แก่แล้วไง แซ่บแล้วกัน!! เจาะใจ “โสภิตชิทแชท” เน็ตไอดอลวัยเกษียณ กับไลฟ์สไตล์สุดแซ่บที่พริกทั้งสวนต้องยอมสยบ หุ่นเป๊ะ-แฟชันนิสต้า-บิกินีต้องมา-เก่งงานบ้าน-จัดจ้านบนเตียง เผย “ความสุขที่ทำ มันเป็นช่วงเวลาที่เหลือของชีวิต”
แซ่บจนไวรัล! สาวใหญ่ 60 กะรัตในชุดบิกินี
“คุณแม่เล่น TikTok 2 ปีแล้ว ลงเล็กๆ น้อยๆ มีคนติดตามไม่กี่ร้อยคน เรื่องของเรื่องเมื่อประมาณตอนช่วงธันวาคมไปเที่ยวกับครอบครัว เราอยู่ในเรือ เขาบอกเด็กในเรือถ่ายรูปได้ ถ่ายคุณแม่หน่อย
แล้วเขาเปิดเพลง ฉันก็เต้นๆ ฟีลที่อยู่คนเดียว แล้วก็สนุกสนานกับบรรยากาศ ท้องฟ้า ฉันก็มีความสุข ก็ถ่ายเก็บไว้เป็นคลิปสั้นๆ เอาไปลง ตัวเลขของคนติดตาม ตัวเลขของคนถูกใจมันเยอะขึ้น แม่เจ้า!! (หัวเราะ) คนดู 2.6 ล้าน
เราไม่ได้ใช้ชีวิตประจำวันกับการใส่ชุดว่ายน้ำ เรามีอะไรหลายอย่างที่เราแต่ง เพียงแต่ว่าเราไปเที่ยวทะเลกันบ่อย ทะเล-ชุดว่ายน้ำ มันคู่กัน คนอาจจะบอกผู้หญิงอายุมากไม่ควรใส่ จริงเหรอ มันเป็นข้อห้ามเหรอ แก่แล้วห้ามใส่ชุดว่ายน้ำทูพีช
อายุตอนนี้ 60 ค่ะ กำลังจะรับเบี้ยคนชราแล้ว ไม่เกษียณตัวเอง ทุกวันนี้ทำธุรกิจส่วนตัว เป็นโรงงานทำกล่องกระดาษ ช่วยกันทั้งครอบครัว ถามว่า ทำไมอายุ 60 แล้วยังไม่เกษียณ เรามีความรู้สึกว่าเราอยากทำอะไรอีกหลายๆ อย่าง
ถ้าเราไม่ทำเลย กลัวว่า ตัวเองจะเฉา เรายังมีพลัง เรายังไหว ความสุข เชื่อมั้ยว่ามันกลับมาซ่อมไม่ได้ วันนี้คุณอยากทำอย่างนี้ แล้วคุณกลับมาบอก รู้งี้เสียดาย แล้วยังไง คำว่าเสียดายมันกลับไปทำได้อีกมั้ย จริงมั้ยคะ”
“น้อง-โสภิต สุนทรธนสถิตย์” สาวใหญ่วัย 60 กะรัต กล่าวกับทีมข่าว MGR Live หลายคนอาจจะคุ้นหน้าค่าตาเธอ ในฐานะเจ้าของแฟนเพจ “SopitChitchat โสภิตชิทแชท” ที่มีผู้ติดตามกว่า 152,600 คน
สำหรับคอนเทนต์ที่ถ่ายทอดผ่านเพจ ส่วนใหญ่คือแง่คิดในการดำเนินชีวิต ที่มอบพลังบวกให้คนอ่าน ด้วยการดูแลตัวเองอย่างดี จนมีรูปร่างสุดเป๊ะ และมักปรากฏกายอย่างมั่นใจในเสื้อผ้าหลากสไตล์ อย่างการนำผ้าไทยไปประยุกต์เป็นชุดที่สวมใส่ง่ายขึ้น หรือจะเป็นชุดแนวเซ็กซี่ สายเดี่ยว ขาสั้น ไม่ต่างกับสาวๆ ทำเอาใครก็ตามที่ได้เห็น ต่างพากันกดไลก์ให้รัวๆ
ตลอดจนการสวมชุดว่ายน้ำในวัยนี้ ที่ล่าสุด ได้กลายเป็นไวรัลบนแอปพลิเคชัน TikTok ชื่อบัญชี @sopitchitchat จากคลิปวิดีโอที่เธอสวมบิกินีสีเทาตัวจิ๋ว พร้อมชิลไปกับบรรยากาศบนเรือในทะเลภูเก็ต ส่งให้คลิปดังกล่าวผู้เข้าชมกว่า 2.6 ล้าน และมีคนกดหัวใจไปแล้วถึง 182,200 ครั้งกันเลยทีเดียว
อาจกล่าวได้ว่า เธอคือเน็ตไอดอลวัยเกษียณที่ฮอตที่สุดของ พ.ศ.นี้ ก็ว่าได้!!
“หลังจากที่เราลง TikTok คนก็ชื่นชม ชอบการแต่งตัวของคุณแม่ ไปเที่ยวทะเลกับเพื่อนบ่อย ล่าสุด ไปบางแสน ทุกคนใส่ชุดว่ายน้ำเต้นในสระ วัยนี้ไม่ทำตอนนี้แล้วจะเขย่าตัวไหวมั้ย เพื่อนทุกคนบอกว่าการเที่ยวของพวกเรามีความสุข
เชื่อมั้ยลงไปเล่นๆ คนดูตั้งเป็นแสน เขาบอกว่าถ้าแก่ขึ้นฉันจะเป็นแบบแก๊งนี้ มันเป็นความสุข คุณทำเฉพาะกลุ่มก็ได้ หรือคุณทำกับครอบครัวก็ได้ นั่นหมายถึงว่าสิ่งที่คุณทำ มันเป็นสุขเล็กๆ ที่เติมเต็มในวัยที่เหลือน้อย
การใส่ชุดว่ายน้ำสมัยนี้ ชุดว่ายน้ำสวยๆ เยอะมาก มีหลากหลายแบบ ใส่แล้วเก็บทรงก็มี ใส่แล้วเปิดเผยก็มี ใส่แล้วเว้าสูงก็มี ถ้าคิดว่าไม่ต้องแคร์อะไร อยากใส่อะไรใส่ ก็เห็นเยอะแยะ เดี๋ยวนี้เจ้าเนื้อแต่งตัวน่ารักจะตาย ไม่ต้องผอม ใส่แล้วก็เต้น TikTok กัน เขาน่ารักดีนะ เขามั่นใจ ก็แค่นั้นเอง
อยากใส่ ใส่ อยากทำ ทำ เอาความอยากเป็นตัวตั้ง แล้วคุณก็จะมีความสุข เมื่อไหร่ที่คุณใช้คำว่าอาย คุณจะไม่ค้นพบความสุข ถ้าคำว่าอยากมีมากกว่าอาย หยิบมาใส่เลยค่ะ อายก็ไม่ได้ใส่ซักทีนึง”
แน่นอนว่า เมื่อกลายเป็นที่สนใจบนโลกออนไลน์ ก็ย่อมมาพร้อมกับความคิดเห็นที่หลายหลาก โดยเฉพาะความคิดเห็นในแง่ลบ ที่แม้แต่เน็ตไอดอลวัย 60 ปีคนนี้ ก็ยังไม่อาจเลี่ยงได้
“การที่เราขึ้นมาเป็นคนๆ นึงในที่เปิด ที่สาธารณะ ต้องยอมรับว่า มันจะต้องมีเสียงที่ชื่นชมและไม่ชอบ การตำหนิ เขาเรียก “บูลลี่” สมัยก่อนไม่รู้บูลลี่คืออะไร คือ การทำให้เราเสียเซลฟ์ คือ การหาปมด้อย คือ การถากถาง ด้อยค่า มันเจ็บนะ
มีคอมเมนต์มากมายที่ตำหนิเรา ‘ทำตัวไม่เหมาะสม ใส่ชุดแบบนี้ไม่รู้จักกาลเทศะ’ เราก็เอ๊ะ… ฉันใส่ชุดว่ายน้ำ ฉันไปสระว่ายน้ำ ฉันไปทะเล คนถ่ายรูปก็ลูกฉัน สามีฉัน คนที่เดินจูงมือก็สามี แล้วฉันก็ไปกับกลุ่มเพื่อน ไม่ได้ไปทำอะไรที่ไม่เหมาะสม คอมเมนต์แย่ๆ ก็มี ‘หน้าเหี่ยว’ ฉัน 60 แล้ว จะให้หน้าฉันตึงเหรอ ฉันตึงแค่หู สามีบอก (หัวเราะ)
กระแสเหล่านั้น ถ้าเราเอามาเป็นอารมณ์ ทุกข์ในใจย่อมเกิดขึ้นถูกมั้ยคะไม่เคยกดดันตัวเอง และไม่เคยเปลี่ยนแปลงตัวเอง ยังคงเป็นตัวเองเหมือนเดิม คำพูดเหล่านั้นมันจะถาโถมมา ถ้าเราเก็บไว้ ผนังกำแพงชีวิตเรามีแต่ขยะ คุณแม่ปล่อยผ่านไม่เก็บเอาไว้เลย เพราะยังมีเรื่องราวที่เราต้องทำอีกเยอะแยะ คิดว่าพรุ่งจะมีงานทำมั้ย เราจะมีเงินกินมั้ย สิ่งที่เราทำ เราไม่ได้ทำร้ายสังคม เราแค่เป็นส่วนหนึ่งของสังคม คนกลุ่มหนึ่งที่ชอบชีวิตแบบนี้ คนกลุ่มหนึ่งที่บอกตัวเองว่า ฉันมีความสุข”
ขณะเดียวกัน ก็มีคอมเมนต์ดีๆ มากมาย ที่ทั้งชื่นชมและมอบพลังบวก เธอกล่าวว่า รู้สึกราวกับความแก่ได้หายไป
“มีคอมเมนต์ดีๆ เยอะนะ อ่านทุกคอมเมนต์ ‘อยากมีแม่แบบนี้จัง’ ‘ฉันอยากจะแก่ตัวไปแล้วเหมือนป้า’ ‘ยายน่ารัก’ พลังนะ ฉันรู้สึกว่าความแก่ของฉันมันหายไป (ยิ้ม) เหมือนลดทอนอายุตัวเอง แต่ที่สุดแล้ว ฉันก็ไม่ได้เปลี่ยนตัวเอง
‘ถ้าคุณแม่ไปดึงหน้าอีกหน่อย คุณแม่จะโอเคมากเลย’ เราก็ขอบคุณ มันเป็นสิ่งดีๆ ที่คนบอกฉันเสมอ จริงๆ ทุกวันนี้คิดว่าเรามีความสุขเยอะแล้ว ถ้าเราไปทำจะดีมั้ย เราก็ตอบโจทย์ไม่ได้ มันมีเยอะแยะไปที่คนทำแล้วไม่ดี แล้วถ้าฉันอยู่ในแจ็กพ็อตที่ไม่ดีจะเกิดอะไรขึ้น ก็เลยยังใช้ชีวิตอย่างนี้แหละ แต่ไม่รู้จะว่าอนาคตจะทำมั้ย
ที่สุดของชีวิตแล้วไม่ได้เอาการที่ตัวเองตึงทั้งหมดมาเป็นตัวตั้ง ฉันขอร่างกายที่แข็งแรง ฉันยังเดินไหว ฉันยังทำงานได้ ฉันยังใช้ชีวิตที่ฉันยังไม่ได้ใช้อีกเยอะแยะได้ ความสุขสมบูรณ์ของชีวิตบางครั้งไม่ได้ขึ้นอยู่กับเงินทอง มันขึ้นอยู่กับการที่คุณสุขใจ รอยยิ้มมันบอกนะ สีหน้า อารมณ์ แววตา ฉันไม่ใช่คนปลอมเปลือก เราเฟกไปทำไม แล้วทำไมต้องสร้างภาพว่าฉันดูดี
ปริมาณความสุขคุณโสภิตมีเยอะมั้ย ฉันให้ตัวเอง 100 เพราะฉันคิดว่าฉันประสบความสำเร็จทุกด้านของชีวิต เรื่องของความรักฉันได้จากครอบครัวเยอะมาก ทุกคนเป็นพลังส่งให้ฉันมายืนอย่างเข้มแข็ง
แต่ก่อนบอกลูกดูคอมเมนต์สิ อ่านมากก็ป่วยจิต อ่านมากก็กลุ้มใจ สลัดมันไป ถือซะว่าเป็นสิ่งที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป เรื่องราวในวันนี้ที่ไม่ชอบก็ไม่ต้องจดจำ เรื่องพรุ่งนี้ยังมีอะไรให้เราทำอีกเยอะ”
ไดอารี่ความสุข “โสภิตชิทแชท”
ย้อนกลับไปถึงจุดเริ่มต้น ที่ทำให้ชื่อของโสภิต กลายเป็นที่รู้จักในโลกโซเชียลฯ เกิดขึ้นราว 5 ปีก่อน จากการที่มีคนนำภาพของเธอไปแชร์ตามแพลตฟอร์มต่างๆ จนกลายเป็นไวรัลไปหลายประเทศ ถึงเรื่องของการใช้ชีวิตโดยที่ไม่สนใจอายุ
“การที่มีคนรู้จักในโลกโซเชียลฯ น่าจะ 5 ปีที่แล้ว ตอนนั้นอายุ 55 อายที่จะบอกอายุเยอะ (หัวเราะ) ผู้หญิงมักจะบอกว่าอย่าถามอายุได้มั้ย จริงๆ ไม่ได้กลัวแก่นะ แต่ไม่ยอมข้ามเลข 55 มันฟังแล้วเป็นเสียงหัวเราะ ‘ฮ่าฮ่า’
ปกติเป็นคนเล่นเฟซบุ๊ก เราก็ลงภาพของเราไปเรื่อย ก็เหมือนกับบันทึกไดอารี่ แล้วก็จะเขียนเรื่องราวในแต่ละวันที่ประทับใจ ระหว่างสามี ระหว่างลูก หรือระหว่างเพื่อน ตัวเองก็ใส่ผ้าไทย หยิบผ้าผืนเดียวมาแปลงร่างเป็นชุดที่สามารถออกไปข้างนอกได้ มีคนเอาไปรีทวีตในทวิตเตอร์น่าจะเป็นแสนหรือยังไงนี่นะคะ ไวรัลว่ามีผู้หญิงคนนึงแต่งตัวหลากหลาย
[ ประยุกต์ผ้าไทยเป็นชุดใหม่สุดปัง ]
มันอาจจะเกิดอยู่ภาพนึง ฉันใส่ชุดว่ายน้ำปกติ แต่ช่วงนั้นการใส่ชุดว่ายน้ำสำหรับคนแก่ มันอาจจะเป็นสิ่งที่ไม่ค่อยมีคนเห็น มันก็เลยกลายเป็นภาพที่บอกว่า ดูสิผู้หญิงคนนี้เขารักษารูปร่างตัวเอง ในขณะที่วัยตัวเองมากแล้ว เขาดูแลตัวเองอย่างไร ถึงดูแล้วเหมือนคนที่มีสุขภาพกายและใจแข็งแรง ก็เลยกลายเป็นคนๆ นึง ที่มีคนรู้จัก ก็มีคนแอดเป็นเฟรนด์เยอะแยะ
คนที่เวียดนามเอาภาพของเราไปลง ก็กลายเป็นไวรัลที่เวียดนาม แล้วก็น่าจะไปเขมร ไปลาว ไปอเมริกา ไปสิงคโปร์ ไปมาเลเซีย ไปประเทศนู้นประเทศนี้ กลายเป็นไวรัลอีกรอบนึง มันอาจจะเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้หญิงหลายๆ คนลุกขึ้นมาดูแลตัวเอง ลุกขึ้นกล้าแต่งตัว มาทำในสิ่งที่ตัวเองไม่เคยทำ ลองเปลี่ยนมั้ยโดยที่ไม่ต้องกังวลใจ ไม่ต้องกลัวสายตาใคร ไม่ต้องแคร์คำคน เพราะความสุขมันเริ่มจากตัวเราเอง ถ้าเมื่อไหร่ที่เราคิดว่าเราแคร์คำคน ความสุขของเรามันไม่เกิด”
จากไวรัลในวันนั้น นำมาสู่การเปิดแฟนเพจ “SopitChitchat โสภิตชิทแชท” ที่กลายเป็นคอมมูนิตี้เล็กๆ ไว้มาแลกเปลี่ยนประสบการณ์ชีวิต ตลอดจนเป็นที่ปรึกษาปัญหาต่างๆ ให้แก่ลูกเพจ ไม่ต่างกับการเป็นคนในครอบครัว
“วันนึงเราก็ตอบโจทย์ว่า กระแสที่มันแรงขนาดนี้ เฟซบุ๊กเรายังอยากจะเก็บมันไว้เป็นพื้นที่ส่วนตัว ก็เลยแยกออกมาเปิดเพจ “SopitChitchat โสภิตชิทแชท” ฉันจะเป็นผู้หญิงพลังบวก เราเป็นคนที่พยายามส่งความสุขง่ายๆ ให้เขา แล้วเขารู้สึกได้ เขาสัมผัสได้ เขาอยาก keep ส่งเหล่านั้นไว้และเก็บ แล้วบอกตัวเองว่า ฉันต้องทำได้สิ ในเมื่อผู้หญิงคนนึงซึ่งเขาแก่แล้วเขายังมีความสุข เดินตามหาความสุขระหว่างทาง มีหลายๆ คนเข้ามาทักและสอบถาม ทำยังไง ขาเตียงหักอะไรแบบนี้
คนจะบอก คุณโสภิตสุขสบายมาก เห็นลงแต่ภาพสวยๆ ไม่เลย ชีวิตประจำวันต้องไปทำงาน เช้าทำกับข้าว รดน้ำต้นไม้ ออกกำลังกายบ้าง นั่นหมายถึงภารกิจที่ยิ่งใหญ่ของตัวเราเอง ทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์กับงานที่เรามีอยู่
การเล่นเฟซบุ๊กมันก็คงเหมือนปกติทั่วไป เราก็เป็นคนแก่ที่เล่นอะไรไม่เป็นหรอก ลูกสมัครให้หมด ก็ลงไปเรื่อยๆ เรามักจะบอกตัวเองว่า เราเปลี่ยนการบันทึกไดอารี่ในสมุดเล่มนึง ไปเป็นภาพแล้วพิมพ์ตัวอักษร มันมีสี มันเคลื่อนไหวตามความรู้สึกของอารมณ์ การที่วันนึงมีคนมารู้จักเราแล้วรู้สึกชอบในสิ่งที่เราเป็น เรารู้สึกดีใจ
แล้วมันก็เป็นดาบสองคม มันมีดีและต้องมีไม่ดี ก็มีคนที่ไม่ชอบ ‘อายุมากแล้ว ทำไมยังแต่งตัวอย่างนี้’ ‘อายุมากแล้ว ทำไมไม่รักษาหน้าตาของครอบครัว ลูก สามี’ เราก็เลยบอก มันไม่เห็นมีอะไรเลยนะ หรือการมองโลกของเขากับเรามันต่างกัน โลกของฉันมองอะไรสวยงามไปหมด การทำงานฉันก็สวยงาม การดูแลครอบครัวฉันก็สวยงาม”
จากการทำเพจขึ้นมาเป็นพื้นที่แชร์ไลฟ์สไตล์ของตนเองและมอบพลังบวก ก็กลายเป็นแรงบันดาลใจให้คนอื่นๆ ที่ได้พบเห็นไปด้วยโดยไม่ตั้งใจ
“ต้องขอบคุณที่มีคนชอบ และมีคนอยากจะลุกขึ้นมาดูแลตัวเอง คุณแม่เองอาจจะเป็นคนที่กึ่งสมัยใหม่ การที่เป็นอินสไปเรชันให้อีกหลายๆ คน ดิฉันภูมิใจมาก และลูกก็ภูมิใจแทนแม่ สามีเขามีแต่รอยยิ้ม นั่นแสดงว่าเขาคงภูมิใจในตัวเรา เพราะว่าสิ่งที่เราทำมันเป็นตัวตนของเรา แล้วมันเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คนลุกขึ้นมากล้า กล้าที่จะทำ กล้าที่จะแต่ง เพราะว่าตัวเองจะบอกเพื่อนๆ ไปไหนแล้วชอบพูดคำว่า ‘เสียดายจังเลยรู้งี้วันนี้ฉันแต่งอย่างนี้’ แล้วทำไมไม่แต่ง
สังเกตมั้ยคุณโสภิตจะเครื่องประดับเยอะมาก ต่างหู แหวน สร้อย ดิฉันมีความรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งละอันพันละน้อย ฉันชอบจังเลย ฉันละมุนกับมัน อาจจะเป็นของราคาถูกแต่ฉันให้ค่ากับมัน แต่งตัวเรียบร้อยเป็นมั้ย เป็น แต่งได้มั้ย ได้ การที่จะแต่งตัวอะไรซักอย่าง ฉันไม่รู้หรอกว่ามัน Mix & Match มั้ย แต่มันทำให้ชีวิตมีสีสัน
แล้วเมื่อตอนที่ตัวเองยังเป็นวัยรุ่นตัวเองก็แต่ง ไม่ใช่มาแต่งตอนที่มีคนรู้จัก แต่งก่อนที่จะคบกับสามีด้วยซ้ำ สามีบอกรักที่ภรรยาเป็น มันบอกคาแรกเตอร์ตัวเอง เป็นผู้หญิงที่ไม่นิ่ง ไม่เรียบร้อย ฉันแต่งงานฉันก็ไม่ต้องเปลี่ยน ฉันมีลูกฉันก็ไม่ต้องเปลี่ยน ฉันเป็นตัวเอง ใช้ชีวิตแบบไม่ต้องเกร็ง ไม่ต้องกังวล ครอบครัวเห็นด้วย ไม่รู้สึกว่าแม่และเมียเหมือนคนผิดปกติ”
คุณแม่โสภิต กล่าวต่อว่า ชีวิตทุกวันนี้ดำเนินไปได้ ก็เพราะเลือกที่จะนำความสุขของตัวเองมาเป็นตัวตั้ง อีกทั้งยังย้ำว่า เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย ไม่ได้เป็นตัวชี้วัดคุณค่าของแต่ละคน
“สิ่งสำคัญสำหรับชีวิต เราเติมเต็ม เราชอบการแต่งตัว มันให้เราสดชื่น มันให้เรามีรอยยิ้ม ผู้หญิงเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ ไม่มีใครไม่ชอบไม่สวย มันอาจจะแตกต่างที่ว่าฉันอายุมากแล้ว ทำไมไม่อยู่บ้านเลี้ยงหลาน ทำไมไม่เข้าวัดเข้าวา แต่ละคนมีเส้นทางชีวิตและความคิดไม่เหมือนกัน
คุณแม่เองชอบแบบนี้ คุณสามีไม่ได้ว่า ลูกไม่ได้ว่า เพราะแม่ยังคงทำตัวของแม่ดีทุกหน้าที่ เป็นแม่ เป็นเมีย และทำงานสมบูรณ์ ดังนั้นเรื่องนี้เป็นส่วนประกอบเล็กๆ เองในชีวิต แต่มันทำให้เรามีพลัง ลุกขึ้นมา เวลาเขาไปเที่ยวกันเพื่อนนัด มีธีม กระตือรือร้น โลกมันเปลี่ยนไป มันมีการถ่ายรูป มีเช็กอิน แล้วก็เซฟเก็บไว้ เวลาย้อนกลับมาดูเป็นอัลบั้ม
สมัยก่อนมันเป็นกล้องฟิล์ม ล้างไม่ดีมันก็หายไป ฉันอายุ 60 แล้ว ไม่รู้จะอายุยืนนานแค่ไหน ลูกหลานก็อาจจะเก็บ ดูแม่ฉันสิ ดูยายสิ ดูย่าสิ มันมีเรื่องเล่าไง เพราะว่าฉันเองเมื่ออดีต ก็ยังเล่าเรื่องแม่ของตัวเองให้ลูกฟังเลย วันนึงมันก็ถ่ายทอดเรื่องราว ลูกภูมิใจในตัวเราลูกก็จะมีเรื่องเล่าให้ลูกๆ เขาฟัง เท่านั้นเอง
ถามว่า มีอะไรที่บกพร่องมั้ย การแต่งตัวไม่ได้ทำให้ชีวิตบกพร่อง ถ้าเมื่อไหร่คนมองภาพลักษณ์ภายนอกอย่างเดียว คุณติดลบทางความคิดแล้ว ความสวยงามมันมีส่วนประกอบหลายๆ อย่าง พูดเพราะ พูดดี แต่งตัวดี ไม่ได้หมายถึงต้องใส่ข้าวของแพงๆ ฉันให้เกียรติสถานที่ที่ฉันไป ฉันเคารพคน
ฉันอาจไม่ถูกใจทุกชุด ฉันอาจจะไม่ถูกใจหลายๆ อย่าง แต่ฉันเลือกและฉันตัดสินใจว่าความสุขที่ฉันทำ มันเป็นช่วงเวลาที่เหลือของชีวิต ฉันเลือกที่จะเติมเต็มให้ตัวเอง เพราะว่าฉันขาดมันเมื่อตอนที่ฉันยังเป็นเด็ก วันนึงที่ฉันโตแล้ว ฉันมีปัจจัยบางอย่างที่ฉันทำให้ตัวเองได้ ฉันก็เลยเติมเต็ม”
สุขภาพดี-หุ่นสวย ด้วย “น้ำผักปั่น”
นอกจากความมั่นใจในการแต่งกายแล้ว อีกประเด็นที่สาวใหญ่วัย 60 ปีผู้นี้ถูกพูดถึง นั่นก็คือ รูปร่างและผิวพรรณที่ไม่ต่างอะไรกับสาวๆ ซึ่งเธอได้เผยถึงเคล็ดลับสุขภาพดีจากภายใน มาจาก “น้ำผักปั่นสูตรเฉพาะ” ที่ดื่มต่อเนื่องมาเกือบ 20 ปี
“จะมีคนคอมเมนต์เยอะนะ คุณแม่ผิวสวยจัง คุณแม่ดูผิวแข็งแรงจัง เราคงดูแลมาจากข้างใน เรากินน้ำผักปั่นมา 19 ปี เรากินวิตามินที่เป็นผักผลไม้ สูตรน้ำผักก็จะมีขึ้นฉ่าย แอปเปิล เสาวรส มะนาว ผักกาดหอม มะเขือเทศ หอมใหญ่ น้ำผึ้ง น้ำเปล่า บางคนบอกแยกส่วนแต่ละอย่างออกมาแล้วไอ้นู่นก็เหม็น ไอ้นี่ก็เหม็น แต่ก่อนกินแล้วไม่อร่อยหรอก ปรับสูตรจนอร่อย
เคยเป็นภูมิแพ้ เป็นคนแพ้พัดลม แพ้ผมตัวเอง น้ำมูกใสๆ จะไหลตลอดเวลา ต้องม้วนทิชชูเป็นหลอดแล้วเสียบเอาไว้ จะคันลูกตา ภูมิแพ้ต้องหาหมอ แพ้เมื่อไหร่ก็กินยา แต่ฉันกิน (น้ำผักปั่น) มาเรื่อยๆ แล้วภูมิแพ้ฉันหายไป ไม่ต้องกินยา ที่เราเป็นผิวใต้ตาคล้ำๆ ก็หาย ภูมิแพ้ก็หาย เป็นริดสีดวงทวาร ท้องผูกก็หาย มีช่วงนึงคุณแม่ไม่กิน ภูมิแพ้มันกลับมา ก็กลับมาทำใหม่ มันเห็นผลจริงๆ ชีวิตก็ดีขึ้นตามลำดับ เรารู้สึกว่าผลเสียเราไม่เกิด มันมีแต่ผลดี
มันเลยเป็นเรื่องดีสำหรับชีวิตตัวเอง แล้วเป็นคนที่ทาผิว บำรุงผม มันไม่ได้เยอะ เราทำมาตั้งแต่ที่เราเป็นสาว การที่เราทำตรงนั้นมันอาจจะมาจากพี่สาวเราทำ เราก็จำแล้วก็ทำจนเกิดความเคยชิน ก็กลายเป็นชีวิตประจำวันที่เราจะต้องทำ
คนบอกว่าอะไรก็ตามที่กินเยอะเกินไปไม่ดีต่อสุขภาพใช่มั้ย ตัวเองไปตรวจสุขภาพทุกปี ไม่มีอะไรเป็นลบ เราแค่ล้างให้สะอาด กินให้เหมาะสม มันเป็นการบำรุง มันเสริมสร้างซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ มันให้วิตามิน ต่อต้านอนุมูลอิสระ มันส่งผลในวันที่คุณแก่ตัว เป็นคนที่ป่วยน้อยมาก ทำงานหนักก็แค่ปวดตัวนิดๆ หน่อยๆ อย่างอื่นไม่เป็นเลย”
สำหรับดูแลรูปร่างในวัยนี้ โสภิต เปิดเผยว่า ตนเองใช้วิธีการยกดัมเบล ซึ่งวิธีนี้ก็ทำให้ได้กล้ามท้องมาเป็นของแถมด้วย
“ปกติเป็นผู้หญิงบ้าพลัง ทำอะไรเร็วมาก พออายุมาก เดี๋ยวนี้ทำอะไรให้มันช้าลงตามอายุ เพราะเหตุผลเรากลัวล้ม ถ้าเราล้มกระดูกมันไม่สมานเหมือนเดิม เราเห็นอาม่าหรือแม่เราเป็น เรารู้สึกว่าไม่อยากแก่อย่างนั้น ก็ควรที่จะต้องรักตัวเองมากขึ้น ถนอมร่างกายมากขึ้น ใช้มันให้น้อยลง ทุกวันนี้ก็ยังคงทำงาน แต่ก็น้อยลงกว่าเดิม
เราไม่เคยหักโหมกับการออกกำลังกาย เราทำงาน เวลาของเรามีน้อย อยู่บ้านเราจะเล่นเวลาไหนก็ได้ คุณแม่ก็ดัมเบลข้างละร้อย แรกๆ มันก็หนักนะ 2 กิโล ทำไปเรื่อยๆ เรารู้สึกว่ามันมีเส้น ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะมีกล้ามท้องจริงๆ ช่วงหลังก็มาเล่นลูกกลิ้ง เหนื่อยเอาเรื่องเหมือนกัน
สิ่งที่ตัวเองทำมันส่งผลต่อสุขภาพ สิ่งที่เราได้มาจากสิ่งที่เราเป็น มันคือผลพลอยได้ มันคือสิ่งที่เราไม่รู้ว่าเราจะได้มา แล้วทำงานหนักมากอยู่โรงงาน เดินเยอะมากต่อวัน ส่วนนึงการเดินตรงนั้นคือทำงาน แล้วอีกส่วนนึงเป็นการออกกำลังกาย ลากของหนักมาก ยกของหนักมาก มันก็เลยทำให้ตัวเองปรับตัว รู้สึกตัวเองแข็งแรง”
ขณะที่อาหารการกินนั้น ก็ไม่ได้เคร่งกับตนเองมาเกินไป แต่ก็ไม่ได้ตามใจปากเสียทีเดียว
“สิ่งต่างๆ ถ้ามันเป็นโทษ แล้วเรารู้ว่ามันไม่ดีก็กินให้มันน้อยลง ไม่กินเลยมั้ย ไม่ เพราะแต่ก่อนฉันไม่มีเงินที่จะซื้อ เดี๋ยวนี้ฉันพอซื้อได้ ลูกซื้อมาให้บ้าง สมัยก่อนดิฉันซื้อช็อกโกแลตเป็นกล่อง 2 วันหมดกล่องใหญ่มาก เดี๋ยวนี้ 2 เดือน เราไปตรวจหมอบอกว่า คุณโสภิตน้ำตาลในเลือดเยอะ ไขมันในเลือดเยอะ ระวัง
คุณอยากจะมีชีวิตอยู่แบบไหน เพราะเราแก่แล้ว เราก็ลดไม่ใช่ไม่ลด อะไรที่ไม่ดีก็ลด ไม่ดื้อ ไม่หัวชนฝาหรอก ถ้าเราคิดว่าเรากินเพื่อตามใจปาก ตามใจอารมณ์ มันส่งผลนะ แต่ถ้าคุณมีความสุขคุณทำไปนะคะ ไม่มีใครห้าม คุณแม่มาแล้ว น้ำตาลในเลือดสูง ไขมันสูง เห็นผอมๆ แล้วสูงได้ยังไง ก็เพราะฉันกินในสิ่งที่ไม่ควรกินไง เราก็แค่ลดลง ไม่เลิก
อย่าคิดว่า การเป็นคนผอมแล้วจะไม่มีน้ำตาลในเลือดสูง ไม่มีไขมันในเลือดสูง มีนะคะ ซึ่งอันตรายเพราะมันเป็นที่มาของเบาหวาน โรคหัวใจ ความดัน โรคเหล่านี้มันเกิดจากสิ่งที่เราสร้าง เราเห็นคนข้างๆ เราเป็น เราไม่อยากเป็นอย่างนั้น
เปลี่ยนพฤติกรรมอะไรบ้าง เขาบอกว่า ไม่ให้กินสัตว์ปีก ฉันชอบกินเป็ดกินไก่ก็ยังคงกินนะ แต่ไม่ได้กินประจำ นานๆ กินที คุณขาแก่ขนาดนี้ ไอ้นู่นก็ไม่ได้ ไอ้นี่ก็ไม่ได้ ชีวิตจะอยู่ไปเพื่ออะไร จะกินตอนไหน ตายแล้วเขาไหว้เราเหรอ ไม่เอาหรอก
ดูแลตัวเองไปเรื่อยๆ เรารู้สึกว่าอายุ 60 แล้ว เรายังอยากอยู่บนโลกในนี้อีกนานๆ เราอยากอยู่กับสามีเรา อยากอยู่กับลูกเรา เราก็เลยดูแลสุขภาพมากขึ้นกว่าที่เราเคยเป็น ด้วยการรักร่างกาย เพื่อคนที่เรารัก ลูกและสามีเป็นคนที่ให้กำลังใจเสมอ”
นอกจากนี้ สาวใหญ่สุดเปรี้ยวยังเปิดเผยแก่ผู้สัมภาษณ์อีกด้วยว่า ตนเองศัลยกรรมส่วนไหนในร่างกาย?!
“ในใบหน้าของตัวเองไม่ได้ทำเลย สิ่งที่ตัวเองทำมีก็คือหน้าอก เพราะตอนที่ดิฉันเป็นสาว ฉันมีเต็มมาก แล้วเรามีลูกเราไม่ใส่เสื้อในนอน มันก็จะหายไป แล้วดิฉันเป็นคนแต่งตัว ใส่ไปเถอะซ้อน 2-3 ชั้น มันก็เป็นอะไรที่น่ารำคาญใจ เราก็ช้อนแล้วช้อนอีก มันหายไปไหน ความมั่นใจของชีวิตมันก็เปลี่ยนแปลงไป คุณสามีน่ารักมาก ที่ได้มาเพราะคุณสามีจ่ายให้ทั้งหมด ความเต็มก็กลับมา แต่ทำในไซส์ที่ตัวเองเคยมีเท่านั้นเอง ทำมาประมาณ 7-8 ปีแล้ว
เลือกเฉพาะที่เหมาะกับตัวเอง ถามว่าไม่ทำได้มั้ย ไม่ทำก็ได้ แต่ฉันนอนแล้วเหมือนกับไม่มีอะไรแล้ว ที่เคยมีมันหายไปไหนไม่รู้ สิ่งสำคัญไม่ได้แค่นั้น ผู้ชายคงรู้สึก แค่บอกคุณไปทำได้ เราก็กลัวมาก คุณสามีพาไป ทุกอย่างจัดการให้หมด หาสิ่งที่ปลอดภัยให้กับเรา หาสิ่งดีๆ ให้กับเรา ตอนแรกเจ็บจะเป็นจะตาย พอ 3 วันผ่านไป รู้งี้ทำตั้งนานแล้ว (หัวเราะ)”
เคล็ดลับครองรัก 33 ปี อย่าคิดว่า Sex ไม่สำคัญ!!
หากใครได้ติดตามแฟนเพจ “SopitChitchat โสภิตชิทแชท” อีกเรื่องราวที่แฟนๆ มักจะได้เห็นกันบ่อยๆ ก็คือ โมเมนต์ความน่ารักของครอบครัว โดยเฉพาะชีวิตคู่ของเธอและสามี ที่ครองรักกันมาอย่างยาวนานกว่า 3 ทศวรรษ
“เราอยู่มาด้วยกันจะ 33 ปี ชีวิตของเราผ่านการลำบากมาเยอะมาก มีคนบอกว่าไม่เหมาะกันเลย 2 คนนี้ ไปกันไม่รอด ผู้ชายก็ดูแบด เราก็บอกไม่ต้องกังวลใจ ถ้าฉันเลือกแล้วผิด ฉันจะไม่โทษใคร ไม่เคยฟูมฟาย เราทะเลาะกันน้อยมาก เพราะว่าทะเลาะไปแล้วบ้านก็มาคุ ลูกก็ไม่มีความสุข พอยิ่งอายุมากขึ้น ความใจเย็นมันก็มีมากขึ้นเรื่อยๆ
ตัวเองจะเป็นคนที่มีความสุขมากกับการหยอกผัว สามีก็มีความสุขมากกับการแกล้งเมีย กอดกัน หอมกัน ลูกซึมซับ กอดพ่อกอดแม่ เวลาคุณท้อหรือขาดอะไรไป คุณก็มีไออุ่นตรงนี้ให้ มีคนข้างๆ อยู่เคียงข้างคุณ
เหมือนสามีขาดเราไม่ได้ เราก็ขาดสามีไม่ได้ เราต่างเป็นลมหายใจของกันและกัน เราต้องรักตัวเอง ดูแลตัวเองให้มีสุขภาพที่แข็งแรงเพื่อจะอยู่กับเขาไปนานๆ เราไม่รู้หรอกว่าจะได้นานแค่ไหน เราทำให้มันได้นานที่สุดเท่าที่เราจะทำได้”
[ ครองคู่กว่า 3 ทศวรรษแต่ความหวานไม่เคยจาง ]
คุณแม่โสภิต เล่าย้อนกลับไปสมัยตนเองสาว ที่ต้องบอกว่าเปรี้ยวเข็ดฟันไม่ต่างอะไรกับตอนนี้ ขณะที่สามีในตอนนั้น ก็เป็นหนุ่มนักดื่มนักเที่ยว ทั้งคู่ตัดสินใจคบหากันท่ามกลางเสียงคัดค้านจากคนรอบข้าง ที่สบประมาทไว้ว่า คงไปกันไม่รอด แต่สุดท้ายก็ฝ่าฟันอุปสรรคมาได้ และมีครอบครัวที่พร้อมหน้าอบอุ่นอย่างในปัจจุบัน
“เราเป็นผู้หญิงแต่งตัว สามีเป็นคนเที่ยว กินเหล้าทุกวัน ฉันก็ไม่ดื่ม เราเจอกันครั้งแรกไปเที่ยวกัน คุณโสภิต ใส่เสื้อข้างหลังลึกเป็นวีถึงเอว โนบรา รู้กันจะจะไปเลยว่าคุณกับฉันเป็นคนแบบไหน การแต่งตัวไม่ได้หมายถึงว่าคุณจะเป็นผู้หญิงไม่ดี ไม่เหมาะเป็นแม่ของลูก ตอนที่มาจีบกัน คนก็จะมองว่าเป็นแบดๆ ความสำอางของการแต่งตัว ไม่มีการล่วงเกินค่ะแค่จูงมือกัน
คนอื่นจะบอกเธอไม่เหมาะกัน อะไรที่มันแรง มันจะอยู่ด้วยกันไม่ได้ แต่เราอยู่แล้วเรามีความสุข เราเห็นภาพที่เขาใส่รองเท้าให้แม่เรา รู้สึกเลยว่าผู้ชายคนนี้จะเป็นพ่อที่ดีและเป็นสามีที่ดีของเรา สิ่งที่เขาทำเสมอต้นเสมอปลาย แล้วยิ่งมีมากขึ้นเรื่อยๆ เราคิดว่า เราพร้อมที่จะปักหลักกับเขา การแต่งงานก็เกิดขึ้น
จริงๆ แล้ว คนที่ภาพลักษณ์ดูแบดบอย คุณเชื่อมั้ยเขาโรแมนติกนะ ผู้หญิงหลายๆ คน ชอบคนโรแมนติก ผู้ชายหลายๆ คน ก็ชอบผู้หญิงที่เทกแคร์ดูแล อ่อนโยน การพูดจาไพเราะ ดาร์ลิงขา ขอบคุณค่ะ มันดูดัดจริต แต่คุณเชื่อมั้ย มันเป็นเสน่ห์นะ ลงมือทำ อย่าไปเสียงแข็ง อย่าไปใช้สายตา อย่าไปใช้อารมณ์
ทะเลาะกันมั้ย เรื่องมือที่สามไม่มี มีแค่อารมณ์ มันก็มีปัญหานะคนเราทำงาน ความเครียดมันมี อารมณ์ สีหน้า ก็เป็นเรื่องธรรมดา แล้วเราก็ผ่านมันมาได้ ผ่านจากวันที่เราไม่มี วันที่เราสาหัสสากรรจ์ จะล้มเราก็พยุงกันเดินมา วันนี้เราก็เดินกันอย่างแข็งแรงทั้งกายและใจ เชื่อมั้ยตั้งแต่สมัยสาวๆ เขาก็จูงมือเรา เปิดประตูรถให้เราทุกครั้ง วันนี้เขาก็ยังทำเหมือนเดิม”
นอกจากนี้ เธอยังเปิดเผยถึงเรื่องราวความสัมพันธ์สุด exclusive ที่เรียกว่าบุกถึง “ใต้เตียงโสภิต” กันเลยทีเดียว!!
“เพื่อนจะบอกว่า ให้ทำตัวเหมือนผู้หญิงที่เขาจัดจ้านบนเตียงนอน ถามว่าจัดจ้านบนเตียงนอนยังไง เอาเป็นว่าทำให้มันเต็มที่ อย่าคิดว่าเรื่องเพศสัมพันธ์ไม่สำคัญ สำคัญนะ เราอยู่กันอย่างเป็นสามีภรรยาไม่ใช่อยู่กันอย่างเพื่อน เพื่อนไม่ต้องมีอะไรกันสิ เพียงแต่ว่าเราจะมีมากขนาดไหน เราคุยกันได้เรื่องพวกนี้ ยิ่งแก่เราก็ยิ่งไม่ไหวตามอายุ ถ้าเราจะเลิกเลย เราจะต้องตอบโจทย์ว่า แล้วเขาไปหาเศษหาเลย เราให้เขาได้มั้ย ถ้าเราให้เขาได้เราก็จบ ใช้ชีวิตแบบปกติไป แต่ถ้าเรารับไม่ได้ ต้องคุย
เมื่อสมัยก่อนคุณแม่เคยมีปัญหาชีวิตคู่ คิดว่ามันไม่สำคัญ เพราะความรักของฉันสำคัญมากแล้ว เราผิดปกติ 3-4 เดือน คุณไม่สะกิดฉันก็ได้ สุดท้ายต้องไปหาหมอ เรื่องฉันไม่ยอมไง แต่งตัวแรงอย่างเดียวอย่างอื่นห่วยแตก ห่วยขั้นเทพ ถามว่าดีขึ้นมั้ย คุยกันมันก็จะดีขึ้น ทุกอย่างมันมีทางออก ทุกอย่างมันมีตัวช่วย เราต้องหาทางพูดคุยแล้วจูนเข้าหากัน
ต้องจัดจ้านขนาดไหนผู้ชายถึงจะพอใจ ฉันไม่รู้ เอาเป็นว่าเมื่อเขาสำเร็จ ฉันว่าฉันจบ หน้าที่ของฉัน ภารกิจฉันจบ ต้องทำให้จบ มันจะนานแค่ไหน ความอดทนคุณต้องมี (หัวเราะร่วน)
เคยถามสามีว่า รักหนูตรงไหน ตอบมาโป๊ะเชะ เพราะหนูกระแดะไง หนูเป็นผู้หญิงมีจริต ลูกก็เห็นหม่ามี้อยากจะเต้นก็เต้น ชีวิตมันมีสีสัน มันทำให้ชีวิตมันเฟรช มันสดชื่น มันหลับไปแล้วพรุ่งนี้ยังอยากมีชีวิตอยู่ เพราะว่าเรามีสิ่งดีๆ ที่อยู่ข้างเรา”
เมื่อถามว่า อะไรคือสิ่งสำคัญที่ทำให้ชีวิตคู่ยืนยาวมาจนถึงทุกวันนี้ แถมยังทวีความหวานมากขึ้น หญิงวัย 60 กระรัต ให้คำตอบว่า การให้เกียรติกันทั้งต่อหน้าและลับหลัง
“ขาเตียงที่หักบางครั้งก็เป็นส่วนหนึ่งจากตัวเรา รักกันมานาน อยู่มานาน อยู่มาได้ แล้วทำไมวันนี้อยู่ไม่ได้ เพราะเขาไม่อยากทนแล้วไง คุณสามีไปไหนไม่เคยตาม ไปกับเพื่อนฉันไม่ไป เพราะคอเหล้าคุยกันฉันจะไปอยู่ทำไม ไปนั่งให้ยุงกัดทำไม อารมณ์ฉันก็เสีย กลับมาก็ทะเลาะกัน ฉันไปกับเพื่อนผู้หญิงเขาก็ไม่ตามฉัน ไม่โทร.จิก ถามแค่อยู่ไหนแล้วคะ กลับมาเขาก็มาหอมแก้ม คิสกู๊ดไนต์เรา เราอย่าไปวาดภาพว่าเขาอย่างนู้นอย่างนี้ แล้วหาเรื่องมาทะเลาะ
เมื่ออายุมากขึ้น คิดมองวันข้างหน้าว่ามันมีอะไรที่ต้องทำ การให้อภัยให้บ่อยๆ มันก็ไม่ดี ก็อย่าทำให้มันเกิดเท่านั้นเอง ผิดก็ขอโทษเลยค่ะ พูดไปไม่ต้องกลัวเสียฟอร์ม ไม่ต้องกลัวเสียหน้า เขาทำดีเราก็ขอบคุณ เรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่คนบางคนอาจจะลืมคำว่าขอบคุณและขอโทษ
การให้เกียรติกันสำคัญมากสำหรับชีวิตคู่ เวลาคุณไปข้างนอกอย่าไปตวาดเขา อย่าไปชักสีหน้าต่อหน้าคนอื่น อย่าไปข่มเขาต่อหน้าคนอื่น เพราะสิ่งเหล่านั้นเป็นการไม่ให้เกียรติคนที่มาด้วย และอย่าปล่อยให้เขาอยู่คนเดียว ไม่ใช่วันๆ ออกไปตะลอน ปล่อยเขาหากินเอง วันนึงเขาอยู่คนเดียวจนเคยชิน เขาเคยชินโดยไม่มีเราก็ได้ เราจะให้โอกาสให้เรื่องราวเหล่านี้มันเกิดขึ้นกับชีวิตเราหรือ เราไม่กล้า เราต้องรู้จักคำว่าเกรงใจ และรู้จักคำว่า อยู่กันอย่างไรให้เขารู้สึกว่าคุณคือคู่ชีวิต
เราเริ่มต้นจากความรักเป็นตัวตั้ง เราจูงมือกันมาตลอดเส้นทาง คุณสามีก็ปรับตัวเอง ตัวเองก็ใช่ว่าจะมีข้อดีไปซะหมด แต่ทุกเส้นทางของเราที่ไปไหนด้วยกัน เราเป็นเงาของกันและกัน การที่ฉันโชคดี เขาเห็นคุณค่าเขาถึงรักฉัน ไม่ใช่จู่ๆ ฉันเป็นสายวีน สายด่า ไม่ พูดเพราะมาก มันเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่มันละมุน มันให้ความอบอุ่นผ่านภาษา ผ่านคำพูดที่บอกว่า มันยังเหมือนเดิม รักเราไม่เคยเปลี่ยนแปลง ยิ่งนานวันเรายิ่งรักกันมากขึ้น เพราะเวลาที่เหลืออยู่ของเรามีน้อย จริงมั้ยคะ”
ทายาททั้งสาม ความภูมิใจของแม่
นอกจากเป็นภรรยาคนสวยของสามี เธอยังเป็นคุณแม่สุดแซ่บของลูกทั้งสาม โดยทั้งหมดเติบโตมาอย่างมีคุณภาพ และมีสไตล์การแต่งตัวที่ชัดเจนไม่แพ้คุณแม่แม้แต่น้อย
“ลูก 3 คน ดิฉันภูมิใจมาก เพราะดิฉันเป็นแม่ที่เปรี้ยวเข็ดฟันมาก ลูกคุณภาพนะคะ ลูกคนโตทำงานอยู่อเมริกา ได้ Work Permit จบเกียรตินิยม ลูกคนที่ 2 เรียนในสิ่งที่พ่อต้องการ มาคุมกิจการ ทำต่อ ลูกคนเล็กจบเกียรตินิยมอันดับ 1
ทุกวันนี้เวลาไปไหน พี่น้องเลี้ยงลูกดีมาก มันเป็นคำชม ร้อยคนที่รู้จักเราจะเป็นร้อยคนที่ชมเรา เราอาจจะแตกต่างแค่คาแรกเตอร์ หรือการแต่งกาย ลูกเรา 3 คน แต่งตัวมากทุกคน คนละแบบ คนละแนว แล้วมันลงตัว เอาเสื้อผ้าหม่ามี้ใส่แล้วเอาเสื้อผ้าลูกก็ได้ เสื้อผ้าเมื่อฉันสาวๆ ยังอยู่ ลูกหยิบมาใส่ วงเวียนชีวิตมันก็กลับมาเหมือนเดิม แต่สิ่งที่มีคือศิลปะร่วมกัน ศิลปะทำให้คนอ่อนโยน บอกถึงจิตใจคน
[ ลูกไม้ความแซ่บหล่นไม่ไกลต้น ]
เราสั่งสอนลูกตลอด สมัยก่อนผิดก็ตี เราบอกลูกเสมอว่า เราทำงานเหนื่อย ลูกจะไม่มียุ่ง ทุกคนก็จะโอเคไม่ดื้อ แล้วพี่ก็จะเป็นต้นแบบที่ดี ความสุขในครอบครัว เราหยดให้เขาทุกวัน เราให้ความรัก วันไหนที่เรามีเวลา แต่ก่อนเราไม่ได้มีอะไรมากมาย แต่สิ่งที่ลูกต้องการ เราให้ลูกไม่ได้ เราก็ชดเชยด้วยความรัก
วันนี้เขาเห็นทุกหยาดเหงื่อแรงงาน เขาใช้จ่ายเขารู้ตัวเอง มีแบ่งสรรปันส่วน แล้วมีความสุขมากเพราะลูกให้เราบ้าง คือตอบแทนความรัก ไม่ทำให้เราเสียใจ วันไหนที่ทำให้เราเสียใจลูกจะรู้สึกผิด ขอโทษ กอดเรา เราก็รู้สึกว่ามันไม่เห็นจะผิดตรงไหน ไม่เป็นไร คำขอโทษอย่าใช้พร่ำเพรื่อเพราะหนูไม่ได้ผิด เท่านั้นเอง”
คุณแม่วัยเกษียณอธิบายต่อว่า อายุเท่าไหร่ก็ไม่สำคัญ อย่าอายที่จะพูดคำว่า “ขอบคุณ” และ “ขอโทษ”
“บ้านเราใช้กันเยอะนะคะ ขอบคุณ ขอโทษ เพราะสิ่งเหล่านั้นอย่าใช้แค่กับคนข้างนอก คนในบ้านคุณควรจะทำ ต่างคนต่างมีความอ่อนไหว จริงๆ แล้วตัวเองก็ไม่รู้หรอกว่าคำว่าขอโทษควรจะใช้เมื่อไหร่ จะรู้แต่ว่าฉันขอโทษเพื่อน ฉันขอโทษคนหลายๆ คนให้ลูกฉันเห็น วันนึงแม่ไม่รู้ตัวว่าแม่ผิด เพราะแม่คิดเสมอว่า แม่ต้องถูกเสมอ พ่อจะบอกว่า หม่ามี้ต้องถูกเสมอ อย่าเถียงหม่ามี้ ลูกก็รู้สึกว่าทำไมผิดแล้วพูดไม่ได้
วันนึงที่เราเปิดใจคุยกัน ลูกก็รู้สึกว่าลูกทำให้แม่เยอะแยะ ลูกไปตามถ่ายรูปให้ไปธุระกับเรา ถ่ายให้เพื่อนๆ ขับรถให้แม่ แม่ไม่เห็นขอบคุณเลย เห็นขอบคุณเพื่อนทุกคน เออเนอะ จริงๆ แล้วเราละเอียดอ่อนกับคนอื่นแล้วทำไมไม่ละเอียดอ่อนในบ้าน ทำไมเราทำไม่ได้ เป็นแม่ขอบคุณลูกไม่ได้เหรอ ได้สิ เพราะเขาทำสิ่งดีๆ ให้เราภูมิใจ เราต้องชื่นชมและยินดี มันเป็นน้ำหล่อเลี้ยงความรู้สึก คือการตอบแทนสิ่งที่เขาทำให้คือคำว่าขอบคุณ
ตัวเองไม่เคยกอดพ่อเลย เพราะว่าเป็นลูกคนจีน วันนึงพ่อป่วยหนักจะเสียชีวิต เพิ่งกอดพ่อ แล้วเป็นไง มันได้อะไรไม่ทำตอนที่เขามีชีวิตอยู่ เรามีลูกเราทำกับลูกเรา ความรักความผูกพันเกิดจากการถ่ายทอด สัมผัส โอบกอด บอกรักไม่ต้องเคอะเขิน คุณบอกเราไม่ใช่ฝรั่งทำไมต้องทำ แล้วทำไมต้องให้ฝรั่งทำล่ะ ทำไมเราทำไม่ได้ ไม่เห็นมีอะไรน่าอาย อยากหอมแก้มสามี หอม อยากกอด กอด ลูกเหนื่อย ลูกกลับมาเรากอดลูก เราขอบคุณลูก ในวันที่มีปัญหายังมี 2 มือนี้โอบกอดคุณ”
ทั้งนี้ ปัญหาที่ผู้ใหญ่วัยนี้หลายคนต้องเผชิญ นอกจากสุขภาพกายแล้ว สุขภาพใจก็เป็นอีกสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม ซึ่งการมอบความรัก ความเอาใจใส่จากคนครอบครัว จะเกราะป้องกันใจชิ้นสำคัญ ที่ช่วยให้ผู้สูงอายุเอาชนะโรคทางใจได้
“ตัวเองจะไม่ค่อยน้อยใจ เพราะปล่อยวาง การน้อยใจของเราเล็กๆ น้อยๆ เราก็มองว่าไม่ใช่เรื่อง แต่ก็มีเพื่อนบางคนขี้น้อยใจ ลบมันเถอะ เหมือนกันคนในครอบครัว ลดเถอะเดี๋ยวลูกไม่อยากอยู่กับเรา เราต้องคิดข้อเสียแล้วไม่ทำให้มันเกิดขึ้น
ผู้ใหญ่เป็นโรคซึมเศร้ากันเยอะมาก กลัวการถูกทอดทิ้ง กลัวโดดเดี่ยว กลัวไม่มีคนรัก กลัวเป็นคนไร้ค่า ความกลัวมันเกิดขึ้น เพราะเขารู้สึกว่าเขาเคยทำ เขาทำไม่ได้ เขาเหมือนไม่มีตัวตนในพื้นที่ตรงนั้น รู้สึกว่ามันเศร้าหมอง ตีกรอบอยู่ในห้องคนเดียว ทำอะไรคนเดียว โดดเดี่ยว โลกส่วนตัวสูงมันดีถ้าคุณคิดว่าคุณมีความสุข มันจะไม่ดีเลยถ้าคุณคิดว่าคุณถูกทอดทิ้ง
ฉันมีคนรอบข้างเป็นเยอะมาก โรคซึมเศร้ามันเกิดจากจิต สิ่งเหล่านั้นมันกดเข้าไปเจ็บหัวใจ แล้วคุณรู้ว่าเมื่อคนแก่เป็นอย่างนี้ ลูกๆ หลานๆ ผู้ใหญ่ หรือเพื่อนๆ ให้ความรักความอบอุ่นเขา แล้วคุณอย่าไปบอกว่าทำไมเป็นคนแก่ที่งี่เง่า คนแก่งี่เง่าก็มีและน่ารักก็มี เขาอาจจะเรียกร้องความสนใจ แต่เขาอาจจะมีปมในใจ เขาอาจจะมีใครซักคนที่พูดและกอดเขา
โรคซึมเศร้ามันหายได้จริงๆ ถ้าเราร่วมกันรักเขา และเขาต้องยอมรับที่จะเปลี่ยนแปลง อะไรที่ไม่ดีก็วางลง ปรับและเปลี่ยนตัวเอง โรคเหล่านี้มันก็จะน้อยไปเรื่อยๆ โรคซึมเศร้าเป็นแล้วหายได้ ถ้าเป็นหนักต้องไปหาหมอ”
เมื่อบทสนทนาดำเนินมาถึงตอนสุดท้าย คุณแม่โสภิต กล่าวถึงชีวิตในวัย 60 ปี ที่ยังมีอะไรให้เรียนรู้ต่ออีกมากมาย และที่สำคัญ “อย่าหยุดเพราะคำว่าแก่”
“อายุ 60 แล้ว เรียนรู้อะไรในชีวิตมา เรียนรู้การล้มลุกคลุกคลาน จะไม่ให้มันเกิดขึ้นอีก มันมีประสบการณ์ มีบทเรียนเยอะแยะในชีวิต บทเรียนไหนที่ควรจะจดจำและบทเรียนไหนที่ควรจะลืม ถ้าเราจำแต่สิ่งที่ไม่ดี ชีวิตในวันข้างหน้าก็จะไม่ดี และอะไรที่ไม่ดีก็อย่าไปทำ มันสอนให้เราเข้มแข็ง มันสอนให้เราอยู่อย่างไรบนโลกใบนี้แล้วมีความสุข
กลับมามองว่าเราทำอะไรได้ ทำไมเราไม่ลงมือทำ เราอย่าปล่อยตัวเองให้เป็นชีวิตซังกะตายสิ ลุกขึ้นมาปฏิวัติตัวเองเลย อะไรไม่เคยทำ ทำ อย่าคิดว่าเป็นคนแก่ฉันทำไม่ได้ สังคมไม่จำเป็นต้องอยู่หลายๆ คน มีคนที่รู้ใจ ไปกินไปเที่ยว ออกไปข้างนอกบ้าง ไปพูดคุยเล่าเรื่องราว สิ่งเหล่านั้นมันเติมเต็ม มันเอาพลังใส่ในร่างกาย หัวใจของเรามันฟู โลกน่าอยู่
ไม่มีคำว่าสายกับการเริ่มต้น ไม่มีคำว่าสายจากการที่คุณจะเรียนรู้อะไร โลกโซเชียลฯ มันสอนอะไรเราเยอะนะ ไปค้น ไปเจอ ไม่ดีก็ไม่ต้องอ่าน ดีแล้วชอบก็อ่าน มันเติมพลังให้กับชีวิต มีพลังบวกในนั้นเยอะแยะ และมีอะไรดีๆ ให้เราได้เรียนรู้ และเราก็เปลี่ยนตัวเราจากการเรียนรู้ ไม่เคยก็ลองทำ ไม่ได้ก็ลองดู อย่าหยุดเพราะคำว่าแก่ค่ะ”
สัมภาษณ์โดย : ทีมข่าว MGR Live
เรื่อง : กีรติ เอี่ยมโสภณ
ภาพ : ธัชกร กิจไชยภณ
ขอบคุณภาพเพิ่มเติม : เฟซบุ๊ก "Sopit Soonthorntanasatit", แฟนเพจ “SopitChitchat โสภิตชิทแชท”, อินสตาแกรม @sopitchitchat และ TikTok @sopitchitchat
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **