ไขข้อกังวลใจ จะเกิดน้ำท่วมใหญ่ “กรุงเทพฯ-ปริมณฑล” ซ้ำรอยประวัติศาสตร์เดิม สังคมผวาหนัก ไร้ทางเลือก-โดนซ้ำเติม ผู้เชี่ยวชาญเตือน ไม่ควรประมาท สะท้อนโควิดว่าวิกฤตแล้ว น้ำท่วมซ้ำเติมหายนะกว่าเดิม!?
ผวา! น้ำท่วมหนัก ซ้ำรอยปี 54
“มันก็น่ากลัว…” รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์ ผู้อำนวยการศูนย์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภัยพิบัติ มหาวิทยาลัยรังสิต เปิดใจกับ ทีมข่าว MGR Live หลังเกิดกระแสว่า จะเกิดน้ำท่วมใหญ่ซ้ำรอยปี 54 ทำให้สังคมเกิดความวิตกกังวลในวงกว้าง
“เหมือนกับสุโขทัย ที่เคยท่วมจากน้ำเหนือมาก็ท่วมแบบนี้ ตอนนี้น้ำมาจากด้านข้างก็ท่วมแบบนี้ ถามว่าต่างกันไหม มันก็ท่วมเหมือนกัน เพราะฉะนั้นเหตุการณ์ถ้าท่วมมันก็น่ากลัวหมด คนที่เคยโดนน้ำท่วมคงรู้ว่าเป็นยังไง แต่ว่าแน่นอนมันจะไม่เป็นเหตุการณ์แบบหลากมาจากน้ำเหนือ เพราะว่าน้ำเหนือมันน้อย แต่ว่ามันหลากมาจากด้านข้าง”
ปฏิเสธไม่ได้ว่า ในพื้นที่ 14 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่, ลำพูน, ลำปาง, ตาก, สุโขทัย, พิจิตร, ขอนแก่น, ชัยภูมิ, นครราชสีมา, อุบลราชธานี, นครสวรรค์, ชัยนาท, สิงห์บุรี และพระนครศรีอยุธยา กำลังเจอสถานการณ์น้ำท่วมใหญ่ จากอิทธิพลของร่องมรสุม และพายุโซนร้อน “เตี้ยนหมู่” โดยเฉพาะพื้นที่ภาคกลางตอนเหนือ ภาคอีสานในโซน จ.นครราชสีมา
อีกทั้งยังมีข่าวเรื่องเขื่อนลำเชียงไกรแตก แต่ทางกรมชลประทานยืนยันว่าไม่แตก ยิ่งส่งให้หลายคนผวาหนัก กับสถานการณ์น้ำท่วมในปีนี้ จะเกิดน้ำท่วมใหญ่เหมือนครั้งปี 54 และจะทะลักเข้ามาถึงกรุงเทพฯ รวมทั้งปริมณฑล หรือไม่
โดยผู้เชี่ยวชาญให้ความเห็นว่า แม้จะมีกรณีน้ำท่วมเกิดขึ้นในหลายจังหวัด แต่โอกาสน้ำท่วม กทม. และปริมณฑล เหมือนปี 54 มีโอกาสเป็นไปได้น้อย นอกจากจะมีน้ำระบายไม่ทัน ทำให้เกิดน้ำท่วมขังเป็นเวลานาน
และเมื่อเทียบปริมาณน้ำฝนในภาคเหนือและภาคกลางของปีนี้ ยังน้อยกว่าปี 54 แต่ที่ต้องเฝ้าระวัง คือ พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ เพราะปีนี้ ปริมาณฝนสูงใกล้เคียงปี 54
“เรารู้ว่าขณะนี้ปล่อยน้ำมาเหนือเขื่อนด้วยปริมาณน้อยกว่าปี 54 แน่นอน ตอนนี้ปล่อยน้ำมา 2,600 (ลบ.ม./วินาที) ซึ่งปี 54 ผ่านเขื่อนเจ้าพระยาเกือบครึ่งเขื่อน เกือบๆ 4,000 (ลบ.ม./วินาที)
แต่ไม่ได้หมายความว่า ความเสี่ยงมันไม่มี เพราะว่ามีการคาดการณ์ว่า ฝนจะตกหนัก พายุจะเข้ามา 2 ลูก ในเดือนตุลาคม วันที่ 8 และวันที่ 13 ซึ่งลูกแรกโอกาสเข้าสูงมาก เพราะชัดเจน แต่ลูกที่ 2 ไม่แน่ เพราะฉะนั้นเราไม่รู้ว่าฝนจะตกเหนือเขื่อนหรือใต้เขื่อน
ถ้าฝนตกเหนือเขื่อน เขื่อนสามารถรับได้ เราไม่มีปัญหา แต่สิ่งที่เรากังวล คือ ฝนตกใต้เขื่อน เพราะว่าช่วงเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน ส่วนใหญ่มันจะลงมาทางล่างทางธรรมชาติ
ประเด็นสำคัญ คือ น้ำเหนือไม่มาก แต่ถ้าตกใต้เขื่อน มันจะกลายเป็นเหตุการณ์เหมือนกับที่สุโขทัย เพราะฉะนั้นเรากังวลว่า ฝนจะตกในภาคกลาง ตกด้วยตัวเขาเอง เหมือนสุโขทัย หรือตกด้วยตัวเอง เหมือนกับนิคมฯ บางปู ตกแล้วระบายได้ยาก เพราะพื้นที่ต่ำ”
ไม่เพียงแค่นั้น ผู้เชี่ยวชาญยังสะท้อนให้เห็นภาพชัดให้ฟังว่า ตอนปี 54 เป็นเรื่องน้ำหลากเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งน้ำไม่ได้มาจากแม่น้ำเจ้าพระยาอย่างเดียว แต่ไหลจากทุ่งเข้าท่วมถนน เป็นคนละแบบกับปี 64
ขณะที่ กรมอุตุฯ เปิดเผยว่า ปีนี้พายุเพิ่งมาลูกเดียว แตกต่างกับปี 54 ที่รับฝนตั้งแต่ต้นปี มั่นใจว่า สถานการณ์อุทกภัย จะไม่ซ้ำรอยเดิมแน่นอน
เช่นเดียวกับ ด้าน สมควร ต้นจาน ผอ.ส่วนพยากรณ์อากาศกลาง กองพยากรณ์อากาศ กรมอุตุนิยมวิทยา ให้ข้อมูลว่า สถานการณ์น้ำท่วม กำลังจะคลี่คลายลงเรื่อยๆ เพราะฝนซาลงแล้ว ช่วงนี้จึงมีเวลาบริหารจัดการน้ำได้ โดยคาดว่า จะมีฝนอีกครั้งประมาณวันที่ 4-5 ต.ค.
ระวังปัญหาซ้ำซ้อน “โควิด-น้ำท่วม”
แม้สถานการณ์ยังไม่รุนแรงเท่าปี 54 แต่ก็ยังคงไว้วางใจไม่ได้ เพราะขณะนี้ไทยได้รับอิทธิพลจากปรากฏการณ์ลานีญา ซึ่งจะส่งผลให้ฝนตกและรุนแรงมากขึ้น แต่สิ่งที่ทางผู้เชี่ยวชาญด้านน้ำกังวล คือ โรคโควิด-19 ที่อาจเป็นอุปสรรคต่อผู้ที่จะเข้าไปช่วยเหลือ
“ห่วงใยเรื่องราษฎร ตอนนี้มันอยู่ในภาวะโควิด ถ้าเกิดปัญหาขึ้นมาจะเป็นปัญหาซ้ำซ้อน เพราะฉะนั้นมันจะยากลำบากในการบริหาร
เศรษฐกิจ คือ คนก็แย่อยู่แล้ว เนื่องจากว่าเราไม่มีเครื่องมือที่จะตัดยอดน้ำได้ขณะนี้ เนื่องจากว่าโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ เขาวางแผนไว้ไปอีก 10 ปี เพราะฉะนั้นมันเลยจำเป็นจะต้องใช้วิธีการแจ้งเตือน บอกความรุนแรงเกิดที่ไหน เมื่อไหร่ จะอยู่อย่างไร อยู่กันแบบนี้ทนอีกกี่วัน บอกให้เขารู้ เพื่อให้เขาช่วยตัวเองก่อน”
นอกจากนี้ มองถึงการรับมือ ว่าต้องติดตามสถานการณ์ ในเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน ปีนี้ เพราะมีการคาดการณ์ว่าฝนจะตกหนักกว่าปกติ จากมรสุมพายุ
“เราจึงต้องติดตามสถานการณ์ ว่า ฝนจะตกหนักจากพายุขนาดไหน ต้องประเมินว่า น้ำจะมามากขนาดไหน ที่จะทำให้ท่วมเมืองขนาดไหน นี่คือประเด็นที่จะฝาก
ตอนนี้ คือ เตรียมแล้ว วิธีการคือเตรียมได้เท่านี้ เพราะว่ามันไม่สามารถจะเตรียมอย่างอื่นได้แล้ว มันไม่มีเครื่องมือจะป้องกันแล้ว คือ ถ้ามาก็ต้องให้รู้ตัว แต่จะมาหรือไม่มา คือ อีกเรื่องหนึ่ง
ส่วนเรื่องพายุไม่มีใครคาดการณ์ได้ว่าจะหมดเมื่อไหร่ เพียงแต่ว่าเรารู้ ณ ปัจจุบัน อีก 15 วันข้างหน้า พายุจะเกิดลูกแรก ประมาณวันที่ 8-9 จะเข้าเวียดนาม
เพราะฉะนั้นเราจะได้รับผลกระทบ 9-11 และลูกที่ 2 ก็อาจจะเข้าเวียดนาม 13-15 ก็ต้องติดตาม เพราะลูกที่ 2 มีความไม่แน่นอนอยู่ แต่ขอให้ลูกแรกเตรียมรับมือก่อน”
ข่าวโดย: ทีมข่าว MGR Live
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **