สุดปัง! เปิดใจ “แอลลี่” ศิลปินครบเครื่องที่ไม่เคยหยุดพัฒนาตัวเอง แม้อายุยังน้อย แต่ไม่เป็นข้อจำกัด โดยเฉพาะล่าสุดสานฝันติดมหา’ลัยระดับโลกด้านดนตรี ที่ศิลปินระดับโลกต่างตบเท้าเข้ามาเรียน ในเพียงวัย 17 ปี พร้อมเล่าเส้นทางความฝันวัยเด็ก ที่ต้องฝ่าฟันสารพัดคำบูลลี่ จนทำให้เธอสตรอง และเป็นศิลปินมากความสามารถที่น่าจับตามองในวันนี้
เฟรชชี่ป้ายแดง วิทยาลัยดนตรีระดับโลก!!
“หนูคิดว่าการใช้เวลาเพื่อค้นหาตัวเองมันไม่มีลิมิต ว่า ภายใน 2 ปี ต้องหาตัวเองให้เจอ เมื่อไหร่ต้องหาตัวเองให้เจอ เพราะว่าหนูก็ค่อนข้างใช้เวลาเหมือนกัน…”
สวย เก่ง ครบเครื่องสุดๆ สำหรับ “แอลลี่ - อชิรญา นิติพน” ศิลปินวัย 17 ปี จากค่าย 411 Music ลูกสาวศิลปินชื่อดัง “อ่ำ-อัมรินทร์ นิติพน” กับ “จอย-อัจฉริยา อังคสุวรรณศิริ” ที่ล่าสุด เจ้าตัวก้าวสู่การเป็นเฟรชชี่เต็มตัว ในสาขาวิชา “Online Bachelor of Professional Studies in Music Business” วิทยาลัยดนตรีเบิร์กลีย์ (Berklee College of Music) เมืองบอสตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา
เรียกได้ว่าเป็นศิลปินที่ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว ทั้งเรียนร้อง เรียนเต้น เรียนภาษาเกาหลี รวมทั้งยังไม่ทิ้งการเรียน จนกลายเป็นลูกสาวแห่งชาติ และไอดอลในหลายด้าน ของใครหลายๆ คนไปแล้ว
ฮอตจนต้องรีบขอคิวเข้ามาพูดคุยถึงตัวตน ในความสุดปังของสาวน้อยมากความสามารถคนนี้ รวมทั้งเรื่องราวชีวิตที่ไม่ได้โดดเด่นแค่เรื่องการศึกษา ผลงานเพลงเท่านั้น ยังมีความโดดเด่นทางด้านแฟชั่น และการพยายามเดินตามความฝันอีกด้วย ซึ่งใครจะรู้ว่าการก้าวสู่ความสำเร็จของเธอ ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ
“ตอนแรกหนูไม่คิดว่าจะติดเลย เพราะว่าการเข้าค่อนข้างยาก เขาดูหลายๆ อย่าง หนูก็ไม่รู้ว่าด้วยคะแนน หรือ Port หนูจะพร้อมขนาดไหนสำหรับเขา ก็ไม่ได้กดดันตัวเองว่าจะต้องเข้าให้ได้ แอลลี่คิดว่าที่นี่มันเหมาะกับเรา ก็คิดว่ามันเป็น first choice ที่เราเลือก และถ้าเข้าได้ก็ดี
ก็เลยส่งไปโดยที่งงๆ เหมือนกันค่ะ คือ ตอนนั้นเพิ่งทำ Port เสร็จ เพิ่งเขียนทุกอย่างเสร็จ แล้วก็ส่งเลย เหมือนตอนที่รอมันก็เริ่มคาดหวังเรื่อยๆ เพราะเขาไม่ส่งมา มันก็เริ่มเอ๊ะ! หรือเราไม่ติด หรือเราจะติด หรือว่ายังไง
แล้วพอเขาส่งอีเมลมาแล้วมันเข้ามาใน inbox เรา วินาทีแรก คือ คิดว่ามันน่าจะไม่ติด เพราะว่าหนูลงเรียนในเดือนกันยายน แล้วคนก็น่าเต็มแล้ว หนูก็เลยคิดว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวค่อยไปเข้าตอนเดือนมกราคมแทน
แต่ว่าตอนเห็นว่าเข้าได้ก็ชื่นใจ และภูมิใจตัวเองที่เราทำอันนี้ โดยที่ไม่ได้กดดันตัวเองด้วย และเราก็สามารถไปถึง goal เราได้ด้วยค่ะ”
“ค่อนข้างยาก” เธอบอกด้วยน้ำเสียงถ่อมตน เมื่อถูกถามถึงความยาก ในการเตรียมตัวเข้ามหาวิทยาลัยเอกชนระดับโลก พร้อมบอกเล่า ถึงความภาคภูมิใจในครั้งนี้ ว่าดีใจเป็นอย่างมากที่สอบติด เพราะเชื่อว่าสถาบันจะสานฝัน ให้กับผู้ที่มีใจด้านดนตรี
“หนูเริ่มจากการสอบ เริ่มสอบเก็บคะแนนหลายอย่างมากๆ เลยค่ะ ภาษาอังกฤษ เพื่อดูว่าเราสามารถสื่อสารได้ถึงเลเวลอะไร ทุกอย่างก็สอบผ่านไปแล้วก็ต้องมานั่งทำ port ของเรา แล้วก็รวบรวมว่าเราเคยทำโปรเจกต์อะไรมาบ้าง เราเคยมีส่วนเกี่ยวข้องกับ Music Industry (อุตสาหกรรมดนตรี) ยังไง
จริงๆ หนูมีอยู่ choice เดียว และสมัครที่เดียวด้วยค่ะ เพราะว่ามันยังไม่ถึงเวลาที่หนูต้องเข้ามหา’ลัย หนูก็ส่งไปก่อนเพื่อความตื่นเต้นของตัวเอง ดูไว้ว่าที่นี่ คือ ที่คิดว่าเหมาะกับเรามากที่สุด เพราะว่ามันมี music business ซึ่งหนูคิดว่าถ้าเราไปต่อยอดอะไรได้เยอะมาก
ในฐานะที่หนูก็อยาก branch out (ต่อยอด) ในสิ่งนี้ด้วยค่ะ ก็คิดว่ามันตรงกับหนูมากที่สุด หนูก็เลือกที่นี่ไว้ที่เดียวเลย”
ยิ่งไปกว่านั้น วิทยาลัยดนตรีเบิร์คลีย์ มีรุ่นพี่ศิษย์เก่าศิลปินดังอย่าง Charlie Puth (ชาร์ลี พุท), James Valentine (เจมส์ วาเลนไทน์), Lenka (เล็งกา) จึงทำให้หลายคนมองว่า มุ่งเข้ามหา’ลัยดังนี้ หนึ่งแรงขับเคลื่อน คือ มีศิลปินรุ่นพี่ที่ถูกกล่าวมาข้างต้น ซึ่งแอลลี่ให้คำตอบตรงไปตรงมากลับมาว่า เป็นเพราะตัวเธอเองเห็นระบบการเรียนที่เหมาะสม และนำไปต่อยอดต่อการทำงานได้ เธอเองก็เพิ่งรู้ด้วยซ้ำ
“ตอนแรกหนูไม่รู้ค่ะ เพราะหนูก็ดู research ไว้ว่า music business มันมีที่ไหนบ้าง หนูก็เห็นหลายที่มากๆ แล้วคุณยายหนู ซึ่งเป็นคนที่บอสตันเหมือนกัน เขาก็ช่วยเลือก และเขาก็บอกเราว่าเคยได้ยินชื่อเบิร์กลีย์ มันดีมากเลย ทำไมแอลลี่ไม่ลองเข้าไป เขาก็มาบอกทีหลังว่า ว้าว! รุ่นพี่ so เจ๋งเป้ง หนูก็รู้สึกว่า เจ๋งมากๆ เลยค่ะ”
กว่าจะมีวันนี้ได้ ไม่ง่าย…
ย้อนกลับไปถึงเส้นทางกว่าจะก้าวเข้าสู่วงการเพลง ที่ได้รับโอกาสที่ดีจากผู้ใหญ่ จึงเดินตามความฝันด้านนักร้องจนสำเร็จ ได้เป็นศิลปินคนแรกของค่าย ที่แจ้งเกิดในเพลง “How To Love” และทำงานร่วมกับ ศิลปินและโปรดิวเซอร์ชื่อดังชาวเกาหลี
ไม่เพียงแค่นั้น แอลลี่ต้องผ่านการฝึกเป็นศิลปินที่ใช้มาตรฐานเดียวกับ K-pop ส่งไปฝึกที่ประเทศเกาหลีใต้ ใน ทั้งระบบการฝึกซ้อม การมีผู้จัดการดูแลใกล้ชิด ทีมโปรดิวเซอร์ระดับโลกที่คัดเลือกมาทำงานเพลงให้เหมาะกับศิลปินแต่ละคน ที่เรียกได้ว่าได้เห็นการถูกขัดเกลาให้เติบโตทั้งความสามารถ และการมีวินัยในการฝึกอย่างทุ่มเท ที่ผ่านคราบน้ำตามานับไม่ถ้วน
และความสำเร็จจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย หากไม่ได้การสนับสนุนจาก “ครอบครัว” ที่คอยเป็นแรงผลักดันและหล่อหลอมให้แอลลี่เป็นแอลลี่อย่างทุกวันนี้
“หนูว่าการได้รับการสนับสนุนสำคัญนะคะ หนูคิดว่าถ้าคุณพ่อคุณแม่ไม่ได้อนุญาต ไปตามความฝันตัวเอง หนูก็จะไม่ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ และรู้สึกว่าถ้าเราไม่ได้ใช้ชีวิตให้กับตัวเอง เราจะไปใช้ชีวิตให้ใครดี คิดว่าคุณพ่อคุณแม่ support ได้ดีมากๆ และรักหนูมากๆ
หนูก็รักคุณพ่อคุณแม่มากๆ เราเป็นทีมที่ดี เหมือนเขาจะให้คำปรึกษากับหนู และเขาไม่เคยปิดกั้นเรื่องอะไรเลย คือ ถ้าหนูมีคำถามอะไร หรือเรื่องอะไร หนูรู้สึกว่าถามได้หมด ถามด้วยความที่เป็นแอลลี่ที่อยากรู้อยากเห็น
คุณพ่อคุณแม่หนูจะเป็นสาย support มากๆ เลยค่ะ เวลาหนูเลือกที่จะทำอะไรใหม่ๆ หรืออยากจะลองอะไรใหม่ๆ เขาจะไม่เคยขัดหนูเลย ว่าเฮ้ย! อย่าดีกว่า เพราะว่าคิดว่ามันจะไม่ดี
สมมติหนูอยากลองอะไรที่มันโลดโผน แอลลี่จะไป Adventure ขนาดนั้นเลยเหรอ เขาก็จะเตือน ว่ามันสามารถเกิดขึ้นอย่างนี้ขึ้นได้นะ แต่เขาจะไม่ห้าม เพราะว่าถ้าห้ามหนูอาจจะไปทำเองที่ไม่บอกเขา
หนูก็เลยคิดว่าเขาสอนหนูในวิธีที่ให้หนูได้ดูด้วยตัวเองด้วย แต่ว่าก็มีคำเตือนจากเขาที่มีประสบการณ์มาก่อนค่ะ หนูรู้สึกว่าหนูได้เป็นตัวเองมากๆ แล้วเขาเลี้ยงหนูได้ดีมากๆ เลยค่ะ”
หอบความฝันเดินทางสู่สนามจริง ล้มลุกคลุกคลานจนประสบความสำเร็จ ด้วยความตั้งใจอันเต็มเปี่ยม พิสูจน์ตัวเอง จนมีผลงานออกโด่งดังออกมาสู่สายตาผู้ชม ผ่านสายตาของแอลลี่แล้วนั้น ส่วนสำคัญที่ทำให้เธอค้นพบตัวเอง คือ การคลุกคลี และเห็นเส้นทางดนตรีของ “อ่ำ-อัมรินทร์ นิติพน” ผู้เป็นพ่อ ตั้งแต่เด็ก
“ตั้งแต่เด็กๆ หนูได้ทำงานในวงการ หนูก็จะเห็นว่าการทำงานในกองถ่ายเป็นยังไง เพราะดูพ่อทำ แต่หนูไม่เคยเจาะลึก พอตอนนี้หนูได้ทำ หนูรู้สึกว่ามีมากกว่าแค่ไปออกกองกลับบ้าน มันมีเยอะมากๆ ที่ต้องแก้ปัญหาด้วย
มันมีเยอะมากๆ ที่ต้องค่อยๆ คิดด้วยกัน เป็น Team work ตอนแรกก็สนใจอยากเป็นแฟชั่นดีไซเนอร์ อยากเป็นครู อยากเป็นหมอ อยากเป็นพิธีกร อยากทำหลายอย่างมากเลยค่ะ แต่ช่วงประมาณอายุ 12-13 หนูเริ่มดู k-pop หนูรู้สึกว่า Team work ของเขามันเจ๋งมากเลย แล้วเขาเทรนกันจริงจังเพื่อที่จะโชว์สิ่งที่ดีที่สุด ที่เขาสามารถโชว์ได้
คิดว่ามันเป็น mindset เดียวกันกับหนูว่าก่อนที่หนูจะทำอะไร หนูจะทำให้มันสุด ให้ตัวเองรู้สึกว่ามันสุดมากๆ ก่อน ก่อนที่จะเปิดเผยให้ทุกคนได้ดู
ตอนนี้หนูก็ได้คอมเมนต์บ่อยๆ ว่าเฮ้ย! เหมือนคุณพ่อเลย เหมือนพี่อ่ำใส่วิก คือ หนูคิดว่าการที่ได้อยู่กับคุณพ่อ แล้วก็เห็นคุณพ่อร้องเพลง อาจจะเป็นส่วนเกี่ยวข้องด้วย เพราะรู้สึกว่าสภาพแวดล้อมมันเป็นสิ่งที่อธิบายไม่ได้ มันเจ๋งมากๆ ตรงที่ว่าคนสามารถร้องตามเพลงเรา แล้วมีความสุขกับเราไปด้วยได้
มันเหมือน exchange (แลกเปลี่ยน)ความสุขกัน ก็เลยเป็นสิ่งที่รู้สึกว่าเป็น positive มากๆ อยากลองมีในชีวิต อันนี้ก็อาจจะเป็นวิธีที่คุณพ่อ experience (ประสบการณ์) หนู”
นอกจากนี้ เธอยังมองถึง การค้นพบตัวเองด้วยสายตาที่มุ่งมั่น ในฐานะที่ได้เดินตามความฝันเส้นทางศิลปิน ศิลปินวัย 17 ปี มองว่าจะต้องใช้เวลา สิ่งสำคัญ คือ การไม่กดดัน และให้โอกาสตัวเองได้เรียนรู้เสมอๆ
“ตอนแรกหนูก็ไม่ได้คิดว่าหนูจะชอบขนาดนี้ แค่คิดว่าหนูเห็นรอบข้างทำ หนูก็อยากลองบ้าง แต่พอได้ทำแล้วจริงๆ ก็รู้สึกว่ามันเข้ากับหนูมากๆ และชอบในสิ่งที่ทำ ซึ่งหนูคิดว่าสำหรับคนที่หาตัวเองไม่ได้ ก็ไม่อยากให้กดดันตัวเอง ก็ค่อยๆ take time ไป เพราะว่าเราสามารถกลับไปเรียนรู้ได้อีก เราเรียนรู้ได้ทุกอายุ หนูคิดว่าการ support ก็เป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ เหมือนกัน
เพราะว่าถ้าหนูไม่ได้รับคำ support จากคนรอบข้าง หนูอาจจะเหี่ยวไปก่อน ไม่ได้ฮึบขนาดนี้ หนูก็เลยคิดว่าถ้าคุณเป็นคนที่อยู่กับคนที่ต้องการ การ support มากๆ หรือต้องการคำแนะนำในการหาตัวเอง หนูว่าคำพูดเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่มากๆ และสำคัญในการให้กำลังใจคน
และถ้าเป็นคนที่ยังหาตัวเองไม่เจอ ไม่เป็นไรค่ะ ค่อยๆ ใช้เวลาไป ยังไงเราก็มีอีกยาวไกลค่ะ ก็ค่อยๆ เรียนรู้ตัวเองไปก็ได้”
ไม่เพียงแค่นั้น ศิลปินเก่งและโดดเด่นไปในทุกด้านคนนี้ บอกอีกว่าต้องจัดลำดับความสำคัญให้ดี เพราะทุกอย่างสำคัญพอๆ กัน และต้องขับเคลื่อนทุกอย่างไปพร้อมกันให้ได้
“หนูว่าลองค่ะ ถ้าเกิดว่ายังไม่รู้ว่าตัวเองชอบทำอะไรมากที่สุด เหมือนในชีวิตประจำวันเราก็งานอดิเรกกันใช่ไหมคะ ชอบทำขนม ชอบทำอาหาร เราก็ค่อยๆ ต่อยอดไปทีละอย่างว่าทำขนมมันเจาะลึกได้ไหม ค่อยๆ หาไปค่ะ
หนูว่าถ้ายิ่งกดดันตัวเอง จะยิ่งแบบเราต้องหาตัวเองภายใน 2 วันให้ได้ มันจะยิ่งเครียด มันก็ทำให้เราไม่สามารถค้นหาตัวเองได้ เพราะว่ามันก็จะมีความปิดกั้นตัวเองอยู่ คิดว่าใช้เวลาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ค่อยๆ ทำไป เพราะทุกวันนี้หนูก็ยังไม่สามารถบอกได้ว่าตัวเองเป็นคนยังไง จริงๆ แล้ว หนูก็ยังมีอีกเยอะที่ต้องค้นหาเกี่ยวกับตัวเอง
คิดว่า ณ ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าชอบอะไรมากที่สุด ก็ทำไปเรื่อยๆ แล้วถ้าเราทำอะไรแล้วมีความสุขได้มากที่สุด อันนี้ก็อาจจะเป็นสิ่งที่เหมาะกับเราค่ะ”
สลัดสารพัดคำบูลลี่ พิสูจน์ความสามารถ!!
แน่นอนว่า แอลลี่เป็นที่จับตามาตั้งแต่เด็ก ในฐานะทายาทศิลปินผู้เต็มไปด้วยความมั่นใจ กล้าแสดงออก ทำให้เธอได้รับความรักท้วมท้น จนถึงเติบโตเธอพบความเห็นมากมายที่พูดถึงเธอในโลกโซเชียลฯ และคำตัดสินนั้นทำให้เธอเปลี่ยนไป
“หนูจะบอกว่ารูปลักษณ์ภายนอกมาตลอด เพราะว่าไม่เคยเจอที่หนักกว่านั้นแล้ว แต่ว่าพออยู่ในวงการเรื่อยๆ มันก็จะมีวันที่มันแรงขึ้น
มันก็จะมีวันที่เราจะเจออะไรที่แรงขึ้น ซึ่งหนูว่ารูปลักษณ์ภายนอก มันก็ยังเป็นสิ่งที่ไม่ควรพูดเกี่ยวกับคนอื่นอยู่แล้ว หนูว่ามันเป็นสิ่งที่เราไม่ควรไปทักคนอื่น เพราะว่าทุกคนเกิดมาเพื่อแตกต่างกัน ถ้าเราไม่ได้แตกต่างกัน โลกวันนี้มันก็คงจะไม่สนุกเลย
เพราะทุกคนก็จะเหมือนหุ่นยนต์ หนูก็เลยคิดว่ามันเป็นสิ่งที่เจ๋งมากๆ หนูคิดว่าทุกคนมีเอกลักษณ์ในตัวเอง ซึ่งเอกลักษณ์ คือ สิ่งที่สวย special หล่อ และดีที่สุดแล้ว
การเป็นตัวเองดีที่สุดแล้ว เพราะว่าเราสามารถคิดได้ว่าเราอยากเป็นคนอื่น แต่เราไม่สามารถเป็นคนอื่นได้จริงๆ เราควรจะพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ และมีความสุขกับการเป็นตัวเอง หนูว่าการให้กำลังใจตัวเอง ก็เป็นสิ่งสำคัญมากๆ
คำที่แรงที่หนูเคยเจอมา คือ คิดว่าไม่ได้ผ่านอะไรมาเลย You ไม่ได้พยายามเลย”
ด้วยภาพลักษณ์และการถูกจับตามอง ทำให้แอลลี่ถูกมอง “เป็นศิลปินด้วยวิธีการที่ง่าย” หรือแม้กระทั่งการตราหน้าเธอไปแล้วว่า “เติบโตมาในครอบครัวศิลปิน” เธอยังคงมีมุมมองบวกๆ ที่เผยให้เห็นเสมอๆ ผ่านคำตอบที่ตรงไปตรงมา
“หนูก็คิดว่าถ้าเราไม่รู้จริงๆ ว่าอะไรเป็นอะไร เราสามารถถามได้ อย่างแอลลี่เทรนหนักขนาดไหน แอลลี่เทรนนานแค่ไหน เป็นเรื่องที่ถามกันได้เพราะสงสัยกันได้ค่ะ
หนูก็ตอบด้วยความยินดีอยู่แล้ว หนูชอบเล่าเรื่องมากๆ แต่ว่าในชีวิตประจำวัน ที่มีคำว่านี่ไม่ได้พยายามเลยใช่ไหม หรือว่าไม่ได้ใช้เวลากับการทำเลยใช่ไหม หนูคิดว่าคนที่พยายามจริงๆ แล้วเขากำลังเหนื่อย ได้ยินคำเหล่านั้นมันยิ่งเหนื่อยเข้าไปอีกค่ะ
หนูเลยคิดว่าถ้ามีคำถาม ต้องถามแบบรักษาน้ำใจเขาด้วย ถามกันดีๆ ถ้าสงสัยอะไร ถามได้อยู่แล้ว โลกนี้หนูก็มีหลายอย่างที่หนูไม่รู้ หนูก็ถามตลอดว่าอย่างนี้ทำเพราะว่าอะไร ผลลัพธ์จะเป็นยังไงหรือคะ ทุกคนมีคำถามอยู่แล้ว แต่เราแค่ขึ้นอยู่กับคำพูดที่เราใช้มากกว่า ว่าถ้าเราเป็นคนนั้นเราอยากได้ยินสิ่งนี้ไหม มันจะช่วยให้เรามีกำลังใจในการทำอะไรมากขึ้นไหม เราก็ต้องคิดในอีกด้านหนึ่งด้วยค่ะ”
พิสูจน์ให้เห็นว่ามีทัศนคติที่ดี แม้จะโดนการรังแกผ่านคำพูด ก็ไม่เคยท้อแท้ ยิ่งทำให้ฮึดสู้ต่อไป และทำให้เห็นว่าแอลลี่ เป็นแอลลี่ที่ดี และมากความสามารถเพียงใด
“ตอนแรกๆ ที่หนูเดบิวต์มา แล้วเจอคอมเมนต์ หนูไม่เคยจัดการได้เลยค่ะ หนูจะเก็บไปคิดจนกว่าหนูจะเห็นอันที่แรงกว่าเดิม แล้วอันเก่าก็จะลืมไป
เพราะว่ารู้สึกว่าโฟกัสอันนี้มากๆ แบบทำไมมันเจ็บใจจัง แต่พอมาเรื่อยๆ หนูคิดว่าไม่จำเป็นต้องแข่งกับอะไร หนูไม่อยากคิดว่าหนูทำสิ่งนี้เพื่อให้คนที่ไม่ชอบหนู ให้เขาเห็นว่าหนูพยายามแล้ว
มันก็เป็น mindset ที่ดีว่าเราพยายาม เพื่อที่จะพิสูจน์ตัวเองให้คน แต่ว่าเราต้องมี balance ว่าเราทำสิ่งนี้เพราะเราชอบด้วยรึเปล่า ถ้ามันถึงจุดที่หนูขึ้น stage ไปร้องเพลงแล้วคิดว่า คนที่ไม่ชอบหนูเขาจะชอบเสียงนี้ไหม แบบนี้มันเริ่มไม่ได้ทำเพื่อตัวเองแล้ว
หนูก็เลยคิดมาเรื่อยๆ ว่าหนูมีกำลังใจที่ดีจากเพื่อนๆ จากครอบครัว จากบริษัท ก็เลยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ positive เวลาหนูเจอคอมเมนต์อะไรแย่ๆ
ณ ตอนนี้หนูคิดว่าถ้ามันไม่ใช่เรื่องจริง เรื่องที่หนูเปลี่ยนไม่ได้ อย่างเช่นหน้าตาตัวเอง เป็นตัวอย่างว่าเราจะไม่ทำสิ่งนี้นะ หนูก็จะเก็บมาสอนตัวเองว่า ถ้าเกิดเราเห็นเราเจ็บ และก็จะไม่พูดแบบเขา เราจะไม่ทำแบบเขาดีกว่า
หนูว่าบางทีเราสามารถพูดโดยไม่คิดได้ มันก็เข้าใจได้ถ้าเกิดว่าเราพูดแล้วไม่คิด หรือหลุดออกมาเลยแล้วมันเป็นสิ่งที่อีกคนหนึ่งได้รับความเจ็บปวดไป
การขอโทษและการพิสูจน์ตัวเอง ว่าเราคิด เราหวังดีกับคุณจริงๆ ถ้าเป็นคนในชีวิตจริงมันอาจจะง่ายกว่า แต่ถ้าในโลกออนไลน์ มีเวลาให้คิดเยอะมากๆ ในการเขียนคอมเมนต์ ว่าก่อนที่เราเขียนคอมเมนต์เราต้องคิดก่อนจะพูดว่าอะไร แล้วก็ค่อยเขียน และกดส่ง
หนูเลยคิดว่าคนที่เขียนแบบนั้น เขาอาจจะมีเรื่องที่ไม่สบายใจในชีวิตเขาอยู่เหมือนกัน ก็เลยหาที่จะมาวาง ซึ่งถ้าเรามองในมุมนั้น เราก็รู้สึกยินดี ที่เป็นที่ให้เขาสบายใจมากขึ้นได้...หนูก็ยินดีค่ะ
บางเรื่องก็ไม่ต้องใจร้ายกับหนูมากก็ได้ (หัวเราะ) คือ หนูเข้าใจนะคะ หนูเข้าใจมากๆ เลย เพราะว่าหนูคิดว่าทุกคนมีสิทธิ์ที่จะพูด ในสิ่งที่ตัวเองคิดอยู่แล้ว แต่ว่ามันอยู่ในมุมว่าอันนี้เรากระทบจิตใจใครรึเปล่า ถ้าอีกคนไม่ได้ทำอะไรผิด เราไม่ได้เป็นการตักเตือนเขา เราแค่ไปพูดดูถูกเขา ก็อาจจะต้องคิดมากกว่านี้
ถ้าเราเจอคอมเมนต์แบบนี้ หรือเขาพูดกับเรา เราจะรู้สึกยังไง คุณพ่อคุณแม่ก็จะสอนหนูมาตลอดว่า ถ้าเกิดแอลลี่ไม่อยากได้ยินคนพูดแบบนี้กับแอลลี่ แอลลี่ก็ห้ามพูดกับเขาเหมือนกัน เพราะเราอาจจะรู้สึกเหมือนเขา
และสำหรับคนที่อยู่ในโซเชียลมีเดีย และมีชีวิตประจำวันในโซเชียลมีเดีย หนูว่าการชมคนเป็นสิ่งที่สนุก และดีมากๆ เลย รู้สึกมั่นใจในตัวเองมากขึ้น หนูว่าทุกคนมีอิทธิพลกับกันและกัน เพราะว่าถ้าเราอยู่คนเดียวบนโลก มันก็จะเหงา และเราไม่รู้จะพูดกับใคร
แต่ว่าทุกวันนี้ที่เรามี interaction กัน มันก็จะส่งผลถึงความรู้สึกของเรา การประพฤติตัวของเรา หลายๆ อย่างที่เราทำในชีวิตมันก็อาจจะได้รับอิทธิพลมาจากคนอื่นเหมือนกัน”
หมดกำลังใจ ใครๆ ก็เป็น...
เห็นเป็นสาวสตรอง และมีมุมมองบวกๆ ไปในทุกด้าน และด้วยการทำงานอย่างหนักอย่างต่อเนื่อง ก็มีบ้างที่เธอเจออุปสรรค “อาการหมดกำลังใจ” ย่อมเกิดขึ้นได้เช่นกัน
“เป็นบ่อยค่ะ คือ หนูไม่อยากยอมรับว่าหนูหมดกำลังใจบ่อย เพราะหนูก็ไม่อยากบอกว่าหนูหมดกำลังใจ แล้วให้ใครมาต้องเป็นห่วงหนู เพราะจริงๆ หนูเป็นคนที่หมดกำลังใจ แต่สามารถสร้างมันกลับมาได้ภายใน 2 นาที
หนูอาจจะหมดกำลังใจไป เพราะว่ามันมีอุปสรรคอะไรบางอย่างข้างหน้า แล้วรู้สึกว่าเราทำสิ่งดีๆ ไว้นะ มันคือสิ่งที่เราคิดว่า ในอีก 5 ปี เราจะทำได้ไหม หนูก็มีความคิดอย่างนี้ค่ะ
แต่ว่าเราก็ตอบตัวเองได้ว่า มันเป็นสิ่งที่เราอยากทำไปเรื่อยๆ คือ ถ้ามันเป็นสิ่งที่เรารัก ถ้าเป็นสิ่งที่เราชอบ แค่เราให้กำลังใจตัวเอง และมีคนข้างๆ เราที่สามารถให้กำลังใจเราได้
เหมือนเพื่อนหนูเขาจะมองโลกในแง่สวย หนูเลยคิดว่าการที่เรา surround ตัวเอง กับคนที่ positive ก็เป็นเรื่องสำคัญค่ะ”
อย่างไรก็ดี เมื่อบทสนทนามาถึงช่วงสุดท้าย ความสามารถและด้วยทัศนคติ ที่เปิดเผยให้เห็นของผู้หญิงในวัย 17 ปีคนนี้ เธอมีความสามารถที่ได้พิสูจน์ด้วยผลงาน และรอเวลาที่ทำให้ทุกคนเห็น ไม่ใช่แค่มองเพียงภาพลักษณ์ภายนอก
ที่มีพร้อมทุกอย่าง ทั้งทักษะ ความสามารถ เบื้องหลังที่สนับสนุน ทำให้เราอยากเห็นเส้นทางดนตรีของเธอทอดยาวไปไกลอย่างที่หวัง อย่างที่แอลลี่เคยกล่าวไว้ครั้งหนึ่งว่า “ความฝันของหนูคือมายืนตรงนี้ ได้ร้องเพลงให้ทุกคนฟัง”
พร้อมกันนี้ ศิลปินสาวยังฝากทิ้งท้ายให้แฟนๆ รอติดตามผลงานของเธอ อีกทั้งฝากขอบคุณสำหรับความรัก และกำลังใจให้เธออีกด้วย..
“ตอนนี้คือพอกลับเกาหลีไม่ได้ แพลนก็ค่อยๆ เลื่อนไป เพราะว่าสถานการณ์ด้วย ก็ขอให้ทุกคนรอกันอีกนิดนึงนะคะ หนูก็จะพยายามทำให้งานครั้งนี้ออกมาให้ดียิ่งกว่าเดิมมากๆ เลย
และชีวิตประจำวันหนูตอนนี้ คือ ทำงานแล้วก็เรียน ก็อาจจะต้องรอหนูกลับไปเกาหลี รอสถานการณ์ดีขึ้น จนที่หนูสามารถกลับไปอัดเพลง ถ่าย MV ได้
อยากจะขอบคุณพี่ๆ only ทุกคน ที่คอยให้กำลังใจ และคอย support หนู มาตั้งแต่วันแรก หรือว่าวันไหนที่เราเจอกัน ก็ขอบคุณมากๆ ที่อยู่ข้างๆ หนู เพราะว่าพี่ๆ คือกำลังใจใหญ่มากๆ ของหนู ที่ทำให้หนูอยากจะทำสิ่งนี้ต่อไปค่ะ
หวังว่า เราจะอยู่ด้วยกันนานๆ และฝากติดตามโปรเจกต์ข้างหน้าของหนูด้วยนะคะ ตอนที่หนู come back ก็หวังว่าทุกคนจะชอบกัน รักและคิดถึงทุกคนมากๆ ค่ะ”
สัมภาษณ์: ทีมข่าว MGR Live
เรื่อง: ภูริฉัตร ปริยเมธานัยน์
คลิป: อิสสริยา อาชวานันทกุล
ขอบคุณภาพ: อินสตาแกรม @allynitibhon, @411 Music ,@rpasiri, @joyandally และแฟนเพจ “Ally Nitibhon - แอลลี่ นิติพน”
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **