เปิดหลังกล้อง! นักแสดงร้อยคาแรกเตอร์ “ปู สหจักร” กว่าระยะเวลา 23 ปี ผู้ได้ชื่อว่าเล่นหนังโกอินเตอร์เยอะที่สุดในไทยไม่มีเอเยนซี แต่เพราะฝีมือดีจนโด่งดังระดับอินเตอร์ กระแทกไหล่ดาราฮอลลีวูดตัวพ่อตัวแม่มาแล้วหลายราย เคล็ดลับความรุ่งด้านการแสดง คือ ต้องแสดงเหมือนไม่แสดง เอาชนะด้วยคอนเซ็ปต์ “น้อยแต่มาก” และบทสัมภาษณ์นี้ จะทำให้รู้จักมิติตัวตนของเขามากยิ่งขึ้น...
เล่นหนังอินเตอร์เยอะ-คนไทยรู้จักน้อย!?
“บทไหนเปลี่ยนชีวิต...บทต่อไป ทุกคนก็จะงงว่าทำไม คือ บทที่เราเล่นไปแล้ว มันสำเร็จไปแล้ว มันผ่านไปแล้ว ผมยังจำบทไม่ได้เลยว่าเมื่อวานเราเล่นอะไร พูดอะไรไป แต่เราตื่นเต้นในการที่จะได้บทใหม่ เราต้องทำยังไง เราต้องแสดงดีขึ้นน้อยอีกหน่อย มากขึ้น เรารอสำหรับบทหน้าครับ”
นี่คือ คำบอกเล่าของ “ปู-สหจักร บุญธนกิจ” วัย 62 ปี นักแสดงชายที่ฝากฝีไม้ลายมือ ในการแสดงภาพยนตร์ระดับอินเตอร์มาแล้วกว่า 100 เรื่อง เยอะที่สุดในประเทศไทย แต่คนไทยกลับรู้จักน้อยที่สุด
มีผลงานการแสดงในเมืองไทยมาแล้วทั้งละครและภาพยนตร์อย่าง ฉลาดเกมส์โกง(2017), ลัดดาแลนด์, Bangkok Breaking มหานครเมืองลวง, เกมล่าทรชนและอีกมากมาย ล้วนผ่านบทบาทมาแล้วอย่างโชกโชน
“รู้สึกว่า คนจะจำเราได้หรือไม่ได้ เราไม่ได้แคร์จริงๆ อาทิตย์ก่อนมี casting คนนึงเขามา แล้วเราคุยกันเรื่องนักแสดงจาก Bangkok Breaking คือ เราไม่ต้องคุยเรื่องพี่เวียร์ เขามีคนติดตามเป็นล้านๆ อยู่แล้ว แต่มีนักแสดงอีกคนที่ชื่อ ‘ภูมิ’ เขาบอกยอด like ของเขาก็ขึ้นไปเยอะมากเลย มีคนติดตามเยอะ
แต่เขาบอก ก็ยังไม่มากเท่า ‘อ้น (นพพันธ์ บุญใหญ่)’ ที่ได้ไป 30,000-40,000 แล้วพี่ casting ในห้องก็หันมาถามว่า แล้วพี่ปูล่ะ ได้อะไรเพิ่มเติมไหม เราก็บอก No เราก็อยู่ของเรามา 3-4 ปี ยอดคนติดตามยัง 500 เท่านี้แหละ
เขาตกใจ เขาบอกทำไม เพราะว่าเราอาจจะหน้าตาเราเขาไม่ต้องการ หรือแสดงดีเกินไปมั้ง (หัวเราะท่าทีขี้เล่น) อันนี้คิดไปเองนะครับ
เราก็ไม่ทราบทำไม เพราะว่ามันไม่ใช่หน้าตาที่มันไม่มีใครทำได้ เราไม่รู้และเราไม่แคร์จริงๆ แต่ถ้าถามเคยมีคนมาทักไหม...มีครับ พี่ใช่ไหมที่เล่นเป็นคนนั้น ขอถ่ายรูป...ได้ มันไม่มีอะไรที่ทำให้เราเปลี่ยนเป็นจากคนนี้ไป”
กว่าจะมาถึงจุดนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายมากนัก เมื่อย้อนกลับไปเขาก้าวเข้าวงการบันเทิงในวัยหลักสาม จากการพาลูกไปเล่นโฆษณาจับพลัดจับผลูการเข้าวงการภาพยนตร์ระดับอินเตอร์ ได้ร่วมงานกับชาวต่างชาติ อย่างเรื่อง The Beach, The Lady, Only God Forgives, No Escape , Fail Stage,Thirteen Lives และต่อไปนี้คือ บทสนทนาที่เขาพร้อมบอกเล่าให้ฟังอย่างตรงไปตรงมา...
“เริ่มต้นตั้งแต่อายุ 39 ปี ปัจจุบัน 62 ปีครับ เริ่มเข้าวงการนี้ เพราะลูกชายได้รับโฆษณา เมื่อ 20 กว่าปีแล้ว ของฮ่องกงแบงก์ แต่ทีงานต้องการไปถ่ายทำ 3-4 วัน
ผ่านไป 3 วัน เขาก็ยังหาคนมาเล่นบทคุณพ่อไม่ได้ แต่ผู้กำกับเขาเห็นเรา เขาก็ถามว่าคือใคร สุดท้ายเขาก็เลือกเรา และหลังจากงานนั้น ผมก็ไม่ได้หยุดอีกเลย(เรื่องงานแสดง) ทุกคนโทร.เข้ามาให้ไปเล่น
ผมได้เป็นงานไทยก่อน หลังจากนั้น ก็เป็นหนังฝรั่งเลย เรื่องแรกที่เล่น คือ The Beach ที่ ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ เป็นพระเอก นั่นก็ 22 ปีผ่านมา ตั้งแต่วันนั้นมาวันนี้ก็ 100 กว่าเรื่องแล้วครับ
ถามว่า พัฒนาไปสู่งานสายต่างประเทศได้ยังไง...ไม่ทราบจริงๆ มันเข้าไปได้ยังไง หลังจากเรื่องแรกมันก็ไม่หยุดเลยพอไม่หยุดเลยผมก็ไปอยู่อเมริกามาหลายปี แต่ถ้าเรากลับไปตอนนี้ อายุเราเท่านี้แล้ว ต้องไปแข่งขันกับพวกที่หล่อ เด็ก พูดได้หลายภาษา เต้นรำได้ ร้องเพลงได้ เราอาจจะไม่ได้งาน
เราอยู่ที่นี่ ทำเท่าที่เราทำได้ ในการที่เราพูดภาษาอังกฤษได้ ในการที่เราคิดว่าเราแสดงได้ ถ้าจะบอกว่าแสดงได้...คืออะไร สอนใครได้ไหม บอกใครได้ไหม...ไม่ได้ครับ สิ่งที่ผมทำได้คืออ่านบท เข้าใจบท ฟังผู้กำกับ”
และนับจาก ‘The Beach’ ภาพยนตร์อินเตอร์ที่มาถ่ายทำในประเทศไทย ซึ่งเป็นเรื่องแรกในชีวิตถูกเผยแพร่ออกไป จากวันนั้นที่เขาปรากฏตัวสู่สาธารณชน จนถึงวันนี้ กว่า 20 ปี ที่เขายืนหยัดอยู่ในแวดวงการแสดง
เก็บเกี่ยวประสบการณ์ผ่านการรับบทมามากมาย ด้วยคาแรกเตอร์ที่หลากหลาย และด้วยการทำงานอย่างมืออาชีพ จึงส่งให้คนทำหนังระดับนานาชาติต่างแย่งกันคว้าตัว
เมื่อทีมสัมภาษณ์ถามว่า อะไรคือสิ่งที่ทำให้ฝ่าย casting ‘เลือก’เขาให้มาเป็นหนึ่งในการนำสวมบทบาทต่างๆ นี้ ผู้ชายที่นั่งอยู่ตรงหน้าก็ตอบว่า ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะ “คาแรกเตอร์เป็นสิ่งที่เขาต้องการ”
“(หน้าโกง) อาจจะเป็นเพราะอันนี้ เช่นตอนเดินเข้าไป casting แต่เห็นบางคนเขายิ้มเลย เขานี้ใช่เลย เราก็ไม่รู่ว่าใช่เลยคืออะไร แต่ส่วนมากจะเป็นบทที่เป็นผู้ร้าย
มันเป็นอะไรที่เขาต้องการครับ เราก็ต้องการ เราก็อยากจะไปเล่นหนังไทย ให้เป็น representation (การเป็นตัวแทน) ของ Thailand เช่น เพื่อนๆ เราที่เขาเล่นหนังไทย หนังฝรั่ง แต่หน้าตาเราไม่ไทยมาก มันเป็นเอเชียมาก
ทำให้เราสามารถเล่นบทเป็นคนจีน ฟิลิปปินส์ หรืออินโดนีเซียก็ได้ แต่จริงๆ ผมอยากเล่นหนังฝรั่งมากกว่า (เพราะถนัดภาษาอังกฤษ มากกว่าภาษาไทย) แต่ถ้าได้หนังไทยเราก็รับ และก็จะทำให้ดีที่สุด
แล้วก็ต้องเป็นนักแสดงที่มีผลงาน และมีวินัย แต่ถ้าจะบอกว่าพี่ปูเป็นคนไม่ยุ่งยากมากมาย ไม่ขอนี่ขอนู่น ก็เลยได้งานบ่อย อันนี้ไม่จริง
มันก็มีนักแสดงที่เขาเรียกร้องว่าต้องการเท่านี้ เขาต้องได้อาหารอย่างนี้ แต่เขาก็ได้งาน เพราะว่าผู้กำกับต้องการเขา ต้องการคนที่เล่นเป็นตัวแสดงที่เขาต้องการได้
มันไม่เกี่ยวกับว่าเขาต้องการเรา เพราะเราเป็นคนที่น่ารัก แต่เพราะว่าเรามีผลงานที่เขาชอบ อาจจะเป็นเสียง อาจจะเป็นลุคหน้าตา อาจจะเป็นภาษาที่มันช่วยได้ ที่ผู้กำกับไม่ต้องจ้างตัวกลางมาแปลให้
เพราะการที่เราพูดภาษาอังกฤษได้ บางทีผู้กำกับบอก แต่ตัวกลางมาบอกเรา เราก็เอ๊ะ มันไม่ใช่ที่ผู้กำกับพูด เราเข้าใจ คิดว่าอันนี้มันช่วยได้ครับ”
เก็บเกี่ยวประสบการณ์จากอินเตอร์กลับไทย!!
ถามว่า การเดินทางไปสวมบทบาทไกลบ้าน ถือว่าประสบความสำเร็จแล้วหรือไม่ “ในจุดนึงครับ” เขาตอบอย่างจริงใจ และเปิดเผยว่า เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่เปิดโอกาส “คือ ได้เปิดประตูนี้แล้ว ได้เดินผ่านตรงนี้แล้ว ไปรู้จัก Angelina Jolie และอีกเยอะแยะ”
ไม่เพียงแค่นั้นเกี่ยวกับประสบการณ์ การทำงานไทยและต่างประเทศ นักแสดงวัย 62 ปี ก็เล่าว่า การแสดงภาพยนตร์อินเตอร์ เป็นประสบการณ์ที่ดีมาก เพราะสามารถดึงศักยภาพ และได้เรียนรู้วิธีการทำงาน เพื่อนำมาปรับใช้ในบ้านเรา ให้มีศักยภาพเต็มเปี่ยมมากยิ่งขึ้น
“ล่าสุด ก็เพิ่งถ่ายมาที่พี่คิดว่าพี่พูดได้ ที่ไปถ่ายออสเตรเลีย ผู้กำกับคือ Ron Howard (รอน ฮาวเวิร์ด) สำหรับนักแสดงก็ ว้าว! เป็นจุดนึงที่คิดว่าประสบความสำเร็จมาก ที่ได้แสดงในหนังของ รอน ฮาวเวิร์ด
มันก็มีอีก 2-3 คนที่เราอยากทำงานด้วย จะเป็นนักแสดงหรือผู้กำกับในด้านอินเตอร์ สำหรับเราคิดว่ายังทำได้ครับ พี่จะทำไปเรื่อยๆ จนไปถึงจุดนั้น
ถามว่า มีนักแสดงน่ารักไหม มีผู้กำกับคนไหนที่รุนแรงร้ายไหม ดุด่า ว่า มันมีหมดครับ แต่จะเอาชื่อเขามาเอ่ย อาจจะไม่ดี แต่พูดได้ว่า Pierce Brosnan (เพียร์ช บรอสแนน) เป็นนักแสดงที่น่ารักมาก เป็นคนที่เคยแสดงเป็นเจมส์ บอนด์ เขาเคยมาถ่ายหนังเรื่อง ‘No Escape’ เป็นคนที่น่ารักครับ
นักแสดงฮอลลีวูดอย่าง Dermot Mulroney (เดอร์มอท มัลโรนี่) ที่ผมเคยร่วมงานด้วยอีกคนก็น่ารักครับ หลังถ่ายทำเสร็จ เขายังเคยมานั่งทานแฮมเบอร์เกอร์ที่ร้านผม ใส่รองเท้าแตะมา แฟนก็มาด้วย และอยู่ดีๆ เขาก็ขอขึ้นไปเล่นกีตาร์กับนักดนตรีด้วย คือกันเองมาก เป็นคนที่ไม่ได้ทำตัวเป็นดารา
พอเราเรียนรู้กับชีวิตเขา เขาเคยเล่นในวง Symphony เขาเล่นเชลโลในเพลง Star Wars มันทำให้เราเห็นว่าเขาไม่ได้เป็นแค่จุดนี้ เขามีชีวิต เขาเป็นคนเหมือนกับเรา
ชอบตอนได้นั่งคุยกับ Angelina Jolie (แองเจลินา โจลี) เขาก็คุยเรื่องเขาไปรับเด็กมา ประทับใจครับ เราเห็นว่าถึงเขามีเงิน เขาเลือกที่จะไปหาชีวิต ที่จะช่วยดูแลมาเลี้ยง
อย่าง Pierce Brosnan เขาจะเป็นคนที่จะเข้าคิวทานอาหาร ไม่ต้องไปส่งที่รถ trailer (ตู้คอนเทนเนอร์ที่ใช้เป็นห้องพักนักแสดง) เขาจะยกมือไหว้ทุกคน เขาจะจำคนที่เขาต้องจำ เช่น ผู้กำกับ จะเป็นใครเขาก็จะแสดงความน่ารัก ความที่เป็นกันเอง”
มาถึงการเจาะลึกเบื้องหลังกันมากขึ้นบ้าง นักแสดงวัย 62 ปี เล่าว่า ไม่ใช่มีแต่ความเป็นกันเอง ของทีมงานและนักแสดง แน่นอนว่าก็เคยผ่านการทำงานที่ยากลำบากมาไม่เหมือนกัน
“ถ้าคุยกับผู้กำกับ มันเป็นงานโฆษณารถยนต์ แล้ว casting ได้ดีมาก ผู้กำกับชอบมาก พอไปถ่ายบังเอิญผมทำท่าที่ casting ไม่ได้ เพราะว่าเป็นคนขับเฮลิคอปเตอร์
แต่ตอน casting มันนั่งอยู่อย่างนี้ แล้วมันก็เป็นห้องว่าง แต่พอเป็นนั่งเฮลิคอปเตอร์จริงๆ มันมีกระจก มันมีหมวกกันน็อก มันทำไม่ได้ เขาแสดงออกค่อนข้าง...ทำไมทำไม่ได้ ตอน casting ยังทำได้เลย แล้วเราก็บอกติดกระจกครับ เขาโกรธมาก แล้วบอกให้กระจกเอาออกเลย
กัปตันที่เป็นคนขับเฮลิคอปเตอร์จริงๆ เขาบอกไม่ได้ เพราะในเรื่องมันมีพายุ อยู่ๆ ไปดึงกระจกออกไม่ได้ เขาโกรธ และทำตัวเหมือนกับ I เป็นผู้กำกับ You ต้องทำตามที่ I บอก You
มันทำให้นักแสดงรอบๆ และทีมงานคนอื่นอึดอัด การที่ You จะโกรธอยู่คนเดียว จะไม่ฟังเหตุผลคนอื่น ก็มีหลายคำที่เขาใช้มา ที่ไม่น่าจะพูดในกล้อง”
เรียกได้ว่าเหตุการณ์ในครั้งนั้น สร้างความทรงจำ และทำให้เขายิ่งแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น เมื่อต้องรับมือกับความยากลำบากกับสิ่งที่ต้องเจอ และเรียนรู้ในการรับอารมณ์เหตุการณ์ชวนอึดอัดในเวลานั้น
แตกต่างแค่ไหน งานไทย VS งานนอก
ระยะเวลากว่า 23 ปี ที่เขาเดินทางสวมบทบาท ถอดตัวตน เป็นสิ่งที่ผู้กำกับต้องการ ที่น่าสนใจคือ หลายคนมองว่าอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทย ไม่สามารถเทียบเท่ากับงานฮอลลีวูดได้ และมักถูกกังขามาไม่น้อย ผ่านประสบการณ์มานับไม่ถ้วน สำหรับความคิดของปู เขากลับมองว่างานไทยสามารถสู้ได้
“มันเหมือนศาสนามั้งครับ มันจะเหมือนกันไม่ได้ แต่มันก็จุดมุ่งหมาย คือ ไปทางเดียวกัน คือ สอนให้ทำความดี ละเว้นความชั่ว นับถือพระเจ้า...
ทุกคนต้องมีวิธีการทำงานของตัวเอง ที่มันทำให้ดำเนินการได้ เราก็ไม่ได้อยู่ในตัว production เอง แต่เราก็คลุกคลีอยู่กับเขา ก็ดูว่าของไทยสู้เขาได้นะครับ หลายคนอาจจะมองว่าไม่ได้ แต่ตอนนี้คิดว่าภาษาก็ได้ เมื่อก่อนมี 1-2 คนที่พูดใน production ตอนนี้พูดได้หมดแล้ว เก่งกันหมดแล้ว
ทุกวันเป็นการสอน เป็นการเรียน ก็บอกเด็กๆ ว่าที่อยากจะเรียน คือดูในสิ่งที่พี่ทำ ชอบอะไรก็เอาไป ไม่ชอบอะไรก็อย่าเอาไปทำ แต่อย่าพูดว่าพี่ปูเป็นคนสอน เราคิดว่าสอนไม่เป็น ส่วนเราก็ทำแบบนั้น เวลาไปดูหนัง ถ้าเราชอบอะไร เราก็ลองไปปรับใช้ในงานของเราต่อไป”
ไม่เพียงแค่นั้น กล่าวกันว่า อุปสรรคที่นักแสดงหลายคน แสงสปอตไลท์ไม่สามารถส่องแสงให้เห็นถึงความสามารถให้ชาวโลกได้มองเห็น เพราะขาดสกิลด้านภาษา หรือบทบาทที่จำเจ
“จริงๆ มันไม่เกี่ยวกับภาษาอังกฤษ หรือภาษาไทย แต่มันเกี่ยวกับภาษาคน ถ้าฟังรู้เรื่อง และบางทีที่คิดว่าเราพูดภาษาอังกฤษได้คล่องมาก พอไปถึงเขาบอกคุณจะได้เล่นเป็นคนเวียดนาม ต้องเปลี่ยนสำเนียง ต้องไปเรียนศัพท์เวียดนาม คือ มันไม่เกี่ยวว่าต้องเป็นอังกฤษ
เราทำร้านอาหาร เคยบอกเด็กๆ เขาบอกเขากลัวลูกค้าฝรั่งเข้ามา หนูพูดภาษาอังกฤษไม่เป็น ผมบอกเขาเป็นคนเยอรมัน เขาก็พูดภาษาอังกฤษไม่เป็นเหมือนกัน ส่วนเราต้องทักทายเขา แนะนำว่าอะไรอยู่บนเมนูให้ชัดที่สุด ชี้ไปชี้มาเดี๋ยวเขาก็รู้เรื่องเอง และให้เขาลอง ถ้าเขาฟังไม่ออกจริงๆ เขาลองแล้วเขาชอบ เดี๋ยวเขาก็ติดใจ
ในการแสดงเหมือนกัน ถ้าเราตั้งใจฟัง ตั้งใจอ่านบท เราก็จะได้บทมาก่อน ถ้าเขาเลือกเราแล้ว เราก็ต้องสืบถาม สอบถามจากเพื่อนๆ ใครที่ว่าง ว่าบทนี้คืออะไร คือยังไง ไม่น่าจะยาก
ภาษามันช่วยได้ แต่ผมว่าไม่ได้เป็นจุดเด่น อาทิตย์ก่อนมีน้องผู้หญิงคนนึงที่เข้ามาที่นี่ เขาอยากจะให้แนะนำเขาในวงการภาพยนตร์อินเตอร์ ภาษาอังกฤษเขาดีมาก แต่เขาบอกตอนที่เขาไป cast หนังฝรั่ง ภาษาอังกฤษเขาจะเขิน แล้วก็จะรวนไปเลย เหมือนเราตอนนี้ เขียนอ่านภาษาไทยไม่ได้ ส่วนการเล่นหนังไทยจึงลำบาก
สำหรับเราเข้าใจ พอเขาบอกว่า เขาไม่ได้เล่นหนังฝรั่ง พอให้บทไป ประโยค 2 ประโยค เขาจะกังวลว่า มันต้องลงตัวตรงไหน ยังไง น้ำหนักคำนี้ตรงไหน เราเข้าใจ มันลำบาก”
อีกหนึ่งสิ่งที่ถูกนำยกมาพูดบ่อยๆ คือ เรื่องการแสดงที่ล้น จนคนนำไปวิพากษ์วิจารณ์ ตีความว่าเป็นหนึ่งส่วนที่ทำให้ถูกมองว่าการการแสดงของ ‘นักแสดงไทย’ ไม่เป็นธรรมชาติ รวมทั้งไม่มีพื้นที่ให้กับนักแสดงทุกช่วงวัย
“Less is more (น้อยแต่มาก) สำคัญมาก เพราะว่าการที่เราแสดงละคร ไม่จำเป็นแค่ในเมืองไทย ละครก็คือละคร ละครจะเป็นทีวี
อันนี้อาจจะจอใหญ่แล้ว แต่เมื่อก่อนจ่อเล็กมาก แล้วคนที่จะดู คือคนธรรมดา สำหรับเมืองไทยก็จะเป็นพวกพ่อค้าแม่ค้า ถ้าเขาขายของอยู่ เขาดูไม่ต้องมีเสียง เขาต้องรู้แล้วว่าอะไรเกิดขึ้น ส่วนคนแสดงก็ต้องแสดงใหญ่มาก โกรธก็คือโกรธ
คือ ร้องไห้ก็คือร้องไห้ แต่ในจอใหญ่ ในภาพยนตร์จอมันใหญ่มาก You กระดิกหน้านิดเดียวคือเห็นมันเลย อย่าเว่อร์ อันนี้สำคัญมากที่คิดว่านักแสดงไทยยังปรับตัวไม่ได้
พอเขาบอก action โอ้โห! ใหญ่เลย มาเลย ไม่ทราบว่าทำไม ใครสอนมาอย่างนี้ ผมก็ไม่ทราบ แต่อยากให้อันนี้เปลี่ยน หลังๆ จะสังเกตว่า... 3-4 ปี ก่อนถ้ามาถ่ายแค่งานนี้ ก็ต้องมีปัดหน้านิดหน่อย ตอนนี้ไม่ต้องมีแล้วครับ ธรรมชาติที่สุดดีที่สุด
ในภาพยนตร์ก็เหมือนกัน เดินเข้าไปตอนนี้ พอเขาบอกว่าต้องเดินเข้าไปแต่งหน้าก่อน ก็คือดูว่าผมเหมือนเมื่อวานไหม ปัดทิ้งๆ สะอาด ก็ไปได้ เท่านั้นเอง
ถามว่าขัดใจไหม ที่ต้องทำแอคติ้งล้นๆ สำหรับเราเอง มันเป็นงาน ผู้กำกับให้ทำอะไรเราต้องทำ ในเมื่อผู้กำกับบอกว่าผ่านแล้ว คือจบ
ถ้า You ดูหนังนี้แล้วบอกว่าเขาแสดงไม่ดีเลย เป็นไปได้ครับ ที่เขาแสดงไม่ดี แต่มันมีผู้กำกับอยู่ตรงนั้นที่ผู้กำกับเขาต้องกำกับ เขาต้องบอกว่าผ่านหรือไม่ผ่าน
ถ้าสรุปแล้วผ่าน มันก็ต้องผ่านห้องตัดต่ออีก ถ้าตัดต่อไม่ดี คนเล่าเรื่องไม่ดี ทำให้คนแสดงก็ดูไม่ดีไปด้วย บางทีมันถึงต้องมีหลาย cut เขาก็ต้องไปหาเลือก จะโทษคนเดียวไม่ได้”
จ้างอ่าน – จำบทเอง!! มาถึงการเจาะลึกกันบ้าง ใครจะรู้ล่ะว่า ก่อนที่ออกจะมาเป็นตัวละครให้แฟนๆ ให้รับชมกัน ต้องผ่านการทำการบ้านอย่างหนักหน่วง ซึ่งเบื้องหลัง คือ เขาอ่านภาษาไทยไม่ออก แต่ไม่ได้เป็นปัญหากับเขาเลย “อดีตจะอาศัย จ้างลูกชายตอนเด็กๆ ให้เขาอ่านให้ เขาก็จะอ่านให้และเขาก็จะแสดงออกด้วยเสียง แต่มันก็มีเพื่อนๆ ที่อ่านได้ พอเราพูดได้ พอเราได้ยิน อัดมาแล้ว เราก็จำบท ก็อ่านทีเดียวครับ อ่านอัดไว้ แล้วเราก็จำเอง เอาชีวิตไปใส่ในบทให้จำได้ไปทีละเรื่อง พี่ถึงอิจฉาพวกเด็กๆ เล่นละคร 3-4 เรื่อง ในช่วงเวลาเดียวกัน ไม่รู้ตัวเป็นใคร แสดงเป็นเรื่องอะไร เป็นบทอะไร” |
ไม่มั่นคง-ไม่ยั่งยืน นี่แหละอาชีพ “นักแสดง”?
บ้างบอกว่าเขาเป็นเป็นโจร บ้างก็ว่าคนไม่ดี บางคนมองว่าเขาน่าเกรงขาม ต่างทายคาแรกเตอร์ที่ปรากฏอยู่บนทางหน้าจอ ขณะที่ผู้สัมภาษณ์ที่ได้ใกล้ชิด และพูดคุย ขอยืนยันว่าเขาคือผู้ชายทีเป็นกันเอง มากความสามารถ รักและศรัทธาในงาน ที่สุดที่เคยรู้จัก
แน่นอนว่า อาจจะจริง หรืออาจจะไม่จริง นั่นก็เพราะว่าสิ่งที่กล่าวมาข้างต้น ต่างตัดสินเขาจากรูปลักษณ์ น้ำเสียง และบทบาทการแสดงผ่านทางภาพยนตร์ และจอทีวี ผลงานที่ผ่านมา
แม้จะให้เขาลองสวมบทบาท ใส่อารมณ์ลงไป เพื่อย้อนเหตุการณ์ต่างๆ ที่เคยได้สวมบทมานับไม่ถ้วนแล้วนั้น เพียงไม่กี่วินาที น้ำเสียงที่เปลี่ยน และน้ำใสๆ ที่ตาก็ปรากฏให้ชวนขนลุก ถึงความสามารถของเขา .... และเมื่อสิ้นสุดเสียงคัต ผู้ชายอารมณ์ดีก็กลับมาให้เห็นเหมือนเดิม
เป็นที่รู้ดีกันว่าความสามารถ เป็นใบเบิกทางให้เขาก้าวสู่สายงานอินเตอร์ในระดับโลกได้ แต่อย่างไรก็ดี อาชีพ “นักแสดง” ถือเป็นอีกหนึ่งอาชีพ ที่ต้องยอมรับไม่มีอะไรแน่นอนในโลกนี้
“ผมว่าทุกอาชีพไม่แน่นอนนะครับ กลับมาที่ตอนกลับมาเมืองไทย เราคิดว่าเราแสดงไม่ได้ เพราะว่าหล่อไม่พอ สูงไม่พอ... แต่ทำไมนักแสดงไทยพออายุ 28-30 เริ่มเล่นเป็นพ่อเป็นแม่แล้ว แต่ทำไมยังได้เล่นเป็นตัวหลัก
อาจจะไม่ใช่พระเอก แต่เป็นตัวเมน ทำไมทำได้ เพราะว่าสังคมที่นี่บอกว่ามันต้องเป็นอย่างนั้น เราต้องเปลี่ยนอันนี้ ถ้าจะให้อุตสาหกรรมบันเทิงมันงอกเงยไปได้มากกว่านี้ ไม่อย่างนั้นมันก็จะอยู่อย่างนี้ และทุกคนต้อง happy กับที่นี่อยู่
เพราะถ้าไม่เปลี่ยน แล้วเราจะไปดูหนังเกาหลีทำไมทุกวัน ตอนนี้ถ้าเราจะบอกว่าเราเหมือนเกาหลี คือ เราเหมือนเกาหลีเหนือ เราไม่ได้เหมือนเกาหลีใต้
เราต้องทำให้ได้ครับ เรามีทุกอย่าง มันมีอะไรบ้างที่เราไม่มีแต่เขามี อาหารเราก้อร่อยกว่าแต่เราก็ไม่ชอบอาหารเขา นักแสดงเราก็ไม่ต้องหน้าตาดีเท่าเขา ไม่ต้องมีน้ำตาเหมือนเขา เราไม่ต้องเหมือนเขา เราต้องทำให้เขามาดูเรา แต่ทำไมเราไม่ทำ เพราะเราชอบอย่างนี้
คนเราไม่ชอบการเปลี่ยนแปลงครับ พอมีอะไรเปลี่ยนไปมันจะสะดุ้ง มันจะช็อก เราต้องรับให้ได้ในการเปลี่ยนแปลง”
สำหรับเขาแล้วกับอาชีพที่รัก เมื่อลองถามถึงเส้นทางในอนาคต เขายังคงสนุกกับงานที่ได้รับโอกาสเสมอๆ
“ไม่เคยคิดจะเกษียณ การแสดงผมคิดว่ามันมีบทบาทให้ทุกวัน ให้คนทุกอายุ ตอนที่กลับมาเมืองไทยทำให้คิดอย่างนั้น ว่าเราอยากแสดงแต่เราไม่หล่อพอ เราไม่สูง แต่เราก็มานั่งดูหนัง เราก็อ้าว! มันก็มีคนแก่ มันก็มีคนอ้วน มันก็มีคนที่ไม่หล่อเท่าคนนี้ คนนั้น ก็ทำได้
เราก็อยากบอกทุกคนไม่ต้องได้ภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งเศส ภาษาถ้าได้ก็เป็นสิ่งที่ดี ถ้าอยากแสดงจริงๆ ถ้าอยากทำอะไร ทำไป
มันมีหนังทุกเรื่อง ยิ่งหนังใหม่ๆ ที่เพื่อนพี่กำกับ ส่วนมากก็จะเอาคนมาใหม่ ที่ไม่เคยเล่นเลย แล้วเขาจะเล่นดีที่สุด เพราะเขาไม่ได้ acting มันออกธรรมชาติ พอหลังจากที่เขาได้เรียนแล้ว ได้เป็นแล้วมันก็จะเริ่มลำบาก เพราะจะบอกเขาไม่ได้แล้ว พอเขาเก่งแล้วเขาทำเป็น เขาไม่อยากฟังใครแล้วตอนนี้”
ภาพเหล่านี้คอยเตือนเอาไว้ว่าไม่ควรประมาท แต่ละช่วงวัยคนเราจะมีความคิดแตกต่างกันไป ในช่วงวัยนี้ เมื่อให้เขาลองมองจุดสูงสุดในอาชีพการแสดง แน่นอนว่าเมื่อยิงคำถามนี้ออกไป ปู สหจักร ในวัย 62 ปี กลับใช้เวลาทบทวนความคิด ก่อนจะเปรยออกมา...
“ว้าว! มันต้องมีอยู่แล้วครับ มันไม่มีพีก มันต้องเป็นอะไรที่เราต้องไต่ขึ้นไปเรื่อย มันไม่มีที่สิ้นสุด เหมือน The Sky has no limit.
เราอาจจะดูหนังวันนี้ที่เราคิดว่านักแสดงดีมาก ได้รางวัลเยอะแยะมากมาย แต่พอแก่แล้ว กลับเริ่มรับหนังที่ไม่มีทุน หนังที่ทำฟรี บทที่อะไรก็ได้ มันก็จะทำให้นักแสดงคนนั้น ดูเล่นได้ไม่เต็มศักยภาพ
ในทางกลับกัน ถ้าเราคิดว่าเรายังเล่นได้ไปเรื่อยๆ อย่างที่เราอยากจะทำ คือ แสดงอะไรก็ได้ นั่นไปเรื่อยๆ เล่นให้ดีที่สุด ทุกอย่างต้องทำให้ดีที่สุด มันก็จะออกมาดีที่สุด
ผมไม่เคยเฟลกับอาชีพตัวเอง เรื่องแสดงตอนนี้คิดว่ามันกำลังเดือดครับ กำลังดี อย่างที่คุยเรื่องเอเชีย เรื่องสีผิวมันเป็นเรื่องใหญ่แล้วตอนนี้ ว่าเราต้องเลือกคนเอเชียมาเป็นเอเชีย
แต่มันก็เป็นจุดเด่นของเราตอนนี้ ตัวคนเอเชียจะได้งาน หนังอินเตอร์ก็เข้ามา ถ้าไม่มีโควิดตอนนี้ งานคงเกลื่อนเลยเพราะตอน 2019 ที่โควิดเพิ่งเริ่ม เล่นรวม 15 เรื่อง แต่พอปีต่อไปได้เล่น 2 เรื่อง เพราะโควิด”
อย่างที่ทราบกันดีว่า หลายคนโกอินเตอร์แล้วชีวิตเปลี่ยน งานหลั่งไหลเข้ามาไม่ขาด แต่ใช่ว่าจะเป็นกันได้ทุกราย ถ้าไม่เจ๋ง ถ้าไม่เก่ง จ้างให้ก็ไม่ได้โกอินเตอร์แน่ๆ”
ตลอดระยะได้มานั่งพูดคุย แสดงได้เห็นชัดเจนว่า เขาเคารพและภูมิใจในสิ่งที่ตัวเองเป็น ไม่แปลกเลยว่า ทำไมถึงได้รับโอกาสก้าวเข้ามาในเส้นทางสายอาชีพที่รัก รวมทั้งไม่เคยลดคุณค่าในสิ่งที่ตัวเอง ผ่านประสบการณ์และมุมมองที่ดี ตลอดจนยังฝากส่งกำลังใจ และเป็นต้นแบบให้กับใครอีกหลายคนที่อยากเจริญรอยความฝัน อย่างนักแสดงที่มากความสามารถรายนี้
“สำหรับนักแสดงไทยที่อยากโกอินเตอร์ ขอให้เข้าใจตัวเองว่าเราอยากทำสิ่งนี้จริงไหม ถ้าใครอยากจะโกอินเตอร์ มันก็ไม่ได้แตกต่างจากที่แสดงที่เมืองไทย นอกจากว่าฟังเขาหน่อย เราไปในฐานะนักแสดงใหม่ อย่าไปคิดว่าเราเคยทำแบบนี้แล้ว...ไม่ จะเป็นหนังฝรั่งเรื่องหนึ่ง เรื่องสอง เรื่องสาม เรื่องสี่ เรื่องห้า ทุกเรื่องมันไม่เหมือนกัน อย่าดื้อ ฟังผู้กำกับ
ดูหนังเรื่อยๆ หรืออยากพูดภาษาอังกฤษก็ไปเรียนภาษาอังกฤษนิดหน่อย ฟังข่าวภาษาอังกฤษ อ่านข่าวภาษาอังกฤษ
หนังเหมือนกันเราก็ไปดูวิธีเขาแสดง ...ทำไมเขาถึงได้รางวัลตุ๊กตาทอง เราอยากจะเป็นนักแสดงอะไร อยากจะออกบู๊ อยากจะ romance ต้องไปค้นหาเอาเองที่เราอยากจะเป็น
มันมีคนไทยที่เขาเก่ง และพอจูงมือแนะนำสอนได้ ถ้าไม่รู้จักตัวเองกรุณาหาเบอร์พี่ โทร.มาหาพี่ พี่อยากจะช่วยทุกคนที่อยากจะเติบโต ที่อยากจะกล้าไปสู่การทำงานในภาพยนตร์อินเตอร์เนชั่นแนล”
ยกย่อง “รอน ฮาวเวิร์ด” ผู้กำกับตัวอย่าง “ถ้าเราจะคุยเรื่องผู้กำกับที่คิดว่า ทุกคนน่าจะทำงานด้วย ล่าสุด ที่เราทำงานมา อย่าง รอน ฮาวเวิร์ด เขาเป็นผู้กำกับของทุกคน เขา treat ทุกคน เขาจะวิ่งมาหาคนนี้ ถามว่า You เข้าใจใช่ไหมทุกอย่าง ...โอเค พร้อมนะ วิ่งไปตรงโน้น คุยกับคนนั้น แล้วเขาก็วิ่งกลับไปดูมอนิเตอร์ ทุกอย่างโอเค เขาก็จะบอก มันทำให้งานมันง่าย แล้วมันทำให้เรารู้ว่าหัวหน้าเราใส่ใจเรา แล้วเป็นห่วงหนังเขา อยากจะให้ทำให้ดีที่สุด เขาก็อยากให้เราสบายใจที่สุด ยิ่งหนังเรื่องนี้เกี่ยวกับหนังไทย เขาก็ถามคนไทยทุกคน อย่างนี้โอเคนะ คนไทยจะรับได้นะ มันไม่เกินไปนะ เขาน่ารักมากเลยครับ ถ้าเป็นผู้กำกับคนไทยทุกอย่างจะมีวอ ที่กล้าพูดพวกผู้กำกับไทย ใส่ใจนักแสดงหน่อย คุยกับนักแสดงทุกคนไม่ใช่แต่ดาราที่มานั่งข้างคุณ ทุกคนมีบทบาทในหนังของคุณ คุณต้องให้อะไรเขาหน่อย ให้ความใส่ใจ เพราะว่าถ้าเป็นนักแสดงไทยหลายคนไม่เคยได้คุยกับผู้กำกับ มาถึงแต่งหน้าแต่งตา กินข้าว กลับบ้าน ได้ยินแต่ Action และ Cut หรือคำด่า ทำไมมึงทำอย่างนี้ ...ไม่ได้ มันต้องมีอะไรที่ให้มันอบอุ่นมากกว่านั้น อันนี้ก็ส่วนตัว คือ อย่างลูกชายผมคนเล็กชอบถาม เขาไม่เคยดูหนังเรา เห็นก็บอกว่าพ่อก็เป็นพ่อ นั่นหมายความยังไง I ไม่ได้แสดงเป็นตัวนั้นเหรอ แต่นี่แหละเราก็บอกว่าต้องโทษผู้กำกับ เขาเลือกเรา เขากำกับเรา เขาบอก Action เขาบอก Cut เขา happy แล้ว นั่นเราก็อาจจะทำแบบนั้นไม่ดีจริงๆ แต่ว่าเราบอกว่าไปโทษเขาสิ ถ้าเขาไม่บอกว่า cut เราจะไปไหนไม่ได้ เราต้องอยู่ตรงนั้นกว่าเขาจะ happy ประสบการณ์ตอนนี้ถ้าผมแสดง ผู้กำกับที่คิดว่าดี โอเคถ้าเขาโอเคแล้ว แต่ถ้าเราแสดงกับผู้กำกับที่คิดว่าไม่ดีพอ ผมก็โทษเขาได้ เพราะเรารู้ว่าความสามารถของเรามันอยู่ตรงไหน เราทำได้มาร้อยกว่าเรื่อง มันต้องมีอะไรที่คนดูต้องการ คนจ้างต้องอยากได้” |
ชอบงานศิลปะเป็นชีวิต ก่อนจะค้นพบว่าตัวเองรักการแสดง เขายังค้นพบความชื่นชอบความสามรถทางด้านศิลปะ ในการวาดภาพบุคคล และไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า เป็นเพียงการเรียนรู้ด้วยตัวเอง แต่ฝีมือขั้นเทพ ถึงขั้นชนะการประกวด “วาดรูปทำตั้งแต่ 8 ขวบ แล้วเรารู้สึกว่าเราวาดได้ โดยเฉพาะภาพเหมือน ภาพ portrait จะชอบ ก็การที่เราได้มุมหรือได้อารมณ์ของคน แล้วเราเก็บไว้ในภาพ เคยขายไหม เคยครับในระยะนึง ผมเคยวาดบนเสื้อแจ๊ค ใครอยากได้ หรือใครอยากให้เงินมา ก็โอเคเราก็รับไป แต่มันไม่เคยเป็นธุรกิจนะครับ ผมไม่มีได้เรียนครับ เกิดจากการเรียนรู้เอง ไปแอฟริกาตอนนั้นอายุสักราวๆ 8 ขวบ ผมวาดรูปกวางตัวนึง สัตว์ที่แอฟริกา เราชนะได้รางวัลที่ 1 สำหรับกลุ่มนั้น หลังจากนั้นก็วาดมาเรื่อยๆ” |
สัมภาษณ์ : ทีมข่าว MGR Live
เรื่อง : ภูริฉัตร ปริยเมธานัยน์
ภาพ : พลภัทร วรรณดี
ขอบคุณภาพ : เฟซบุ๊ก“Non Jungmeier” ,อินสตาแกรม “@Boonthanakitsahajak”
ขอบคุณสถานที่ : ร้าน “The GARAGE Burger & Grill” (ใกล้ ซ.สุขุมวิท 34)
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **