดที่มีคนมาจับจ่ายเป็นจำนวนมาก

อยู่ในตลาดบ้านฟ้า เลอ มาร์เช่ ลำลูกกา คลอง 6 จริงๆ ตอนแรกบ้านผมอยู่คลอง 2 แล้วก็ได้มีโอกาสมาเดินเล่น เรารู้สึกว่าเราชอบตลาดนี้ เป็นตลาดในแบบที่เราชอบ มันดูสะอาดสะอ้าน คนเยอะด้วย อยากที่จะลองมาขายดูว่ามันจะขายได้มั้ย

อาจจะเป็นเพราะว่า หลังตลาดเป็นหมู่บ้านใหญ่ คนเยอะ ละแวกนี้อาจจะไม่มีตลาดแนวนี้ ทำให้คนที่อยู่คลองแถวๆ นี้ เขาก็ได้มีโอกาสมาเลือกซื้อที่ตลาดนี้กันเยอะ กลุ่มลูกค้ากลุ่มนี้เขาก็หนาแน่นอยู่ ลูกค้าประจำผมเยอะครับ อาศัยปากต่อปาก ยอดเราก็ไม่ค่อยจะสวิงมาก

ตอนนี้ก็พยายามมองหาที่ ผมอยากขยายสาขาให้มันครอบคลุมพื้นที่กว่านี้ ตอนนี้ก็พยายามปั้นทีมงานอยู่ครับ ผมว่าภายในปีนี้น่าจะมีเพิ่มครับซัก 1-2 สาขา ที่ผมวางแพลนกันไว้”

เมื่อผู้สัมภาษณ์ถามถึงอนาคตของร้านกะเพราเข้าตา เจ้าของร้านก็ให้คำตอบว่า มีแพลนจะทำดีลิเวอรี่ และขายแฟรนไชส์เพิ่มเติม ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการศึกษาระบบให้มั่นคงเสียก่อน



“จริงๆ ผมก็อยากจะทำ แต่เอาตรงๆ เลย คือ ผมทำไม่ทัน หน้าร้านคือยุ่งแล้ว หลายคนใน TikTok ก็ทักมา มี LINE MAN มั้ย มี Grab มั้ย เราก็อยากจะทำ แต่ตอนนี้หน้าร้านเราเคลียร์ไม่ทัน เกรงใจด้วย ลูกค้าเขามายืนรอกันหน้าร้าน ตอนนี้ขอเซตระบบงานให้มันคล่องกว่านี้ก่อน อนาคตผมมีแน่นอน เอาเข้า LINE MAN Grab foodpanda อะไรพวกนี้

ส่วนแฟรนไชส์ ตอนนี้ก็พยายามเรียนรู้ทำโมเดลแฟรนไชส์ขึ้นมา พยายามวางรากฐานให้มันดี ภายในปีนี้ก็น่าจะรู้เรื่องว่ามันจะออกมาในทิศทางไหน ขอวางระบบให้มันดีก่อน ถามว่าตอนนี้มีคนติดต่อมาเยอะมั้ย เยอะนะ ถ้าผมขายผมก็ขายได้ถ้าผมคิดที่จะขายเอาเงินอย่างเดียว ไม่อยากให้เขาซื้อไปแล้วไม่เหมือนกับที่เราทำ

อยากให้คนที่ซื้อไปเขาอยู่ได้ อยากให้คนที่ซื้อแฟรนไชส์เราไปรู้สึกว่าเขาได้ประโยชน์มากที่สุด เขาสามารถเอาไปเลี้ยงตัวเขาเองได้ เราอยากจะทำตรงนี้ให้มันแน่น ให้มันดี เราถึงจะค่อยขายแฟรนไชส์

แล้วก็ในส่วนของซอส ตั้งใจอยากให้ซอสของเราเป็นหนึ่งในซอสในครัวเรือน วันนี้อยากทำกับข้าวแต่เครื่องปรุงไม่ครบ แต่มีซอสเราอยู่ขาดนึง แค่นี้ก็ทำได้แล้ว ที่เราวางแพลนไว้”

เมนูสิ้นคิด ที่พลิกชีวิตคนผัด

แม้ทุกวันนี้ ร้านกะเพราเข้าตา จะได้รับความนิยมอย่างสูง แต่กว่าจะมาถึงวันนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องอาศัยฝีมือและความอดทนจนประสบความสำเร็จ ซึ่งเมนูที่หลายคนเรียกว่าเป็น ผัดสิ้นคิด สามารถพลิกชีวิตพ่อค้าผัดกะเพราผู้นี้ได้

“แรกๆ ก็มีบ้าง เหนื่อย ท้อ รู้สึกว่ารายได้ไม่พอรายจ่าย แต่หลังๆ มามันค่อยๆ ดีขึ้น อาชีพพวกนี้มันต้องอดทน มันไม่สามารถที่จะปังเลยในวันแรก ปังเลยในเดือนแรก มันต้องอดทน ค่อยๆ ปรับตัว ค่อยๆ เรียนรู้ไปว่าสิ่งที่เราทำอยู่มันเป็นยังไง

เหมือนกับการขายของมันเป็นเงินวันต่อวัน ไม่ได้เป็นเงินเดือนเหมือนที่เราเคยรับ ได้มาเป็นก้อน เราต้องรู้จักเก็บ รู้จักบริหารเงินให้เป็น ว่าเงินส่วนนี้เป็นส่วนของทุนนะ อันนี้คือกำไร อันนี้เป็นส่วนที่เราต้องใช้จ่ายได้ ยอดขายมันก็ค่อยๆ ดีขึ้น ทุกอย่างมันก็ค่อยๆ ดีขึ้น

พลิกหมดเลยครับ ตอนแรกอย่างที่บอกไปเราออกมาติดลบเลย เริ่มตอนแรกๆ ก็ยังไม่ดี แต่ก็ค่อยๆ ขยับขยายตัวเองขึ้นมา จะมาได้ตอนเข้าปีที่ 2 ทุกอย่างมันก็เริ่มดีขึ้น จากที่มีหนี้สินเราก็ปลดมันหมด

เราก็เริ่มมีเงินเก็บมากขึ้น เริ่มสร้างตัวเองขึ้นมา สร้างฐานะ สร้างชื่อเสียง เลี้ยงดูครอบครัวได้ ทั้งครอบครัวแฟน ครอบครัวผม เราเลี้ยงดูทั้ง 2 ครอบครัวได้ด้วยอาชีพกะเพรา”



เมื่อถามถึงช่วงการระบาดของของโควิด-19 ที่ผ่านมา หลายต่อหลายระลอก มือผัดกล่าวว่า ไม่ได้รับผลกระทบมากนัก อีกทั้งยอดขายยังดีขึ้นด้วยซ้ำ

“มันก็ดีขึ้นตั้งแต่เริ่มเลย ค่อยๆ ดีขึ้น ยังไม่เจอสะดุด จริงๆ โควิดไม่เท่าไหร่สำหรับที่ผมอยู่นะ ช่วงโควิดรอบแรกตอนนั้นยิ่งขายดีเลย คนมาจากไหนไม่รู้ ซื้อเอาๆๆ ขายดีมาก ถือว่าไม่กระทบเท่าไหร่ มีสวิงบ้างนิดหน่อยเป็นบางช่วง

ช่วงที่โควิดระบาดหนัก บางคนก็อาจจะกลัว เดินตลาดน้อยลง เดินตลาดสั้นลง แล้วก็อาจจะเป็นช่วงที่เขาบีบเวลา เคอร์ฟิว ทำให้ระยะเวลาในการขายมันสั้นลง

ยอดเราอาจจะไม่ได้เท่าเดิม แต่ก็ไม่ได้กระทบมาก เวลาเราสั้นลงก็จริงแต่คนเขาก็ซื้อเยอะขึ้น เขาก็กลัวว่ากลางคืนจะหาอะไรกินยาก เพราะร้านสะดวกซื้อก็ปิด เขาก็ซื้อๆๆ ช่วงโควิดถือว่าขายดีครับ”

แม้จะดูเหมือนว่า กิจการ กะเพราเข้าตา จะดำเนินมาอย่างราบรื่น แต่ขณะเดียวกัน ก็พบอุปสรรคระหว่างการขาย คือ สภาพอากาศและราคาวัตถุดิบที่สูงขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยที่พ่อค้าแม่ขายไม่สามารถควบคุมได้ โดยเฉพาะ ราคาหมูแพง ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา

“พ่อค้าแม่ค้าปัญหาจริงๆ ช่วงหน้าฝน หนักเลย ยอดจะตกจริงๆ ช่วงหน้าฝนครับที่เป็นอุปสรรคที่สุด เพราะว่าตลาดผมเป็นกลางแจ้ง เจอฝนคือจบเลย

อาชีพค้าขาย ปัญหาก็จะมีพวกราคาวัตถุดิบ ราคาของมันแพงขึ้น ผมขายราคา 25 บาท เจอหมูโลละเกือบ 200 ช่วงนั้นก็แย่ ใบกะเพราเคยเจอแพงสุดโลละ 100 จากโลละ 10 พริกโลละ 250 จากโลละ 40-50 ช่วงที่แพงคือแพงเวอร์ๆ

ช่วงที่ราคาหมูขึ้นก็แย่หน่อยเพราะว่ามันก็เกินความคาดหมายเราไป เราไม่คิดว่ามันจะขึ้นขนาดนี้ ช่วงนั้นก็ลดจำนวนหมูจากที่ใช้ 60 ก็เหลือเฉลี่ยกับไก่ครึ่งครึ่งเลย เพราะว่าเราไม่อยากขึ้นราคาที่เราขาย เราอยากขายราคาเดิม เดือนนึงแล้วก็ค่อยๆ ลงมา กลับมาสถานการณ์ดีขึ้น



เป็นของที่เราต้องใช้ ไม่ใช้ไม่ได้ แล้วเราจะลดใบกะเพราจากที่เคยใส่กำมือใหญ่ๆ มาใส่หยิบมือก็ไม่ได้ ช่วงนั้นคือทำใจเลย ค่อยๆ หาวิธีแก้ว่าเราจะทำยังไงดี พยายามหาทางออก เซฟตรงไหนได้เราก็พยายามเซฟเพื่อจะให้มันมาถัวเฉลี่ยกัน”

ตลอดระยะเวลาเกือบ 4 ปีผ่านมา ออมกล่าวว่า การรักษามาตรฐานให้คงอยู่ดังเดิม คือหัวใจของการขายและเป็นสิ่งที่ยากที่สุดในการประกอบกิจการ

หัวใจการขาย อย่างที่ผมบอก ผมค่อนข้างใส่ใจในการบริการ การพูดจา การเทกแคร์ ให้ความสำคัญกับลูกค้า เราเคยไปซื้อของตามร้าน เจอพ่อค้าแม่ค้าที่หน้าบูดหน้าบึ้ง รู้สึกว่าไม่อยากซื้อ ทำไมไม่ทำหน้าตาดีๆ คนขายของทำไมทำหน้าเหมือนไม่อยากจะขาย ถ้าเราเป็นพ่อค้าแม่ค้าบ้างเราต้องไม่ทำแบบนี้

แล้วก็รสชาติ ความสะอาด ความสม่ำเสมอ ผมค่อนข้างที่จะซีเรียสตรงนี้มาก เราต้องทำรสชาตินี้ให้เหมือนกันทุกวัน ผมว่าหลายคนก็น่าจะเคยเจอ ไปกินวันนี้อร่อย พรุ่งนี้ไม่อร่อยแล้ว เราจะทำให้มันเป็นlสแตนดาร์ดให้สม่ำเสมอที่สุด ทั้งรสชาติ ทั้งการบริการ



จากเมื่อก่อนเราอยู่กัน 2 คนกับแฟน เรามีทัศนคติเดียวกันในการทำงาน แต่พอมีลูกน้องมาปุ๊บ เราก็ต้องคอยคอนโทรลเขา เพราะเราไม่รู้ว่าเขาผ่านงานแบบไหนมา เขาเข้าใจในสิ่งที่เราต้องการรึเปล่า เราค่อยๆ ปรับเปลี่ยนทัศนคติเขา คอยอธิบายว่าเราต้องการอย่างนี้ ร้านเราเป็นอย่างนี้ ลูกค้ามาเราต้องพูดยังไง เราก็พยายามสอน

ถ้าผมจ้างลูกน้องมา ผมก็จะย้ำกับทุกคนเลยว่า เน้นความสะอาด เน้นการพูดจา การเทกแคร์ ทุกคนต้องเสมอภาคกัน ลูกค้าเก่าเราก็ต้องจำเขาได้ว่าเขาชอบอะไร ลูกค้าใหม่เราก็ต้องเทคแคร์เขาให้ดีที่สุด แต่ส่วนใหญ่ลูกน้องที่ผมได้มาพูดอะไรไปเขาก็รับฟัง และพร้อมที่จะทำตาม ถือว่าผมก็โชคดีตรงนี้ครับ”

สุดท้ายนี้ ในฐานะคนค้าขายที่เคยผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากมาจนประสบความสำเร็จ ก็ขอฝากกำลังใจถึงคนในสังคม ลองค้นหาสิ่งที่ตัวเองถนัด และงัดมันออกมาให้กลายเป็นอาชีพสร้างรายได้ คิดและลงมือทำ เพราะ ‘ทุกปัญหามีทางออก ทุกวิกฤตมีโอกาสเสมอ’



“อยากจะฝากถึงคนที่รู้สึกท้อ รู้สึกประสบปัญหาในช่วงนี้ทั้งโควิด บางคนก็อาจจะโดนลดเงินเดือนบ้าง ตกงานบ้าง อย่าเพิ่งท้อครับ ค่อยๆ ตั้งสติแล้วหาความถนัดของตัวเอง ว่าเราถนัดยังไง เราชอบทำอะไร ลองงัดมันออกมาว่าเราจะสามารถเอามันหาเงินได้ยังไงบ้าง

หรือว่าถ้าค้าขายก็ลองดู คิดแล้วก็อยากให้ทำ ผิดถูกก็ค่อยๆ เรียนรู้กันไป มันไม่มีใครสำเร็จตั้งแต่รอบแรก อดทน พยายาม ค่อยๆ ปรับแก้กันไป ผมว่าทุกปัญหามีทางออก ทุกวิกฤตมันมีโอกาสเสมอ ทุกคนน่าจะเอาตัวรอดได้ ขอแค่เราตั้งสติ ไม่อยากให้คิดลบซะทุกอย่าง เราจะรอดมั้ย ผมว่ามันบั่นทอนกำลังใจตัวเองเปล่าๆ ลองหาแรงบันดาลใจจากที่อื่นบ้าง

ผมว่ายุคนี้ตลาดเยอะมาก ทั้งใกล้บ้าน ไกลบ้าน ลองหาดู การค้าขายมันก็เป็นอาชีพที่ดี เพราะเงินมันหมุนเข้าวันต่อวัน ขอแค่ค้นหาสิ่งที่ตัวเองชอบให้ได้ ความถนัด ความกล้าตัดสินใจ ถ้าอยากจะทำก็ทำเลย ผมว่ามันไปได้ ทุกคนเก่งอยู่แล้วแต่แค่อาจจะขาดความมั่นใจไป

ลองสร้างแรงบันดาลใจให้ตัวเองดู ลองหาสิ่งที่ตัวเองชอบ และทำมันออกมาให้ดีที่สุด อย่าไปทำครึ่งๆ กลางๆ มันไม่มีอะไรสำเร็จครึ่งๆ กลางๆ ขอให้ทำมันให้ดีที่สุด ทำมันให้เต็มที่ คิดว่า มันสุดกำลังเราแล้วแล้วมันยังไปไม่ได้ ค่อยกลับมาคิดอีกทีนึง แต่ผมว่าถ้ามันสุดกำลังแล้ว ทุกอย่างมันต้องไปได้ดีครับ”

สัมภาษณ์โดย : ทีมข่าว MGR Live
เรื่อง : กีรติ เอี่ยมโสภณ
ขอบคุณภาพ : เพจเฟซบุ๊ก “กะเพราเข้าตา”



** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **




กำลังโหลดความคิดเห็น