xs
xsm
sm
md
lg

แอม-อะ-ที-เชอร์ๆ “ครูมัดซี” ดาว TikTok สอนอิงลิชโดนใจเวอร์ๆ ติดหูจนต้องติดตาม!!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“คิดเสมอว่าครูไม่ใช่คนแก่ ครูแค่เกิดมานานเท่านั้นเอง เปิดใจครูมัดซี ครูสอนภาษาอังกฤษ วัย 58 ปี คอสตูมแน่น-เสื้อผ้าสีสุดจี๊ด เจ้าของเพลงติดหู Occupation ดาว Tiktok ที่กำลังมาแรงขณะนี้ ที่ทั้งนำความบันเทิง จนศิลปิน-ดาราดังแห่กัน cover พร้อมเปิดมุมมองชีวิต และการศึกษาไทย ที่เธอไม่เคยพูดมาก่อน และนี่คือ คำตอบของ “ครูวัยเกษียณ” ที่เห็นคุณค่าของอาชีพ ตั้งใจหล่อหลอม ให้ศิษย์มีอนาคตที่ดีของชาติ




แต่งตัวจัดเต็ม-บทเพลงอันแสนติดหู!!


“Occupation Occupation มัดซีนาบอน มัดซีนาบอน What do you do? What do you do? I'm a teacher I'm a teacher…”

กลายเป็นอีกหนึ่งไวรัลที่ฮอตฮิตไปทั่วบ้านทั่วเมือง สำหรับบทเพลง “Occupation” ที่เมื่อได้ยินเพลงนี้ทีไร เป็นอันต้องนึกถึงภาพของครูภาษาอังกฤษอารมณ์ดี สวมใส่วิกหลากสี กับแฟชั่นการแต่งตัวสุดเก๋ไก๋ อัปคลิปสอนภาษาอังกฤษ ด้วยการแสดงประกอบเพลง ที่เรียกรอยยิ้มได้จากชาวโซเชียลฯ ในช่วงนี้ จนคลิปดังกล่าวมียอดวิวสูงมากกว่า 19 ล้านวิวไปแล้ว

แน่นอนว่า เมื่อได้ยินเสียงบทเพลงที่เธอร้อง จะต้องวนอยู่ในหัวอย่างแน่นอน ล่าสุด กระแสเพลงดังกล่าวยังคงดังต่อเนื่อง และสร้างปรากฏการณ์ จากการถูกนำมารีมิกซ์ดนตรีใหม่ ใส่จังหวะมันๆ จาก “เอ้ BOTCASH” โปรดิวเซอร์สายแดนซ์มือทอง ที่เมื่อหยิบเพลง หรือคำพูดไหนมารีมิกซ์นั้นต้องออกมาปังปุเรเย่

รวมทั้งบรรดาคนดังไม่ว่าจะเป็น อัน ศรีพรรณ, ซาร่า โฮเวอร์, ธามไท แพลงศิลป์, ใบเตย-อาร์สยาม และอีกมากมาย ตบเท้าออกมาโชว์เสต็บประกอบแพลงอีกเพียบในแอปพลิเคชัน TikTok

ไม่รอช้า ทีมข่าว MGR Live จึงคว้าตัวคุณครูเจ้าของผลงานต้นฉบับ “คุณครูมัดซี-ธมลวรรณ สุดใจ” วัย 58 ปี จากโรงเรียนนาบอน จ.นครศรีธรรมราช มาพูดคุยถึงปรากฏการณ์ “มัดซี นาบอน” ที่ใครๆ ต่างพูดถึง และอยากรู้จักเธอมากยิ่งขึ้น


“ยังงงอยู่เหมือนกัน ว่า เขาฟังแล้วมันน่าสนใจเหรอ ถึงเอาไปทำ และถ้าหากว่าทุกท่านที่นำไปสร้างสรรค์ต่อ ก็ถือว่ามัดซีก็ดีใจด้วย ถือว่าเราสร้างรอยยิ้มให้กับสังคมในสภาวะที่เป็นแบบนี้

คือ ได้สร้างบุญ ได้สร้างบารมีร่วมกัน รู้สึกโอเคกับทุกท่านที่นำไปต่อยอด ซึ่งมัดซีนึกไม่ถึงว่าทำเสร็จแล้ว จะอลังการงานสร้าง เราก็อายไปเลย

เพลง occupation ออกมา จริงๆ แล้วไม่ได้คิดหรอกว่า มันจะผลตอบรับดีขนาดนี้ เพราะว่าครูก็มีเพลงมาเรื่อยๆ หลายๆ เพลง แต่เพลงที่ครูทำ ก็จะประมาณว่าเอาคำศัพท์มาประติดประต่อกัน แล้วทำนองลูกเสือผสมลงไป


ก็ไม่ได้หรูหรา แต่บังเอิญว่า occupation ครูไปเอาเพลงของ TikTok มาใช้ ทำให้ครูตาสว่างว่า ถ้าใช้เพลง TikTok โอกาสก็จะสูงกว่าใช้เพลงแบบอื่น”

ครูวัยเกษียณดาว TikTok ย้อนเล่าถึงเรื่องราวที่ทำให้ตนเอง กลายเป็นที่รู้จักขึ้นมาได้ ผ่านสายตรงจาก จ.นครศรีธรรมราช ให้ฟังว่า ไม่คิดว่าตัวเองจะเป็นที่สนใจ ด้วยความที่เธอรักการเต้น การร้องเพลงมากอยู่แล้ว บวกกับเมื่อครูต้องทำการเรียนการสอนผ่านระบบออนไลน์

ประกอบกับก่อนหน้านั้น เด็กนักเรียนได้ชักชวน และสอนให้รู้จักกับ Tiktok เมื่อมีเวลาว่างเธอจึงตัดสินใจลงคลิป ปรากฏว่า ได้รับผลตอบรับที่ดีเกินคาด

“ตัวเองก็ไม่ได้เป็นเลย TikTok ที่เป็นก็เพราะนักเรียน ตอนที่เรายังมีการเรียนการสอน เราเจอหน้ากัน มีนักเรียนกลุ่มหนึ่ง 3-4 คน เขาไปหาตอนเที่ยงหลังจากที่เขาทานเข้าเสร็จ

(เขาถาม) ครูเล่น TikTok ไหม ครูบอกครูเล่นไม่เป็น TikTok เป็นเกมที่เด็กเล่นไม่ใช่เหรอ ครูคงไม่เล่นหรอก ...ครูคะครูเอาโทรศัพท์มานะ เดี๋ยวหนูสมัครให้ แล้วเขาก็สมัครให้ครู แล้วเขาบอกครูติดตามหนูแล้ว ก็งงอะไรติดตาม นี่คือเหตุการณ์ในเดือนมกราคมของปีนี้

แล้วหลังจากนั้นน้องกลุ่มนี้ครูไม่ได้สอน พอโรงเรียนใกล้ปิดเทอม สอบเสร็จเดือนมีนาคมเขาก็มาหาครูอีก บอกว่า ไม่เห็นลงคลิปเลย เด็กบอกเล่น TikTok ต้องลงคลิปด้วยนะ คุณครูดูของหนูสิ เราก็ถามเด็กว่าทำยังไง วันนี้เดี๋ยวหนูสอน แล้วเด็กก็สอนครู

ตอนนั้นก็มีเพลง rabbit เพลง carrot แล้วเด็กๆ บอกว่าตอนเย็นครูต้องลงคลิปนะ หนูรอดู หนูจะรอเมนต์ครู ครูก็บอกว่าครูยังทำไม่ได้เลย มันทำยังไง เด็กก็สอน และบอกไว้เลยที่ละขั้นตอน แล้วครูก็นั่งจด ข้อ 1 ทำยังไง ข้อ 2 ทำยังไง แล้วตอนเย็นครูก็กลับมาถึงบ้าน ครูก็ทำคลิปมา 1 คลิป แล้วก็อัปลง”


โดยส่วนใหญ่ครูมัดซีมักจะแต่งเพลงและร้องเพลงเอง เพื่อใช้เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมการเรียนการสอนให้กับนักเรียนได้จดจำคำศัพท์และประโยคต่างๆ ซึ่งนอกจากบทเพลงอันเพลิดเพลินแล้ว สำเนียงออกแนวปักษ์ใต้นิดๆ และการแต่งตัวสุดเปรี้ยวของครูยังเป็นเสน่ห์ของแต่ละคลิปอีกด้วย

“สำหรับเพลง occupation คือ หน่วยที่หนึ่งของบทเรียนวิชาภาษาอังกฤษของนักเรียน ม.1 คือ เรื่อง family พอครูเริ่มสอน family ครูก็เริ่มแต่งเพลงออกมา ก็มีคนสนใจเยอะอยู่เหมือนกัน แต่ว่าเพลง family ก็ร้องเอาคำศัพท์มาประติดประต่อกัน แล้วก็เอาทำนองเพลง อาจจะเป็นเพลงลูกเสือบ้างในวิดีโอก็เอาลงไป

ในหน่วย family มันมีเรื่องของอาชีพด้วย อาชีพก็คือ occupation แล้วครูได้เรียนรู้อีกอย่างหนึ่งว่าเพลงใน TikTok ถ้าเป็นเพลงกำลังฮิต ถ้าเราเอามาใช้ TikTok ก็เหมือนกับว่าเราใส่ใจนะ เราเรียนรู้ เราเป็นคนที่พยายามทำความเข้าใจในการอยู่ในบ้าน TikTok

ก็เลยคิด occupation แล้วเพลงอยากโดนช้อนแกงมัน 4 พยางค์เท่ากัน ครูก็เลยเอามารวมเลย ในเนื้อเพลงอยากโดนช้อนแกง แล้วจ๊ะบางโพใช่ไหม แล้วฉันชื่อมัดซี ฉันอยู่นาบอน ก็เป็นมัดซีนาบอนก็แล้วกัน ก็กลายเป็นเพลงนี้ค่ะ”


TikTok เติมฝันวัยเด็ก “หางเครื่อง-นักร้อง”



“เป็นความฝันตั้งแต่เด็ก สิ่งนี้ก็เป็นความฝันของครู เมื่อช่วงอายุ 58 ปี เกิดมาจำความได้ ครูก็อยากเป็นนักร้อง อยากเป็นหางเครื่อง อยากเป็นแต่ด้วยที่เราเป็นคนที่ครอบครัวค่อนข้างลำบาก เราก็ต้องพยายามคิด ถ้าฉันไปเป็นหางเครื่อง ฉันไปเป็นนักร้อง อยู่ได้ไม่นานหรอก เดี๋ยวอาชีพแบบนี้เดี๋ยวก็จบ

แต่ครูต้องหาอาชีพสักหนึ่งอาชีพที่เป็นหลักก่อน เรื่องต่อไปเราค่อยทำทีหลังก็ได้ แล้วเนื่องจากว่าเราอยู่ชนบท อาชีพที่เราเห็น ที่ใกล้ชิดกับเรามากที่สุด เป็น อาชีพครู

ก็เลยเลือกอาชีพครู แล้วหลังจากได้เป็นครู ความฝันที่ยังอยู่ในใจก็ยังอยู่ ในเรื่องของร้องเพลง ในเรื่องของหางเครื่อง ครูก็เอามาถ่ายทอดให้เด็ก

สมมติว่า เราดูแววเด็กคนนี้ร้องเพลงเก่ง เสียงเขาดี ครูก็มาฝึก มาซ้อม เด็กเขาเก่งด้วยตัวเขาเอง ครูไม่ได้เก่ง เสียงครูก็ไม่ดีนะ เสียงก็ขาดๆ แต่เราบอกได้ว่าที่ถูกเป็นยังไง

ส่วนในเรื่องการเต้น เวลามีงานอะไรครูก็เอาเด็กมาเต้น เราก็หาท่ามาใส่ให้ เราก็ร่วมด้วยช่วยกันกับเด็กๆ เห็นความคิดเขาดี เราก็มาจัดรูปแบบให้เขา ก็จะออกมาทั้ง 2 แบบ คือ เหมือนเราได้มาปลดปล่อยลงไปที่ตัวนักเรียน”

ทว่า...กว่าที่เธอจะตามความฝัน ประสบความสำเร็จอย่างทุกวันนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย เธอยอมรับว่าในอดีตตนเองเคยเรียนไม่เก่งถึงขั้นรั้งท้าย

“ครูจะเป็นคนที่ไม่เบื่อการเรียนเลย ไม่ว่าครูคนไหนจะเป็นยังไง เนื่องจากว่าครอบครัวเราเป็นครอบครัวที่ค่อนข้างจะไม่มีอะไร สิ่งที่ฝังอยู่ในหัว วันหนึ่งฉันจะอยู่แบบนี้ไม่ได้ ฉันต้องเดินหน้า ฉันต้องไปไกลกว่านี้


เวลาคุณครูคนไหนจะสอนยังไง มัดซีไม่เคยจะงอแงกับการเรียนเลย พยายามมาก เพราะว่าด้วยสติปัญญาที่เรามีเยอะ เราก็พยายาม อย่างสมัยก่อนครูก็จะดุมาก โดนตีกระทั่งเป็นแผลที่น่อง จนปัจจุบันนี้แผลนั้นยังอยู่เลย แต่ด้วยความที่คุณครูดุ ทำให้เราได้จำอะไรได้แม่นขึ้นนะคะ”






ไม่สน-ไม่แคร์ ฝ่าคำบูลลี่ “เสียงเหมือนควายออกลูก”


อย่างไรก็ดี ถึงแม้เพลงต่างๆ จะถูกร้องและเต้นกันอย่างสนุกสนานอยู่ในสื่อโซเชียลฯ แต่ครูที่อารมณ์ดี ยิ้มรับตลอดให้การสัมภาษณ์คนนี้ ได้เปิดเผยว่า ในฐานะที่สวมหัวโขนเป็นครู ตอนตัดสินใจอัปคลิปคลิปแรกๆ เธอมีความรู้สึกกังวล

“มันเหมือนเป็นการเสี่ยงมากเลย เพราะเราสำเนียงแบบนี้ใช่ไหม ครูก็เห็นแล้วว่าคนใน TikTok เก่งมาก ประเภทที่ภาษาอังกฤษแบบเป๊ะๆ มีเยอะ ทุกคนที่ลงไปในนั้น คือ เป๊ะหมดเลย


เราก็มานั่งคิดว่าแบบนี้ฉันไหวเหรอ พยายามตัดสินใจ แล้วก็พยายามมองหาเหตุผลเข้าข้างตัวเองว่า TikTok เขาให้เรามาสนุกสนาน ถ้าใครจะมาเอาจริงเอาจังในเรื่องของวิชาการ เราก็ไปโรงเรียนอินเตอร์อย่างนี้ ก็เข้าข้างตัวเอง แล้วตัดสินใจลง



 คือ รู้ว่าลงไปแล้วมันต้องมีกระแสลบกระหน่ำเยอะมาก แล้วก็กระหน่ำมาจริงๆ นะคะ แต่ในช่วงที่โดนกระหน่ำ คือ ด้วยเราที่เป็นคนที่สวดมนต์มาตลอดหลาย 10 ปีแล้ว และในฐานะที่เป็นพุทธศาสนิกชนก็นำไปใช้ หลักธรรมของพระพุทธเจ้าก็นำไปใช้บ้าง แต่เราก็นำมาใส่ในหัวใจของเรา

ครูก็คิดว่า TikTok เขาให้คนมาบันเทิงนะ คือ เราก็เข้าข้างตัวเองตั้งสติ แต่ถามว่ามันมีสะเทือนใจบ้างไหม มันก็มีเล็กๆ แต่เราก็ต้อง (คิดว่า) ฉันเดินหน้าแล้ว

วันนั้นลงเพลง family ในช่วงเย็นๆ พอลงเสร็จแล้วก่อนนอนก็เข้ามาดู view มันมาเยอะมาก พอมาดูเมนต์ โอ้โห! ขนาดนี้แล้วเหรอ เสร็จแล้วก็คิดว่าเอายังไงดี แต่ก็ไม่คิดที่จะถอยนะ แต่คิดว่าหัวใจฉันต้องเข้มแข็งกว่านี้ ฉันจะอ่อนระโหย ระทดระทวย ด้วยคำพูดแบบนี้ไม่ได้ เพราะว่าคุณคือใครมาจากไหนก็ไม่รู้ แล้วมาว่าฉัน

เราก็คิดแบบนั้น แล้วเราก็นอน ตื่นขึ้นมาวันนั้นเป็นวันที่ตื่นขึ้นมาปุ๊บ ก็เปิดเลย view ตอนนั้นเกือบล้าน ก็รู้สึกว่ามาด่าอย่างนี้ก็ไม่เป็นไร view ฉันขึ้น แสดงว่า TikTok รักฉันสิ เราก็เลยเดินหน้าต่อ เหมือนเป็นช่วงรอยต่อของชีวิตเลยว่า ฉันจะอยู่หรือฉันจะไป”


ด้วยการแต่งตัวสุดจี๊ดหลากสีสัน และการร้องเพลงภาษาอังกฤษที่แต่งเอง ในสำเนียงปักษ์ใต้ แม้ส่วนหนึ่งมองว่าสร้างเสียงหัวเราะ ความบันเทิงในยุควิกฤตนี้ แต่อีกด้านกลับของเธอกลับถูกตัดสินไม่ให้เกียรติ และโดนเอาไม้บรรทัดของใครก็ไม่รู้มาบอกว่า “เสียงแบบนี้เหมือนควายออกลูก” “ควรลาออกจากการเป็นครูไปเลย”


“ไม่กลัว เพราะครูเคยพูดเสมอว่าเสียงเหมือนควายออกลูก (หัวเราะ) ครูเป็นคนที่พูดของครูเองว่าครูเสียงเหมือนควายออกลูก เวลาใครมาชมบอกว่าเสียงเพราะ ครูไม่ค่อยจะเชื่อหรอก แต่ว่าเราก็โอเค เขามีน้ำใจ เขามีมารยาท เขาพูดเพื่อให้กำลังใจเรา แต่เราอยู่ว่าระดับเสียงของเรา

ในส่วนของครู ครูเป็นคนที่ก่อนทำอะไรจะเป็นคนคิดก่อน คิดถี่ถ้วน รอบคอบ คิดซ้าย คิดขวา คิดหน้า คิดหลัง คิดบน คิดล่าง กับสิ่งที่ครูทำ อันที่ 1 มันไม่ผิดกฎหมาย อันที่ 2 คือ เราทำเพื่อเด็กๆ ของเรา เรารู้ว่าเด็กของเราต้องประมาณนี้ถึงจะได้ เราก็เลยตัดสินใจทำ ก็เลยไม่กลัวอะไร

อย่างวันที่โดนหนักๆ ครูก็จะคิดอยู่เสมอว่า ฉันผิดตรงไหน ฉันไม่ได้ผิดนิ เราไม่ได้ทำผิดกฎหมาย เราไมได้ทำอะไรที่มันแย่ เพียงแต่ว่าศักยภาพของคนมันไม่เท่ากัน มันไม่เหมือนกัน เข้าข้างตัวเองตลอด


ในเรื่องของเด็ก ครูไม่กลัว (โดนล้อ) และแม้กระทั่งผู้ใหญ่ครูก็ไม่กลัวด้วย เพราะว่าถ้าครูผ่านคืนนั้นมาได้ หมายความว่าทุกอย่างชัยชนะอยู่ในตัวครูแล้ว”


เมื่อถูกถามการก้าวผ่านถึงกระแสในแง่ลบ และมองมุมบวกอย่างที่ครูมัดซีเปิดเผยไว้แล้วนั้น เธอตอบด้วยท่าทีมั่นใจ และเปิดเผยความรู้สึกกับเรื่องที่เกิดขึ้น พร้อมฝากกำลังใจไปถึงคนที่กำลังประสบเจอคำบูลลี่-คอมเมนต์ลบๆ ให้เรียนรู้กับสิ่งที่เกิดขึ้น และเมื่อเราเลือกจะทำ นั่นคือสิ่งที่เราตัดสินใจ และคิดมาดีแล้วต้องมั่นใจในตัวเอง

“ขอให้เราเรียนรู้ และรู้กฎ อย่างเรามาอยู่ใน TikTok ถ้าเรารู้กฎของเขาแล้ว แล้วคิดว่าสิ่งที่ฉันทำ TikTok เขาก็โอเคกับเรา เพราะเราไม่ได้ทำผิดกฎ เพราะฉะนั้นเราไม่ผิด เราก็ไม่ต้องไปฟังอะไรเยอะ

เดี๋ยวทุกอย่างก็หายไปเอง แล้วคนที่ลุกขึ้นมาคอมเมนต์ลบๆ ใส่เรา เขาก็จะเลิกรา เขาก็จะเหนื่อยเหมือนกัน แต่ถ้าเราไปเจอแล้วเราหยุด ชีวิตเราก็จบ เพราะฉะนั้นถ้าหากเราไปที่อื่น มันก็จะมีแบบนี้อยู่แล้ว แล้วเราจะไปไหนได้ อย่างมัดซีเข้ามาแล้วเจอ ถ้าเป็นคนอื่น อย่างคำพูดที่ว่า บอกกี่ครั้งกี่หนแล้วปรับตัวได้แล้ว

ปรับไม่ได้ คุณลาออกจากการเป็นครูไปเลย แบบรุนแรง แต่ครูก็คิดว่าเขาสนใจเรามากขนาดนี้เลยเหรอ เฮ้ย! ดีจังเลย มีค่าในสายตาเขา เราก็หาเหตุผลเข้าข้างตัวเองไว้เยอะๆ”




กลวิธีมัดใจเด็ก “สวมวิกเด่น-เอ็นเตอร์เทนเข้าสู้”


ชุดเดรสลายดอกสีชมพูที่สะดุดตา กับวิกผมสั้น ของแม่พิมพ์อย่างครูมัดซี ผู้นำเอาความเอ็นเตอร์เทนมาสอดแทรกกับการสอนวิชาภาษาอังกฤษ จนกลายเป็นหนึ่งในชั่วโมงเรียนในใจของเด็กๆ จนอดสงสัยไม่ได้ว่าเบื้องหลังการสวมชุดจี๊ดที่ว่านี้ เป็นเพียงการส่งเสริมให้เด็กสนใจหรือไม่

“จริงๆ แล้วชุดที่ใส่ทั้งที่เห็นในคลิป และใส่ที่อื่น ส่วนใหญ่ก็เป็นชุดที่มีอยู่เดิม จะไม่ได้ซื้อเสื้อผ้าใหม่ ครูเป็นคนประหยัดนะคะ และเนื่องจากตอนที่เราเป็นครูใหม่ๆ เงินเดือนเราก็แค่หลักพัน แค่ 2,000-3,000 บาท แล้วเสื้อผ้าเราก็ไม่ค่อยมี


มีพี่ใกล้ๆ บ้าน เขาเย็บผ้าได้ ก็เลยให้พี่เขาสอนให้ ทำให้เสื้อผ้าที่ครูใส่ส่วนใหญ่จะเป็นเสื้อผ้าที่ตัดเอง แต่เวลาที่ครูจะซื้อเสื้อผ้า ครูจะเลือกแบบสีที่มันสดใส สีมันไม่ค่อยจาง

ในเรื่องของแพตเทิร์น เรื่องของแบบ ก็จะเป็นแบบธรรมดา ถ้าสังเกตก็จะเป็นสูท หรือเป็นเสื้อเชิ้ตเหมือนในแคตตาล็อกจะไม่ค่อยมีค่ะ มันก็เลยใส่ได้นาน อย่างบางชุดที่ครูใส่จะมีที่ใส่ตั้งแต่ครูบรรจุ 33 ปี ก็ยังใส่ด้วย แต่ก็ไม่ได้ใส่บ่อยนัก อย่างครูใส่ชุดนี้ไปแล้ว ครูก็จะซักชุดนี้ แล้วก็เก็บ ครูก็ใส่ชุดต่อไป ก็ไปเรื่อยๆ

ส่วนวิกผมแรกเริ่มเดิมทีครูเป็นคนผมยาว ถึงหลัง-เอวด้วยซ้ำ เพราะแม่จะชอบให้ลูกสาวไว้ผมยาว ครูก็ไว้ผมยาวมาตลอด แล้วมีปีนึงประมาณปี 58 ครูก็ไปบวชชี ไม่ใช่เพราะหนีรัก คือ ที่ไปบวช เพราะคิดว่าเราอยู่ในศาสนาพุทธ เขามีหลักปฏิบัติดีๆ มัดซีเองที่เป็นคนนึงที่อยู่ในศาสนาพุทธ แต่มีความรู้ในเรื่องศาสนาไม่เยอะเลย รู้เฉพาะตอนเราเรียน ถ้าเรามีเวลาเราน่าจะไปศึกษา เพิ่มเติมอีกหน่อย

ปี 58 ก็เลยไปบวชชี ไปแล้วก็โกนผมเลย คนก็งงว่ามัดซีเป็นไปได้เหรอ จากผมยาวแล้วโกนหัวล้าน ก็เลยบวช แล้วด้วยหัวใจก็อยากอยู่ตรงนั้น แต่ด้วยภาระหน้าที่ข้างนอกเราอยู่ไม่ได้ ก็บวช 15 วัน แล้วก็สึกออกมา แล้ววิกอันนี้ (ที่ใส่อยู่) เป็นวิกแรกในชีวิต พอสึกออกมาก็ซื้อวิกอันนี้ แล้วหลังจากนั้น ใส่วิกแล้วรู้สึกเท่ดีเหมือนกัน เราผมสั้นก็ดี เราสามารถเปลี่ยนได้หลายทรง ก็เลยซื้อทีละอัน”


ถามว่าช่วยให้เด็กสนใจในการเรียนได้ไหมนั้น เธอมองว่าเป็นวิธีการหนึ่ง ที่ทำให้เด็กสนใจบทเรียนมากยิ่งขึ้น โดยปลุกความสนใจเริ่มจากตัวเองก่อนด้วยสีสันของเสื้อผ้า สวมใส่รองเท้าสูงแหลมเปี๊ยบ

“ย้อนไป ครูเป็นครู 33 ปี แล้วสอนวิชาภาษาอังกฤษโรงเรียนบ้านนอก คือ เรามีสิ่งหนึ่งที่เราเห็นมาตลอดว่า นักเรียนพอพูดถึงวิชาภาษาอังกฤษเขาจะมีความกลัวกว่าวิชาคณิตศาสตร์ เพราะฉะนั้นครูก็เลยมีความคิดว่า ในเมื่อเราเป็นครู แล้วเราเรียนวิชาอังกฤษแล้วเราปล่อยให้เด็กคิดแบบนี้ต่อวิชาเรียนไม่ได้


เพราะว่าวิชาเรียนทุกวิชามันมีความสำคัญหมด ฉะนั้น ครูก็เลยหาวิธีการว่าจะทำยังไงให้เด็กสนใจบทเรียนมากขึ้น แต่ว่าเริ่มต้นจากตัวเองก่อน โดยการให้สนใจครูก่อน จากสีสันของเสื้อผ้า ในเรื่องของรองเท้าครูก็จะเป็นคนที่ใส่รองเท้าส้นสูงแหลมเปี๊ยบ 4 นิ้ว แหลมแบบส้นเข็มเลย

เพราะว่าไม่มีใครใส่ ครูจัดขนาดนี้เด็กต้องมองครูถูกไหม ประการที่ 2 ครูจะบอกกับนักเรียนว่า เวลาถึงชั่วโมงของครู ถ้าใครมาถึงก่อนครูก็มีคะแนนให้

อีกอย่างหนึ่งในเรื่องของการแต่งเพลง จริงๆ แล้ว ครูแต่งมานานแล้วค่ะ คือ สอนที่โรงเรียนก็แต่งมา แล้วเด็กนำไปใช้ก็สนุกสนาน เฮฮากันไป ด้วยความที่ครูไม่ได้เล่นโซเชียลฯ แล้วก็เป็นคนที่เก็บตัว ไม่ชอบออกสังคม ไม่ชอบออกสื่อ แล้วก็ไม่ค่อย present ตัวเอง ก็เลยไม่มีใครทราบว่าครูทำอะไรบ้าง”

ภายนอกที่ใครต่างมองว่าครูดูใจดีนั้น ครูวัย 58 ปี ยังเล่าให้ฟังอีกว่า จริงๆ แล้วเป็นคนดุ จริงจังกับการสอน ซึ่งอีกมุมหนึ่งเป็นคนเก็บตัว ไม่ออกสังคม แตกต่างจากภาพลักษณ์ที่เห็นในแอปพลิเคชัน TikTok

“ที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งเด็กจะมองว่าครูมัดซีจะเป็นคนดุ แต่จริงๆ แล้วก็ดุจริงๆ นะคะ แบบดุมาก แต่พอในเรื่องกิจกรรมการเรียนการสอน ถ้าทุกอย่างมันโอเค เราดุเด็ก ดูแลเด็กได้หมดแล้ว ต่อไปเขาก็จะมีสมาธิที่จะฟังว่าเราจะทำยังไงต่อ 

สเต็ปแรกเราเอาระเบียบเข้ามาว่าก่อน เด็กก็จะกลัวตรงนี้ คือ กลัว เกรงใจ คือ การที่เขามีสมาธิเพื่อที่จะฟังครูต่อไป ลำดับต่อไปครูจะให้ทำอะไร หลังจากนั้นจะสนุกสนานกันในเรื่องของการเรียน ก็ว่ากันไปเป็นช่วงๆ สุดท้ายเราก็เป็นการสรุปบทเรียนโดยการให้ทำชิ้นงานเล็กๆ สั้นๆ ช่วยเหลือ เป็นสิ่งที่ครูปรารถนาให้ช่วยเหลือกันอยู่แล้ว

แล้วพอความสัมพันธ์ของนักเรียนที่อยู่ในกลุ่ม ก็จะเป็นไปด้วยดี เราเห็นแล้ว เราชื่นใจนะ เป็นสิ่งที่ครูปรารถนาให้ช่วยเหลือกันอยู่แล้ว”




อย่าเพิ่งหมดหวังในตัวเอง


“ถ้าเป็นในเรื่องของการเรียน เด็กจริงๆ เขาไม่ได้มีปัญหา แต่สิ่งที่เป็นภาพรวม คือ บางทีเด็กบ้านนอกเขามีภาระที่ต้องช่วยเหลือพ่อแม่ ช่วยเหลือครอบครัว ช่วยกันทำมาหากิน

อย่างเช่น อาชีพกรีดยาง นักเรียนส่วนใหญ่เขาจะต้องช่วยเก็บน้ำยางคุณพ่อคุณแม่ ก่อนไปโรงเรียน หรือบางคนถึงขั้นต้องลุกขึ้นมาดึกๆ 5 ทุ่ม-6 ทุ่ม มาช่วยกรีดยาง ทำให้นักเรียนเมื่อไปโรงเรียน บางทีพลังที่เขาใช้ไปในการช่วยงานบ้านมันเยอะแล้ว อาจจะหงอยลงหน่อย บางทีมานั่งหลับ

คือ เราต้องพยายามเข้าใจเขา พื้นฐานชีวิตครอบครัวเป็นยังไง ซึ่งครูเข้าใจดี เพราะว่าเราเป็นแบบนั้นมาก่อน ครูคิดว่าไม่ใช่ปัญหา คือ ทุกอย่างมันอยู่ที่เราว่าเราจะไปปลุกเด็กขึ้นมายังไงให้เขา active กว่าเดิม”


ผ่านสายตาของครูวัยเกษียณ ที่ผ่านการทำงานมาในระยะเวลา 33 ปี เผชิญกับปัญหาต่างๆ มานับไม่ถ้วน ทำให้ได้มองเห็นถึงการศึกษาไทย เด็กไม่กล้าพูดภาษาอังกฤษ เพราะไม่กล้าแสดงออก พร้อมมองว่า คำศัพท์เป็นรากฐาน สิ่งที่สำคัญ

“เด็กไม่กล้าแสดงออก เด็กไทยไม่ว่าจะเป็นวิชาอะไร เวลาครูเขาสอนแล้วก็ให้โต้ตอบในห้อง บางทีเขารู้แต่เขาไม่พูด แม้จะเป็นวิชาภาษาไทยหรือวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เขารู้ เขาจะนั่งเฉย แต่เขาไม่ค่อยกล้า ถ้าจะมีคนกล้าสักคน คนนั้นจะกล้าโต้ตอบกับครูได้ตลอดเวลา

อย่างเช่น ภาษาอังกฤษที่มัดซีสอน ก็ยังคงมีเหมือนเดิม แต่ว่าครูจะเป็นคนที่พยายามจี้เขา เฮ้ย!! พูดสิ สมมติพูดไม่ได้ บอกให้(เพื่อน) เธอช่วยเพื่อนหน่อย สมมติประโยคที่เขาไม่กล้าเลย ประโยคง่ายๆ what’s your name ... เชื่อไหมเด็กบางคนไม่กล้าอ้าปาก เราก็เลยใช้วิธีการยืนขึ้น แล้วให้เพื่อนยืนข้างหลัง

เพื่อนเขาก็พูดเลย What’s your name แล้วให้พูดตามเพื่อน เขาก็กล้าพูดขึ้นมา เพราะเขามีเพื่อน คือครูจะหาวิธีการที่ให้เด็กกล้าให้ได้ ก็เขาได้บ้างนิดหน่อย ดีกว่าไม่ได้อะไรเลย

จริงๆ คำศัพท์เป็นพื้นฐานของการเรียน ถ้าหากว่าไม่รู้คำศัพท์ ไม่รู้จะไปพูดอะไรยังไง เวลาไปเขียนก็เขียนถูก เพราะเวลาในการออกข้อสอบมันก็จะพวกไวยากรณ์

สมมติว่า ให้นักเรียนเขียน ถ้าเขียนคำศัพท์มาไม่ถูกจะให้คะแนนได้อย่างไร...ก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นให้คำศัพท์ก็ยังคงเป็นสิ่งจำเป็น แล้วก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นเดียวกันในการเรียนภาษา ไม่ว่าจะเป็นภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษเรื่องคำศัพท์ก็ยังสำคัญอยู่”


ไม่เพียงแค่นั้นยังสะท้อนความคิดเห็น ถึงการศึกษาในรั้วโรงเรียน ที่มีการแข่งขันสูง เด็กกลัวการพูด เพราะสำเนียงภาษาอังกฤษไม่ดี สำหรับวิธีการช่วยเด็กของครูผู้นี้ คือ การไม่ให้การบ้านเด็ก เพื่อช่วยส่งเสริมเด็กได้ต่อยอด ให้เรียนรู้มากขึ้น

“สำหรับในส่วนของครูมัดซีเอง คือ เราแนะนำให้เด็กไปเพิ่มเติม ไปต่อยอด อย่างเช่นเข้าไปเรียนใน youtube หรือไปโรงเรียนติว ถ้าหากใครมีกำลังพอ ในส่วนของมัดซีเองก็อาจจะให้แค่ 1 คาบ ใช้เวลา 50 นาที ไหนนักเรียนจะเดินมาหาครู ไหนนักเรียนจะเดินออกไปก่อน ซึ่งใช้เวลาค่อนข้างพอสมควรอยู่แล้ว

และอีกอย่างหนึ่งในเรื่องของการให้งานไปทำที่บ้าน มันเป็นเรื่องของครูมัดซีโดยตรงตั้งแต่ต้น คือ จะไม่มีการบ้านให้เด็ก ครูจะบอกว่ามีการแต่การห้องเรียนเท่านั้น ครูมีแต่การห้องเรียน เพราะอยู่ในห้องเรียนแล้วเด็กได้ทำ ได้ช่วยเหลือกัน ถ้าไปที่บ้านเขาไม่รู้จะไปถามใคร เพราะฉะนั้นในเรื่องของการที่จะให้นักเรียนสามารถเพิ่มเติม ในเรื่องของทักษะภาษาอังกฤษที่สูงขึ้น นักเรียนก็ไปต่อยอดได้

และเดี๋ยวนี้มีให้ได้ไปศึกษาเยอะแยะเลย ในช่อง Youtube หรือในโซเชียลฯ ต่างๆ เด็กหลายๆ คนก็ไปเรียน เวลาว่างเขาก็จัดตัวเองเข้าไป บางคนพูดเก่งกว่าครูด้วยซ้ำ มันขึ้นอยู่กับตัวบุคคลค่ะ

ครูก็ไม่สามารถรู้ได้ว่าวิชาอื่นเป็นอย่างไร การให้การบ้านเด็ก เป็นอะไรกับเด็กรึเปล่า ให้เด็กได้เรียนรู้ ได้มีทักษะมากขึ้นรึเปล่า แต่สำหรับของมัดซีเอง คือ ให้ทำในห้องเรียนอย่างในช่วงของการสอนออนไลน์ เมื่อสอนกันเสร็จแล้ว อย่างเช่น ครูสอนเรื่อง Family เสร็จแล้ว ร้องเพลงกัน มีคำศัพท์อะไรออกมา ครูก็จะแจกใบความรู้ด้วย

พอแจกเสร็จแล้ว หลังจากนั้น ครูก็จะบอกกับนักเรียนว่า ให้นักเรียนเข้าไปช่องของ Youtube ครูด้วย ครูก็จะมีช่อง Youtube ให้นักเรียนไปฟังเพลง และก็ฝึกร้องให้ได้ เป็นการทำเรื่องเดิมซ้ำกัน 3-4 ครั้ง คิดว่านักเรียนจะมีอะไรที่แน่นขึ้นกว่าเดิมดีกว่า 1 ครั้ง ให้ผ่านไป คิดว่าอย่างนั้นค่ะ”




วัยใกล้เกษียณ หัวใจไม่ยอมแพ้!!


การเล่น TikTok นั้น ยังถือเป็นเปิดโลกให้คุณครูผู้นี้ให้กว้างไกลมากยิ่งขึ้นอีกด้วย เพราะใครจะเชื่อล่ะว่าเธอนั้นแทบเล่นโซเชียลฯไม่เป็นเอาเสียเลย

เธอนั้นต้องเรียนรู้เทคโนโลยี และการตัดต่อจากช่องทาง Youtube นับไม่ถ้วน ซึ่งภายหลังลูกชายเข้ามาช่วยใส่ซัปไตเติ้ลให้ผู้เป็นแม่

“ครูก็ดีใจ ที่ฉันทำเป็นด้วย คือ ผลงานคลิปไม่ได้เรื่องหรอก แต่ดีใจที่ลงคลิป TikTok เป็นแล้ว พอเริ่มอัดคลิปได้ก็เลยเข้าไปเรียน ดูคลิปคนที่เล่นอยู่ก่อน คลิปไหนที่เป็นการสอนในเรื่องของ TikTok บ้าง เข้าไปดูห้อง Live ของครู อาจารย์ต่างๆ เลือกที่จะเข้าไปห้องนี้ ห้องนี้เขาสอนเรื่องอะไรนะ ถ้าเป็นประโยชน์การพัฒนาในเรื่อง TikTok ของครู ครูก็จะจด แล้วก็ทำมาเรื่อยๆ จนกระทั่งว่า ตอนแรกก็เปิดเป็น krumadsee1 ซึ่งเป็นคลิปของการเต้นแล้วครูก็ออกกำลังกายด้วย ก็เลยอัปลงไป

แล้วมีครู อาจารย์หลายๆ ท่าน บอกว่าเรามาอยู่ใน TikTok บางครั้งเราอาจจะทำผิดกฎโดยที่เราไม่ได้ตั้งใจ อาจจะเป็นอุบัติเหตุ เพราะฉะนั้นครูเปิดสำรองไว้สักช่องหนึ่ง ครูก็เปิดเป็น krumadsee 2 ก็เป็นการ lip sync

พอครูเข้าไปเรียน ครูเขาจะบอกว่าหากว่าเราทำอะไร ให้โฟกัสเรื่องเดียว ช่องหนึ่งเป็นเต้น ช่องสอง คือ lip sync ก็ไม่ได้หมายความว่า ครูจะทำอะไรที่ดูดีได้ ครูก็ทำมาเรื่อยๆ เพื่อจะเป็นช่องสำรอง แล้ววันหนึ่งเมื่อมาสอนออนไลน์ครูก็เลยเอาเพลง lip sync กับการร้องเพลงที่สอนเด็กไปกันได้ เป็นแนวเดียวกัน ก็เลยอัปลงมา”


โดยครูมัดซีมักจะพยายามเรียนรู้ สิ่งใหม่ๆ เสมอ กว่าจะมาเป็นดาว TikTok คนรู้จักมากมายเช่นนี้ ก็เคยผ่านจุดยากลำบากของชีวิตมาก่อน

“พยายามมาก มาถึงวันนี้ก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็น แค่พอทำได้ เวลาทุกครั้งที่ใครโทร.มา หรือใครให้ช่วยเหลืออะไร ก็จะออกตัวก่อนว่าครูมัดซีบ้านๆ นะ ได้เท่านี้ มีโทรศัพท์แก่ๆ อยู่ และก็มีหลอดไฟเท่านั้น

ได้แค่นี้ คือ จริงๆ แล้วเท่าที่ครูสังเกต เพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกับครูเขาเก่งเทคโนโลยีกันทั้งนั้น เชื่อไหมครูเหมือนจะเป็นคนสุดท้าย เพื่อนยังพูดเลยว่า เฮ้ย! อะไรก็ทำไม่ได้ ทำไมไม่จำสักที สอนหลายครั้งแล้ว แต่ทำไมกับเพลงถึงจำได้
เขาก็ประชดเรา เราก็บอกว่าคนเราไม่เหมือนกัน เราก็อ้อนเพื่อน

แต่เท่าที่เห็นคนส่วนใหญ่ก็เป็น เรื่องเทคโนโลยี แล้วเขาก็เก่งกว่าครูอีก เพียงแต่ว่ามันกว้างไกล..อย่างเช่นของครูถ่ายคลิปเสร็จแล้ว ก็ตัดต่อ ตัดต่อครูก็ไปเรียนในช่อง Youtube บ้าง ตัดยังไงก็มานั่งจิ้มๆ ตอนแรกก็ไม่ได้หรอกค่ะ แต่ว่าด้วยเราทำหลายๆ ครั้งก็ได้ขึ้นมา เมื่อก่อนเราอัปคลิปในช่อง Youtube ครูไม่ได้ตัดต่อเลย ครูลงแบบนั้นเลย ก็ขำๆ อยู่เหมือนกัน

ไม่เคยคิดว่าจะเป็นดาว TikTok เลยนะคะ ที่ยอมให้นักเรียนสอนเล่น TikTok เพราะครูตั้งความหวังไว้ว่า ครูใกล้เกษียณแล้ว พออายุ 60 ปี ครูอยากจะมีกิจกรรมอะไรที่อาจจะใช้สมอง ซึ่งไม่เป็นงานหนัก เพราะถ้าทำงานหนักครูก็ไม่ไหว เพราะครูก็ไม่มีสมบัติอะไรเลย ครูมีแต่ตัว


ก่อนหน้าจะมี TikTok ครูก็มีช่อง Youtube ก็ไม่ได้เป็นอะไรเยอะนะคะ ก็ทำเรื่อยๆ แค่อัปคลิปลง Youtube ได้ ในส่วนของ TikTok 2 ปีกว่าๆ ฉันเกษียณ หลังจากนั้นฉัน 60 ปี ฉันก็มานั่งจิ้ม TikTok ดีกว่าไม่เป็นอะไรเลย ก็คิดว่า 2 ปีนั้น เส้นทางของ TikTok ก็คงโตขึ้นนิดนึง แต่บังเอิญว่ามันเร็วมาก จนกระทั่งครูก็ช็อก งง กับชีวิต

เคยคิดว่าถ้าวันหนึ่งเราเกษียณ ก่อนที่ไม่มีเหตุการณ์แบบนี้ เคยคิดว่าถ้าเกษียณแล้วจะไปบวชชี การไปบวชชีเราไปหาสถานที่ ที่เราสามารถช่วยเหลือสังคมได้ เราทำอะไรได้บ้าง เรากวาดลานวัด ใครมีอะไรเราให้คำปรึกษาได้นิดหน่อย แต่ไม่ต้องถึงขั้นเป็นคนสำคัญของสถานที่นั้นๆ เพราะคิดไว้แบบนั้น

พอมาเจอตรงนี้ การช่วยเหลือสังคมของเรา ถ้าเรา 60 ปีแล้ว อาจจะเปลี่ยนก็ได้ ถ้าไม่เปลี่ยนเราก็ไปอยู่ตรงที่เดิมก็ได้ คือ ใจเราก็อยากช่วยอยู่”

แน่นอนว่า หากนึกภาพผู้หญิงวัย 58 ปี หลายคนคงเริ่มจินตนาการไปถึงผู้หญิงใกล้เกษียณ และเริ่มเข้าสู่วัยชรา อาจจะมองว่าตัวเองไร้คุณค่า แต่สำหรับคุณครูมัดซีแล้วนั้น เธอพร้อมผลักดันตัวเอง และมองมุมบวกๆ สำหรับชีวิตของเธอในวันใกล้ฝั่ง

“ครูจะคิดเสมอว่าครูไม่ใช่คนแก่ ครูแค่เกิดมานานเท่านั้นเอง เกิดนานกว่าคนอื่น การที่เราเกิดนานกว่า เรามีกำไรกว่าคนอื่น เรามีประสบการณ์อะไรมากกว่า เพราะฉะนั้นสิ่งที่เรามี เราเก็บมาบอกคนรอบข้าง คือ ถ้าเราบอกสิ่งดีๆ กับคนรอบข้าง ถึงแม้เราอายุมาก คนรอบข้างเขาก็รับเราได้


อย่างในส่วนของครูมัดซีเองจริงๆ ลูก คือ วัยรุ่น แต่ว่าในการที่ลูกเป็นวัยรุ่น ถามว่าเราสูงวัยขึ้นทุกวัน แต่เราก็จะพยายามมองว่า วัยรุ่นเขาต้องการอะไร คนวัยนี้จริงๆ แล้วเขาต้องการอะไร ความรู้สึกพื้นฐานของเขาคืออะไร เพราะฉะนั้นเราก็จะไม่ทำให้แตกต่าง

ความแตกต่างระหว่างวัยไม่มีในการดูแลลูก อย่างเราไปไหนมาไหนก็ใส่กางเกงยีนส์เสื้อยืด ลูกก็จะบอกว่าแม่แต่งตัวจ๊าบกว่าหนูอีก ทำให้มีความรู้สึกว่า จริงๆ แล้วผู้ใหญ่ที่อายุเยอะๆ มีลูกมีหลาน เราสามารถเปลี่ยน mine set ได้ ว่าเราจะเข้าไปอยู่ในโลกของเขา อาจจะไม่ทั้งโลกของเขาหรอก เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของเขาได้


แต่ถ้าให้เด็กเข้ามาอยู่ในโลกของเรา เป็นไปไม่ได้แน่นอน เราต้องเป็นคนปรับตัวเอง เราต้องหย่อนอะไรลงไปสู่พวกเขา แล้วชีวิตก็จะมีความสุข”


ประโยคที่ว่า “การไม่ทิ้งความฝันไว้ข้างทาง” คงพิสูจน์ได้จากเรื่องราวของเธอผู้นี้ เมื่อ TikTok ทำให้พบจุดเปลี่ยนของชีวิต คนรู้จักเธอในฐานะครูภาษาอังกฤษมากยิ่งขึ้นในวัย 58 ปี มาถึงตรงนี้คุณครูมัดซี ยังฝากถึงคนที่กำลังท้อแท้กับชีวิตด้วยความมุ่งมั่น และกำลังตามความฝัน พร้อมได้ฝากขอบคุณทุกคนที่คอยติดตาม ตลอดจนทุกกำลังใจที่ส่งให้กัน

“เส้นทางที่มัดซีเดินมา มันเป็นบทเรียนสำคัญให้กับชีวิต คือคนบางคนเขาอาจจะไม่คิดหรอกว่าสิ่งนี้มันมีค่าสำหรับเรา แต่สำหรับมัดซีเส้นทางที่เดินมา อาจจะไปเหยียบหนามบ้าง เหยียบกรวด เหยียบทรายทำให้ตำเท้า แต่ว่าถ้าหากเรามีความมุ่งมั่นแล้วตั้งใจ ไม่ว่าจะเป็นหนามเป็นกรวดอะไรก็แล้วแต่ พวกแหลมคมเหล่านี้ก็จะทื่อไปตามแรงของเรา ที่เรามีเหนือกว่า


มัดซีจะไม่ทำอะไรให้เปลี่ยน โดยเฉพาะเรื่องของหน้าที่การงาน จะทำเหมือนเดิมทุกอย่าง แต่สิ่งที่เพิ่มเติม คือ ได้แบ่งปันมากขึ้น และในอนาคต ในส่วนของวันเกษียณอายุราชการ คือ ยังไม่คิดว่าจะทำอะไร แต่ว่าถ้าถึงวันนั้น ถ้าทำอะไรได้ก็จะทำ

อีก 2 ปี กว่า ก็ระยะเวลาพอสมควร บางทีทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตมัดซี อาจจะเปลี่ยนไปเยอะกว่านี้ก็ได้ คิดว่าเดี๋ยวถึงวันนั้นเราคงจะว่ากัน เราไม่ต้องคิดไกลมาก”







สัมภาษณ์ : ทีมข่าว MGR Live
เรื่อง : ภูริฉัตร ปริยเมธานัยน์
ขอบคุณภาพ :FB “ครูมัดซี ไลน์แด๊นซ์เพื่อสุขภาพ”


กำลังโหลดความคิดเห็น