อุทาหรณ์พ่อค้าแม่ค้าถูกฟ้อง 10 ล้านบาท เหตุเพราะ “ลวงขาย-ละเมิดเครื่องหมายการค้า” ชานมไข่มุก 2 แบรนด์ดัง ฟากกูรูกฎหมาย ชี้ ไม่คุ้มเสีย ไม่อยากโดนฟ้องจนหมดตัว เลิกละเมิดลิขสิทธิ์-ปรึกษานักกฎหมาย!!
ค่าชานมหลักร้อย ค่าปรับหลักล้าน!!
กลายเป็นอุทาหรณ์ให้พ่อค้าแม่ขายทั้งหลายได้ระวังไว้ เกี่ยวกับการค้าของที่มีลิขสิทธิ์กันมากขึ้น เพราะหากไม่ได้ทำอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ก็อาจสุ่มเสี่ยงต่อการถูกดำเนินคดีได้
เช่นเดียวกับกรณีของร้านชานมไข่มุก “หมีพ่นไฟThe Fire Bear” ถูกศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง สั่งเจ้าของแบรนด์ชานมไข่มุกหมีพ่นไฟ ชดใช้ค่าเสียหาย 10 ล้าน บวกเดือนละแสนตั้งแต่วันฟ้อง หลังเจ้าของแบรนด์ “เสือพ่นไฟ Fire Tiger” ฟ้องฐานลวงขาย ซึ่งกลายเป็นค่าเสียหายสูงสุดในคดีเครื่องหมายการค้าไทย
เมื่อทีมข่าวตรวจสอบพบว่า ในกรณีของทั้ง 2 แบรนด์ นั้น ทางศาลพิเคราะห์แล้ว เห็นว่า การที่ หมีพ่นไฟ (The Fire Bear) ได้ใช้ชื่อแบรนด์ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ มีความใกล้เคียงกับเสือพ่นไฟ (The Fire Tiger) อีกทั้งยังทำธุรกิจขายชานมไข่มุกเช่นเดียวกัน
รวมทั้งการใช้รูปหัวหมีพ่นไฟ ที่มีลักษณะอ้าปากเป็นช่องส่งสินค้าชานมไข่มุกให้แก่ลูกค้า ถือเป็นการกระทำละเมิด ฐานลวงขาย เนื่องจากมีลักษณะที่คล้ายกับ เสือพ่นไฟ ซึ่งทำให้บุคคลทั่วไปเข้าใจว่าทั้งสองแบรนด์เป็นสินค้าที่มีเจ้าของเดียวกัน
ทั้งนี้ ด้านฝ่ายโจทก์ (ร้านเสือพ่นไฟ) เปิดเผยว่า อยากให้คนทำธุรกิจทุกคนตระหนักและให้เกียรติกัน แรงบันดาลใจกับการจงใจลอกเลียนแบบไม่เหมือนกัน และอาจมีผลทางกฎหมาย อีกทั้งด้าน “สืบสิริ ทวีผล” ทนายความฝ่ายเสือพ่นไฟ ให้ข้อมูลว่า คดีนี้ศาลวินิจฉัยข้อกฎหมายหลายส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับความคุ้มครองเกี่ยวกับหลักกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาที่เรียกว่า “Trade Dress”
ซึ่งเป็นการให้ความคุ้มครองเครื่องหมายในภาพรวม เช่น การคุ้มครองฉลาก หีบห่อ บรรจุภัณฑ์ของสินค้า รวมถึงให้ความคุ้มครอง การจัดหน้าร้าน หรือการตกแต่งสถานที่ให้บริการอันมีลักษณะโดดเด่นเป็นที่จดจำของผู้บริโภคด้วย
เรียกได้ว่า ต้องแลกด้วยการเสียค่าปรับหลายล้านบาท ทำให้หลายคนเกิดความสงสัยว่า สิ่งใดที่ทำได้ หรือทำไม่ได้บ้าง เกี่ยวกับข้อกฎหมายจาก พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534 เพื่อให้ได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง ทีมข่าวจึงติดต่อไปยัง “รัชพล ศิริสาคร” ทนายชื่อดัง เจ้าของเพจ “สายตรงกฎหมาย” ให้มาช่วยไขข้อสงสัยเกี่ยวกับข้อกฎหมาย และสะท้อนการตระหนักค้าของ ไม่ละเมิดลิขสิทธิ์กันมากยิ่งขึ้น
“พวกโลโก้ หรือเครื่องหมายการค้า มันก็มีสิทธิของเขาอยู่แล้ว อย่างเครื่องหมายการค้า ถ้าคนไปจดทะเบียนไว้ ว่า โลโก้เป็นเครื่องหมายการค้าของเขา คนอื่นก็จะไปละเมิดไม่ได้
ถ้าหากว่าเป็นโลโก้อย่างอื่น ที่ยังไม่ได้จดทะเบียนการค้า เขาก็มีเรื่องของลิขสิทธิ์มาคุ้มครองอยู่แล้ว การที่จะไปละเมิด คือ ถ้าเราทำก็ไม่สามารถทำได้ อย่างเมื่อก่อนบางเคส คือ แค่คล้าย บางทีศาลก็ตัดสินว่า สามารถทำได้ เพราะว่ามันมีรายละเอียดต่างๆ อย่างตัวหนังสือ ถ้าแตกต่างนิดเดียว บางทีศาลก็ให้
แต่ว่ามันต้องดูเป็นเคสไป ไม่สามารถที่จะระบุได้ชัดเจน ว่า เคสไหนเป็นเคสไหน ทว่า มันเข้าลักษณะที่ว่าเหมือน หรือคล้าย ยิ่งถ้าเป็นรูปภาพ อาจจะมีความผิดได้ครับผม
มันมีโทษตามกฎหมาย ถ้าเราไม่มั่นใจ เราอย่าไปเสี่ยงดีกว่าครับ เพราะว่าอาจจะโดนปรับ หรือว่าโดนจำคุกได้ สิ่งนี้มันมีโทษกำหนดอยู่แล้ว ตาม พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ หรือว่าเครื่องหมายการค้าครับ”
เช็ก “เครื่องหมายลิขสิทธิ์” ก่อนโดนฟ้องหนัก!!
ด้วยปรากฏการณ์สุดร้อนแรงนี้เอง ทำให้ใครหลายคนหันมาจับธุรกิจร้านค้า เป็นของตัวเอง ทั้งเปิดร้านขาย ทั้งที่ผลิตคิดสูตรเอง จนเกิดเป็นแบรนด์ และบางคนก็นำเข้ามาจากแบรนด์ดังระดับโลก รวมทั้งเกิดการเลียนแบบเกิดขึ้น จนเกิดการฟ้องร้องกัน
อย่างไรก็ดี เมื่อสอบถามไปทางทนายคนเดิม เกี่ยวกับกรณีธุรกิจพ่อค้า แม่ค้า มีความคล้ายกับร้านต่างประเทศ อาจจะทำให้สร้างความเข้าใจผิดต่อลูกค้า ถือว่ามีความผิดหรือไม่ และในทางกฎหมาย มีขอบเขตในการค้า เพื่อให้ไม่ให้ผู้อื่นเดือดร้อนอย่างไรบ้าง
“สามารถเป็นไปได้ครับ (มีความผิด) คือ บางครั้งมันอาจจะเข้าข่ายในเรื่องของการผิดกฎหมายโดยตรง แต่ว่ามันมีเรื่องของการใช้สิทธิเกินกว่าขอบเขตที่เรามีอยู่ ตรงนี้อาจจะโดนฟ้องร้องได้เช่นเดียวกัน
อันนี้ใช่ว่าจะไม่มีความผิดนะครับ บางทีมันอาจจะมีความผิด เพียงแต่ว่า เจ้าของสินค้าเขาอาจจะยังไม่เห็น หรืออาจจะไม่รู้ ก็เลยยังไม่มีการดำเนินคดี ถ้าเป็นรูปภาพไปเหมือน หรือคล้าย มันอาจจะมีความผิดได้อยู่แล้ว
เพราะฉะนั้น ผมอยากแนะนำว่า ถ้าใครอยากจะทำเรื่องเกี่ยวกับธุรกิจ ควรปรึกษาคนที่มีความรู้ หรือว่านักกฎหมายที่เกี่ยวข้องน่าจะดีกว่า เพราะว่าถ้าถูกทำโทษมา หรือถูกดำเนินคดีมา ก็ไม่น่าจะคุ้มกับความเสียหายครับ”
สุดท้าย ทนายรัชพล ผู้ที่มีประสบการณ์ทางด้านกฎหมาย ที่สั่งสมมาจากประสบการณ์และการพบเจอของจริง ได้ฝากถึงผู้ที่สนใจในการทำธุรกิจ จะต้องตรวจสอบเครื่องหมายการค้า และลิขสิทธิ์ต่อผู้รู้ เพราะไม่อย่างนั้นอาจจะโดนฟ้อง ปรับเงิน และจำคุกจากข้อกฎหมาย พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534 ได้
“ควรตรวจสอบให้ดีก่อน ไม่ว่าจะเป็นสินค้าที่คุณขาย บางคนก็เอาสินค้าที่มันมีลิขสิทธิ์อยู่แล้วมาขาย หรือว่าเอาโลโก้เขามาใช้โดยที่มันอาจจะไม่ใช่ คิดว่ามันแค่คล้ายๆ แต่ไม่เหมือนของเขา บางทีศาลก็ตัดสินได้ ว่า สินค้าคุณถ้ามันเข้าข่ายว่าเหมือน หรือคล้าย ก็อาจจะเป็นความผิดได้
ไม่ว่าเราจะอาจจะคิดว่ามันไม่เหมือนเลย แต่ถ้าสุดท้ายศาลตัดสินมา ว่ามันคล้ายกัน จนเข้าข่ายทำให้คนเข้าใจผิด ก็อาจจะทำให้ถูกดำเนินคดีได้ครับ
หรือไม่ก็สอบถามกับทางเจ้าหน้าที่ที่เขารับจดทะเบียน โดยทำเป็นหนังสืออย่างเป็นทางการ น่าจะเหมาะสมกว่า ให้เขาตอบมาเป็นทางการเป็นอย่างน้อย เราจะสามารถเอาเอกสารเหล่านี้ ไปใช้อ้างอิงได้”
สกู๊ปข่าว : ทีมข่าว MGR Live
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **