“อาชีพเสริมที่รายได้แซงรายได้หลักไปแล้ว” ถอดชุดสจ๊วต สวมบทบาทพ่อค้าสายเขียวที่กำลังงอกงาม สร้างรายได้หลักแสน ระหว่างประสบวิกฤตโควิดทำพิษ จนกลายเป็นเทรนด์ยอดฮิต ศิลปิน-ดารา หันมาให้ความสนใจ ยิ่งด่างยิ่งราคาแพงทำยอดขายพุ่ง 100 เท่า และนี่คือ คำตอบของคนที่ไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา ไม่เกี่ยงงาน สู่พ่อค้าที่สร้างสถิติการขายออนไลน์ภายใน 2 วินาที
เพาะได้-ขายเก่ง สถิติภายใน 2 วิ!!
”ถามว่าเปลี่ยนเลยไหม จริงๆ ต้นไม้ก็ช่วยชีวิต เอาจริงๆ ไม่เคยเห็นเงิน 7 หลักในบัญชีตั้งแต่บินมา 7 ปี แต่ต้นไม้เขาทำให้ได้”
เบิร์ด-นิติพันธ์ ลีละสุวัฒนากุล สจ๊วตสายการบินไทย วัย 32 ปี ผู้พลิกวิกฤตพิษโควิดเป็นโอกาสสร้างรายได้เกินเงินเดือน ด้วยการเป็นพ่อค้าขายต้นไม้ เปิดร้านเป็นของตัวเองที่ใช้ชื่อว่า “Cop.plants”
ปฏิเสธไม่ได้ว่า ในปัจจุบันตลาดต้นไม้กำลังเป็นกระแสสังคม โดยเฉพาะไม้ด่าง มีการซื้อขายกันในราคาหลักล้านบาท และแน่นอนว่าคนในวงการบันเทิง หรือแม้แต่อาชีพการบินก็หันหน้าเข้าวงการต้นไม้กันแทบทั้งนั้น
“คือโชคดีที่เข้าวงการไม้ด่างก่อนที่วงการจะราคาผันผวนขนาดนี้ เราก็เลยจะมีพวกต้นไม้ที่เป็นตั้งแม่ค่อนข้างเยอะ แต่ต้นไม้ต้องใช้เวลา เวลาที่เราตัดชำ มันก็ต้องใช้เวลาในการอบอีกเป็นเดือน แต่ถ้าเรามีไม้หลากหลายเราก็สามารถที่จะเอาต้นนั้น ต้นนี้มาขายเพื่อเป็นทุน เป็นการ Run ในธุรกิจของตัวเองไปก่อน
สำหรับเบิร์ดการลงทุนกับไม้ด่าง ลงถูกที่ถูกเวลา ถูกตัว เบิร์ดว่ามันให้กำไรคืนมา 5-10 เท่าเลย คือเพื่อนต่างๆ หรือแม้กระทั่งคนที่เขารู้จักสามารถสร้างตัวในระยะเวลาอันสั้น จากการขายไม้ด่าง แต่ทั้งนี้จะต้องศึกษาดูด้วยว่า มีต้นไม้แล้วช่องทางในการขายของตัวเองจะขายแบบไหน”
แทบไม่น่าเชื่อว่า เมื่อโพสต์ต้นไม้ลงไปแพลตฟอร์มไปแล้วนั้น คนพร้อมจะเข้ามาซื้อภายใน 2 วินาที ซึ่งราคาต้นไม้มีราคาหลักพัน ไปจนถึงหลักแสน และเชื่อว่าคงไม่มีใครทำลายสถิตินี้ไปได้ ซึ่งถือเป็นจุดขายของพ่อค้ารายนี้ เพราะตั้งแต่เริ่มเข้าสู่วงการไม้ด่าง เขาก็เริ่มบูม และเป็นที่รู้จักขึ้นมา ซึ่งจุดสูงสุดของเขา คือ ปัจจุบันทำรายได้กว่า 6 หลัก แซงรายได้หลักไปแล้ว
“เราแก้ปัญหาโดยการที่เรายังไม่ขายก่อน คือ ตอนนี้นักสะสมหลายๆ คน แล้วคนที่เขาขายด้วยไม่มีใครขายไม้ตัวเอง เพราะตอนนี้ราคาสูง คือ ไม้บางต้นเป็นเหมือนของสะสม หายาก เพราะถ้าเขาขายไปแล้วปุ๊บ การที่เขาจะซื้อเข้ามาใหม่อาจจะแพงกว่าตอนที่เขาซื้อมาด้วยซ้ำ
ตอนที่เราเอาเข้ามาก็มีการปลูก มีการชำ อย่างตัว Milkconfetti คือ เอามาเป็นเนื้อเยื่อ แล้วเรามาเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อเอง และพอมันขึ้น มันเป็นพุ่ม เราก็จะผ่าหน่อมัน เพื่อแยกเป็น 2 ต้น”
ย้อนกลับไป เขาเปิดใจถึงหลังชีวิตพลิกผันจากสจ๊วต สู่พ่อค้าขายไม้ด่าง เหตุจากสายการบินประสบวิกฤตการบินบกพร่อง ทำให้ไม่มีตารางบิน มีแต่ภาระค่าใช้จ่าย ทั้งบ้าน ค่ารถ ที่ต้องแบกรับ ซึ่งรายได้จากการขายต้นไม้ ช่วยต่อลมหายใจชีวิตเขาอยู่ต่อไปได้
โดยลองผิดลองถูกมานับไม่ถ้วน ขายสารพัดอย่าง กว่าจะมาถึงวันนี้ ที่สามารถทำรายได้ 6 หลักต่อเดือนจากวงการไม้ด่าง และสร้างสถิติการขายออนไลน์อยู่ภายใน 2 วินาทีเท่านั้น หลังจากโพสต์ขายออกไป
“คือ ปกติเราบินทุกเดือนอยู่แล้ว เดือนละ 9-10 fight ต่อเดือน คือ ชั่วโมงบินอยู่ประมาณ 80 ชั่วโมง เราคิดว่ารายได้มันมั่นคง เราคิดว่าสายงานของเรามันเป็นอาชีพที่มั่นคง ในแต่ละเดือนเราจะได้รายได้จากการบิน แต่วันหนึ่งที่เราไม่มีบินเลยรายได้เราเป็นศูนย์
เพราะว่าแอร์ฯ สจ๊วต เขาจะรายได้จากการบินเท่านั้น เมื่อไม่มีรายได้ คือ จำได้เลยว่าช่วงที่หยุดบินแรกๆ เราก็คิดว่าโควิดจะมีแค่แป๊บเดียว เดือนสองเดือนสามเดือนคือจบ ยังไงเราก็ต้องกลับมาบินอยู่แล้ว
แล้วเนื่องด้วยเราก็มีภาระ มี fixed cost (การบัญชี) ต่างๆ ค่าบ้าน ค่ารถ พอหยุดบินไปสัก 2-3 เดือนแล้ว ยังไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้นเลย ก็เลยทำให้ เราต้องหาวิธีทำเงิน คือ แรกๆ ก็ยังไม่ได้ขายต้นไม้ แรกๆ เริ่มจากไปซื้อของในสำเพ็งมาขายเลย ตี 2 กับแฟนขับรถไปซื้อสายห้อยคล้องแมสก์กำไรละ 5-6 บาท แต่เราคิดว่าไม่เป็นไร เราขาย margin เราขาย volume เราขายปริมาณ สมมติแม่ค้าเขาซื้อ 100 เส้น สมมติว่ากำไรเส้นละ 5 บาท ก็ (ขายได้) 500 บาท แล้ว
หรือแม้กระทั่งมีขายผลไม้ ขายมังคุด ขายลองกอง ขายน้ำพริก คือ ขายมาหมดแล้ว แล้วเริ่มขยับมาเป็นไม้เขียว เป็นเศรษฐีเงินหนา คือ มีญาติที่เขามีสวน เราก็ลองเอามาขายดู แล้วมันขายได้ สมมติกำไรต้นละ 50 บาท แล้วเราพยายามขายส่งแม่ค้า 10 ต้น ก็ 500 แล้ว 20 ต้น ก็ 1,000 บาท หลังจากนั้น ก็มียอดขายเพิ่มมากขึ้น จาก 10-20 เป็น 100 -1,000 บาท
คือ ตอนที่บินเรารู้สึกว่าเงิน 1,000 บาท เป็นเงินที่น้อยมาก แต่พอเรามาขายของ ตอนที่เราไม่มีรายได้เรามาขายของอย่างนี้ เรารู้สึกว่าเงิน 10 บาท 20 บาท คือ เยอะมากเลย
เอาจริงๆ ไม่เคยคิดว่าไม้ด่างจะทำเงินให้เราได้ขนาดนี้ คือ ไม้ด่างเป็นไม้ที่ถามว่าชุบชีวิตได้เลยไหม มันก็ช่วยเราได้เลย เพราะว่ามีครั้งหนึ่งตอนที่ไม่มีเยอะขนาดนี้ คือ สิ้นเดือนเราต้องมีจ่ายค่าบ้านค่ารถ แล้วต้นไม้เราก็ชำอยู่
เราใช้เงินเก็บของเราซื้อต้นไม้ แล้วมันยังไม่ได้ขาย เขายังชำอยู่ ด้วยความโชคดีของเรา เราก็ลองเอามาประมูลราคา ลองเอามาขายดูว่าได้เท่าไหร่ สรุปว่าขาย 2 ต้น ก็ได้มา 30,000 บาท ก็รู้สึกโล่ง ได้เงินมาจ่ายทั้งค่าบ้าน ค่ารถ เหมือนต่อลมหายใจของเรา”
ปรับตัวเพื่อความอยู่รอด “ในยุคโควิด”
ช่วงเวลาที่ยังไม่รู้ว่าสถานการณ์จะไปสิ้นสุดเมื่อใด สจ๊วตรายนี้ก็ต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอด ย้อนกลับไปช่วงหยุดงานแรกๆ สจ๊วตหนุ่มยังไม่ได้หางานเสริมทำ เพราะคิดว่าสถานการณ์การบินจะดีขึ้น จน 2-3 เดือนให้หลัง ด้านน้องสาวซื้อต้นมอนสเตอร่า (Monstera) ยางอินเดีย มาฝากวางไว้ในบ้าน แล้วต้นไม้ตาย
ด้วยสาเหตุที่ไม่มีความรู้ และไม่ได้ศึกษาว่าต้นไม้แต่ละชนิดต้องเลี้ยงยังไง ตั้งแต่นั้นมาจึงเป็นจุดเริ่มต้นของเขา ที่เริ่มสนใจ และตั้งใจอยากเลี้ยงต้นไม้ต่อให้อยู่รอด โดยซื้อต้นไม้ราคาหลักสิบมาปลูกที่บ้าน
“ก่อนหน้านี้ คือ ไม่ได้ศึกษาอะไรเลยครับ คือ น้องสาวก็ซื้อต้นมอนสเตอร่าอินเดียด่าง มาปีที่แล้ว คือมันบูมมาก ซื้อมาเลี้ยงที่บ้าน แต่มันเริ่มจะเหี่ยวตาย เราก็เริ่มมีการศึกษา ปรึกษาเพื่อน เรามีการรื้อรากมาดู พอรู้แล้วว่ารากมันดำต้องมีการตัด แต่เราไม่เคยรู้เลยว่าการใช้วัสดุปลูกกลับต้นไม้บางจำพวก บางทีเขาไม่ได้ต้องการการใช้ดิน อย่าง Philodendron บางตัว คือ ไม่ใช้ดิน เพราะว่าตัวรากเขาจะหายใจไม่ออก
ตอนแรกเริ่มจากการขายไม้เขียวก่อน มีน้องมีเพื่อนเขาถามว่าลองปลูกไม้ด่างดูไหม เราก็ยังไม่รู้ว่าไม้ด่างคืออะไร ประจวบกับเพื่อนที่เขาขายไม้ด่าง เขาเห็นเราขายไม้เขียว เขาก็ถามว่าเบิร์ดมาจับตัวไม้ด่างดูไหม เราก็เลยลองดู แต่ว่าไม่รู้ว่าราคาเท่าไหร่
เขาก็บอกว่าราคาหลักพัน ซึ่งเรารู้สึกว่าการซื้อต้นไม้ต้นหนึ่งหลักพันมันค่อนข้างเยอะ สำหรับคนที่ไม่เคยอยู่ในวงการต้นไม้มาก่อน
คือ เป็นต้น Strawberry shake เป็นตัว Philodendron, Red Emeraldตอนนั้นจำได้ว่าเพื่อนให้มา 3,500 ซึ่งตอนนั้นเรารู้สึกว่า 3,500 เลยเหรอ เพรามันค่อนข้างแพง สำหรับคนที่ปกติซื้อต้นไม้ในราคา 10-20 บาท แล้วอยู่ๆ เรามาซื้อหลักพัน
ก็ค่อนข้างแพง แล้วเพื่อนก็บอกว่าอาเก็บไว้ก่อน เอาไว้ตั้งแม่ แล้วก็มีอีกต้นหนึ่งเป็นต้นของ Monstera albo คือ ตอนนี้เพื่อนให้มาในราคา 6,500 บาท เราก็เริ่มมีการโพสต์ขายแล้ว เป็นครั้งแรกที่มีการโพสต์ขายไม้ด่าง แล้วก็ขายได้ในราคา 9,500 บาท”
ในขณะที่ยุคโควิด-19 ธุรกิจต้องหยุดชะงัก เขาไม่คิดว่าธุรกิจขายต้นไม้กลับสวนกระแสวิกฤต งอกงามขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ จนกลายเป็นเทรนด์ที่ทุกคนหันมาให้ความสนใจ
จากซื้อมาขายไป จนกระทั่งไม้ด่างราคาสูงขึ้น เพื่อนจึงเตือนให้นำมาเพาะพันธุ์ เขาจึงนำต้น Philodendron ,Strawberry shake ที่เพื่อนให้มา ศึกษาวิธีการจากกลุ่มขายต้นไม้ ช่องทาง Youtube เลี้ยงจนต้นไม้เริ่มโต ตัดชำจนได้หลายกระถาง จากมูลค่าหลักพัน ปัจจุบันราคาสูงขึ้น คิดเป็นใบละหมื่นบาท
“อุปสรรคในการปลูกแรกๆ ก็มีบ้าง เช่น เราไม่มีความรู้ว่า เราจะต้องชำแบบไหน ปลูกแบบไหน วัสดุปลูกยังไง หรือแม้กระทั่งเวลาเขาเป็นโรค มีพวกไรแดงมาบุก เราไม่รู้ว่าจะใช้ตัวไหน แต่โชคดีที่ทุกวันนี้คือเรามีโซเชียลมีเดีย เราสามารถเสิร์ทหาหรือว่าศึกษาได้ แม้กระทั่ง Youtube หรือในกลุ่มของต้นไม้เอง เขาจะมีการมาแชร์เทคนิคอะไรต่างๆ ว่าถ้าต้นไม้เป็นแบบนี้ ใช้แบบนี้ วัสดุปลูกควรเป็นแบบไหนครับ
ถ้าเป็นการขยายพันธุ์ไม้ด้วยการชำ มันมีสอนใน Youtube อยู่แล้ว การตัดชำตัดยังไง พอตัดปุ๊บต้องทายา ทาปูนแดง และวัสดุปลูกก็อาจจะใช้เป็นกากมะพร้าว กากมะพร้าวอาจจะต้องแช่น้ำก่อน เพื่อลดสารแทนนินในมะพร้าว
บางอย่างเราก็เรียนรู้จากข้อผิดพลาดของเราเองด้วย บางทีเราคิดว่าผ่าหน่อปุ๊บ แล้วเราก็ไปอบ แต่เราก็ไม่ได้ทายา บางทีรากก็เน่า หรือการใส่น้ำเยอะเกินไปรากเขาก็เน่า”
ด่างไม่ด่าง แล้วแต่ดวง!!
“เสน่ห์ของต้นไม้ เบิร์ดเชื่อว่าคนที่ปลูกไม้ด่างจริง คือ มันมีความสวยในตัว และมีความเป็นเอกลักษณ์โดดเด่น ที่แต่ละใบเขาแทงออกมามันไม่เหมือนกันเลย ภาษาไม้เขาเรียกว่ามันเป็นการลุ้น ว่าใบต่อมาเขาจะเปิดมาเป็นแบบไหน จะเปิดเป็นใบด่างไหม
เพราะว่าต้นไม้บางจำพวก เขาขายกันเป็นใบ และถ้าใบด่างก็จะมีราคา มันเหมือนเป็นการลุ้นว่า ใบใหม่ออกมาแล้วนะ แล้วเราก็จะมาลุ้นอีกว่า เฮ้ย! You ด่างอีกรึเปล่า ถ้าด่างปุ๊บ ก็มองเห็นเป็นตัวเงินเพิ่มขึ้น เป็นหลักหมื่น หลักพัน”
แน่นอนว่า ความสวย ความด่างที่ใบ เป็นตัวแปรผันในส่วนของราคา เพราะยิ่งด่างยิ่งมีราคาสูง ซึ่งไม่ตายตัว อิงไปตามราคาตลาด และผู้ขายสามารถเป็นคนกำหนดราคาได้
“ตัวไม้ด่างยิ่งด่างยิ่งแพง ยิ่งสวย ลักษณะใบสมบูรณ์ ไม่มีโรค ไม่มีแมลง ไม่มีที่ติ สามารถตั้งราคาขายเองได้เลยครับ
คือ บางครั้งเราอาจจะอิงราคากลุ่มในตลาด ว่า range ของการขายสักประมาณใบละ 5,000 ถึงใบละ 10,000 แต่ถ้าใบของเราเป็นใบที่พิเศษจริงๆ สมบูรณ์ เราสามารถตั้งราคาเป็น 12,000-15,000 ก็แล้วแต่คนขายเลย แล้วมันก็ขึ้นอยู่คนซื้อแล้วถ้าเขาพึงพอใจ เฮ้ย! โอเค สวยอยากได้ ก็ซื้อ มันไม่มีราคากลาง มันไม่มีราคาตายตัว มันไม่มีราคาเหมือนทองคำว่า You ต้องซื้อเท่านี้
จริงๆ ต้องเข้าใจก่อนว่าพวกไม้ด่าง คือ มันเป็นไม้พิการ มันเป็นยีนด้อย แต่คำว่าไม้ด่างมันมีหลายสาเหตุมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสายพันธุ์เขาเอง เรื่องของการใช้ยาฆ่าแมลง เรื่องของโรค ก็สามารถทำให้ตัวใบเขาด่างได้
การด่างของต้นไม้มันกำหนไม่ได้เลย หรือว่าต้นนี้ต้องเป็นแบบไหนอย่างสมมติต้นนี้เขาด่างนิดเดียว ใบต่อมาอาจจะด่าง half อันต่อมาอาจจะด่างทั้งใบเลย
หรือใบต่อมาอาจจะด่าง 1 ใน 3 มันบอกไมได้เลยว่า มันต้องด่างแบบไหน เพราะเราไม่สามารถไปควบคุมการด่างของเขาได้ มันก็เลยค่อนข้างมีราคาแพง แล้วไม้บางจำพวกมันโตช้า การที่จะมาทำจำนวนเยอะๆ อย่างการทำเนื้อเยื่อมันเป็นการทำได้ยาก แล้วการทำเนื้อเยื่อและทำให้ด่างก็เพิ่มโอกาสยากไปอีก บางต้นในตลาดตอนนี้มันก็เลยค่อนข้างมีราคาแพง ราคาสูงด้วยครับ
อีกปัจจัยคือ ต่างชาติเขาก็มาซื้อบ้านเรา พอเขาขนออกไปปุ๊บ บ้านเราเริ่มไม้ด่างโตไม่ทันแล้ว เมื่อโตไม่ทันปุ๊บ demand (อุปทาน) supply (อุปสงค์) ความต้องการเยอะ ก็หาไม่ได้ ราคาเขาก็เลยสูง”
สำหรับต้นไม้ที่เรียกได้ว่าขายดีมากที่สุด 5 อันดับในบริเวรสวนบ้านต้นไม้ของร้าน Cop.plants แห่งนี้ คือ ต้น Syngonium, ต้น Milkconfetti, ต้น Syngonium panda,ต้น Monstera albo และต้น Strawberry shake ที่สร้างกำไรให้เขามากถึง 7 หลักต่อเดือน
“มีตัว Syngonium, Milkconfetti ,Syngonium panda , Monstera Albo แล้วก็จะมี Strawberry shake อีกตัวหนึ่งที่ขายได้คือ Mojito กำไรทั้งหมดได้ 6-7 หลัก ต่อเดือน เยอะนะ
ตอนนี้เป็นอาชีพเสริมที่รายได้แซงรายได้หลักไปแล้ว หรือแม้กระทั่งบางเดือนได้เท่ากับรายได้หลักเลย อย่างต้นไม้วันหนึ่งขายได้ต่ำสุด คือ 10,000 บาท สำหรับคนทำปกติ ธรรมดา มันเยอะมาก”
เทรนด์ฮิต “ดาราสายเขียว” ไม้ด่างราคาพุ่ง!!
อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้วงการไม้ด่างค่อนข้างสูง คือต้นไม้โตไม่ทัน ราคาจึงเพิ่มขึ้นซึ่งการเล่นไม้ด่างเปรียบเสมือนการเทรดหุ้น ซื้อมาอีกราคา ขายอีกราคา ซึ่งมีราคาสูงขึ้นไปเรื่อยๆ
“เบิร์ดว่ามันคล้ายๆ การเทรดหุ้น คือเราจะต้องดูว่าต้นไม้ตัวนี้กำลังจะเป็นกระแส อย่างตัวของต้น Milkconfetti ก่อนหน้านี้คือเราเริ่มรู้แล้ว กระแสเริ่มมาแล้วเรามีแหล่งที่จะไปรับมาจากสวน เอามาเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ แล้วจังหวะคนที่เขาต้องการหาเรามี ขายไปเลย 500 ต้น (ขาย) หมด”
ไม่เพียงแค่นั้นเขายอมรับว่า ในช่วงโควิด ศิลปินดาราหันมาจับต้นไม้กันมากขึ้น ทำให้เทรนด์การปลูกและถ่ายภาพคู่ต้นไม้ ระบาดหนักจนกลายเป็นกระแสฮิตให้หลายคนหันมาปลูกต้นไม้ภายในบ้านกันมากขึ้น
“คือ เอาจริงๆ เคน (ภูภูมิ-พงศ์ภาณุ) ไม่ควรเอามาขายอย่างนี้เลย เพราะเคนทำให้ราคาในตลาดไม้ปั่นป่วนไปหมด คือ จาก Monstera albo ราคา 5,000-8,000 บาท ด้วยความเป็นเคน ด้วยความที่เขามีชื่อเสียง คือ ใบหนึ่งที่เห็นเขาเปิดเสนอราคาใบหนึ่ง 17,000 บาท
ราคา 17,000 คือ มัน beyond การขายใบหนึ่งไปแล้ว หรือแม้กระทั่งตัว Milkconfetti หรือตัวอื่นๆ เพราะว่าจริงๆ ในตลาดต้นไม้อย่างที่บอกมันไม่มีราคากลาง พอมันมีคนดังหรือเป็นคนที่รู้จักในต้นไม้ขายได้ราคาเท่าไหร่ คนอื่นก็จะเริ่มแล้ว โอเค...คุณขายได้ต้นละ 5,000 ใช่ไหม ฉันขายด้วยต้นละ 5,000 ซึ่งปกติราคามันราคาต้นละ 1,000-1,500 บาท
ในความคิดของเบิร์ด เบิร์ดคิดว่าดาราก็มีส่วนทำให้ราคาขึ้น แต่อย่างที่บอกต้องศึกษา เพราะอย่างเช่นตัว วิลสันด่างตัวนี้ จะมีครั้งหนึ่งที่ญาญ่าถือ ซึ่งตัววิลสันด่าง (Dieffenbachia) ราคาตลาดต้นละ 300-500 บาท ถ้า You ไม่ศึกษาวันที่มีกระแสและคนตามหาวิลสันด่าง มีคนขาย 2,500 แล้วคุณกระโดดเข้าไปซื้อ ถามว่าคุณจะไปปล่อยในราคา 3,000 มีคนซื้อไหม… ยากแล้วนะ เพราะว่าหลังจากนั้นกระแสตก เขาก็กลับมาในราคา 500-1,000
คุณติดดอยเลยนะ ถ้าภาษาหุ้น นี่คือเป็นสิ่งที่ต้องศึกษาว่าไม้อะไรที่มันมีราคาอยู่แล้ว แต่ถ้าเป็นไม้ตลาด ไม้ทั่วๆ ไปราคาหลักร้อย อยู่ๆ เขากระโดดมาเป็นหลักพัน แล้วคนก็กระโดดเข้าไปซื้อ คุณคือแมลงเม่าบินเข้ากองไฟเลย”
เมื่อดาราเริ่มมาขาย หรือสนใจ เขาไม่คิดว่าเป็นการถูกแย้งตลาดไม้ด่าง หรือลูกค้า เพราะแต่ละคนเขาก็จะมีสไตล์ในการขายต้นไม้ที่มันไม่เหมือนกัน
“เราจะไม่ว่าการแย่งลูกค้ากันหรอก แต่ละคนเขาก็จะมีสไตล์ในการขายต้นไม้ที่มันไม่เหมือนกัน หรือแม้กระทั่งกลุ่มต้นไม้ที่เขามี ก็อาจจะไม่เหมือนกัน ราคาแพงบ้าง ถูกบ้าง ก็แล้วแต่ ตอนนี้มันก็ขึ้นอยู่กับลูกค้าแล้วว่าลูกค้าพึงพอใจกับการซื้อต้นไหน
เพราะว่าตัวต้นไม้แต่ละต้นมันมีลักษณะที่ไม่เหมือนกัน ดารามีจริง แต่ราคาอาจจะดูไม่สวย แต่ของเราเราไม่ได้เป็นคนมีชื่อเสียง แต่เรามีต้นที่มีเหมือนกันแล้วเราสวยกว่า ก็ขึ้นอยู่กับลูกค้าแล้ว ว่าจะซื้อต้นนี้หรือต้นนี้ ถ้าหากว่าราคามันเท่ากัน
คนขายเราได้กำไรจากการขายตรงนี้ก็ค่อนข้างดี อย่างที่บอกมันเป็นไม้กระแส อย่างไม้กระแสก็ต้องศึกษาให้ดี เพราะบางครั้งก็อาจจะตกลงได้เหมือนหุ้นเลย หุ้นตัวไหนที่คนซื้อเยอะ แต่สักวันพอมีอะไรปุ๊บก็ drop ลงมา คนไปซื้อตรงนี้ คือ ติดดอยกันหมด”
ถามว่าราคาจำหน่ายเพิ่มกำไรให้วงการไม้ด่างมากแค่ไหน “100 เท่า” สจ๊วตที่นั่งอยู่ข้างหน้าผู้สัมภาษณ์ให้คำตอบ ถึงยอดขายสุดปัง ที่เพิ่มสูงขึ้น หลังศิลปินดาราหันเข้าสู่วงการไม้ด่าง
“ราคาขึ้นมา 100 เท่า คือ สมมติว่าต้นนี้ราคา 1,700 บาท พอมันเป็นโควิดปุ๊บ ราคามันเริ่มเด้งขึ้นมา จาก17,000 บาท ไปจนถึงหลักแสน
เบิร์ดอยากจะบอกว่าต้นไม้อย่างนี้ มันคือการเทรด มันซื้อต้นหนึ่งมา สมมติคุณซื้อมาในราคา 30,000 บาท คุณคงไม่ขายในราคา 30,000 คุณต้องมาขายในราคา 35,000 บาท
คนที่มาซื้อในราคา 35,000 เขาคงไม่ขาย 35,000 เขาก็ต้องขาย 40,000 มันก็จะโดดกันไปเรื่อยๆ แบบนี้ ราคาเขาก็เลยโดดขึ้นสูงขึ้นๆ เพราะคนสุดท้ายที่ซื้อ 100,000 บาท เขาคงไม่มาขาย 50,000 บาท
จริงๆ ตลาดมันค่อนข้างกว้างมาก คือถ้าคุณมีพลอตฟอร์มของตัวเอง คือ สามารถขายในช่องทางของตัวเองได้เลย ถ้าไม่มีช่องทางตัวเองจริงๆ คือ สามารถขายในกลุ่มของต้นไม้ ซึ่งบางกลุ่มอาจจะต้องให้มาลงทะเบียนการขาย หรือเวลาที่มีลูกค้าเขาโพสต์ต้องการหา เช่น สนใจต้นนี้ใครมีบ้าง ถ้าเรามี เราก็ถ่ายรูปของเรา แล้วก็โพสต์ไปพร้อมกับราคา”
คว้าโอกาส ลงมือทำถึงจะเห็นผล
เบิร์ดที่อารมณ์ดีตลอดการให้สัมภาษณ์ เขายอมรับว่า ยากมากกว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ แม้ตอนเริ่มทำจะไม่ประสบความสำเร็จ แต่พอมาถึงทุกวันนี้ก็ถือว่าคุ้มค่า ซึ่งนอกจากจะจัดส่งให้ทั่วประเทศ เขายังส่งออกไปถึงต่างประเทศมาแล้วอีกด้วย
“เริ่มแรกมีลูกค้าทางฮ่องกง เขามีการมาซื้อต้นไม้ เขาก็มี order มา ตอนแรกเราก็เป็น Supplier (ผู้ผลิตสินค้า) ในการหาต้นไม้ พอหาต้นไม้เสร็จปุ๊บ ครบตามจำนวนที่เขาอยากได้
ก็หาวิธีการว่าจะส่งยังไง คือ เราต้องมารู้อีกว่ากฎของกรมการเกษตร เวลาที่เราจะส่งพืชไปนอกประเทศ หรือแม้กระทั่งเราต้องดูกฎจากปลายทางด้วย ว่าพืชจะต้องไม่มีแมลง จะต้องไม่มีดินติดไป เราก็เลยจะต้อง ล้างรากพ่นยา ใส่หุ้มสแฟกนั่มมอส แล้วห่อหุ้มด้วยกระดาษ เพื่อที่จะเอาตรวจที่กรมการเกษตร เพื่อที่จะได้ใบปลอดโรค หรือเรียกว่าใบใซโต”
เขาส่งต้นไม้ไปฮ่องกง เกือบทุกสองสัปดาห์ ทำให้รู้ระบบขนส่งว่าต้องส่งยังไง ใช้เอกสารอะไรบ้าง จึงได้ร่วมงานกับเพื่อนที่ทำระบบขนส่ง เพื่อหาต้นไม้ส่งให้ลูกค้า
ซึ่งหลังตกลงราคาได้แล้ว หากส่งต่างประเทศ ก่อนส่งสิ่งสำคัญ คือ ต้องถามปลายทางก่อนว่ามีใบอนุญาตนำเข้าหรือไม่ เพราะบางประเทศไม่สามารถนำพืชเข้าไปได้
“การแพ็กส่งไปต่างประเทศจะมี 2 แบบ แบบแรกคือแบบโคเรียร์ เป็นการบริการจากบ้านถึงบ้าน เป็นโฮมเซอร์วิส เหมือน EMS บ้านเราเลย แต่ถ้าจะเป็นอีกแบบหนึ่ง คือ แบบคาร์โก้ เร็วกว่า แต่ว่าลูกค้าต้องมารับของเองที่สนามบิน มันก็จะซื้อความสะดวกสบายต่างกันครับ
คนแพ็กสามารถรู้เลยว่าวางต้นไม้แบบไหน ใช้วัสดุโฟม ใช้นุ่นช่วย แล้วก็ใช้กระดาษช่วย support ในกล่อง เวลาที่เขาขนส่งต้นไม้จะได้ไม่ขยับเขยื้อนมาก หรือได้รับกระทบกระเทือน
ถ้าเป็นแอร์คาร์โก้ คือ ก็แล้วแต่ว่า You จะส่งไปยังประเทศไหน ถ้าส่งไปฟิลิปปินส์ คือ 2 ชั่วโมงครึ่งก็ถึงแล้ว ก็ให้คัสตอมส์โบรกเกอร์ (Customs Broker) มารับของ หรือถ้าลูกค้าสามารถรับเอง ก็สามารถไปรับได้ที่สนามบินครับ
แต่ถ้าเป็นในส่วนของโคเรียร์ อาจจะ take time หน่อย อาจจะใช้เวลา 3 วัน สมมติจากไทยไปฮ่องกง ถ้าเป็นแบบโคเรียร์ ก็ใช้เวลา 3 วัน “
เมื่อถามถึงการแพ็ก เพื่อจัดส่งไปยังลูกค้าต่างชาติ เขาอธิบายให้ฟังว่าจะต้องล้างรากไม่ให้มีดินติด ซึ่งอาจจะใช้สแฟกนั่มมอส ห่อรากไว้
ส่วนใบใช้กระดาษห่อ หลังจากนั้น นำไปตรวจโรคที่กรมวิชาการเกษตรเพื่อให้ได้ใบปลอดโรค จัดส่งทางไปรษณีย์ ไม่เพียงแค่นั้นจะต้องดูให้ดีว่าแต่ละประเทศให้จัดส่งได้กี่ต้น ซึ่งสำหรับกำลังคนซื้อต้นไม้นั้นไม่ได้อยู่ที่เป็นคนจากประเทศอะไร มองว่าทุกคนสามารถซื้อได้
“เบิร์ดว่าไม่ใช่ว่าเป็นคนรวย ใครก็สามารถเข้าถึงต้นไม้ได้ เหมือนกับว่ามันเป็นการลงทุน สมมติว่าซื้อมาเท่านี้ แล้วถ้าเขาขายได้ ต้นไม้ต้นหนึ่งเบิร์ดถามว่าได้กำไร 500-1,000 บาท ถามว่าเยอะไหม... เยอะนะ”
อย่างไรก็ดี การทำอาชีพสจ๊วต เขายอมรับว่าการได้ภาษาที่ 3 เป็นข้อดี ช่วยในการติดต่อสื่อสาร กับลูกค้าต่างประเทศ และเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่สามารถสร้างได้ให้เขา
“เบิร์ดได้ภาษาอังกฤษ เบิร์ดได้ภาษาจีน และการได้คุยกับต่างชาติ บางครั้งการที่จะคุยกันเป็นครั้งแรก บางทีเขาอยากจะรู้ว่า เฮ้ย! You เป็นคนขายจริงๆ เพราะว่าบางครั้งชาวสวนบางคน เขาไม่สามารถใช้ภาษาอังกฤษได้
มันก็จะยากในการสื่อสารกับเขา ถ้าเขาติดต่อกับเรา มันก็จะเป็นสิ่งที่ง่ายขึ้น สะดวกกับเขามากขึ้น เขาจะสามารถติดต่อสื่อสารกับเราได้เลย
เวลาที่เราขายของออนไลน์ หน้า facebook เป็นสิ่งที่สำคัญระดับหนึ่งเลย ยกตัวอย่างเวลาคุณจะซื้อต้นไม้ต้นหนึ่งในราคา 3,000 บาท ถ้าเขาไปโพสต์ขาย คุณจะไปเข้าไปดูก่อนไหม
จะต้องมีการเข้าไปดู แล้วเรื่องของโปรไฟล์ก็เป็นสิ่งที่สำคัญให้อีกระดับหนึ่ง เพราะบางคนปิดหน้าเฟซบุ๊กเลย ไม่ให้คนดู การโพสต์ก็จะใช้เป็นรูปโลก Public เลย ให้คนอื่นรู้ว่าฉันมีตัวตน ฉันมีการเคลื่อนไหวตลอดเวลา
เพราะว่าอย่างตัวเบิร์ดเอง ขนาดเป็นคนขายและเป็นคนซื้อด้วย ยังเคยโดนถูกโกงเลย นี่เป็นมิสเตอร์ ส.น. มา 2 รอบแล้ว คือ เราคิดว่าเราตรวจสอบดีแล้ว เราเข้าไปเช็ก แต่ด้วยความที่เราเห็นว่ามันเป็นของถูก ก็ซื้อราคา 8,000 บาท โอนปุ๊บก็มาคิดว่าจะใช่เหรอวะในราคา 8,000 บาท สรุปว่าก็มาเช็กชื่อ สรุปว่าโกง
ก็อยากจะฝากกับมือใหม่ครับ เวลาเราจะซื้อของ คือ อยากให้ตรวจสอบคนที่เขามาขายด้วย ว่ามีประวัติดีไหม มีการซื้อขายในกลุ่มไหม หรือทุกวันนี้เราสามารถที่จะนำชื่อนี้ไป search ใน google ได้ มันจะขึ้นเลยว่าประวัติคนโกงดีกว่าโอนไปแล้ว แล้วมาเสียใจทีหลัง เพราะยังไงก็ไม่ได้เงินคืน”
นอกจากมองเห็นโอกาส แล้วลงมือทำแล้ว หลายคนคงอยากรู้วิธีคิด หรือวิธีการวางแผนของสวนแห่งนี้ที่กำลังเติบโตสร้างรายได้ให้อย่างสวยงาม รวมทั้งอาชีพพนักงานต้อนรับของสายการบินไทย ที่เปรียบเสมือนความฝันของเขา และไม่เคยคิดยอมแพ้ ในเส้นทางแห่งนี้
“จริงๆ เราก็อยากเป็นพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินมาตั้งแต่เด็ก อีกอย่างเป็นความฝันของคุณพ่อด้วย และมาสมัคร แต่จริงๆ ก็สมัครหลายรอบ ไม่ใช่ว่าสมัครรอบเดียวแล้วจะได้ เบิร์ดสมัครมาเป็นปี เบิร์ดตกมาเป็นสิบกว่ารอบ สิบสายการบินที่ไป กว่ามันจะได้ ทำให้เรารู้สึกว่าคุณค่าของงานมันค่อนข้างจะสูง เหมือนตอนล่าสุดที่เขาจะเอาคนออก เรารู้สึกว่า เฮ้ย! เราไม่อยากออก เพราะเรารู้สึกว่าเรายังรักอาชีพนี้อยู่
ใครจะคิดว่าเป็นสายการบินแห่งชาติ วันหนึ่งเราจะไม่มีบิน เราจะหยุดบิน เราจะไม่มีรายได้เลยจากการบิน คือ เบิร์ดเชื่อว่าหลายคนต้องหาหนทาง ทำยังไงให้ตัวเองรอด เพราะแต่ละคนเบิร์ดเชื่อว่า แต่ละคนต้องมีครอบครัว เขามีภาระค่าใช้จ่าย มีลูก
เบิร์ดคิดว่าจากงานที่เราคิดว่ามั่นคงมาก แล้วเราก็ไม่ได้เก็บเงิน เราคิดว่าภายในทุกเดือนเราจะได้เท่านี้ แล้วพอวันหนึ่งมันเกิดวิกฤต เราไม่มีเงินทุนสำรองตรงนั้นเลย เพราะว่ามันถูกใช้จ่ายไปหมด เพราะคิดว่าในทุกๆ เดือนเราจะได้เท่านี้ แต่พอวันหนึ่งมา เฮ้ย! ตายนะ ไม่มีเลย เงินเก็บไม่มี เงินเก็บหมด
เบิร์ดมองอาชีพสจ๊วตยังไง เบิร์ดคิดว่ามันก็ยังเป็นอาชีพหลักของเรา ที่เราสามารถทำควบคู่กับอาชีพเสริม โดยการปลูกต้นไม้ได้ มันสามารถเป็นอาชีพที่ทำร่วมกันได้ ซึ่งต้นไม้มันไม่มีปัญหากับอาชีพหลักเลย เวลาวันว่างแม้กระทั่งคนทำงานออฟฟิศประจำ สมมติเขาทำงานจันทร์-ศุกร์ กลับมาเขายังดูแลต้นไม้ได้ อย่างของเบิร์ดเหมือนกัน เบิร์ดก็ไม่ใช่ว่าจะบินทุกวัน วันว่างจากวันบินเบิร์ดก็สามารถมาดูแลต้นไม้ได้”
แนะมือใหม่ขาย “ไม้ด่าง” โกยเงินแสน “เงินทุน จริงๆ เราอยากให้ศึกษาก่อนว่า เราอยากจะขายไม้ด่างเราจะขายตัวไหน เพราะไม่ใช่ไม้ทุกตัวขายได้ เราต้องมีการศึกษาในกลุ่มก่อนว่า ไม้ตัวนี้เป็นที่ต้องการในตลาด ไม่ใช่ว่าเห็นตรงนี้ด่าง ต้นนั้นด่างก็เอามา สรุปว่าก็ขายไม่ได้ ถ้าคนสนใจ เบิร์ดอยากแนะนำเลยว่า อยากให้ศึกษาดูก่อน ลองศึกษาว่าเขาเลี้ยงยังไง เลี้ยงแบบไหน วัสดุปลูกเป็นวัสดุปลูกแบบไหน และช่องทางที่ตัวเองจะไปขายจะไปขายที่ไหน ถามว่าทุกคนเลี้ยงต้นไม้ได้ไหม เลี้ยงต้นไม้ได้ ทุกคนเรียนรู้ได้เหมือนกัน แต่เราต้องมาดูอีกว่า ช่องทางหรือแพลตฟอร์มในโซเชียลมีเดีย เราสามารถเข้าถึงสื่อไหนได้บ้าง อย่างที่บอก เราต้องรู้ว่า เราอยากขายต้นไม้พวกนี้แต่การที่จะซื้อต้นไม้มาแต่ละต้นเราต้องเข้าใจธรรมชาติ บางทีมันก็ต้องใช้เวลาในการแทงใบ ถ้าเราซื้อมาแค่ต้นเดียว ถามว่าถ้าเราขายเลยได้ไหม ขายได้ แต่เราไม่มีต้นไม้เหลือแล้ว แต่ถ้าเราซื้อต้นไม้มาต้นหนึ่ง เพื่อรอที่จะตัดชำ และขายตัวยอดนั้น มันก็ต้องมีการ Take time ใช้เวลาหน่อย คือ มันขึ้นอยู่กับว่าเรามีเงินลงทุนเท่าไหร่ อาจจะซื้อแม่พันธุ์มาสัก 5 ต้น หรือ 10 ต้น และรอวันที่เขามาใบเยอะขึ้น แล้วเราก็ตัดเขาแล้วเอาไปชำ เมื่อชำเสร็จรากเดินดีก็ขาย” |
ดูโพสต์นี้บน Instagram
สัมภาษณ์: ทีมข่าว MGR Live
เรื่อง: ภูริฉัตร ปริยเมธานัยน์
คลิป: อิสสริยา อาชวานันทกุล
ภาพเคลื่อนไหว: ภูริฉัตร ปริยเมธานัยน์, กีรติ เอี่ยมโสภณ
ภาพ: กัมพล เสนสอน
ขอบคุณภาพ: อินสตาแกรม @cop.plants และเฟซบุ๊ก “Nitipan Leelasuwattanakul”
ขอบคุณสถานที่: ร้าน “Cop.plants”
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **