xs
xsm
sm
md
lg

เจาะตัวตน เจ้าของปรากฏการณ์ “แพรพลอยฟีเวอร์” เจอโรคจิตมาหลายประเภท วัยเด็กสอนให้แกร่ง “เงินสำคัญกว่ารัก” [มีคลิป]

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



รู้จัก “แพรพลอย” สาวจากคลิปน้ำราดหัว กับโปรไฟล์ไม่ธรรมดา “อดีตนักมวยแข้งทอง-เทรนเนอร์-สอนมวยตำรวจ” ล่าสุดกระแส “แพรพลอยฟีเวอร์” ทำสาวๆ แห่ลงคอร์สมวยไทยเพียบ ย้ำ ทุกคนควรมีสกิลมวยไทยไว้ ช่วยเราไม่มากก็น้อย



“แพรพลอยฟีเวอร์” ปลุกมวยไทยให้นิยม

“กระแสแพรพลอยฟีเวอร์ ตอนแรกหนูมาดูคลิปหนูก็งง ฟีเวอร์คืออะไร หนูรู้สึกดีมากเลยนะคะที่หนูเป็นคนนึงที่ทำให้สาวๆ ลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงตัวเองให้แข็งแกร่งขึ้น เหมือนกับเราเป็นต้นแบบให้เขาลุกขึ้นมาต่อสู้ ไม่คิดว่าตัวเองจะทำให้ผู้หญิงเปลี่ยนความคิดที่จะเข้ายิมมวยมากขึ้น มันก็ดีค่ะ

เหตุการณ์อย่างนั้นมันก็ไม่ควรเกิดขึ้นกับใครถูกมั้ยคะ เราเป็นผู้เสียหาย เราลงคลิปแล้วสาวๆ ต่างพากันชื่นชอบ ก็เลยทำให้ตัวพลอยมีกระแสมากขึ้น ถามว่าโชคดีในความโชคร้ายมั้ย ช่วงนี้มีค่ายเพลง หนังสั้น ซิทคอมติดต่อเข้ามา

ความเห็นส่วนมากจะเป็นสาวๆ ทั้งนั้นเลย แล้วผู้ชายก็ทักมาว่าอยากโดนเตะ ‘ผม fc นะครับ พี่เตะผมหน่อยได้มั้ย’ (หัวเราะ) ก็ขอบคุณทุกคนเลยที่ให้กำลังใจ”

“พลอย - แพรพลอย แซ่เอี้ย”สาวสวยวัย 24 ปี กล่าวกับทีมข่าว MGR Live เรียกได้ว่า นาทีนี้คงไม่มีใครไม่รู้จักเธอ เพราะชื่อของสาวแพรพลอยโด่งดังไปทั่วโลกโซเชียลฯ จากคลิปเหตุการณ์ที่มีชายคนหนึ่งนำน้ำไปราดศีรษะเธอ หลังหญิงสาวไม่ยอมชนแก้ว เนื่องด้วยไม่อยากชน ขณะที่เธอและกลุ่มเพื่อนกำลังรับประทานอาหารอยู่ในร้านข้าวต้ม

ก่อนที่เรื่องจะจบไม่สวย เพราะแพรพลอยคือ “อดีตนักมวยสาว” ที่กวาดรางวัลระดับแชมป์มาแล้วหลายเวที จึงจัดหมัด เท้า เข่า ศอก ใส่ชายคนดังกล่าวไปไม่ยั้ง!!

ภายหลังจากเหตุการณ์นี้ถูกแชร์ออกไปบนโลกโซเชียลฯ ก็มีความคิดเห็นชื่นชมความกล้าหาญของหญิงสาวแบบถล่มทลาย กลายเป็นกระแส “แพรพลอยฟีเวอร์”ขึ้นมา ส่งให้วงการมวยไทยได้รับความสนใจตามไปด้วย เพราะมีสาวๆ พากันแห่ลงเรียนมวยไทยกันมากขึ้น ด้วยหวังจะมีทักษะป้องกันด้วยหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด

“ถ้าสาวๆ คนไหนเจอสถานการณ์แบบนี้ พลอยอยากให้ฝึกเทคนิคมวยไทย เข้าใจแหละว่าบอดี้ผู้หญิงกับผู้ชายมันต่างกัน แต่ถ้าเรารู้เทคนิคนิดนึงมันอาจจะประวิงเวลาหรือว่าช่วยอะไรเราไม่มากก็น้อย สามารถหลีกเลี่ยงเหตุการณ์แบบนั้นได้

ตอนนี้พลอยกำลัง co กับค่าย “เพชรยินดีอะคาเดมี” ว่า จะเปิดรอบสอนเฉพาะผู้หญิง มาเรียนกับเราตัวต่อตัว ส่วนตัวพลอยเลิกต่อยมวยมาเกือบ 2-3 ปีแล้ว แต่รับไพรเวตสอนมวยและเทรนนิ่งอยู่แล้ว แต่สาวๆ อินบ็อกซ์ร้องขอ เมื่อไหร่พี่พลอยจะเปิดคอร์สมวย ราคาเท่าไหร่ สอนที่ไหนบ้าง

เราคิดว่าถ้ารับทั้งหมด เรากลัวเราสอนแล้วให้ความรู้ไม่แน่นพอหรือสอนไม่ทั่วถึง ก็เลยจะ co กับค่ายเพชรยินดี เพื่อเปิดรับมาและสอนเป็นกรุ๊ป จะเป็นรอบชั่วโมงครึ่ง ปูเบสิกพื้นฐาน แล้วก็ความแข็งแรง เราจะฝึกทดสอบแบบตัวต่อตัวจริงๆ จะไม่เป็นมวยเหมือนปกติทั่วไป อาจจะเป็นมวยที่ทำให้ผู้หญิงเรียนไปแล้ว แล้วสามารถใช้ได้ในชีวิตจริง ประยุกต์ไปว่าเราเจอเหตุการณ์แบบนี้ เราสามารถเอาเทคนิคมวยไทยมา adapt ใช้คู่กันยังไง”

นอกจากนี้ ได้มีสาวๆ ที่เคยเจอเหตุการณ์ในลักษณะเดียวกัน ทักเข้ามาขอคำปรึกษา และขอคำแนะนะในเรื่องของเทคนิคการป้องกันตัวจากเธอมากมาย

“พอคลิปพลอยออกไป มีสาวๆ หลายคนบอกว่าเคยโดนเหตุการณ์แบบนี้เหมือนกัน ซี่งทุกคนที่พลอยอ่านความเห็น เขาจะบอกว่า ‘หนูเป็นพี่พลอยตอนนั้น หนูได้แค่นั่งเฉยๆ แจ้งความไปแต่ตำรวจไม่ตามเรื่อง’ เฮ้ย… ถ้าเราไม่ใช่นักมวยแล้วเราโดนแบบนั้น มันไม่แฟร์สำหรับผู้หญิงนะคะ โคตรไม่แฟร์ มีผู้หญิงบางคนก็โดนเหมือนกัน ได้แต่นั่งร้องไห้ อย่างมากก็นั่งด่าอยู่อย่างนั้น คนทำเดินไปแล้ว เราโดนกระทำทั้งตัว เจ็บทั้งใจ แล้วถ้าสาวๆ ที่เป็นโรคซึมเศร้า แล้วเขามาโดนจังหวะแบบนั้น เขาไม่เฟลแล้วหนักเข้าไปใหญ่เลยเหรอคะ

มีอินบ็อกซ์ในเฟซบุ๊กส่วนตัว ไอจี แล้วก็ไลน์ ทุกช่องทาง ว่าเคยเป็นผู้หญิงที่ถูกสามีซ้อมมา แต่ไม่เคยคิดที่จะสู้เขาเลย แต่พอเห็นคลิปของพลอยออกมาต่อสู้ ต่อต้าน เขาก็รู้สึกว่าอยากลุกขึ้นมาทำอะไรซักอย่างให้เปลี่ยนแปลง แล้วก็มีเคสน้องๆ ทักมาว่า เวลาหนูขึ้นรถเมล์ หนูโดนทำอนาจาร ถูกลวนลาม หนูควรจะมีเทคนิคหรือวิธีแก้ยังไงในเหตุการณ์นั้น

บางคนอาจจะไปผับไปบาร์ เราแต่งตัวยังไงมันเป็นสิทธิของเราอยู่แล้ว ผู้ชายไม่ควรมาละลาบละล้วงร่างกายทุกส่วน เขาก็มาสอบถาม มีทริกยังไงที่ปัดป้องเขาได้บ้าง สาวๆ เขาอยากได้ทริกว่าเราเจอเหตุการณ์อย่างนี้ หรือเจอผู้ชายอย่างนี้ เราควรจะแก้สถานการณ์ยังไงค่ะ หนูมองว่า เราแค่คนเดียวสามารถทำให้ผู้หญิงสนใจในมวยไทยมากขึ้น หนูประทับใจมากค่ะ”

ชนแก้วผิด ชีวิตเปลี่ยน!!

“วันที่เกิดเรื่อง หนูไปกินเหล้ากับเพื่อน พี่สาว กินเสร็จแล้ว ก็รู้สึกอยากไปกินข้าวต้มต่อ ก็ไปกับแก๊งเพื่อนผู้หญิง 4 คน ผู้ชาย 4 คน เพื่อนผู้ชายพอกินข้าวเสร็จ ก็กลับกันไป ผู้ชายที่เราเจอน่าจะฟีลเมาแล้ว แต่เขาก็ยังมีแซวข้ามมา

เรานั่งกินข้าว แต่เขาขอชนแก้ว แต่เรารู้สึกว่าไม่โอเคเลยไม่ชน เขาก็น่าจะรู้สึกว่าเสียหน้า ก็เลยกลับไป ไม่เกิน 2-3 นาที เขาเดินมาใหม่ ไม่ได้พูดอะไร เราก็ไม่เห็น เพราะเขาอยู่ด้านหลัง เขาก็เลยเอาน้ำราดหัวเราแล้วก็โยนแก้วทิ้ง แล้วก็เดินออกไป”

อดีตนักมวยสาว ได้ย้อนเล่าเหตุการณ์ในวันเกิดเรื่องให้แก่ผู้สัมภาษณ์ได้รับทราบ เธอกล่าวย้ำด้วยว่า ไม่ว่าเพศไหน ก็ควรเคารพระหว่างกัน

“เราก็หันงงว่าเหตุการณ์มันคืออะไร เราไปทำอะไรเขาหรือจุดไหนที่เขารู้สึกว่าเราพูดไปแล้วเขาไม่พอใจรึเปล่า ก็รีบทบทวน เราตะโกนไปถามเขา เขาไม่ตอบ เราก็รีบลุกไปจะถามว่าทำแบบนี้กับเราทำไม มันไม่ควรจะโดน เขาก็ไม่มีท่าทางตอบแล้วก็ยังยิ้มกลับมาในจังหวะที่เขากระทำเรา เราก็รู้สึกว่าเราอายและเสียหน้า เราก็ไม่ยอม ก็เป็นเหตุการณ์ในคลิปเลยค่ะ

ตอนนั้นก็กรึ่มๆ ค่ะ แต่รู้เรื่องหมดเลยว่าใครเป็นใคร ใจร้อนมั้ย เรารู้สึกว่าเราโดนกระทำ แล้วเราไม่ควรที่จะได้รับ พลอยสามารถตอบโต้กลับได้ภายใน 30 วิเลย หนูไม่ได้อ้างนะคะ ถึงหนูเป็นผู้ชายหนูก็ต้องทำแบบนั้น เพราะศักดิ์ศรีของเรา ตอนนั้นไม่ได้คิดเลยค่ะว่าเขาจะมีอาวุธมั้ย เราถามเขาแล้วเราไม่ได้คำตอบกลับมาว่าเขาทำทำไม มันก็ยิ่งทวีคูณ เราก็ยังคาใจอยู่ ก็เลยเกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้น



หนูว่าจริงๆ ไม่ว่าเพศไหน การให้เกียรติกันมันสำคัญ ไม่ใช่คุณเห็นเขา คุณไม่รู้จักเขา แต่คุณไม่สามารถบอก มานั่งข้างพี่ได้มั้ย มาชนแก้วได้มั้ย สิทธิคนเราควรเคารพซึ่งกันและกัน ซึ่งกิริยาของเขามันไม่โอเคสำหรับเรา”

ทั้งนี้ เธอยังฝากไปถึงผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างๆ หากมีหลักฐานใดๆ ที่พอจะช่วยเหลือฝ่ายที่ถูกกระทำได้ ก็อยากให้ช่วย เพื่อที่จะได้ตามตัวผู้กระทำผิดมาจัดการได้อย่างรวดเร็ว

“จริงๆ หนูไม่คิดที่จะแจ้งความ เพราะว่าประเทศไทยแต่ละคดี ถ้าเป็นคดีเล็กตำรวจแทบไม่ตามเลยที่เราเคยเจอมา แจ้งไปแล้วเขาจะตามให้เรารึเปล่า แต่ว่าพี่สาวหนูถ่ายได้แค่คลิปตอนหนูไปกระทำเขา ซึ่งหนูก็คิดอยู่ว่าถ้าโพสต์ไป กระแสอาจจะคิดว่าเราผิดอยู่ๆ ไปถีบเขา ก็เลยอยากได้คลิปตอนต้นที่เขาเอาน้ำราดหัวใส่ ซึ่งเราโดนกระทำจริงๆ

เราขอทางร้านตั้งแต่เราโดนกระทำ ทางร้านไม่ให้ หนูแค่จะมาขอคลิปคือหลักฐานว่าหนูโดน หนูไม่ได้มาทำให้ร้านเสียหาย เราก็เลยบอกว่าแล้วจะมีวิธีไหนบ้างที่จะขอคลิปได้ เขาก็เลยบอกให้เราไปแจ้งความ หนูจึงไปแจ้งความ พี่ตำรวจ สน.ห้วยขวาง เขาก็น่ารัก เขาหาตัวได้เลย คลิปขอก็ได้เลย ก็เปลี่ยนความคิด ตำรวจก็ทำงานไวค่ะ

หนูอยากจะฝากคนที่เป็นเจ้าของร้านต่างๆ ที่มีคลิปกล้องวงจร ถ้ามีคนเป็นผู้เสียหาย หนูอยากให้เห็นใจนิดนึง ช่วยได้หนูอยากให้ช่วยคนที่โดนกระทำก่อนค่ะ เราต้องไปที่ร้านเป็นรอบ 3 ถ้าคนที่โดนแบบวันนั้นแล้วปล่อยผ่าน หนูถามเลยเรื่องนี้จะได้รับความสนใจมั้ย หรือเขาต้องเป็นปมไปเลยว่าโดนอย่างนี้แล้วไม่มีใครช่วยเหลืออะไรเลย กลับบ้านไปนอนนึก เราทำอะไรผิดหรือเราไปพูดจาอะไร เราไปยั่วเขาเหรอ มันก็ต้องเป็นปม หนูก็เลยคิดว่าสิ่งที่หนูทำมันถูกแล้วก็โอเคแล้วค่ะ”

แพรพลอยยังได้สะท้อนว่า กระแสจากโลกโซเชียลฯ เป็นอีกส่วนสำคัญ ที่ช่วยให้ตามตัวคู่กรณีได้รวดเร็วขึ้น

“ตอนแรกคนที่เขากระทำ เขาไม่มีการติดต่ออะไรเลย แต่พอเรามาคุยกับเพื่อนว่า โซเชียลฯต้องช่วยได้ ตอนแรกคิดว่าลองโพสต์ดู ในกลุ่มที่ไปด้วยกันช่วยๆ กันแชร์แล้วกัน ไม่มากก็น้อย ให้เขารู้หน่อยว่าแถวนี้มีบุคคลแบบนี้อยู่ จะได้ระวัง หรือถ้าเจอตัวคนนี้ให้แจ้งหนูหน่อย เราอยากรู้ว่าเขาทำทำไม

โพสต์ไปไม่เกิน 10 นาที คนแชร์เยอะๆๆๆ หนูเริ่มตกใจแล้วว่าเขาแชร์ในทิศทางไหน เพราะคลิปตัวต้นเหมือนเราไปกระทำเขา แต่หนูจะเขียนไว้ว่าเหตุการณ์มันเป็นแบบนี้ ซึ่งคนก็แห่ชมเราว่าเราใจกล้า แต่จุดประสงค์จริงๆ หนูไม่ได้จะอวดว่าตัวเองไปเตะเขา หนูแค่อยากรู้ว่าคนนี้เขาเป็นใคร หนูอยากถามว่าที่ทำทำทำไม



ถ้ามันไม่ได้เป็นคลิปดังขึ้นมา เชื่อมั้ยว่า หนูไม่เจอตัวคนกระทำแน่นอน เขาก็จะหายแล้วก็ใช้ชีวิตได้อย่างปกติ เขาทำครั้งที่ 1 ได้ หนูเชื่อเลยว่าครั้งที่ 2 ที่ 3 มันต้องมีอีก เขาไม่ใช่วัยรุ่นนะคะ เขาบรรลุนิติภาวะแล้ว 40 อัปแล้ว เราโดนราด เราแทบเรียกร้องอะไรไม่ได้เลย แล้วจิตใจเราใครจะรับผิดชอบ”

ท้ายที่สุดแล้ว บทสรุปของเรื่องราวนี้จบลงที่ต่างฝ่ายต่างแยกย้ายกันไป แต่แพรพลอยยืนยันว่า จะไม่ลบคลิปวิดีโอเหตุการณ์อย่างแน่นอน ด้วยหวังให้เป็นอุทาหรณ์แก่สังคม

“ตอนแรกที่คิดไว้ ถ้าเข้าไปคุยกับเขา แล้วเขาแสดงกิริยาที่ยังไม่สำนึกผิด เราจะเอาเขาให้ถึงที่สุด แต่เราไปถึงเขาก็รู้สึกผิดจริงๆ เขาก็พูดแค่ว่าขอโทษ ก็ถามเขาว่าทำทำไม เขาก็บอกแค่ว่าเขาเมา ซึ่งเหตุผลมันไม่ควรจะแค่นี้ เพราะว่าคุณทำกับใครอย่างนี้ แล้วคุณแค่อ้างเหตุผลว่าเมา หนูว่ามันไม่แฟร์สำหรับคนที่โดนค่ะ

วันนั้นเซ็นค่าปรับแล้วก็จบ หนูไม่ขอรับคำขอโทษนะ เงินหนูก็ไม่เอา กระเช้าก็ไม่เอา แต่หนูขออย่างเดียว หนูไม่ลบคลิป แต่เขาก็ขอให้เราลบ หนูก็แจ้งไปขอไม่ลบ เรื่องคลิปเรื่องรูปพี่ไปฟ้องเอาไม่เป็นไร วันนั้นก็คือจบแล้วก็แยกย้าย

คนที่คิดที่จะกระทำแบบนี้ ดูเคสนี้เป็นตัวอย่าง คุณต้องรอรับผลการกระทำของคุณ เช่น คุณโดนไล่ออกจากงาน ที่บ้านครอบครัวคุณ ญาติคุณ จะมองคุณยังไง คุณประพฤติตัวแบบนี้ คุณจะอยู่ในสังคมนี้ได้มั้ย

ก่อนจะทำอะไรคิดถึงตรงนี้ให้มันเยอะๆ เคสนี้เขาก็โดนไปหนัก หนูก็สงสารค่ะ แต่ก็คิดว่าคุณทำอะไร คุณก็รอรับผลที่คุณกระทำกลับไป เพราะเราไม่รู้ว่าคุณทำมากี่คนแล้ว หนูอาจจะไม่ใช่รายเดียวก็ได้ ให้ผลการกระทำนั้นจัดการเขาดีกว่า”



และในฐานะนักมวยสาว เธอยังได้เปิดเผยถึงเทคนิคมวยไทยง่ายๆ ที่สามารถนำไปใช้ในการป้องกันตัวเอง ที่สำคัญ แพรพลอยย้ำว่า หากเกิดเหตุกระทบกระทั่งขึ้นมาจริงๆ เพื่อนควรแยกคู่พิพาทออกให้ไกล แต่ไม่ควรล็อกตัวจนไปไหนไม่ได้

“สมมติว่า เรารู้ว่าเขาจะเข้ามาระยะใกล้ชิด อย่างเร็วสุดเราใช้ขาหน้า ยกสะโพกใช้น้ำหนักช่วงเอวส่ง จิกไปที่ท้องดันให้เขากลิ้งไปให้ไกลที่สุด ผู้ชายไม่ว่าตัวใหญ่ ตัวสูง เขาจะถอยไปห่างเรา ทีนี้ตั้งสติได้เราอาจจะวิ่งหรือขอความช่วยเหลือได้

หรือว่าเราตั้งหลักไม่ทันอาจจะอยู่ในระยะประชิด จะมีเทคนิคง่ายๆ แต่เราจะต้องฝึกบ่อยๆ เพราะแรงเรากับแรงผู้ชายไม่เท่ากัน เราอาจจะล็อกคอช่วงที่เราถนัด ขาขวาว่างอยู่ ซ้อนแล้วใช้มือกับขาพร้อมกันเกี่ยว ให้ผู้ชายหนัก 200 กิโลก็ล้มค่ะ

ถ้าเห็นในคลิปหนูจะประชิดตัวไม่ได้เลย มีเพื่อนกันบ้าง เขาก็ค่อนข้างสูง เราไม่รู้ว่าเขามีอาวุธหรือไม่มี ง่ายที่สุดคือถีบ ในคลิปพลอยพยายามจะเดินออกมา สายตาเราต้องโฟกัสที่เขาว่าเขาจะทำอะไรต่อ แต่ถ้ามีช่องว่างเปิด พลอยจะพยายามเข้าไปแล้วถีบ แต่พลอยแทบจะไม่ประชิดเลย เพราะถ้าประชิดพลอยอาจจะสู้แรงเขาไม่ได้ค่ะ

พลอยอยากแนะนำนิดนึง ถ้าไปกับกลุ่มเพื่อน สมมติมีปัญหาจริงๆ เพื่อนอย่าล็อกตัวเรา เพราะถ้าฝั่งโน้นเขามีอาวุธหรือสวนเราขึ้นมา เพื่อนล็อกหน้าเราเปิดอยู่ แขนเราโดนล็อก เราจะเสียเปรียบมาก ควรห้ามแต่ไม่ควรล็อกตัวให้ไปไหนไม่ได้

ถ้าเพื่อนอยากเข้ามาห้าม อาจจะต้องดูว่าคู่กรณีมีอาวุธมั้ย ถ้าเขามีเพื่อนมาด้วย พยายามแยกฝั่งให้ห่างออกจากกันก่อน ไม่ใช่แยกใกล้ๆ เพราะจังหวะใกล้กันไม่รู้เขาจะส่งหมัดมาเมื่อไหร่ เราน่าจะเสียกับเสียถ้าเราเป็นผู้หญิงด้วย ถ้าใจร้อนจริงๆ แยกไปให้ไกลที่สุดก่อน แต่ถ้าใกล้ๆ อย่าล็อก ถ้าจังหวะผู้ชายเขาสวนในคลิป พลอยก็โดนเหมือนกัน”

สะท้อนสังคม “ความเท่าเทียม” ที่ “ไม่เท่าเทียม”


จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับหญิงสาวผู้นี้ ได้กลายเป็นประเด็นให้ผู้คนถกเถียงกันเป็นวงกว้าง ถึงเรื่องความเคารพในสิทธิส่วนบุคคล

“ประเทศไทย ไม่ว่าจะเมื่อก่อนหรือปัจจุบัน ถึงเราจะพูดกันว่าตอนนี้ผู้หญิงกับผู้ชายเท่าเทียมกัน แต่ที่เรามองเห็น สังคม สภาพแวดล้อม มันยังไม่ใช่ค่ะ เชื่อมั้ยคะว่าลึกๆ แล้วยังมีผู้ชายมีความรู้สึกว่าเหนือกว่าเราอยู่ คิดว่าเขาสามารถกดขี่เราได้ เราต้องยอม สมมติมีคดีข่มขืน ทำร้ายร่างกาย ถ้าผู้หญิงไปแจ้งความ ผู้หญิงกลายเป็นคนดูไม่ดีมากกว่าผู้ชายที่กระทำ

เวลาเราเดินออกไปไหน มันจะมีผู้ชายบางกลุ่ม เราดูรู้เลยว่าเขาใช้สายตาคุกคาม กะลิ้มกะเหลี่ย มองแล้วหันหลังกลับมามองอีก ไม่ใช่แล้ว มองไม่เท่าไหร่ ถ้ายังใช้คำพูดแบบไม่ให้เกียรติกัน ‘ขาวจัง หน้าอกดี เป็นแฟนพี่มั้ย’ ถ้าทักหนูแบบนั้นหนูโต้กลับเลย ‘แซวอะไร’ เขาจะเงียบไป ขับมอเตอร์ไซค์ผ่าน วีดวิ้วๆ หนูก็ ‘วีดวิ้ว…อะไร’



หนูไม่ได้บอกว่าหนูสวย แต่หนูไม่ชอบการกระทำที่ทำให้เรารู้สึกเป็นวัตถุที่เขาจะพูดหรือคุกคามอะไรก็ได้ เขาแซวแบบนี้หนูไม่มั่นใจเลยนะ แล้วคนที่เป็นโรคซึมเข้าเขาไม่เสียเซลฟ์เข้าไปใหญ่เหรอคะ พอเจอกิริยาแบบนี้ คุณไม่มีสิทธิจะมาวิพากษ์วิจารณ์ในตัวเรา ถึงเราจะเดินสวนกันก็แล้วแต่ คนรู้จักหรือไม่รู้จักก็แล้วแต่ ไม่ควรจะมาใช้คำพูดแบบนี้

หนูไม่ได้เหมารวมผู้ชายทุกคนนะคะ หนูรู้สึกว่าควรจะได้รับสิทธิเท่าเทียมกันจริงๆ ซึ่งตอนนี้หนูอยากให้ผู้หญิงทุกคนลุกมา เราไม่ชอบอะไรเราสามารถพูดกับเขาตรงๆ ได้ หรืออย่างเคสหนู เราไม่อยากชนแก้ว บอกไปได้เลยว่าเราไม่ชน เสรีของเรา สิทธิของเรา เขาจะมาขอเบอร์ ถ้าเราไม่ชอบเราก็มีสิทธิพูดค่ะ แต่เขาไม่มีสิทธิมากระทำอย่างนี้ซึ่งมันไม่ถูก”

อดีตนักมวยสาว ยอมรับว่า ตนเองเป็นคนแต่งตัวแรงแต่รู้กาลเทศะ เธอย้ำว่า การแต่งตัวนั้นย่อมเป็นสิทธิของแต่ละบุคคล ที่คนอื่นไม่ควรก้าวล่วง

“หนูโดนบ่อยนะคะตั้งแต่ยังไม่มีกระแส หนูจะเป็นคนแต่งตัวแรงอยู่แล้ว ไม่เปิดหน้าก็เปิดหลัง แต่เอาจริงๆ หนูจะแต่งตัวยังไง แค่หนูรู้สึกว่าหนูมีกาลเทศะไปในสถานที่ต่างๆ หนูว่ามันก็โอเคแล้ว ซึ่งมันเป็นสิทธิของคุณมั้ยที่จะต้องควบคุมอารมณ์และโฟกัสตัวเองให้ได้ ไม่คุกคามเรา ไม่ใช้สายตากะลิ้มกะเหลี่ย ไม่ใช้คำพูด มันรู้สึกว่ามันไม่แฟร์สำหรับผู้หญิงค่ะ

เราแต่งตัวอย่างนี้เราไม่ได้ผิดนะ ตอนนี้มองไปประเทศไหนๆ แทบไม่ใส่เสื้อใน ใส่เสื้อยืดเห็นจุก ประเทศอื่นเป็นเรื่องปกตินะคะ แต่มาประเทศไทย โดนบูลลี่กันเต็ม ร่างกายของเราเราจะใช้ยังไงมันก็เรื่องของเราอยากให้มองว่ามันเป็นสิทธิเสรี



ไม่ใช่ผู้หญิงอย่างเดียว ผู้ชายก็ทำได้ ผู้ชายจะแต่งตัวเป็นผู้หญิงก็ได้ เราไม่ต้องบูลลี่กัน ไม่ต้องมองว่ามันไม่โอเค อยากให้มองว่าเป็นเรื่องปกติ เพราะตอนนี้สังคมเปลี่ยน อนาคตเปลี่ยน อะไรใหม่ๆ มันเข้ามา ไม่ใช่มองแต่แง่ลบอย่างเดียว

อย่างเคสคดีข่มขืนหรือเคสที่หนูโดนราด เพราะแต่งตัวเหรอ สิทธิของหนูนะ หนูจะแหกหน้าแหกหลังก็สิทธิของหนู คุณไม่ควรจะมาทำแบบนี้ กลับกันผู้หญิงก็ไม่ควรทำ หนูอยากให้เข้าใจซึ่งกันและกันมากกว่า”

ทั้งนี้ แพรแพลอยยังได้ยกเหตุการณ์การถูกล่วงละเมิดที่เกิดขึ้นกับตนเองในอดีต เมื่อครั้งยังเป็นนักเรียนมัธยม แม้จะอยู่ในชุดนักเรียนเรียบร้อย แต่ก็ยังไม่อาจหลบเลี่ยงได้

“ตอนหนูประมาณ ม.2 หนูเจอ 2 เหตุการณ์ เหตุการณ์แรกหนูขึ้นรถเมล์ สาย 47 นั่งจากโรงพยาบาลกลางมาลงจัตุรัสจามจุรี ช่วงระหว่าง MBK หนูยืนโยนอยู่ มันจะมีผู้ชายคนนึงขึ้นมา เขาพยายามเอาอวัยวะของเขามาถูช่วงหลัง ตอนนั้นหนูใส่ชุดนักเรียน ถ้าหนูไม่เป็นมวยหรือไม่เกิดความคิดที่จะสู้ หนูต้องเจอเขากระทำอยู่อย่างนั้น ซึ่งมันไม่สมควรโดน

หนูก็ศอกไปทีนึง แล้วหนูหมุนหน้าเข้าไปมองหน้า แล้วถาม ‘มีอะไร จะให้ตะโกนมั้ย’ ข้างๆ เขาก็เริ่มรู้แล้วมีพี่ผู้หญิงดึงหนูออกมาจากตรงนั้น ผู้ชายคนนั้นก็วิ่งลงรถไป เรียกว่าโรคจิตได้เลยนะ

เคสที่ 2 เราถือเหมือนกระเป๋าย่ามแล้วโดนกรีดเป็นรอย น่าจะผู้ชายเหมือนกัน เราก็ไม่ได้รู้สึกอะไร ไม่รู้ด้วยว่าโดนกรีด แต่หนูเห็นเขามาสีๆ ข้างกระเป๋า หนูก็เลยกระชากตัวเองแล้วบิดตัว หนูจะชอบมองหน้า แล้วเขาก็กำอะไรเก็บไป ไม่รู้ว่าคัตเตอร์ หรืออะไร จังหวะนั้นรถเมล์จอด เขาวิ่งลงไปเลย คงน่าจะช่วงเบียด พอหนูไปถึงโรงเรียน กระเป๋าโดนกรีดแล้ว

หนูอยากบอก ผู้หญิงคนไหนเจอเหตุการณ์อย่างนี้อย่าไปยอมนะคะ ถ้าในสังคมแบบนี้ข่าวเยอะมาก หนูอยากให้พูดเลย ไม่ต้องกลัวอาย คนเยอะๆ ตะโกนไปเลย ‘จับตูดทำไม ล้วงทำไม’ หรือจังหวะเห็นว่าอยู่ข้างหลังแล้วยังไม่ไปซักที ศอกหรือถีบข้างหลังไปเลยให้คนรู้ว่าเราโดนกระทำอยู่”



เธอยังเสนอให้ประยุกต์หลักสูตรมวยไทย เข้าไปในระบบการศึกษา เพื่อที่จะนำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตจริงได้ มากกว่าวิชากระบี่กระบองที่เรียนกัน

“อย่างรุ่นหนูเรียนมามันจะมีวิชากระบี่กระบอง ลีลาศ บาส กระโดดเชือก อะไรพวกนี้ หลายปีที่แล้ว ซึ่งกระบี่กระบองอย่างที่เราจับมันขึ้นมาแล้วย่อ ยก จ้วง แทง ถ้ามองในการที่เราใช้ในชีวิตจริงมันแทบจะช่วยอะไรเราไม่ได้เลย

แต่ถ้าเราลองเสริมมีวิชาพละ แล้วเสริมวิชามวยเข้าไป อาจจะไม่ต้องเป็นมวยอาชีพจ๋า ไม่ต้องถึงขั้นมานั่งชกกัน สอนเด็กไทยให้มีพื้นฐาน การปล่อยหมัด เข่า ศอก เตะ เรียนอาทิตย์ละชั่วโมงนึง ถ้าเขาได้ซึมซับ

หรือสมัยเรียนเราจะชอบเห็นในห้องคนที่อ่อนแอกว่าจะโดนรังแก อยากให้มองว่าเราใช้เอาไว้ป้องกันตัว มีพื้นฐานแบบนี้ให้โรงเรียน ลองเล่นๆ ซักเทอมนึงแล้วดูพัฒนาการของเด็ก แล้วเวลาเราเอามาใช้ในชีวิตจริง หนูเชื่อกว่ามันเจ๋งกว่ากระบี่กระบองค่ะ หนูว่าเหตุการณ์ที่เราป้องกันตัวเองมันจะมีเปอร์เซ็นต์รอดกว่าการที่เราไม่ทำอะไร

หรืออย่างเราเป็นผู้หญิง แค่เราพกมีดในรถถ้าตำรวจตรวจเจอก็ผิดกฎหมายแล้ว สเปรย์พริกไทยมันก็ผิดกฎหมาย แล้วผู้หญิงเราจะเอาอะไรไปปกป้องชีวิตตัวเอง สิทธิหรือจิตใจ หนูก็เลยอยากพยายามลองให้ผู้หญิงลองลุกขึ้นมาเอาเทคนิคนี้ ลองซ้อม ทำตัวเองให้แข็งแรง หนูเชื่อนะว่าเหตุการณ์ที่มันออกข่าวมาทุกวันนี้ ความรุนแรงต่างๆ อาจจะช่วยเราไม่มากก็น้อย ช่วยให้เราหลบหลีกจากสถานการณ์นั้นออกมา”

มีวันนี้เพราะ “มวยไทย”

“ถ้าคนเห็นในคลิปอาจจะไม่คิดว่าเราเป็นนักมวย อยากจะคิดว่าเป็นหญิงแกร่ง แต่ประวัติหนูก็คืออายุ 13-14 หนูคลุกคลีในสนามศุภชลาสัย ป้าเขาจะเป็นนักวิ่งจะวิ่งละแวกนั้น ส่วนตัวหนูไปลองวิ่งแล้วไม่ชอบ ก็เลยเปลี่ยนไปซ้อมมวย

หนูเห็นว่าผู้ชายเตะเป้าได้ เจ๋งอะ หนูอยากเป็นแบบเขา ก็เลยลองดูซักเทอมนึงไปเรียน เลิกเรียนเย็นก็ไปซ้อมๆ ตอนแรกเล่นบ้างซ้อมบ้าง จนเรารู้สึกว่าเราน่าจะชอบทางนี้แล้ว

บอกก่อนส่วนตัวพ่อแม่หนูเสียหมดแล้ว หนูจะอยู่กับป้า ก็เลยบอกป้าว่า ขอไปต่อยมวยได้มั้ย แต่ป้าไม่ให้ ถ้าไปต่อยก็ออกจากบ้านไปเลย เขาเป็นห่วง แล้วเราเป็นผู้หญิงด้วย ไม่อยากให้เราไปชกแล้วเจ็บตัวกลับมา เขาทำใจไม่ได้”


ย้อนไปถึงจุดเริ่มต้นในเส้นทางของการเป็นนักมวยของสาวแพรพลอย เริ่มขึ้นเมื่อราว 10 ปีก่อน หลังจากได้ลองซ้อมมวยเพียงเล็กน้อยก็รู้สึกชื่นชอบในกิจกรรมนี้ เธอจึงตัดสินใจเดินหน้าในเส้นทางแห่งมวยไทยอย่างจริงจัง แม้จะสวนทางกับคำทักท้วงของผู้เป็นป้าก็ตาม

“เทรนเนอร์เขาเลยบอกไปต่อยสิ MBK สู้ได้ ซึ่งเราเคยเกริ่นๆ กับป้าไว้ เราก็อยากชก เลิกเรียนมาก็วางกระเป๋า ยัดชุดมวยไปเวทีมวยที่เขามี พอไปต่อยเสร็จ เชื่อมั้ยว่า หนูโดนฝรั่งต่อยน็อกประมาณยก 2หนูหันหลังเข้ามุมเลย ลงมาหนูมานั่งคิด มวยมันต้องจริงจังนะ ถ้าเราไม่ชอบจริงๆ ไม่อดทนซ้อมจริงๆ มันยากเพราะระบบหายใจต้องดีด้วย แต่วันนั้นตาเขียว ตอนนั้นก็ยังไม่ค่อยรู้เครื่องสำอาง ถ้าคิดได้ก็อาจจะใช้คอนซิลเลอร์ปิดไป (หัวเราะ) แต่ตอนนั้นไม่รู้อะไรเลย เป็นเด็ก ก็กลับบ้านไป

พยายามย่องเข้าบ้าน ตาหนูมันเขียวไปข้างนึง ถ้าอยู่ในร่มหนูปิดได้ เอายังไง วิ่งแล้วสะดุดล้ม เจอก้อนหินหรือยังไงดี ป้าเขาก็ขายโจ๊กอยู่หน้าบ้าน แต่มาเอ๊ะตรงที่เพื่อนป้าไปเจอหนูต่อยพอดี เขาก็เลยบอกว่า ‘นี่มันหลานกันยานี่หว่า’ เขาก็โทร.มาหาป้า หนูก็โดนยับเลย เขาก็บอกอย่าทำแบบนี้อีก อย่าไปต่อย ไม่อยากให้ต่อย แล้วก็ร้องไห้ หนูก็ขออีกไฟต์นึง เดี๋ยวชนะแล้วเลิกให้เลย แก้มือก่อน เดี๋ยวเป็นปมในใจหนู เขาก็ไม่ยอมให้ไปต่อย ไม่ยอมให้ไปซ้อม ตอนนั้นเราก็ไม่ได้ฟังป้าด้วย เราชอบ

คราวนี้พลิกโปรแกรมเลย วิ่งเช้า-เย็น ซ้อมเช้า-เย็น ตอนนั้นก็ยังเรียนอยู่ประมาณ ม.1 ม.2 พอเราซ้อมได้ประมาณเดือนนึง โค้ชก็หาตัวชกให้ใหม่ รู้มั้ยผลของการซ้อมเยอะๆ กลายเป็นว่าไฟต์นั้นหนูชนะสวยมาก แล้วชนะขาดเลย ซึ่งมันเป็นกำลังใจให้เราฮึดสู้ เราอยากจะต่อยต่อ หลังจากนั้น มา 10 ไฟต์ติดไม่เคยแพ้ใคร เก็บสถิติมาไม่เคยแพ้ใครเลย แต่ป้าก็จะไม่มาดูเลยเพราะถ้าเขามาดูเขาจะร้องไห้ เขารับไม่ได้”


ไม่เพียงแค่หลงใหลในศาสตร์ของมวยไทยเท่านั้น หากแต่ยังทำได้ดีอีกด้วย เธอคือเจ้าของฉายา “ขวาท่อนซุง”และ “แพรพลอย ม.กรุงเทพธน” เคยเป็นอดีตนักมวยของค่ายมวยศิษย์ชาญสิงห์ สถิติขึ้นชก 50 ครั้ง ชนะ 40 แพ้ 10 อีกทั้งยังกวาดเหรียญมานับไม่ถ้วน แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่สามารถเปลี่ยนความคิดของป้าได้แม้แต่น้อย

“ที่ต่อยเยอะๆ อายุประมาณ 16-20 เราจะฟิตมากเลยเพราะซ้อมตลอด จะเป็นช่วงนั้นที่เก็บสถิติได้ดีเยอะ กวาดมาแทบทุกรางวัลค่ะส่วนฉายา “ขวาท่อนซุง” ค่ายศิษย์ชาญสิงห์ ตอนนั้นหนูก็เป็นเด็กตัวดำๆ ขาใหญ่ หนูจะเตะขวาหนักมาก หนูจะเน้นขวา เขาก็เลยเรียกขวาท่อนซุง เอามาตั้งเป็นฉายาต่อท้ายค่ะ

ป้าจะค่อนข้างเลี้ยงหนูดีอยู่แล้ว ไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงิน แต่เราก็อยากจะทำอะไรไม่ต้องให้ป้าซัปพอร์ตเราเยอะ อย่างเช่น เรียน หนูก็ได้ทุนเรียนฟรี มันเกี่ยวกับมวยด้วยแหละค่ะ มหา’ลัยหนูก็ได้ทุนเรียนฟรีจนจบ ค่าหอ ที่พัก ก็ไม่ต้องจ่าย

ป้าจะมีลูกอีก 2 คน เขาแบกภาระทั้งหมด 3 คน รวมหนูด้วย ถ้าเขาหักภาระหนูได้เขาก็จะประหยัดไปเยอะ เราก็คิดในแนวของเรา เราก็เจ๋งเนอะได้ทุนเรียนฟรี ป้าไม่ต้องมานั่งจ่าย 4 ปี หลายๆ แสน มันก็เป็นการต่อยอดให้หนูได้ค่ะ

ที่ต่อยทุกวันนี้ก็ยังไม่ยอมรับค่ะ ก็พยายามไม่รับเงินชกมวยของหนู ช่วงนั้นเราได้ไฟต์นึงประมาณ 4,000-5,000 บางไฟต์ได้ 500 เราก็ให้ป้าๆ แต่ป้าเขาบอกเก็บไว้เข้าธนาคาร หนูต่อยมวยจนหนูมีเงินเก็บประมาณแสนนึง ซึ่งหนูก็ไม่คิดว่าจะเก็บได้ขนาดนี้ แต่ป้าก็เอาเข้าไปฝากๆ ตอนนี้ก็ยังไม่ยอมรับ นั่งขำอยู่เลย นักข่าวไปสัมภาษณ์ก็บอก บอกแล้วว่าอย่าไปต่อย”


หลังจากจบการศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาวิทยาศาสตร์การกีฬา มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี เป็นที่เรียบร้อย ก็เจอกับวิกฤตโควิด-19 พอดี ทำให้เธอตัดสินใจเลิกเป็นนักมวยอาชีพไปโดยปริยาย

แต่ก็ไม่ได้ทิ้งวิชามวยไทยเสียทีเดียว เพราะแพรพลอยรับเป็นสอนมวยและเป็นเทรนเนอร์ส่วนตัว เป็นครูอบรมสอนมวยตำรวจนครบาล ตลอดจนขายสินค้าบนช่องทางออนไลน์อีกด้วย

“มวยอาชีพหนูเลิกมาประมาณ 2-3 ปีแล้ว ซึ่งจะกลับไปชก ทำร่างกาย ระบบหายใจ มันค่อนข้างยากมาก ก็เลยไม่ได้ชกมานานแล้วค่ะ ตอนนั้นมันเป็นช่วงโควิดมาแรงมาก เราจบมาแล้วรายการต่อยไม่มี สนามมวยปิด ฟิตเนสปิด สนามซ้อมมวยปิดหมด แล้วมันก็นานมากที่เว้นระยะมา เลยผันตัวมาออนไลน์บ้างและรับมวยเป็นไพรเวต ไม่ว่าจะเด็ก ผู้หญิง ผู้ชาย ฝรั่งตัวใหญ่ๆ แล้วก็สอนมวยตำรวจนครบาล 1 รับถ่ายโฆษณากีฬา หนูรับเยอะค่ะ มีมวยเข้ามาช่วยงานเลยพอมีบ้าง

(สอนตำรวจ) หนูมีรุ่นพี่มหาลัยที่เขาอยู่ในสำนักงาน ถ้าทางหน่วยเขาขอตัวมาเขาจะเรียกเรา เพราะหนูจะชอบออกกิจกรรมพวกนี้อยู่แล้ว จะแจ้งมา เดี๋ยวมีสอนตรงนี้นะ มีเทรนนิ่งนครบาล ก็เรียกตัวเราไป เราออกงานให้เขาตลอด ทำมาตั้งแต่หนูเรียนปี 1 ค่ะ ทุกปีของรุ่นตำรวจจะเจอหนูหมดเลย

เขาก็จะให้เราไปสาธิต ท่าการออกหมัด การต่อย ให้กับนักเรียนตำรวจผู้ชายดูว่าเราเป็นผู้หญิง เรามีพละกำลังที่จะหลบหลีก แล้วก็เตะเป้า ให้เข้าดู ถ้าเป็นของนครบาล 1 เป็นตำรวจที่บรรจุแล้ว หนูก็เข้าไปเทรนนิ่งออกกำลังกาย”

ส่วนสาวๆ คนใดก็ตามที่สนใจเรียนมวยไทย แต่ยังมีความกังวลถึงรูปร่างที่อาจเปลี่ยนไป อดีตนักมวยคนสวยยืนยันว่า ไม่มีปัญหาแก่รูปร่างแน่นอน แต่จะได้ความแข็งแรงฟิตแอนด์เฟิร์มเข้ามาแทน

“ถ้าว่างก็ออกกำลังกายประมาณชั่วโมงครึ่ง วิ่งบ้าง แล้วก็เสริมเทรนนิ่งบ้าง เพราะโครงสร้างหนูใหญ่ ช่วงไหล่หนูจะไหล่ใหญ่กว่าคนอื่น ช่วงสะโพกจะใหญ่หมดเลย ตอนเราเป็นนักมวยอาชีพ เราต้องเล่นเวต หนูใส่กางเกงขาสั้น ขาหนูยังเป็นปล้องอยู่เลย ช่วงไหล่ก็มาหมด พอเราอยากแต่งตัวเป็นสาวตัวเล็กๆ หวานๆ มันไม่ได้ แต่หนูก็ชอบนะ ลุคหนูมันดูแข็งแรงดี ถ้าเราเจออะไรฉุกเฉิน เราปกป้องคนข้างๆ ได้ หน่วยก้านเราได้ (หัวเราะ)


จริงๆ มันขึ้นอยู่กับสรีระของผู้หญิงแต่ละคน อย่างพลอยเรียนวิทย์กีฬามา ถ้าผู้หญิงกลัวมีกล้าม ไม่ต้องกลัวนะคะ เพราะจริงๆ เราออกกำลังกายได้ 30 เปอร์เซ็นต์ 70 เปอร์เซ็นต์ คือ อาหารที่เราควบคุม บอดี้เราสร้างจากเวทเทรนนิ่ง เราจะฟิกตรงไหนเราค่อยไปเก็บเอา แต่ถ้าเรามาเรียนมวย มวยคือการคาร์ดิโอ เหมือนลดน้ำหนักไปในตัว ไม่ต้องกลัวว่าขาจะเป็นปล้อง

สมมติว่า มีสาวๆ ที่ผอมๆ จะมาเรียน ก็ต้องถามเขาก่อนว่าอยากสร้างอะไร สร้างความแข็งแรง สร้างหน้าท้อง สร้างช่วงแขนช่วงขา เราฟิกได้ เราใช้เทรนนิ่งเข้าไปช่วย ไม่ต้องกลัวเลย

แต่ของพลอยเป็นมวยอาชีพจ๋ามาตั้งแต่เด็ก โครงสร้างเลยเป็นแบบนี้ แต่ถ้าคนเรียน 2-3 เดือน ไม่มีปัญหาแก่รูปร่างแน่นอนค่ะ อย่างมากจะได้ความแข็งแรงไป กล้ามเนื้อกระชับขึ้น และเทคนิคการป้องกันตัว พลอยว่าคุ้ม”

ทั้งนี้ สาวพลอยยังได้เผยถึงสถานะหัวใจที่ตอนนี้โสดสนิท พร้อมทั้งเล่าถึงสเปกหนุ่มที่ปลื้มและไม่ปลื้มไว้อีกด้วย

“ถ้าผู้ชายมาเห็นเราเขาจะบอก ผู้หญิงคนนี้ตัวใหญ่นะ อวบนะ แต่เชื่อมั้ยหนูหุ่นอย่างนี้ผู้ชายก็ยังมีจีบอยู่นะ หนูก็ว่ามันก็ไม่ได้ขี้เหร่นะคะ มันก็ดูเป็นผู้หญิงแมนๆ ถ้าอย่างผู้หญิงมองมาก็เท่อยู่นะ (หัวเราะ) ตอนนี้โสดสนิทเลยค่ะ ไม่มีใครทักมาน่าจะกลัวโดนลูกเตะแน่ๆ เลย

สเปกผู้ชาย หนูชอบเหมือนหมอตังค์ มรรคพร ที่เขาจะเล่าเรื่องฆาตกรรม หนูชอบสไตล์นั้น ขาว ตี๋ แต่ว่าสไตล์ที่เข้ามาแล้วรอรับลูกหลง รอรับอาวุธหนู ก็น่าจะผู้ชายที่มีการแซวก่อน แล้วก็ไม่รู้จักการเข้ามาแบบเป็นมิตร เข้ามาแบบคุกคาม คุณเตรียมตัวไม่ได้โดนแค่หมัด อาจจะโดนปากหนูสวนไปก่อน หนูน่าจะตอบโต้ไปก่อนว่าเราไม่โอเค อย่างนั้นไม่ควรเข้ามา”

ใครว่าเงินไม่สำคัญ

ตามที่กล่าวไปแล้วข้างต้น แพรพลอยเติบโตมาจากการดูแลของป้า เนื่องจากพ่อและแม่เสียไปตั้งแต่ตอนที่เธอยังเด็ก

“ชีวิตหนูโคตรเหมือนในหนังเลย พ่อป่วยเป็นวัณโรคเสียไปตั้งแต่หนูอายุ 3 หรือ 4 ขวบ จำหน้าไม่ได้เลย เพราะท่านไม่เคยถ่ายรูป ตอนนี้ยังไม่รู้เลยหลุมศพท่านอยู่ไหน อย่างแซ่เอี้ย หนูคิดว่ามีหนูคนเดียวที่ใช้ ไม่รู้ว่าญาติพ่อมีใครบ้าง

ก็อยู่กับแม่มา แม่ขายของทิ้งไว้กับอยู่ป้า คลุกคลีกับป้าตลอด ประมาณ ป.5 แม่ป่วยเป็นมะเร็งมดลูก ตอนนั้นเราก็ไม่มีเงินรักษา แล้วท่านก็เสียไปตอนนั้น พอแม่เสีย หนูจำความได้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร

เหมือนญาติฝ่ายพ่อพอรู้ว่าแม่เสียก็พยายามดึงเราไป เหมือนกรมป่าไม้จะมาขอเลี้ยงดูเราจากป้า ตอนนั้นกลายเป็นเราโดนโยนให้ใครก็ไม่รู้ ดึงไปนู่นทีไปนี่ที ตอนนั้นหนูก็เคว้ง มันดีที่ว่าป้าหนูไม่ยอมให้ใครเอาไปเลี้ยงเลย ป้าหนูรับรองหนูเอาไว้”



แม้ผู้เป็นป้าจะสามารถดูแลเธอได้อย่างไม่ขัดสนเรื่องเงิน แต่สาวน้อยก็ไม่นิ่งดูดาย เพราะทุกครั้งที่มีเวลาว่าง เธอจะออกไปรับจ้างทำงานเล็กๆ น้อยๆ ด้วยหวังจะแบ่งเบาภาระของป้า ที่มีลูก 2 คน ต้องเลี้ยงดู

“ตอนเด็กลำบากมั้ย เหมือนเราหาลำบากเองค่ะเพราะเราอยากได้เงิน ป้าเขาต้องเลี้ยงดูลูกเขา 2 คนแล้ว หนูอยากได้อะไรก็พยายามหาด้วยตัวเอง ตามป้าไปขายโจ๊ก

มีป้าขายก๋วยเตี๋ยวเนื้ออยู่อีกฝั่งนึง ทุกเทอมหนูจะไปนั่งล้างจานให้เขา ชามก๋วยเตี๋ยวมันมีพริก เราแสบมือ มือลอกทุกวัน เขาก็ให้เราวันละ 80 บาท เราเป็นเด็กมันเยอะนะ เห็นเงินแล้วไม่เหนื่อยนะคะ หนูก็ล้างประมาณเทอมนึง ก็มานั่งนับเงิน ได้ประมาณ 8,000 ก็เก็บเข้ากระปุกหมู

ตอนเช้ายังมีเวลาว่างอยู่ หนูก็ไปทำกระจก เป็นโรงงาน ซึ่งตอนนั้นหนูอายุ 10-11 ขวบ แต่หนูตัวใหญ่ไง เครื่องมันหนักเราต้องยกเครื่องแล้วเอาเหล็กเข้าไปแล้วทับ ยกขึ้นมาใหม่ ก็ทำ เขาให้หนูวันนึง 120 พอปิดเทอมมันจะมีรับกลับมาทำที่บ้าน เหมือนตัวล็อกกิ๊บ งานอะไรถ้าทำได้หนูก็จะทำหมดเลยค่ะตอนนั้น ทำจนหนูมีเงินเก็บมา หนูเก็บตั้งแต่เด็กค่ะ”

จากการได้ทำงานตั้งแต่ยังเด็ก ทำให้เธอรู้คุณค่าของเงินเป็นอย่างยิ่ง กลายเป็นติดนิสัยรักการออม พยายามเก็บเงินทุกบาททุกสตางค์ที่ได้มา เพื่ออนาคตในวันข้างหน้า



“หนูจะเป็นคนขี้งกมาก ที่บ้านจะรู้เลยหนูเก็บๆ ที่บ้างานไม่ใช่ต้องจุนเจือครอบครัวหรืออะไร เราก็พ่อแม่ไม่มี ถ้าไม่มีอะไรซัปพอร์ตข้างหลัง ถ้าหนูป่วยไปหรือป้าหนูเป็นอะไรไป หนูจะได้มีเงินตรงนี้ซัปพอร์ตทั้งตัวเองและคนรอบข้าง

ตอนนี้ความคิดหนูเงินเป็นหลัก ถ้าเอาอะไรมาแลกหนูเลือกเงินอย่างเดียว ชีวิตเราเรามองย้อนไป แม่กับพ่อเรา ถ้าตอนนั้นเรามีเงิน ท่านก็น่าจะอยู่กับเรา แล้วตอนนี้ถ้าเราแก้ได้ เราเลยอยากจะมีเงิน เผื่อป้าเราเป็นอะไรเราจะได้ดูท่าน

หนูก็ผ่านชีวิตมาเยอะ เราคิดว่าเงินสำคัญกับการใช้ชีวิตมาก ถ้าเราไม่มีเงิน ต่อยอดอะไรก็ไม่ได้ ดูแลครอบครัวก็ไม่ได้ ไม่มีเงินก็ซื้อความสุขเราไม่ได้ ถ้าให้เลือก 2 อย่าง ความรักกับเงิน ให้วิเดียวเลย หนูเลือกเงินมาอันดับแรกค่ะ

หนูจะคิดตลอดเวลาว่าชีวิตหนูต้องไปต่อ หนูคิดเผื่อไว้เลยหลายๆ สเตป ถ้าออนไลน์เราขายไม่ได้ ยังมีเทรนมวยที่เรารับ ถ้าลูกค้ามวยไปแล้วยังมีเทรนนิ่งที่รออยู่ ถ้าเทรนนิ่งไม่มี เรายังรับจ๊อบกรมฯได้อยู่

ตอนนี้หนูจับหลายทางก็จริง เงินหนูมาหลายทาง แต่เราไม่มีเครดิต จะกู้จะยื่นอะไรมันยากมาก สิ่งสำคัญหนูอยากเข้าราชการ อยากบรรจุให้มันมั่นคงและมีเครดิตทำอะไรต่างๆ

หนูคิดว่า อายุ 24 แล้ว อยากมีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน รถหนูมีแล้ว บ้านหนูมีแล้ว หนูคิดว่าประมาณ 25 หนูขอมีเงินเก็บซักล้านนึงก่อน แล้วเดี๋ยวจะทำอะไรค่อยว่ากัน”

ตลอดการพูดคุย ผู้สัมภาษณ์สัมผัสได้ถึงความเป็นผู้ใหญ่เกินตัว ที่สะท้อนออกมาจากคำตอบของหญิงสาววัย 24 ผู้นี้ ที่มีแง่มุมน่าสนใจให้ได้ขบคิดตามมากมาย



และท้ายที่สุดนี้ เธอก็ได้ฝากกำลังใจถึงทุกคนในสังคม โดยเฉพาะสาวๆ ให้ลุกขึ้นมาต่อสู้กับความไม่ถูกต้อง ‘เพราะเราไม่ใช่คนที่ควรอาย คนที่อายคือคนที่กระทำผิด’

“ถ้าสมมติเราโดนล่วงละเมิดทางเพศ เอาง่ายๆ ในรถเมล์ บางคนเขาแทบจะไม่กล้าเอ่ย เพราะเราโดนกระทำ กลายเป็นเรานี่แหละเสียหน้า เราไม่ใช่คนที่อาย คนที่อายคือคนที่มันกระทำเราหรือคนที่มันคิดไม่ดีกับเรา

เพราะฉะนั้น ผู้หญิงไม่ควรกลัว มีอะไรพูดไปเลย หรือถ้ารู้สึกว่าอายจริงๆ เชื่อมั้ยถ้าเรายิ่งไม่พูด เราลงจากรถไป เชื่อเลยว่าร้อยทั้งร้อยต้องกลับไปคิดแล้วว่าตอนนั้นน่าจะทำอย่างนั้น น่าจะทำอย่างนี้ มันบั่นทอนจิตใจว่าทำไมเราต้องโดน

แบบนี้มันไม่แฟร์สำหรับผู้หญิงเลยค่ะ มีอะไรตะโกนไปเลย ตะโกนไปก่อน หนูเป็นคนพูดเสียงดัง เราก็ติดนิสัยมาด้วย เราเจอเหตุอะไรเราแหกปากไว้ก่อน รอบข้างรู้ไม่รู้ค่อยว่ากัน”





ดูโพสต์นี้บน Instagram

โพสต์ที่แชร์โดย LIVE Style (@livestyle.official)





สัมภาษณ์ : ทีมข่าว MGR Live
เรื่อง : กีรติ เอี่ยมโสภณ
คลิป : อิสสริยา อาชวานันทกุล
ภาพ : พลภัทร วรรณดี
ขอบคุณภาพ : เฟซบุ๊ก “Pareploy Saeaia”
ขอบคุณสถานที่ : “เขาทราย แกแล็คซี่ มวยไทย ยิม” ย่านรัชดาภิเษก



** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **






กำลังโหลดความคิดเห็น