“หนูไม่รู้ว่าหนูชอบมันรึเปล่า แต่ทุกครั้งที่หนูทำ หนูก็มีความสุข” นับสิบปีกับการพิสูจน์ ค้นหาตัวเอง ปลุกสวยเติมความปัง ถอดมลทิน “ดังเพราะความเซ็กซี่-ไร้ฝีมือ” ของ “ช่างเอิง” ช่างตัดผมสุดฮอตมาแรง ท่ามกลางกระแสโจมตีตัดผมเดลิเวอรี “รับงานดึก-ไปที่ลับ” พร้อมไขข้อสงสัยประเด็นหน้าคล้ายนางเอกหนังโป๊ใน OnlyFans และเปิดมุมมองการต่อสู้ที่ไม่ได้มีดีแต่ความสวย!!
เบื้องหลังลูกค้าหื่น "ชวนไปที่ลับ-ตัดขนด้านล่าง"
“ตัดผมอย่างเดียวเหรอครับ ถ้าพิเศษด้วยได้ไหม ถึงเขาจะบอกว่าขอโทษนะครับที่ถาม แต่ก็จะไม่ไปแล้ว...”
ปัตตาเลี่ยน ไดร์ กรรไกร ผ้าคลุม อุปกรณ์ครบครัน พร้อมกับช่างตัดผมชายที่สวมเดรสสุดแซ่บ คือ “ช่างเอิง- ชฏาพร ประสมทอง” วัย 30 ปี เจ้าของร้าน “Great Time Barber” ที่เรียกได้ว่าหากพูดถึงช่างตัดผมชายสุดฮอต หนึ่งในนั้นต้องมีชื่อของเธอผู้นี้ ที่ต้องหาคิวจองแทบไม่ทัน
แรงกระแทกจากวิกฤตโควิด-19 กลับส่งให้เรื่องราวของช่างตัดผมเดลิเวอรีที่รับตัดผมเฉพาะผู้ชาย และรับตัดนอกสถานที่ของเธอถูกแชร์ออกไป สวนวิกฤตสุดๆ สร้างรายได้ “หลักแสนภายใน 20 วัน” และเป็นหนึ่งจุดประกายให้เธอมีหน้าร้านของตัวเอง
“ลูกค้าเดลิเวอรีส่วนมากจะมาจากโควิด-19 รอบแรก เอิงได้ลง (ในเพจ) ว่าได้ตัดผมเดลิเวอรี ตอนนั้นเริ่มมีฐานลูกค้า และลูกค้าเรียกมาเรื่อยๆ ตอนนี้ก็ยังเรียกอยู่แต่ว่าเอิงไม่ได้รับแล้ว เพราะว่ามีหน้าร้านแล้วอยากให้ลูกค้ามาที่ร้านมากกว่า
ตอนนั้นเป็นประเด็นคนแชร์เพราะว่าช่างตัดผมเซ็กซี่ ช่วงนั้นร้านตัดผมมันปิด ที่ไหนมันก็ปิด คนก็เลยแชร์เยอะ ครั้งแรกรอบแรกก็มีช่องข่าวมาขอสัมภาษณ์เยอะ แต่ตอนนั้นด้วยความที่กลัว เพราะว่าเขาปิดร้านตัดผม แต่เราออกไปตัด เราก็กลัวโดนดรามาโดนด่าว่า เขาปิดร้านยังสาระแนออกไปตัดอีก
สแกนงานหรือสแกนคน คือ จากการคุยก่อนค่ะ คุยแบบว่าลูกค้าคนนี้คุยปกติไหม เราก็จะถามเขาไปเรื่อยๆ คุยกันไปเรื่อยๆ เอิงเคยถามรับตัดข้างล่างไหมครับ ตัดผมอย่างเดียวเหรอครับ ถ้าตัดข้างล่างด้วยได้ไหม นี่ก็บอกว่าไม่ได้ค่ะ ก็ไม่ได้รับ ก็ไม่ไปเลย
ที่ลูกค้าส่อว่าไม่โอเค ก็มีคำว่ามีพิเศษไหม รับตัดข้างล่างไหม มาคนเดียวรึเปล่า มาคนเดียวได้ไหม ถ้าอย่างนี้คือไม่ปกติ ถ้าแค่ตัดผมไม่น่าจะถามอะไรแบบนี้”
แน่นอนว่าในมุมมองของสังคม กลับมองถึงภาพลักษณ์มากกว่าฝีมือการตัดผมของช่างเอิง ที่ถูกสั่งสมมานานหลายปี ทำให้เส้นทางซาลอนของเธอนั้นเต็มไปด้วยการถูก “sexually harassment” ที่เธอต้องฝ่าฟันมานับไม่ถ้วน อีกทั้งเคยถูกชักชวนให้รับกำจัดขนด้านล่างมาแล้ว
“ถ้าไปเดลิเวอรีจะไม่แต่งตัวแบบนี้ จะแต่งตัวเรียบร้อยกว่านี้ คือ ใส่เสื้อยืด กางเกงยีนส์ ชุดทำงานปกติ…แรกๆ ก็มีเพื่อนไปด้วย แต่พอมันเริ่มอยู่ตัว เริ่มชินกับมัน ก็ไม่ให้เพื่อนไป เพราะเพื่อนต้องรับงานเหมือนกัน
ช่วงเวลาเดลิเวอรีก็จะเริ่มตั้งแต่ 8 โมงเช้า ถึง 6 โมงเย็น คือช่วงนั้นรอบแรกคืองานเยอะมาก เยอะทุกวัน ข้าวแทบไม่ได้กินหาแต่เงิน มาดูเงินอีกทีเยอะมาก ได้เงิน 6 หลัก ภายใน 20 วัน ไม่มีเวลาใช้เลย
ตอนที่ไปตัดผมเวลาเที่ยงคืน ไปเพราะรายการค่ะ ถ้าเป็นลูกค้าเรียกอย่างนี้ก็คงไม่ไปค่ะ 6 โมงก็ไม่ไปแล้วค่ะ เพราะกว่าจะตัดเสร็จมันก็ดึกแล้ว เราจะรับจำกัดแค่ 5 โมงค่ะ
ถ้าชวนไปที่แปลกๆ ไม่ค่อยมี แต่อาจจะมีคอนโดฯ ที่เราไม่รู้จัก ลึกลับ เราจะดูคอนโดฯ ที่ดูน่าเชื่อถือ คนพลุกพล่าน
เอิงจะถามก่อนว่าลูกค้าอยู่กับใครคะ ต้องถามรายละเอียดก่อนไปตัด เช่น ตัดตรงไหน ลูกค้าควรเตรียมอะไร มีสะดวกที่ตัดไหม ขอแสงไฟ ขอไฟเยอะๆ ไปตัดผมลูกค้า 2 คนก็มี เพราะบางคนเขาอยู่คอนโดฯ คนเดียว ก็ไม่มีอะไร ก็ตัดปกติ อาจจะเพราะเราตัวจริงไม่ได้เซ็กซี่หรือเราไม่ได้พูดล่อแหลมกับลูกค้า เป็นคนเฟรนลี่ เป็นคนห้าวๆ มากกว่า”
ไขข้อสงสัย ช่างตัดผม “เซ็กซี่” รับงาน “OnlyFans”
หลายคนอาจจะมองว่าเพราะความสวย เซ็กซี่ คือจุดที่เป็นช่างตัดผมชายสุดฮอตได้ แต่เธอรีบให้คำตอบเอาไว้ว่า “เราไม่อยากให้ลูกค้ามองเราเป็นอย่างอื่น อยากให้มองเป็นช่างตัดผม” พร้อมที่จะลงมือทำเพื่อพิสูจน์ตัวเอง
ถึงแม้มีอุปสรรคมาทำลาย ชวนเธอหวั่นกลัวเสมอ เธอยอมรับอย่างตรงไปตรงมาถึงความปลอดภัยของตัวเธอเอง การรับงานตัดผมทุกครั้ง จะต้องผ่านการสแกน ด้วยการพูดคุยกับลูกค้าก่อนเสมอ
พร้อมไขข้อสงสัยหมดแม็ก ถึงการรับงานที่ถูกมองว่าเป็นการเรียกแขก จนล่าสุดทำเธอเดือดร้อนหนัก ถูกผู้ไม่หวังดีนำภาพของเธอไปลงใน “OnlyFans” ยิ่งสร้างความเข้าใจผิดให้คนหมู่มาก
“ถ้าหน้าหนูไปเหมือนคลิปใน OnlyFans เป็นตอนล่าสุดเลย เมื่อก่อนจะเปิดโควิด-19 ช่วงเดือนกันยา มันจะมีคลิป OnlyFans แล้วก็ทักมาเยอะมาก
ทักมาว่า รับงานไหมครับ ราคาเท่าไหร่ มีเรตเท่าไหร่บ้าง อันนั้นคือล่าสุด แต่หนูไม่ได้รับนอกสถานที่แล้ว เพราะว่ามีคนถามอย่างนี้เยอะ หนูไม่กล้าไปเลย
เพราะบางคนไม่เข้าใจก็มี แต่ถ้าเป็นลูกค้าหนูเขาจะรู้ว่าไม่ใช่หนู แต่บางคนไม่รู้เขาจะคิดว่าใช่ เราก็ไม่กล้าไปแล้ว เพราะคนมองในแง่นั้นหมดแล้ว
หนูไม่รู้ว่าใครเป็นคนแชร์ คนเอารูปหนูไปทำ บอกตัดเช้ากลับเย็น 1,500 ตัดเย็นกลับเช้า 5,000 แล้วก็เอาหน้าหนูส่งพร้อมคลิป OnlyFans อันนั้น คือแชร์กันเยอะมาก ลูกค้าก็ส่งมาให้ดู
เขาคงทำเพื่อสนุก แต่ตอนนั้นคือแย่มาก หงุดหงิด คือโทร. ทั้งวัน ตั้งแต่เช้ายันเย็น สายเข้าไม่หยุดเลย ไม่ได้โทร. มาตัดผมนะ โทร.มาถามว่ารับงานไหมครับ โทร.ทั้งวัน
เราก็ปฏิเสธไป ด่าไปบ้างก็มี และบางทีก็อธิบายให้เขาฟังก็มี ว่ามันไม่ใช่จริงๆ แล้วก็ส่งรูปให้เขาดูว่า เฮ้ย! มันคนละคนนะ OnlyFans คลิปนั้นมันมีรอยสัก แต่หนูไม่มีเลย ก็อธิบายให้เขาเข้าใจไป แต่ว่าเราอธิบายทุกคนไม่ไหว เราเหนื่อย ก็เลยช่างเหอะ ช่างแม่ง
ยอมรับว่าเฟลค่ะ ก็โทร.ไปคุยกับแอดมินทุกวัน แม่งกูเหนื่อยมาก ต้องมานั่งอธิบาย กูควรเอาเวลาไปทำอย่างอื่นไหม แต่ตอนนั้นเราก็ต้องรับโทรศัพท์ เผื่อมีลูกค้านัดเข้ามาจริงๆ เพราะว่าตอนนั้นเราไม่ตัดเอง หนูให้เพื่อนในทีมไปตัด แต่เราเป็นคนหาลูกค้าให้ เราก็เลยต้องรับ และต้องมานั่งตอบคำถาม เกือบ 100% ถามว่ารับงานไหม ตัดผมจริงๆ ก็ 1%”
เรียกได้ว่าเห็นวางท่าเป็นสาวมั่นใจในตัวเอง สวมชุดรัดเปรี๊ยะเป็นเพียงภาพลักษณ์ที่คนอาจจะแต่งเสริมเติมแต่ง ทว่าเอาเข้าจริง ช่างเอิงกลับรู้สึกไม่มั่นใจในรูปร่างตัวเอง และมองว่าตัวเองไม่ได้เป็นอย่างนั้น ถึงขั้นจะรับงานแนว “เซ็กซี่”
“ความเซ็กซี่ ก็อยากให้ลูกค้าโฟกัสผลงานมากกว่า ตอนแรกลูกค้าเขาก็คิดอย่างนี้ แต่พอลองมาตัด เขาก็โอเค ที่ตัดถูกใจก็กลับมาซ้ำ เพราะเอิงคิดว่าถ้าตัดไม่ดี ลูกค้าก็คงไม่กลับมา
ถ่ายแบบเซ็กซี่เอิงก็ไม่ได้รับนะคะ เพราะมองว่าตัวเองไม่ได้เป๊ะพอ ไม่กล้าอวดหุ่นตัวเอง เพราะคิดว่ายังไม่เหมาะกับลุคนั้น”
สวย-เซ็กซี่ นี่แหละ “จุดขาย”? “เราต้องดูแลตัวเองให้ดูดีตลอดเวลา บางทีก็มีพูดกับแอดมินเลย ว่าหน้ากูต้องสวยตลอด วันไหนที่ลูกค้ามาเจอ ไม่แต่งหน้าหรือหน้ามัน อ้าว! นี่ใช่ช่างเอิงรึเปล่า ...ก็มี บางวันทำงานหน้ามัน หูฟู ลูกค้าเข้ามา เฮ้ย! ใช่ปะเนี่ย บางทีรู้สึกว่าเหนื่อยจังเลย ทำไมกูต้องทำสวยตลอดเวลา บางวันเราก็ไม่ได้อยากแต่งหน้า อยากปล่อยตัวเอง เพราะคนจำเราในภาพนั้นเลย กลัวทุกคนไม่โอเค” |
พลิกวิกฤตโควิด-19 คว้าโอกาสเปิดหน้าร้าน!!
“เข้ามาวงการนี้แรกๆ ก็มาโดยที่ไม่มีเป้าหมายและไม่ได้ตั้งใจว่าเราจะไปสายอาชีพนี้ แต่เข้ามาเพราะว่าเพื่อนชวน แล้วมันสนุก ก็เลยลองทำดู และสนุกโอเค ...ชอบ ก็ทำไปเรื่อยๆ
ทำไปบ้าง เล่นบ้าง ระหว่างนั้นเราก็หาอาชีพอื่น แต่สุดท้ายก็มาที่อาชีพนี้ เพราะมองว่าหาเงินง่าย เราอยู่ที่ไหนก็ได้ และเป็นอาชีพที่ติดตัวเราไปตลอด เราสามารถไปอยู่ที่ไหน เราก็มีอาชีพ”
อย่างที่เกริ่นไว้ข้างต้น ว่าจากที่ไม่ได้คิดเปิดหน้าร้านเป็นของตัวเอง ก็มีเหตุการณ์ทำให้ต้องกลับมาคิดทบทวน จนได้ร้าน “Great time barber” มาเกือบ 1 ปี
ผ่านคำบอกเล่าของเอิง ในวิกฤตก็ยังมองเห็นโอกาส คือ เมื่อเกิดวิกฤตโควิด-19 บทบาทของชีวิตมีการเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเธอเริ่มมองเห็นเดดไลน์ และความไม่แน่นอนในชีวิตมากขึ้น
“ตอนแรกก็ไม่คิดว่าจะเปิดร้าน เพราะว่าเราคิดว่าเราทำเดลิเวอรีโอเคแล้ว ตัดผมนอกสถานที่ เรามีฐานลูกค้าแล้ว
แต่ด้วยความที่เพื่อนและแม่บอกว่า ถ้าเราไม่มีหน้าร้าน เราไม่สามารถรับลูกค้าได้ทุกคน เราต้องมานั่งรอลูกค้าทักมา จองมา แต่ถ้าเรามีหน้าร้านลูกค้าสามารถ walk in เข้ามาได้ ก็เลยมาเปิดร้านกับเพื่อนค่ะ
ตอนนั้นที่กล้าเปิด เพราะว่าคนเริ่มรู้จักเยอะแล้ว คือเรามีฐานลูกค้าที่ตัดนอกสถานที่บ้าง มี FC มีคนในเพจเยอะ
เราก็เลยคิดว่าบางคนไม่สะดวกที่จะไปตัดที่บ้าน แต่เขาอยากตัดกับเรา เราก็เลยลองคำนวณดู ก็เลยกล้าที่จะเปิดตอนโควิด โควิดก็เริ่มเงียบๆ แล้ว เราก็คิดว่าซาแล้ว มันไม่คิดว่ามันจะมีอีก”
เธออธิบายต่อว่า อดีตเคยเป็นลูกน้องร้านช่างเสริมสวยผู้หญิงมาก่อน แต่ด้วยอุปนิสัยชอบความอิสระ ทำให้เธอลาออกจากงานประจำ หันมาทำฟรีแลนซ์เต็มตัว
“เอาจริงๆ เอิงไม่เคยค้นพบตัวเองว่าเหมาะกับอะไร แต่เอิงรู้สึกว่าเอิงทำงานแบบนี้ ไม่ยุ่งกับใคร เอิงชอบ เอิงไม่ชอบอยู่กับคนเยอะๆ เอิงไม่ชอบคนนินทา
ทำงานออฟฟิศเยอะๆ แล้วเครียด เพราะเอิงเป็นคนคิดเยอะมาก จนเพื่อนบอกว่าเฮ้ย! มึงจะคิดเยอะไม่ได้นะ คิดทุกเรื่องไม่ได้ แล้วเอิงคิดว่าอาชีพนี้ เอิงสามารถทำคนเดียวได้ ไม่ต้องทำกับเพื่อนก็ได้ ก็เลยมาทางนี้เพราะว่ามันอิสระ แล้วไม่ต้องยุ่งกับใคร
ด้วยความที่เอิงไม่ชอบการทำงานที่มันนินทากัน เพราะเอิงเคยทำตอนที่เคยอยู่ร้านทำผมผู้หญิง มันก็มีช่างผู้หญิง เดือนนึงเปลี่ยนหลายร้านมาก พอเราทำเรารู้สึกว่า เฮ้ย! เพื่อนร่วมงานเยอะ เพื่อนร่วมงานเริ่มเอาเราไปนินทา เราเริ่มได้ยินมาบ้าง ก็เลยลาออก...อยู่ไม่ได้ ก็เลยมาด้านนี้ เพราะว่าคิดว่าเป็นอาชีพที่อิสระ ไม่ต้องยุ่งกับใครเยอะ”
เส้นทางความฝันของเธอ ไม่ได้ถูกฉายชัดเฉกเช่นคนอื่น แต่กลับช้ากว่าคนอื่นด้วยซ้ำ เพราะไม่รู้ด้วยซ้ำว่า สิ่งที่เธอทำ เป็นสิ่งที่เธอชอบ เป็นความฝันของเธอจริงๆ หรือไม่
“ตอนเด็กๆ ไม่เคยมีความฝัน ไม่อยากเป็นอะไรเลย เราก็เรียนหนังสือปกติ ไม่คิดว่าจะมาทำผม และได้เจอเพื่อนที่เขาเรียนมาทางด้านนี้ แล้วเราก็เรียนรามฯ ด้วย แล้วเพื่อนก็ลองชวนมา
เราก็ลองเรียนกับเพื่อน อยู่ร้านเดียวกับเพื่อน แล้วรู้สึกว่ามันโอเค ก็เลยมาทางด้านนี้ เหมือนไม่ได้ตั้งใจ มันก็มาของมันเอง
ตอนเอิงทำงานประจำ คือ เป็นช่างซาลอนอยู่ร้านประจำ อยู่วงการผมมาตั้งแต่เด็กๆ เลย คือก่อนหน้านี้หนูก็เป็นช่างตัดผม แต่เป็นลูกน้อง ไม่ได้เป็นธุรกิจของตัวเอง แต่พอมาเป็นธุรกิจตัวเอง แทนที่เราคิดว่ามันสบายใช่ไหม มันกลับเหนื่อยมากขึ้น ภาระเยอะขึ้น ความรับผิดชอบเยอะขึ้นค่ะ
การที่เรามาเป็นเจ้าของตัวเอง มันต้องมีระเบียบเยอะกว่าเดิม เพราะว่ามันเป็นร้านของเราเอง เราจะทำอะไรมันต้องคิดเยอะขึ้น
เมื่อก่อนเราเป็นลูกน้อง ก็คิดว่า เออ…มารับเงินเดือน เราอาจจะไม่ได้คิดเยอะ แต่พอมาเป็นเจ้าของร้าน เราต้องคิดเยอะ จะทำยังไงให้มีลูกค้า ต้องทำการตลาดยังไง ต้องดึงลูกค้ายังไง คือ คิดเยอะ คิดตลอดว่าทำยังไงให้ลูกค้าเข้าร้านมาเยอะๆ”
เธอยังบอกอีกว่า ย้อนกลับไปการค้นพบความสนุกในการรังสรรค์ผมในอดีต ทำให้เธอเบนเข็มทิศ จากการเป็น “ครู” มุ่งเรียนช่างเสริมสวยเฉพาะทาง
“เอิงเคยเรียนศึกษาศาสตร์ เรียนครู ตอนนั้นเคยมีแฟน แฟนเขาให้เรียนมาทางด้านนี้ เป็นคนชอบอิสระ ก็เลยมาเรียนมาทางด้านนี้ ฝึกมาทางด้านนี้
ตอนแรกก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองจะมาเป็นช่างตัดผม แต่พอได้ทำรู้สึกมันสนุก เอิงเรียนเฉพาะทาง เรียนโรงเรียนเสริมสวยเลยค่ะ หนูเรียนหลายสถาบันมาก หน้ารามฯ ก็มี เรียนตามที่คนที่เขาไม่ได้เปิดโรงเรียน เหมือนคนที่เก่ง
แล้วเราไปเรียนกับเขา ก็เรียนเยอะ เพราะว่าเราต้องหาความรู้ หาประสบการณ์เยอะ ไม่ได้ว่าเรียนทีเดียวแล้วจบ เราต้องหาประสบการณ์ความรู้เยอะเลย
ถ้าเรียนโรงเรียนเสริมสวย ก็จะได้พื้นฐานเบื้องต้น แต่ที่มาเรียนกับอาจารย์เฉพาะทาง คือ เรียนตามร้าน เรียนกับคนที่เก่งแล้ว คือมันเป็นตัวต่อตัว เราจะเข้าถึงได้เยอะกว่า ที่เรียนโรงเรียนหลายคนเยอะๆ
พื้นฐานที่ต้องมี คือ การแบ่งช่อ การแบ่งผม และพื้นฐานของการเรียนตัดผมเลย การจับกรรไกร การหวี การลงสี การลงน้ำยา แต่ว่ามันก็ไม่มีเทคนิคเยอะ ก็เป็นพื้นฐานเลย ถ้าเราไปเรียนกับคนที่เก่งแล้ว มีประสบการณ์แล้ว เขาจะสอนเทคนิคค่ะ คือสอนตัวต่อตัวมันก็ได้เยอะกว่า
ด้วยความที่เราเป็นคนชอบดูแลตัวเอง ชอบทำผมอยู่แล้ว เราก็เลยอยากทำให้คนอื่นดูดี เราชอบแบบนี้ เราก็อยากให้ลูกค้าออกมาให้เหมือนที่เราตั้งใจ”
แฮร์สไตล์ลิสต์ยืนหนึ่ง “ไม่หลอกลวง” ลูกค้า “ถ้ามีลูกค้ามา เราจะบอกเขายังไงว่าทรงผมแบบไหน เส้นผมแบบไหนเข้าทรงผมเขา เราก็แนะนำเขาว่าถ้าเป็นผมแบบนี้ ถ้าลูกค้าจะเอาแบบนี้มันไม่ได้ คือพูดตรงๆ บางทีลูกค้าผมบาง แล้วเขาจะเอาทรงผมที่เขาต้องการ เราก็จะบอกว่าไม่ได้ค่ะ พี่หัวล้าน เราพูดตรงจำเพื่อนทุกคนหันมองหน้า เฮ้ย!! มึงพูดว่าผมลูกค้าบางก็ได้ ถ้าพูดแบบนั้นทำให้ลูกค้ารู้สึกไม่ดี รู้สึกเฟล เราพูดตรง เราก็ไม่ได้คิด หนูว่าคนเป็นช่างน่าจะมองออก ทุกคนน่าจะได้ศึกษาว่า เส้นผมแบบนี้เข้ากับเขาไหม ทรงนี้เข้ากับเขาไหม บางทีลูกค้าเอารูปมาให้ดู แต่เส้นผมเขามันไม่ได้ ก็บอกเขาว่ามันไม่ได้พี่ ถ้าตัดจะเหมือนหัวเห็ด เราก็ยกภาพตัวอย่างให้เขาดู ว่ามันจะประมาณนี้ ลูกค้าก็เชื่อนะคะ แต่มีลูกค้าที่ไม่เชื่อช่างก็มี ตัดไปแล้วมันไม่โอเค พอมันตัดไปแล้วไม่โอเค เราก็รู้สึกไม่ดี ถึงลูกค้าจะเป็นคนเลือกก็ตาม วิธีสังเกตเราเหมือนใช้จินตนาการ เราก็มองลูกค้าแล้วจินตนาการว่าถ้าลูกค้าผมทรงนี้จะเข้ากับเขาไหม ทรงแบบไหนจะเข้ากับเขา” |
ยิ่งดัง ยิ่งต้องพิสูจน์ตัวเอง
ก่อนจะค้นพบว่าตัวเองหลงรักวงการ “ผม” ที่สุด เอิงต้องผ่านกระบวนฝึกฝน หาคอร์สเรียน ลองผิดลองถูกมานับไม่ถ้วน แถมโดนสบประมาท เพราะด้วยเพศสภาพ
“ถ้าตอนแรกๆ ตอนเรียนจบใหม่ๆ ก็ไม่ค่อยกล้าตัด ทะเลาะกับเจ้าของร้านตลอด เพราะเจ้าของร้านบอกว่าให้ตัดเลย แล้วเราก็ไม่กล้า แต่เจ้าของร้านเขาก็ดี เขาลองให้เราตัด แล้วเขาไปแก้เองทีหลัง ก็ต้องใช้ความใจกล้าก่อน เราต้องกล้าก่อน แล้วฝึกฝนเยอะๆ ก็ใช้เวลาประมาณเป็นปี
เมื่อก่อนเอิงอยู่ต่างจังหวัด เอิงอยู่ร้านผู้หญิง แต่ตอนที่เข้ามากรุงเทพฯ มาตัดผมผู้ชายก็อยู่ประจำร้านผู้ชายเลยค่ะ พอเราอยู่ร้านผู้ชายบาร์เบอร์ ผู้ชายส่วนมากจะไม่ค่อยตัดด้วย เพราะเขาบอกว่ากลัวตัดไม่ดี ผู้หญิงจะไม่ค่อยเข้าใจทรงผมเท่าผู้ชาย
ตอนนั้นก็รู้สึกนอย เฟลมาก รู้สึกเสียใจที่ทำไมทุกคนมองที่ภายนอก ทำไมทุกคนมองแค่เพศ ทำไมทุกคนไม่ลองตัดก่อน เอิงคิดว่าการที่เราจะพิสูจน์อะไรเราต้องได้ลองก่อน ถึงว่าจะตัดสินใจได้ว่าดีหรือไม่ดี
เราโดนสบประมาท ก็เลยอยากพิสูจน์ว่าเราก็ทำได้ ผู้หญิงก็ทำได้ แต่ลูกค้าเอิงส่วนใหญ่เขาก็จะมองภายนอก บางคนอยากมาลองตัด อยากมาเจอเฉยๆ พอเขาได้ตัดเขาก็โอเค เขาก็ชมว่าตัดดี ไม่คิดว่าจะตัดดี ไม่คิดว่าจะตัดผมเป็น ก็เลยคิดว่าอ้าว! ที่มาก็คิดว่าตัดผมไม่ได้สินะ”
ไม่เพียงแค่นั้น สิ่งหนึ่งที่ช่างตัดผมสุดเซ็กซี่คนนี้ยอมรับ คืออาชีพช่างตัดผม จะต้องเป็นคนใจเย็น และมีความอดทน เพราะบางครั้งต้องตั้งรับกับอารมณ์กับลูกค้า
“ต้องเป็นคนใจเย็นและมีความอดทน เพราะเจอลูกค้าเหวี่ยงก็มี เราต้องมีความอดทนกับมัน บางทีลูกค้าเรื่องเยอะ ลูกค้าเหวี่ยง ลูกค้าวีนมี เราต้องใจเย็นและต้องอดทน
เคยมีเหตุการณ์ คือ หนูไม่รู้ว่าเขาไม่พอใจรึเปล่า หนูสระผมอยู่ๆ เขาสะบัดผ้าและลุกขึ้นไปเลย ตอนนั้นจะร้อง ไม่เคยเจอ มันเป็นครั้งแรก
เฮ้ย! เราทำอะไรผิด ตอนนั้นเป็นรุ่นน้องเขา ก็ตัดได้เป็นปีแล้ว ก็มีประสบการณ์เป็นปีแล้วค่ะ หนูไม่รู้ว่าเพราะอะไรเขาถึงลุกขึ้นเดินขึ้นไป แต่ว่าเขาก็โทร.มาขอโทษ เขาบอกว่าหนูทำน้ำเปียกหลังเขาเยอะมาก เขาเลยรู้สึกไม่โอเค เขาก็เลยลุกขึ้นเดินไป แต่หนูว่าถ้าเราทำความเข้าใจ ลูกค้ามาตัดผมเราก็อธิบายก่อน เราสื่อสารกันเข้าใจ มันก็น่าไม่มีปัญหา”
ถึงแม้มีอุปสรรคมาทำลายความตั้งใจ แต่ด้วยความชอบของเธอก็ไม่ได้ลดน้อยลงไปเลย ระยะเวลากว่า 10 ปี เธอยืนหยัดด้วยตัวเอง ไม่คิดยอมแพ้ หาลู่ทางให้ตัวเองจนได้
“นานไหมกว่าจะมีลูกค้าเชื่อ ก็ใช้เวลาพิสูจน์หลายปี แล้วทำไงให้ลูกค้าเชื่อ เราก็พยายาม present ตัวเอง พยายามแนะนำลูกค้า พูดให้ลูกค้าเข้าใจว่าทรงผมนี้เป็นแบบนี้นะ ทรงแบบไหนจะเข้ากับลูกค้า คือ ขั้นตอนแรกเราต้องคุยกับลูกค้าก่อน ให้ลูกค้าเชื่อมั่นว่าเราทำได้ เรารู้จริงค่ะ และพิสูจน์ต่อไป คือ ฝีมือ
หนูไม่รู้ว่าหนูชอบมันรึเปล่า แต่ทุกครั้งที่หนูทำ หนูมีความสุข หรือเวลาที่เราเหนื่อย เราเครียดแล้วเราได้รู้สึกว่า เราได้ทำงานตรงนี้ แล้วเราได้ลืมไปเลย เรามีความรู้สึกมีความสุขไปกับมัน
ความภาคภูมิใจในการทำอาชีพนี้ ทำให้มีเงินเก็บ แต่ว่าตัดผมนอกสถานที่ มีเงินเก็บ เพราะปกติเป็นคนเก็บเงินไม่เก่ง ใช้เงินเก่ง เราทำงานประจำเงินมันก็ไม่พอใช้ ตอนโควิด-19 ทำงานนอกสถานที่ ทำให้เราเก็บเงินได้เลย แล้วก็มีเงินมาลงทุนร้าน”
ไม่หวั่นช่างตัดผมยุค “โควิด” “สำหรับเอิงคิดว่าอาชีพช่างตัดผมมั่นคง เพราะว่าไม่มีเกษียณ เหมือนอาชีพอื่นมีเกษียณ แต่อาชีพนี้เป็นอาชีพอิสระ ทำได้ตลอด ถ้าเราไหว 40-50 ปี เราก็ทำได้ แต่งานบางงานมันก็เกษียณอยู่ที่ 60 ปีแต่อันนี้คือ 60-70 ถ้าเรายังไหว เราก็ทำได้เรื่อยๆ ตลอด เพราะลูกค้าทำให้เราอยู่รอด ถ้าไม่มีลูกค้าจะอยู่รอดได้ยังไง ช่วงโควิดอะไรที่ทำให้เราผ่านมา เรามีฐานลูกค้าอยู่แล้ว และลูกค้าก็มาตัดกับเรา เราก็ขายของออนไลน์ด้วย ขายทุกสิ่งทุกอย่างในเพจ เพราะเราต้องใช้ชีวิต ต้องดำเนินต่อไป ทำอะไรก็ได้ก็ทำ ยอมรับตอนแรกเพื่อนๆ ช่างคุยกัน เขาก็กลัว เพราะมันมีข่าวว่าร้านทำผมคนจะน้อย เพราะคนหันไปตัดผมเอง หันไปฝึกตัดผมเอง ตอนแรกก็มีหวั่นๆ แต่หนูว่าพอเหตุการณ์ปกติ ถ้าอยากตัดทรงที่มันถูกใจ เท่ๆ หนูว่าบางทรงเขาก็ไม่สามารถทำเองได้รึเปล่า ส่วนมากที่ตัดเอง ก็จะเป็นทรงสกินเฮด” |
ดูโพสต์นี้บน Instagram
...ผัน “การกลั่นแกล้ง” ในโซเชียลฯ ให้กลายเป็น “เงินหลักแสน” ใน 20 วัน!!...
>>> https://t.co/iJOt5u0GRE
.
“ตัดผมอย่างเดียวเหรอครับ ถ้าพิเศษด้วยได้ไหม รับตัดข้างล่างไหม มาคนเดียวหรือเปล่า มาคนเดียวได้ไหม ถ้าถามแบบนี้ คือไม่ปกติแล้ว”
.#ช่างเอิงบาร์เบอร์ #ช่างตัดผม #onlyfans pic.twitter.com/VHSfp6FSft— livestyle.official (@livestyletweet) November 11, 2021
สัมภาษณ์ : ทีมข่าว MGR Live
เรื่อง : ภูริฉัตร ปริยเมธานัยน์
คลิป : อิสสริยา อาชวานันทกุล
ภาพเคลื่อนไหว : อิสสริยา อาชวานันทกุล, ภูริฉัตร ปริยเมธานัยน์
ภาพ : ธัชกร กิจไชยภณ
ขอบคุณภาพ : แฟนเพจ “ชาร์เอิง บาร์เบอร์”
ขอบคุณสถานที่ : ร้าน “Great Time Barber” (ห้างฯ “Tree on 3” พระราม 3)
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **