เปิดใจ “ญดา นริลญา” หรือ “มิ้ง” จาก “ร่างทรง” หนังสยองขวัญที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในตอนนี้ ทุ่มหมดตัว “ลดน้ำหนัก 10 กก.- เ ล่นซีน 18+ เอง” สวมบทสมจริงจนคนดูเชื่อสนิทใจ ท่ามกลางเสียงชื่นชมของคอหนัง นี่แหละคือ “นักแสดง” ที่แท้จริง!!
ไทย-เทศ คอนเฟิร์ม “ร่างทรง” หลอนสมจริง
“หนูเป็นคนชอบความท้าทาย อะไรที่มันท้าทายหนูยิ่งสนุก การได้รับบทบาทใหม่ๆ ไปเรื่อยๆ ก็เป็นอีกหนึ่งความท้าทายที่หนูรู้สึกว่า หนูหลงใหลมัน แล้วมีความสุขทุกครั้งที่ต้องหาคำตอบของตัวละครนั้นๆ ยิ่งตัวละคร มิ้งต้องทุ่มเทมากทั้งแรงกายแรงใจ หนูยิ่งรู้สึกว่ามันยิ่งสนุกค่ะ
พอสวมแว่นตาเป็นคนดูคนนึงที่ไม่เคยได้รับรู้ภาพยนตร์เรื่องนี้มาก่อน ก็กลัวค่ะ (หัวเราะ) หนูรู้สึกกลัวมิ้งค่ะ มันมีหลายๆ ฉากที่รู้สึกกลัว รู้สึกหลอน มันดูเหมือนเป็นสิ่งชั่วร้ายค่ะ (หัวเราะ)”
“ญดา-นริลญา กุลมงคลเพชร” นักแสดงสาววัย 21 ปี กล่าวกับทีมข่าว MGR Live หลังจากที่เธอแจ้งเกิดในบทบาท “มิ้ง” จากภาพยนตร์สยองขวัญเรื่อง “ร่างทรง” จากค่าย GDH ที่เรียกได้ว่านาทีนี้คอหนังทั้งหลายคงไม่มีใครไม่รู้จัก เพราะกระแสความแรง ความปัง ตลอดจนเสียงชื่นชมในฝีมือการแสดงของนักแสดงแต่ละคนนั้น เป็นที่ประจักษ์ต่อผู้ชมอย่างไม่ค้านสายตา!!
ภาพยนตร์เรื่องนี้ บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับความเชื่อทางภาคอีสานของไทย ที่ครอบครัวหนึ่งสืบเชื้อสายร่างทรงของ “ย่าบาหยัน” จากรุ่นสู่รุ่น ผ่านทายาทที่เป็นผู้หญิง จนมาถึง “มิ้ง” ที่คาดว่า จะถูกรับเลือกให้เป็นร่างทรงคนต่อไป แต่แล้วเกิดเหตุการณ์ประหลาดต่างๆ กับครอบครัวนี้ ที่ไม่สามารถหาคำอธิบายได้
ภาพยนตร์เรื่องนี้ เป็นฝีมือของ “โต้ง-บรรจง ปิสัญธนะกูล” ผู้กำกับชาวไทยมากความสามารถ ที่เคยฝากผลงานไว้แล้วอย่าง ชัตเตอร์ กดติดวิญญาณ, แฝด, พี่มากพระโขนง และอื่นๆ อีกมากมาย
กระทั่งมาถึง ร่างทรง ที่เป็นการร่วมทุนสร้างกับ SHOWBOX ค่ายหนังยักษ์ใหญ่จากเกาหลี และได้ร่วมงานกับ นา ฮง-จิน โปรดิวเซอร์ชื่อดังจากเกาหลีอีกด้วย
และสำหรับตัวละคร “มิ้ง” ที่ถูกถ่ายทอดผ่านฝีมือการแสดงของญดา ก็เป็นอีกหนึ่งบทบาทสำคัญ ที่ส่งให้ดีกรีความหลอนของภาพยนตร์เพิ่มขึ้นแบบทวีคูณ!!
“หลังจากที่ภาพยนตร์ได้ฉายในประเทศไทย เรียกว่าเกินความคาดหมายของหนูไปเลยค่ะ เพราะหนูไม่ได้คาดคิดเอาไว้ขนาดนี้ ตอนที่แสดงเราก็มีเป้าหมาย ว่า อยากแสดงออกมาให้มันเต็มที่ ให้มันดีที่สุดแค่นั้น ไม่ได้คิดเอาไว้ว่าฟีดแบคที่จะกลับมาหาเราจะเป็นยังไง แต่พอฟีดแบคที่กลับมาค่อนข้างไปในทางที่ดี ก็ดีใจมากๆ แล้วก็อยากขอบคุณทุกคนมากๆ เลยค่ะ
ตัวละครมิ้งอาจจะโชคดีที่หนูได้มีคนรอบข้างให้ความร่วมมือมากๆ หลายคนได้สอน ได้บอกหนูหลายอย่าง แล้วก็มีเวลาในการทำการบ้านค่อนข้างนานพอสมควร ก็เลยทำให้หนูเข้าใจตัวละครมิ้ง อีกอย่างก็เป็นเพราะบริบทที่ทีมงานทุกคนได้สร้างให้ตัวละครทุกๆ ตัวละคร มันดูสมจริง มันดูน่าเชื่อ มีชีวิต มีลมหายใจขึ้นมาด้วยค่ะ
อย่างแรกเลย หนูต้องลบความเป็นตัวเองออกไปก่อน หนูต้องคิดว่าหนูไม่ใช่ตัวหนู แล้วก็สวมวิญญาณของตัวละครมิ้ง พอสวมเป็นตัวละครมิ้งแล้วก็ต้องรู้ว่า ตอนนั้นต้องเผชิญอยู่กับอะไร
อย่างมิ้งต้องเผชิญกับสิ่งชั่วร้าย พวกวิญญาณ ผีในตัวมันค่อนข้างที่จะหลากหลาย ตอนนั้นก็สนุกมากกับการจินตนาการค่ะ ว่าจะให้มิ้งแสดงท่าทางออกมาเป็นยังไง แต่ขอไม่บอกนะคะ ให้คุณผู้ชมไปเก็บแล้วก็ดูในโรงภาพยนตร์จะสนุกกว่าค่ะ”
หากย้อนก่อนหน้านี้ เมื่อครั้งที่ ร่างทรง เข้าฉายที่ประเทศเกาหลีเป็นที่แรก ก็สร้างความฮือฮา จนสามารถกวาดรายได้ไปถึง $5.6 ล้าน หรือราว 184 ล้านบาท หลังเข้าฉายเพียง 7 วัน อีกทั้งกระแสความหลอน จนต้องมีรอบเปิดไฟดู!!
“ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ฉายที่ประเทศเกาหลีประเทศแรก ซึ่งจริงๆ แล้วกำหนดฉายในไทยตามเดิมต้องฉายใกล้ๆ กับของเกาหลีค่ะ แต่ด้วยสถานการณ์โควิดที่บ้านเรา เลยทำให้โรงหนังยังไม่เปิด เลยต้องรอจังหวะภาพยนตร์เราถึงจะเข้าฉายได้
ตอนนั้นที่ได้รับฟีดแบคกลับมา ทางหนูจะเป็นในด้านชื่นชมในการแสดงค่ะ ดีใจมากๆ เลยค่ะ บางคนก็อินมากๆ ร้องไห้ออกจากโรงภาพยนต์ไปเลย บางคนก็ไม่ค่อยเข้าใจกับเนื้อเรื่องบ้านเรา ก็มีหลายแง่มุมค่ะ
ไม่คิดว่าที่ประเทศเกาหลีเขาจะอินกับความเชื่อในบ้านเราขนาดนี้ เพราะภาพยนตร์เรื่องนี้มันบอกเล่าและสื่อถึงบ้านเราจริงๆ ทั้งความเชื่อ ทั้งภาษา หรือวิถีชีวิต ทุกอย่างมันค่อนข้างจะไกลจากบ้านเขา
แต่ก็เพิ่งได้รู้เหมือนกันว่าที่เกาหลีเขาก็มีความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องร่างทรงเหมือนกัน แล้วก็มีหลายๆ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อย่างเช่น การที่มีปัดเป่าไล่ผี หรืออาการของคนที่กำลังจะเป็นร่างทรง มันค่อนข้างใกล้เคียงกัน”
และล่าสุด ร่างทรง ยังได้รับเลือกจากสมาพันธ์สมาคมภาพยนตร์แห่งชาติ ให้เป็นตัวแทนภาพยนตร์ไทยเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ (OSCARS) ครั้งที่ 94 สาขาภาพยนตร์ต่างประเทศยอดเยี่ยมอีกด้วย
ส่องเบื้องหลังร่างทรง ใส่ใจแม้ท่าคลาน!!
มาถึงการเจาะลึกเบื้องหลังกันบ้าง ญดา เล่าว่า ก่อนที่ออกจะมาเป็น “มิ้ง”ให้แฟนๆ ให้รับชมกัน ต้องผ่านการทำการบ้านอย่างหนักหน่วง เพราะบุคลิกลักษณะของตัวละคร เรียกได้ว่าต่างกันกับเธอแบบคนละขั้ว!!
“เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์เรื่องแรกของหนู ช่วงครึ่งแรกเป็นอะไรที่หนูทำการบ้านหนักมาก ตั้งแต่ตอนที่มิ้งไม่ได้มีอาการผิดแปลกประหลาดไปช่วงครึ่งหลังมีอาการผีเข้า
ตัวละครมันอยู่ห่างไกลจากตัวหนูมากๆ อย่างเช่น ต้องมีการพูดคำหยาบ หรือฉากที่ต้องมีการสูบบุหรี่ หนูก็ต้องไปเรียนรู้ ไปจดจำ มีการเทียบเคียงจากคนที่มีลักษณะใกล้เคียงกับตัวละครมิ้งหลายอย่างมากๆ กว่าจะเข้าใจตัวละครมิ้งได้
(สิ่งที่เหมือนกันระหว่าง “ญดา” กับ “มิ้ง”) ก็น่าจะเป็นเรื่องของอายุที่ใกล้เคียงกันค่ะ อายุ 20 กว่าๆ แล้วก็มันจะมีความใกล้เคียงในจุดที่สถานที่ที่หนูเคยได้อยู่ในตอนเด็กๆ คือ หนูเคยได้อยู่ต่างจังหวัด ก็คุ้นเคยกับสภาพความเป็นอยู่ สภาพแวดล้อมอย่างนั้น ตรงนี้ก็เป็นจุดที่ใกล้เคียงกันกับตัวละครมิ้ง นอกนั้นก็คือไปทำการบ้านเพิ่มเติมหมดเลยค่ะ”
เพื่อความความสมจริง ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังได้นักออกแบบ body movement ชาวเกาหลีใต้ มาช่วยดูแลการแสดงออกของท่าทาง ที่ละเอียดถึงขนาดที่ว่า คลานยังไงให้ไม่เหมือนมนุษย์
“ตัวละครนี้มันไม่ใช่มนุษย์ปกติแล้ว ยิ่งช่วงครึ่งหลังที่ท่าทางแปลกๆ เช่น การคลานหรือการกิน ลักษณะมือ นู่นนี่นั่น เราได้นักออกแบบจากประเทศเกาหลี มาช่วยสอนเราเรื่องนี้ด้วย เขาก็จะส่ง video references ที่เขาออกแบบท่าทางมาให้เรา แล้วหนูกับพี่โต้งก็มา develop แล้วก็คิดต่อจากนี้
ตอนแรกก็เซอร์ไพรส์เหมือนกัน เพราะหนูคิดว่าเขาคงจะให้เราจินตนาการเองคนเดียวเลย แต่จริงๆ เขาละเอียดมากกว่านั้น เขาดีไซน์แล้วก็ออกแบบท่าทางบางอย่างมาแล้ว
ตอนถ่ายทำมันจะมีอยู่ช่วงนึงที่เรามีการถ่ายกันนาน เหมือนกับว่าท่าทางตอนแรกจะเป็นการคลานแบบคนคลานปกติ แต่ว่าเราได้รับคำแนะนำมาจากเขาว่า ถ้าเกิดคลานไม่เหมือนมนุษย์ จะต้องคลานแบบสะโพกไม่ขยับ จะต้องล็อกสะโพกให้นิ่งแล้วคลาน ให้ดูว่านี่ไม่ใช่มนุษย์แล้ว ก็รู้สึกว่าเขาเห็นในมุมที่เรามองไม่เห็น
พอหนูรู้ว่าจะต้องมีการทำท่าทางแบบนี้ หนูก็เลยเล่นโยคะ ปกติก็จะฝึกโยคะอยู่แล้ว ก่อนที่เราจะไปถ่ายทำ หนูก็มีการยืดตัว พอหลังจากที่ถ่ายทำเสร็จ ก็ไม่ได้มีอาการบาดเจ็บเยอะค่ะ กลับมาก็จะเจอรอยฟกช้ำ มีรอยเขียวบ้างนิดหน่อย หลังจากที่ซ้อมและรู้แล้วว่ามันจะต้องทำยังไง เริ่มจำว่าลักษณะท่าทางต้องประมาณนี้ พอไปถ่ายทำจริงมันก็ง่ายแล้วค่ะ”
เมื่อถามถึงการร่วมงานกันกับ ผู้กำกับมือทอง ญดา ก็เล่าว่า เป็นประสบการณ์ที่ดีมาก เพราะ โต้ง บรรจง สามารถดึงศักยภาพของเธอ และนักแสดงท่านอื่นได้ออกมาอย่างเต็มเปี่ยม
“หนูชอบผลงานพี่โต้งค่ะ ติดตามมาตั้งแต่ชัตเตอร์ฯ ก่อนที่จะได้มาร่วมงาน หนูคิดว่าพี่โต้งน่าจะเป็นผู้กำกับที่ดุแน่ แต่พอมาเจอจริงๆ อ้าว… พี่โต้งไม่ดุเลยค่ะ แล้วก็เก่งมากๆ หายสงสัยไปเลยว่าทำไมหนังพี่โต้งถึงประสบความสำเร็จขนาดนี้
พี่โต้งเขาจะเป็นคนที่ละเอียดมากๆ เขาให้ความสำคัญกับทุกอย่างที่ปรากฏขึ้นในจอภาพ ในเฟรม ตอนที่เขากำกับ แทบจะไม่ได้บังคับว่าเราจะต้องเล่นแบบนี้ ทำหน้าแบบนั้น ต้องเดินแบบนี้ ไม่เลย พี่โต้งให้อิสระกับการแสดงมาก แต่ก็จะให้อยู่ในขอบเขตของเนื้อเรื่องค่ะ เพราะบทภาพยนตร์เรื่องนี้มันไม่ได้เป็นบทที่มาเป็น dialogue อธิบายทุกอย่างรายละเอียดเยอะขนาดนั้น มันจะมาแค่ sequence นอกนั้นเป็น improvise หมดเลย
หนูกับพี่โต้งมาคุยกันก่อน มาซ้อม ทำท่านู้นท่านี้ พี่โต้งมีทำท่าให้ดู ตอนนั้นก็สนุกสนานแล้วก็ตลกมาก บางท่ามันแปลก แต่ตอนนั้นที่พี่โต้งบรีฟหนู เขาบอกหนูว่าเต็มที่เลย จินตนาการไปได้เลย ให้หนูทำหน้าที่ของตัวละครมิ้งได้เต็มที่ หนูก็สนุกมากกับตอนนั้นที่จะหาอะไรมาใส่ในตัวละครมิ้งให้มันสดใหม่ แล้วก็หลอนมากขึ้น
การแสดงที่มันออกมามันไม่ใช่แค่หนูคนเดียวค่ะ แต่ด้วยองค์ประกอบโดยรวม สิ่งสำคัญคือผู้กำกับนี่แหละค่ะ พี่โต้งเขาเก่งมากๆ ที่จะดึงศักยภาพของนักแสดงทุกคนออกมา ให้ทำงานออกมาได้เต็มที่ แล้วก็แปลกใหม่อย่างที่ไม่เคยได้เห็นมาก่อน ไม่ได้เห็นมากนัก ก็ต้องชื่นชมพี่โต้งด้วยค่ะ พี่โต้งเก่งมากๆ”
ทุ่มเพื่อบท! ลดน้ำหนัก 10 กก.- เล่นฉาก 18+ เอง
“ด้วยการแสดงมันคือการสวมบทบาทในตัวละครนึงแล้ว ถ้าเกิดมันมีอะไรก็แล้วแต่ที่จะเกิดขึ้นกับตัวละคร ในฐานะนักแสดงคนนึง หนูก็อยากจะเข้าไปสวมบทบาทนั้นให้มันได้ออกมาเต็มที่ค่ะ”
ไม่เพียงแค่เต็มที่กับการแสดงเท่านั้น ญดา ต้องลดน้ำหนักถึง 10 กิโลกรัม ภายในระยะเวลา 1 เดือน เพื่อเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของร่างกายตัวละคร ตามเนื้อเรื่องที่ดำเนินไป
“ช่วงครึ่งแรกของภาพยนตร์หนูเพิ่มน้ำหนักไปประมาณ 3-4 กิโลกรัม เพราะน้ำหนักเดิมของหนูตอนนั้นมันไม่ได้เยอะมาก แต่ตอนครึ่งหลังเราต้องการที่จะให้เห็นความแตกต่างระหว่างตอนแรกกับตอนหลัง เราก็เลยจำเป็นที่จะต้องเพิ่มน้ำหนักไปก่อน แล้วตอนหลังเวลาเราลดมันจะไม่ทำให้สุขภาพเราเสียไปด้วย เดี๋ยวมันจะไม่ไหวตอนถ่ายทำ
[ ลดน้ำหนัก 10 กก.เพื่อบท “มิ้ง”]
พอช่วงครึ่งหลังหนูลดน้ำหนักไปประมาณ 10 กิโลกรัมในระยะเวลา 1 เดือนค่ะ ตอนนั้นมีนักโภชนาการดูแลในเรื่องของอาหาร ส่งอาหารมาให้หนู
ในทุกๆ วัน หนูจะต้องตื่นมาชั่งน้ำหนัก วัดความดัน ตอนเช้าแล้วก็ตอนเย็น เพื่อที่นักโภชนาการเขาจะได้ปรับเปลี่ยนอาหาร ทำให้สุขภาพของเรายังไหว เพราะอาหารที่เรากิน จะไม่ใช่อาหารที่กินเข้าไปแล้วทำให้คนลดน้ำหนักลงแล้วดู healthy แต่มันต้องเป็นผลลัพธ์ที่ดู unhealthy ดูเป็นคนที่สุขภาพไม่ดี ดูผ่ายผอม อ่อนแรง เหมือนคนป่วยค่ะ”
นอกจากนี้ หากใครก็ตามที่ได้รับชมภาพยนตร์กันแล้ว จะทราบกันดีถึงฉาก 18+ ที่ในตอนแรกนั้นมีกระแสคำถามมากมายว่า ญดาเล่นเองหรือไม่ โดยเจ้าของบทบาทมิ้งก็ได้ให้คำตอบว่า เธอเล่นเองทุกฉาก
“ฉากที่ 18+ ทราบตั้งแต่วันที่แคสต์ว่าจะต้องมีฉากแบบนี้เกิดขึ้น เพราะว่า 1 ในการแคสต์ก็มีฉากนี้อยู่ด้วย หนูรู้สึกว่าพอมันมีฉากแบบนี้ มันยิ่งท้าทายความสามารถของหนูในฐานะนักแสดง และคิดว่ามันจะไม่มีโอกาสแบบนี้มาให้เราเล่นบ่อยนัก หนูรู้สึกว่าพอได้รับหน้าที่นี้มาแล้ว เราก็อยากทำมันให้สำเร็จด้วยตัวของเราเองตั้งแต่ต้นจนจบ ก็เลยเลือกที่จะรับเล่นเองค่ะ
หนูเล่นเองทุกฉากนะคะ การเซฟของกองถ่ายเราทุกอย่าง คือ เซฟดีมากๆ ตอนที่ถ่ายทำฉากเหล่านี้ พี่โต้งเลือกที่จะให้ทีมงานที่ไม่ได้เกี่ยวข้องไปรออีกห้องนึง แล้วก็มีการขึงผ้าดำ ในห้องนั้นจะมีแต่ตากล้องกับนักแสดงเท่านั้น พี่โต้งไม่ได้อยู่นะคะ แต่ด้วยความที่นักแสดงทุกคนให้ความไว้วางใจมากๆ ทุกคนมืออาชีพมากๆ อาการเคอะเขินหรืออะไรอย่างนี้ สำหรับหนูคือไม่มีเลย ตอนนั้นหนูไปโฟกัสที่การแสดงจริงๆ
ส่วนฉากที่หนูรู้สึกว่ามันจำขึ้นใจเลย จะเป็นฉากที่หนูต้องกรีดร้องต่อเนื่องเรื่อยๆ แล้วตอนนั้นเป็นช่วงที่มันดึกแล้ว จะเช้าแล้ว พี่โต้งก็บอกว่าขออีกนิดนึงนะ ขออีกนิดนึง เราก็ใส่เต็ม พอเราใส่เต็มมาตั้งแต่ตอนแรกๆ มันเลยทำให้ตอนหลังไม่ไหวแล้ว หน้ามืดแล้ว ตอนนั้นก็รู้สึกว่าจะได้ขึ้นใจเลยค่ะ ประมาณ 2-3 เทค แต่มันอยู่ในช่วงเราใช้พลังงานมาทั้งวันแล้ว”
นอกจากนี้ ในโลกออนไลน์มีกระแสชื่นชมถึงฝีมือการแสดงขั้นเทพเธอ โดยส่วนใหญ่มองว่า ญดา ทำให้เห็นความแตกต่างระหว่าง “นักแสดงอาชีพ” กับ “ดารา” ได้อย่างชัดเจน
“หนูว่าดาราหลายๆ ท่าน ก็เรียกว่านักแสดงนี่แหละค่ะ แต่ว่าคำนิยามของแต่ละคน กับสิ่งที่เขาได้ทำ มันอาจจะแสดงให้คนได้รู้สึกว่า คนนี้เป็นดารา คนนี้เป็นนักแสดง
จริงๆ แล้วดาราหลายๆ ท่านเขาก็เป็นนักแสดงกันมาก่อน แต่หลังๆ มาเขาอาจจะไปในทางพรีเซนเตอร์ มีงานออกอีเวนต์ โชว์ตัวนู่นนี่นั่น อาจจะมองในมุมนั้นเป็นดาราค่ะ แต่สำหรับหนูคิดว่าทุกๆ คนที่เป็นนักแสดงหรือว่าเป็นดาราก็เหมือนกัน มีอาชีพเดียวกันนี่แหละค่ะ
(กลัวคนติดภาพจำมิ้งไหม) ไม่ค่ะ คิดว่าถ้าทำการบ้านได้ดีในบทบาทต่อๆ ไปก็คงจะทำให้คนลืมภาพมิ้งได้ค่ะ หนูคิดว่าหนูยังต้องพัฒนาและทำการบ้านเกี่ยวกับทุกๆ ตัวละครต่อไป เพราะบทบาทจะแตกต่างกันออกไป วิถีชีวิต ความเชื่อ ความคิดของเขาก็แตกต่างออกไปเรื่อยๆ ค่ะ”
เพราะการแสดงคือความสุข
แม้ร่างทรงจะเป็นผลงานภาพยนตร์เรื่องแรกของญดา แต่หลายคนอาจจะคุ้นหน้าค่าตามาบ้าง เพราะเธอมีผลงานในวงการมาแล้วคือ Love Sick The Series รักวุ่น วัยรุ่นแสบ ซีซั่น 2, ละครนารีริษยา ตลอดจนผลงานอื่นๆ อย่าง มิวสิกวิดีโอ, โฆษณา, ละคร, พิธีกร และเป็น 1 ในสมาชิกวงเกิร์ลกรุ๊ป GELATO ของค่าย MONO MUSIC อีกด้วย ขณะนี้เธอกำลังศึกษาระดับปริญญาตรีที่ คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต
และก่อนที่จะเป็น “ญดา-นริลญา กุลมงคลเพชร” เธอมีชื่อเดิมว่า “เบนซ์-ณัฐธิดา ตรีชัยยะ” โดยเหตุผลที่ตัดสินใจเปลี่ยนทั้งชื่อเล่น ชื่อจริง และนามสกุล ก็เพราะถือเคล็ดเรื่องสุขภาพ รวมถึงช่วยส่งเสริมเรื่องงาน
“หนูเป็นคนที่เชื่อในเรื่องของการทำนายอนาคต หรือการดูดวง เพราะว่าในประสบการณ์ส่วนตัวเคยได้ดูดวงมา แล้วมีหลายเหตุการณ์มาก ที่หนูก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมมันถึงทำนายได้ตรง แม่นยำ ทำไมเหตุการณ์นั้นมันถึงเกิดขึ้นในชีวิตเราจริงๆ ตอนนี้ก็ยังหาเหตุผลไม่ได้ ก็มีความเชื่อนี้ติดตัวมาโดยตลอด
เรื่องชื่อที่หนูเปลี่ยนเพราะชื่อเก่า พอเราเอาไปตรวจ ไปดูดวงแล้ว เขาบอกว่ามันจะไม่ค่อยดีกับเรื่องสุขภาพ เกี่ยวกับเรื่องงาน หนูก็ได้มาสังเกตตัวเองว่าที่ผ่านมามันจริงอย่างที่เขาบอกมั้ย สรุป 80 เปอร์เซ็นต์มันจริง เราก็เลยรู้สึกว่าเปลี่ยนดีกว่าเพื่อความสบายใจของเรา ก็คิดว่ามันคงจะช่วยส่งเสริมได้
แต่หนูก็ยังเชื่อในการกระทำ ว่า การกระทำเรามันเป็นแบบนี้ ผลของการกระทำก็ต้องได้รับแบบนั้น แต่ว่าอันนี้มันก็เป็นแค่ความเชื่อและเป็นความสบายใจมากกว่า เลยรู้สึกว่าเปลี่ยนดีกว่า”
สำหรับจุดเริ่มต้นในเส้นทางวงการบันเทิง เกิดขึ้นเมื่อราว 7 ปีก่อน ขณะที่เธออายุได้ 14 ปี โดยเริ่มจากการแคสติ้งงานโฆษณา หลังจากที่ได้ลองชิมลางวงการนี้ ญดาก็ค้นพบว่า นี่แหละคือความสุขที่แท้จริงของตนเอง
[คุณแม่ผู้สนับสนุนในเส้นทางนักแสดงอย่างเต็มที่]
“หนูเข้ามาตอน 14 ค่ะ น่าจะประมาณ 7 ปีกว่า มีคนที่รู้จักชวน บอกว่าเดี๋ยวจะพาไปถ่ายรูปถ่ายแบบ ก็ไม่รู้หรอกแต่ก็รู้สึกตื่นเต้นกับคำที่เขาบอก เพิ่งมารู้ตอนโตว่าอันนั้นคือการถ่ายรูปให้กับโมเดลลิ่งโฆษณา แล้วเราก็เริ่มไปแคสต์โฆษณา ตอนนั้นบ้านหนูก็ไม่ได้มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องวงการบันเทิงเลยค่ะ หนูอยู่ต่างจังหวัด เข้ามาแคสต์งานที่กรุงเทพฯ แล้วก็กลับไปเรียน
จริงๆ แล้วคุณพ่อแยกทางกับคุณแม่ แต่ช่วงนั้นก็มีการติดต่อกันอยู่ ช่วงที่หนูเริ่มเข้ามาแคสต์โฆษณา คุณพ่อก็ไม่ได้มีการสนับสนุนในเรื่องนี้ อยากให้กลับไปเรียนหนังสือมากกว่า กลัวว่าจะเสียเวลากับทางนี้ไปแบบเปล่าประโยชน์
แต่หลังจากที่หนูไปแคสต์งานโฆษณา หนูรู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่ทำให้ใจหนูฟูมากเลย หนูรู้สึกมีความสุขทุกครั้งเวลาที่เราได้ทำการแสดง แล้วเราก็จะเล่าเรื่องราวให้กับคุณแม่ฟังตลอด เพราะว่าสนิทกับคุณแม่ คุณแม่ก็เลยว่า โอเค ถ้าลูกอยากทำ แม่ก็สนับสนุนเต็มที่ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น คุณแม่ก็จะอยู่ข้างๆ
พอคุณแม่เริ่มมาสนับสนุนเต็มที่ จะมีช่วงจุดเปลี่ยนของชีวิต คุณแม่ให้ตัดสินใจระหว่างทำงานในวงการบันเทิงกับกลับไปเรียนหนังสือ เพราะตอนนั้นหนูไปเรียนน้อยมาก ทำงานเยอะมาก หนูเลยบอกว่า หนูเลือกที่จะเป็นนักแสดง หนูอยากอยู่ในวงการบันเทิง คิดว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกมากๆ เพราะว่ามีความสุขกับการแสดงมากค่ะ”
ความฝันของเธอในเส้นทางนี้ ไม่ใช่การเป็นเบอร์ 1 หรือโกอินเตอร์ ญดา มองว่า การที่ตนเองมีความสุขกับการแสดง นั่นเท่ากับว่า ประสบความสำเร็จในอาชีพนักแสดงแล้ว
“ตั้งแต่ก่อนที่ได้เล่นภาพยนตร์เรื่องนี้ ก็รู้สึกว่าประสบความสำเร็จในการแสดงแล้ว เพราะหนูรู้สึกว่าการเป็นนักแสดงก็คือ การได้แสดง หนูมีความสุขแล้วกับตอนนั้น แต่ว่าในวันนี้ หนูรู้สึกว่ามันเกินความคาดหมายของหนูไปแล้วด้วยซ้ำค่ะ
ความฝันของหนูอีกอย่างในการเป็นนักแสดง ที่หนูอยากจะเห็นตัวเองแสดงในตอนที่หนูอายุมากๆ แล้ว อายุ 80-90 ตอนที่ร่างกายของหนูมันไม่ไหวแล้ว ไม่พร้อมที่จะคอนโทรลร่างกาย หรือแม้แต่ความจำไม่ได้ 100 เปอร์เซ็นต์ เหมือนตอนที่เรายังเป็นหนุ่มสาว อยากรู้ว่าในตอนนั้นหนูจะแสดงออกมาได้มั้ย จะถ่ายทอดความรู้สึกของตัวเองออกมาให้คนดูได้รู้สึกเหมือนตอนนี้มั้ย ที่หนูคิดเอาไว้มันเป็นภาพนี้แหละค่ะที่ชัดที่สุด
หนูมองว่า การแสดงมันก็ไม่จำกัดอายุ ในไทยหนูก็เห็นหลายคน อย่าง อาหนิง (นิรุตติ์ ศิริจรรยา) ก็เป็นนักแสดงอีกท่านที่หนูรู้สึกชื่นชอบและติดตามผลงานเขามานานมากๆ แล้วค่ะ หนูมองว่า หนูไม่จำเป็นต้องเป็นนางเอกไปตลอด ส่วนบทบาทต่อไปที่อยากจะเล่น ก็ไม่ได้คิดไว้เลยนะคะ ขอแค่บทนั้นมันเป็นบทที่หนูรู้สึกว่า มันท้าทายความสามารถ ตัวเองที่มันไกลตัวเองอย่างเรื่องนี้ค่ะ ก็พร้อมที่จะรับเล่นไปเรื่อยๆ เลยจนแก่เลยค่ะ รู้สึกว่าขาดมันไม่ได้แล้ว”
หัวหน้าครอบครัวตั้งแต่ 14 กว่าจะมีวันนี้ไม่ง่าย
ตลอดการสัมภาษณ์นักแสดงสาววัย 21 ปีผู้นี้ ทีมข่าวสัมผัสได้ถึงความสามารถ และความคิดความอ่านที่โตเกินตัว ส่วนหนึ่งนั้นมาจากการที่เธอต้องทำงานเป็นสาหลักของครอบครัว มาตั้งแต่คำนำหน้าชื่อยังเป็นเด็กหญิง
“มีพี่ชาย 1 คน อายุห่างกันห่างกัน 2 ปี คุณพ่อกับคุณแม่หนูแยกทางกันตั้งแต่ตอนหนูประมาณ 3 ขวบ ในระหว่างที่หนูเติบโตมา ช่วงประถม คุณพ่อก็ยังมีการติดต่อตลอด มีการส่งเสียค่าเรียน ค่าที่อยู่ที่กินบ้าง แต่ว่าไม่ได้อยู่บ้านเดียวกันกับคุณแม่แล้ว คุณแม่ก็จะเป็นคนทำงานหลัก
ช่วงที่หนูเริ่มเข้ามาในวงการ คุณแม่ต้องละทิ้งจากงานประจำที่ทำอยู่มาดูแลหนูจริงจัง พาเข้ามาในกรุงเทพฯ เลยทำให้หนูต้องมาเป็นหัวหน้าครอบครัวแทน กลายเป็นเสาหลักครอบครัวตั้งแต่ตอนอายุ 14 ค่ะ
ตอนนั้นพี่ชายยังเรียนไม่จบ แล้วหนูเริ่มมาทำงานก่อน หนูก็เลยต้องหาเงินส่งเสริมทางครอบครัว และส่งเสียค่าเรียนของตัวเองมาโดยตลอดจนถึงตอนนี้เลยค่ะ แต่พี่ชายเพิ่งเรียนจบไป ก็เริ่มมาแบ่งเบาภาระของครอบครัวบ้างแล้วค่ะ”
ญดา กล่าวต่อว่า ไม่เคยรู้สึกน้อยใจในโชคชะตาที่ต้องทำงานตั้งแต่ยังเด็ก หากแต่ขอบคุณที่ทุกเหตุการณ์ชีวิตที่เจอ เพราะเรื่องราวเหล่านั้นได้หล่อหลอมให้เธอเป็นเธออย่างทุกวันนี้
“ไม่เลยค่ะ รู้สึกอย่างขอบคุณด้วยซ้ำที่เหตุการณ์ทุกอย่างมันทำให้หนูเป็นหนูทุกวันนี้ ทำให้หนูแข็งแกร่ง ทำให้หนูได้เรียนรู้ชีวิตได้หลายๆ มุม หลายๆ ด้าน ก็เรียกว่าเร็วกว่าเพื่อนๆ ในรุ่นเดียวกัน หรืออาจจะมีบางคนที่ชีวิตใกล้เคียงกับหนู จะเป็นมากกว่าหนูก็ได้ เจออุปสรรคในชีวิตเยอะ
คุณแม่ก็จะสอนเรื่องของการกระทำที่ทำอยู่ ณ ตอนนี้ จะส่งผลให้กับเรายังไงในอนาคตข้างหน้า หนูก็ยึดความคิดนี้เป็นสิ่งที่ดำเนินชีวิตมาตลอดค่ะ สิ่งที่เป็นหนูในวันนี้ก็มาจากหลายปัจจัย ทั้งผู้คน สถานที่ สถานการณ์ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตของหนูตั้งแต่เกิดมาจนถึงตอนนี้ค่ะ มันหล่อหลอมทำให้หนูเป็นหนูในวันนี้
ถ้าหนูไม่ได้เรียนรู้ตั้งแต่ตอนนั้น วันนี้หนูอาจจะยังไม่เข้าใจอะไรเลย ไม่เข้าใจชีวิตว่ามันต้องมีภาระอะไรบ้างที่เราจะต้องดูแล เราต้องรับผิดชอบชีวิตยังไง เราต้องวางตัวยังไง ทุกวันนี้หนูดีใจค่ะที่ทุกอย่างมันเกิดขึ้นแบบนี้ หนูอยากอยู่กับปัจจุบัน อยากอยู่กับ ณ วินาทีนี้ แล้วก็ใช้วินาทีนี้ให้เต็มที่ ให้ดีที่สุดค่ะ
หลายๆ ตัวละครที่หนูได้เจอและรับเล่นมา เรื่องราวแต่ละเรื่องมันต้องใส่ปมเข้าไป เรื่องราวชีวิตที่หนักหนาสาหัสมามากมาย เรื่องมันถึงจะสนุก หนูเลยกลายเป็นคนที่เล่นดรามาถนัดมาก ทำให้หนูเข้าใจในแต่ละตัวละครมากขึ้นค่ะ”
ในส่วนไลฟ์สไตล์หลังกล้องนั้น หากได้ส่องอินสตาแกรม @yadarilya ก็จะพบว่า สาวญดาคือทาสแมวตัวยง และที่สำคัญ เธอเป็นคนรุ่นใหม่ที่ยึดมั่นในคำสอนของพระพุทธเจ้า และมีการนำมาปรับใช้กับการแสดงด้วย
“ที่บ้านหนูเลี้ยงแมว 6 ตัว แล้วก็มีน้องหมาอีก 2 ตัว เวลาที่หนูอยู่บ้านจะมีมุมที่เป็นมุมของตัวเอง แต่มุมที่หนูอยู่ก็คืออยู่ใกล้แมว มุมที่หนูนั่งทำงาน นั่งเรียน มองมาเห็นแมวก็มีความสุขแล้ว ชีวิตประจำวันของหนู ว่างๆ ก็จะชอบดูหนังค่ะ จริงๆ แล้วหนูชอบเรื่องของเสื้อผ้า ชอบแต่งตัว อีกความฝันนึงก็อยากเป็นดีไซเนอร์ค่ะ
กิจวัตรประจำวันอีกอย่าง ก่อนนอนหนูจะชอบนั่งสมาธิ สวดมนต์ หนูชอบในคำสอนของพระพุทธเจ้าหลายๆ อย่าง ปลูกฝังไม่ใช่ให้เป็นคนดีแบบไม่มีเหตุผล แต่เชื่อในเรื่องของการกระทำ เราทำแบบนี้แล้วผลกระทบที่ได้กลับมาจะเป็นยังไง
สิ่งที่หนูได้เรียนรู้จากคำสอนพระพุทธเจ้าและมาปรับใช้กับตัวละครมิ้ง คือ การละทิ้งตัวตน การลดอัตตาในตัวตนตอนนั้นเราไม่ได้คิดว่าร่างกายเป็นของเรา มันก็เลยทำให้หนูได้สวมบทบาท แล้วก็สวมวิญญาณของตัวมิ้งเข้ามา แล้วก็ไม่ได้รู้สึกเคอะเขิน หรือไม่รู้สึกไม่พอใจกับการที่เราจะต้องไปแสดงเป็นคนอื่นหรือเป็นตัวละครอื่นค่ะ”
เมื่อบทสนทนามาถึงช่วงสุดท้าย นักแสดงสาวมากความสามารถก็ขอฝากผลงานให้ได้ติดตาม ทั้งละครและภาพยนตร์จะมีให้ชมกันในปีหน้า ตลอดจนฝากถึงผลงานล่าสุดที่กำลังลงโรงฉายอยู่ในขณะนี้
“ตอนนี้ก็มีผลงานที่ถ่ายอยู่ เป็นละครเรื่องเมียหลวงค่ะ ปีหน้าก็จะมีละคร อาจจะมีภาพยนตร์ค่ะ ฝากติดตามด้วยนะคะกับภาพยนตร์เรื่อง “ร่างทรง” อยากให้คุณผู้ชมที่ยังไม่เคยดู คนที่กลัวผี กลัวเรื่องอะไรแบบนี้ อยากให้ลองเปิดใจดูค่ะ
ส่วนใครที่อาจจะเคยได้ยินสปอยล์ หลบสปอยล์ไม่ทัน ก็อยากจะบอกว่าอย่าเชื่อในสิ่งที่ได้ยินมา ต้องมาพิสูจน์ด้วยตัวเองในโรงภาพยนตร์นะคะ”
ไอดอลของญดา “หนูชอบนักแสดงคนนึงค่ะ เป็นนักแสดงชายชื่อว่า ลีโอนาร์โด (ลีโอนาร์โด ดิแคพรีโอ : Leonardo DiCaprio) ที่เล่นเรื่อง Titanic หนูว่าทุกการแสดงของเขา ทำให้หนูเชื่อเหลือเกินว่าเขาคือตัวละครนั้นๆ จากที่หนูได้ดูผลงานของเขาในหลายๆ บทบาทที่เขาได้รับ มันค่อนข้างแตกต่างกันมากพอสมควร แล้วเขาแสดงออกมาให้หนูรู้สึกว่า เขาคือตัวละครนั้นจริงๆ เราลืมภาพที่เขาเป็นตัวละครอันเก่าไปเลยค่ะ แล้วรู้สึกว่าเขาเก็บรายละเอียดได้ค่อนข้างดี เล่นละเอียด เราก็เลยรู้สึกว่าชื่นชอบเขามากๆ ค่ะ (ผลงานที่ชื่นชอบ) ก็ต้อง Titanic เลยค่ะ (ยิ้ม) ชอบที่ลีโอนาโดแสดงเป็นมิสเตอร์แจ็ค รู้สึกว่าเขาแสดงให้เราสงสารในตัวละครของเขา ตั้งแต่ตอนเริ่มเรื่องมาที่เขาเป็นคนที่ฐานะไม่ดี ต้องไปรักกับคนที่ต่างฐานะกับตัวเอง พิสูจน์ตัวตนจนทำให้คนอีกคนรู้สึกว่ารัก เสน่ห์การแสดงของเขาตอนนั้นมันดูเขามีความจริงใจมากๆ ทุกแววตาที่เขาแสดงออกมา ทุกน้ำเสียง ทุกคำพูด หนูว่าสิ่งสำคัญของการแสดงคือความจริงใจนี่แหละค่ะ” |
ดูโพสต์นี้บน Instagram
...เธอทำให้รู้ว่า “นักแสดง” กับ “ดารา” ต่างกันยังไง คอหนังกล่าวขวัญกันไว้อย่างนั้น...
>>> https://t.co/LcaQ7IJPIo
.
“ตอนนั้นเราไม่ได้คิดว่า ร่างกายเป็นของเราค่ะ มันก็เลยทำให้หนูได้สวมบทบาท สวมวิญญาณของตัวละครเข้ามา”
.@yadarilya
.#ร่างทรง #โต้งบรรจง #ญดา #จีดีเอช #GDH pic.twitter.com/u4p5Tzzy5P— livestyle.official (@livestyletweet) November 17, 2021
สัมภาษณ์ : ทีมข่าว MGR Live
เรื่อง : กีรติ เอี่ยมโสภณ
คลิป : อิสสริยา อาชวานันทกุล
ขอบคุณภาพ : แฟนเพจ “GDH”, อินสตาแกรม @yadarilya, เฟซบุ๊ก “GDH”, ทวิตเตอร์ @yadarilya, ยูทูบ “Yadarilya”
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **