xs
xsm
sm
md
lg

ยิ่งฝันใหญ่ พลังใจยิ่งมา เจาะมหากาพย์ชีวิต “เอแคลร์” ผู้สลัดสลัม สู่บ้านหรู 27 ล้าน!! [มีคลิป]

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เปิดเรื่องราวบิวตี้บล็อกเกอร์สู้ชีวิต ที่โด่งดังชั่วข้ามคืน “เอแคลร์ จือปาก” บอกลาสลัมคลองเตย ฮึดสู้ความจน สู่บ้านหรู 27 ล้านบาท ชีวิตล้มลุกคลุกคลาน พ่อเสียชีวิต ขาดเสาหลักครอบครัว ซ้ำร้ายไฟไหม้บ้านทั้งหลัง เป็นหนี้นอกระบบ กว่าจะมีวันนี้ ยังมีเรื่องราวทรหดอีกเยอะ ที่หลายคนรู้แล้วต้องทึ่งว่า มาถึงวันนี้ยังไง



บอกลาสลัมคลองเตย สู่บ้านหรู 27 ล้าน

“กว่าจะมีบ้านหลังนี้ได้ เราก็ผ่านอะไรมาเยอะพอสมควร เพราะว่าตัวเราเองก็เป็นแค่เด็กสลัม เด็กในชุมชนอยู่แบบง่ายๆ แต่ว่าด้วยความที่เราเป็นคนคิดใหญ่ ฝันใหญ่ตั้งแต่เด็ก เป็นแค่เด็กชุมชนธรรมดา แต่ว่าเราฝันใหญ่มาก ฝันว่าอยากจะมีบ้านหลังใหญ่ เราอยากจะเป็นเจ้าของธุรกิจ เราอยากจะมีเงินทอง อยากจับเงินล้าน

เป็นคนกล้าฝันตั้งแต่เด็ก และรู้สึกว่าฝันอย่างเดียวยังไม่พอ ต้องทำตามฝันให้ได้ด้วย แต่มันก็สำเร็จจริงๆ ยิ่งเราฝันใหญ่ พลังใจมันยิ่งมา”

เอแคลร์ จือปาก หรือ “ชาติศักดิ์ มหานาค” บิวตี้บล็อกเกอร์ชื่อดังเจ้าของวลียอดฮิต “ไฮไลต์หน้าเงาหนังปลาทู” ที่มีคนติดตามจำนวนมาก รวมทั้งยังเป็นอีกหนึ่งในบิวตี้บล็อกเกอร์ ที่มีอิทธิพลต่อวัยรุ่นในยุคนี้เลยก็ว่าได้ ที่โดดเด่นมีช่องยูทูบบันเทิงความงามที่มีชื่อว่า “Juepak” ที่เธอการันตีว่า เป็นช่องความงามอันดับหนึ่งแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อีกด้วย

ล่าสุด เป็นที่ฮือฮาอีกครั้ง เมื่อเธอได้ทำคลิปทิ้งทวนเป็นครั้งสุดท้ายของการใช้ชีวิตหลักในบ้านเก่าชุมชนคลองเตย เพื่อย้ายไปอยู่บ้านหลังใหม่ 30 ล้าน

วันนี้เธอจะมาเล่าถึงความภาคภูมิใจของความสำเร็จที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบให้ฟังว่า กว่าจะมีวันนี้ได้ต้องทำงานหนักตั้งใจเก็บเงินกว่า 4 ปี เพื่อให้ครอบครัวได้อยู่กินอย่างสุขสบาย


“เหตุผลที่ต้องซื้อบ้านหลังนี้ จริงๆ แล้วมันเกิดจากความไม่ตั้งใจ พอเราโตขึ้นมาแล้วทำงานในวงการนี้ ก็จะมีผู้ใหญ่พูดตลอดว่า วงการนี้มันไม่ยั่งยืน หนูต้องมีธุรกิจอะไรเป็นของตัวเองเพื่อเป็นการต่อยอดเงิน

ที่ผ่านมา ก็พยายามคิดหาวิธีต่อยอดเงินจากการทำธุรกิจต่างๆ บางทีเพื่อนก็มาชวนหุ้นร้านเสื้อผ้า แบรนด์เครื่องสำอางสกินแคร์ต่างๆ รวมถึงเปิดร้านทำเล็บ ทำผม ทำมาครบวงจรแล้ว ก็ได้เงินต่อยอด แต่มันก็ต่อยอดไม่พอใจเรา

ก็ไปค้นพบในยูทูบสำหรับธุรกิจอย่างหนึ่งที่เรียกว่าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ก็คือ การเหมือนกับขายบ้าน เราก็บอกเพื่อนสาวเราที่เป็นเด็กสลัมด้วยกันว่า แกเดี๋ยวว่างๆ ขับมอเตอร์ไซค์ตระเวนหาคอนโดด้วยกัน เพื่อนสาวก็บอกว่าจะดีเหรอทำไมไม่ซื้อบ้านอยู่ ซึ่งไปดูในยูทูบมาซื้อได้ล้านห้า แล้วเขาขายได้สองล้าน มันได้เงินเยอะเลยนะแก เราไม่ได้ทำอะไรก็ได้เงินเลย ก็บอกเพื่อน ช่วงสองปีที่ผ่านมาก็ตระเวนขับมอเตอร์ไซค์เพื่อไปดูบ้าน ดูคอนโด”

[บ้านเก่าสลัมคลองเตย]


จากที่ไม่ได้คิดจะซื้อบ้าน ก็มีเหตุการณ์ทำให้ต้องกลับมาคิดทบทวน จนได้บ้านหลังนี้มา

“ช่วงโควิดรอบแรกที่เข้าเมืองไทย ตอนนั้นข่าวที่อู่ฮั่นมาแรงมาก อยู่ๆ มีคนล้มป่วยเป็นโควิดเสียชีวิต เรารู้สึกว่าเรากลัว แต่มีอยู่วันหนึ่งคุณยายก็นอนดูทีวีอยู่ เขาก็ปกติดี ก็บอกเดี๋ยวยายนอนแล้ว เขาก็ปิดทีวี ไม่ถึง 5 นาทียายป่วยเลย ตัวสั่น ไข้ เราก็คิดว่าอู่ฮั่นเริ่มแล้ว เราก็กลัวมาก

ตอนนั้นเขาเพิ่งประกาศเคอร์ฟิว เราก็ลำบากมาก จะไปโรงพยาบาลได้ไหม ซึ่งบ้านเอแคลร์อยู่สลัมคลองเตย จากตัวบ้านไปลานจอดรถมันไกลมาก ดังนั้น สิ่งที่เราต้องทำคือต้องเดิน ในขณะที่ยายป่วยไม่สบายอยู่แล้วมากๆ ก็ต้องเดินแบบส้นต่อส้นไปที่ลานจอดรถ ก็รู้สึกว่าเป็นภาพที่ไม่ดี จริงๆ เราเป็นคนมีตังค์แล้ว ทำไมคุณภาพชีวิตเรายังยากมาก

ทำไมเราถึงไม่สามารถที่มีคนล้มป่วย เปิดประตูบ้านออกมา แล้วเจอโรงจอดรถอยู่หน้าบ้าน ทำไมถึงไม่เป็นแบบนั้น ก็บอกเพื่อนสาวว่า แกเปลี่ยนแพลน ไม่ซื้อเพื่อขายแล้วบ้าน ก็คือซื้อมาอยู่จริง เราก็ต้องหาที่มันเหมาะกับเรา ต้องเป็นบ้านในฝันของเราให้ได้ จนเป็นบ้านหลังนี้

มีบ้านเป็นสูงๆ แล้วก็มีห้องให้อยู่อาศัยหลายๆ ห้อง ซึ่งทางพี่ชาย พี่สาว แม่ ยาย ตัวเราเองมีห้องครบ แล้วก็มีห้องน้ำในตัว ซึ่งตอบโจทย์เรื่องของพื้นที่ ทำเล มันก็ตอบโจทย์แล้วถึงได้บ้านหลังนี้มา บ้านหลังนี้ราคาเปล่า ไม่รวมตกแต่ง 27 ล้านบาท แต่ตกแต่งก็จะบาน”


นอกจากนี้ ยูทูบเบอร์ชื่อดัง เธอยังเล่าว่า เธอเป็นคนที่เห็นคุณค่าของเงิน ไม่ฟุ่มเฟือย กว่าจะได้มาแต่ละบาทมันยากแค่ไหน เคยกินข้าวข้างทางยังไงก็ยังเป็นแบบนั้นอยู่ หลายคนเมื่อทำงานมาเหนื่อย ก็อยากตอบแทนตัวเองด้วยการซื้อในสิ่งที่ต้องการ แต่คงไม่ใช่เธอคนนี้ เพราะความสุขที่แท้จริงของเธฮคือการได้อยู่บ้านกับครอบครัว

“ด้วยความที่หนูเป็นเด็กชุมชนธรรมดา ตอนนั้นหนูไม่รู้จักแบรนด์เนม หนูไม่ซื้อแบรนด์เนมตั้งแต่หนูมีชื่อเสียงมา หนูมีแค่กระเป๋าที่หนูใช้ในทุกวันนี้ กับอีกใบนึงมาตลอดชีวิต ที่เหลือก็เป็นใบที่พี่ๆ ซื้อให้ รู้สึกว่ามันไม่ใช่หนู หนูเป็นคนใช้ของทิ้งๆ ขว้างๆ เราเกิดมาจากการการใช้ถุงพลาสติก เราใช้ของทิ้งขว้าง แบรนด์เนมใบนึงเกือบแสน มันเกินลิมิต หนูก็ไม่ค่อยซื้อ หนูก็ทำแต่งาน

พอหนูดังมาแล้วไม่ใช่หนูเหลิงในชื่อเสียงว่าใช้เงินฟุ่มเฟือยมากกว่าเดิม สมัยก่อนหนูใช้เงินวันละร้อย ก็สามารถใช้เงินวันละร้อยได้ตอนนี้ สมัยก่อนหนูกินข้าวข้างทางแบบนั้น ก็ยังกินข้าวข้างทางได้อยู่ คือหนูใช้เงินน้อยมาก

เอาแบบเปรียบเทียบกันง่ายๆ นะ ถ้าหนูทำงานได้เงินหนึ่งแสน หนูต้องให้ตัวเองใช้หนึ่งพันบาท หนูไม่เคยตั้งเป้าว่าเดือนนี้จะต้องเก็บเท่าไหร่ ต้องมีกี่บัญชีออม บัญชีใช้สอย มีแค่บัญชีเดียว

หนูมีเงินเท่าไหร่ หนูใช้เงินแบบไหน หนูมาจากไหน รู้ตัวเองอยู่ตลอดเวลา สร้างคติเตือนใจตัวเองตลอดเวลาว่าเรามาจากไหน เราคือใคร จะไม่เหลิงในการใช้เงิน สมมติทำงานได้สองแสนก็ได้ใช้สองพันเหรอก็ไม่ใช่ ก็ใช้หนึ่งพัน เพราะเรารู้ว่าหนึ่งพันมันอยู่ได้ในหนึ่งวันแล้ว ก็พยายามไม่ใช้เกิน

จะมีคนบอกว่าอยากใช้เงินตอบแทนความเหนื่อยตัวเอง อะไรบ้างที่ทำให้หนูไม่เหนื่อย อยู่บ้าน ดังนั้นความฝันของหนู ก็คือ การอยู่บ้าน สั่งสุกี้ 100-200 บาท มากินกับแม่กับยายจบแล้ว หนูมีแค่นี้”


พ่อเสีย ไฟไหม้บ้าน ติดหนี้นอกระบบ

เหมือนโชคชะตากลั่นแกล้ง ชีวิตพลิกผันอยู่หลายครั้ง จากมรสุมเสาหลักอย่าคุณพ่อต้องมาเสียชีวิตตั้งแต่เธออายุยังเด็ก ทั้งบ้านไฟไหม้ทั้งหลัง หมดตัวไม่เหลือเงิน จนกระทั่งติดหนี้สินมากมาย

“ชีวิตตั้งแต่เด็กก็เป็นคนที่สู้มาตลอด เพราะว่าเรามีพื้นฐานครอบครัวที่สบาย เพราะว่าคุณพ่อเป็นพนักงานชิปปิ้งของการท่าเรือแห่งประเทศไทย เงินดีมากตอนนั้น แต่ว่าก็มีช่วงประมาณ ป.1 ที่คุณพ่อเสียชีวิต พอคุณพ่อเสียชีวิตเสาที่เป็นต้นใหญ่และเป็นเสาหลักของบ้านมันล้มหายไปเลย โดยที่เราไม่ได้ตั้งตัว

แล้วคุณแม่ที่เป็นแม่บ้าน คุณพ่อรักแม่มาก ไม่ยอมให้แม่ทำงานเลย แม่ก็ต้องมาเป็นพนักงานโรงงานหน้าปากซอยบ้าน เพราะว่าตอนเที่ยงยังได้เดินกลับบ้านมากินข้าวเที่ยงที่บ้านได้ เพราะอยากประหยัดงบ แต่ด้วยความเงินเดือนสามพันมันก็น้อยนิด ทำให้เราไม่พอ คุณแม่ก็เลยต้องกลายเป็นราชาเงินผ่อน จะซื้ออะไรก็ตามผ่อนมาตลอด ผ่อนไปเรื่อย ถ้าจะใช้แต่ละวันก็ยืมข้างบ้านเอา ก็ยืมวันละร้อยสองร้อย ยืมท้ายซอยไปโผล่หน้าปากซอย ยืมปากซอยไปโผล่กลางซอย มาโดยตลอด

ภาพอาจจะดูหดหู่เพราะเราเป็นหนี้มาตลอด แต่มันจะหดหู่มากกว่านี้เพราะว่าตอน ป.6 แป๊บเดียวจะสอบปลายภาคแล้ว บ้านไฟไหม้ทั้งหลังเลย คือ จากที่เราเป็นบ้านที่ไม่มีเงินเก็บอยู่แล้ว กลายเป็นบ้านที่ไม่มียิ่งกว่าเดิม เพราะว่าเราเหลือศูนย์จริงๆ ไม่เหลืออะไรเลย รู้สึกว่ามันเศร้าเนอะ เพราะว่าอีกนิดเดียวเราก็จะจบแล้ว เราจะได้ไปเรียนมัธยมแล้ว เงินไม่เหลือเลย

ความฝันที่เราอยากจะเรียนหมอ ทีแรกก็ว่าจะเข้าโรงเรียนสาธิตจุฬาฯ ก็พยายามสอบ พยายามเก็บคะแนนต่างๆ รวมทุนทรัพย์เพื่อที่จะไปเรียนรู้ในที่มันดีๆ บ้านไฟไหม้ก็คือไม่เหลือ ก็เลยได้เรียนที่โรงเรียนมัธยมวัดธาตุทองแถวบ้าน ก็เป็นโรงเรียนที่เราไว้ใจ เพราะว่ารุ่นพี่ ญาติๆ เราก็เรียนกันหมด ก็ไม่เป็นไร โอเค ก็เรียนได้”

[ครอบครัวคือกำลังใจที่ดีที่สุด]
หากใครพอที่จำจำได้ ครั้งนั้นย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 15 ปีก่อน ที่มีข่าวไฟไหม้ทั้งชุมชนคลองเตย ทำให้ชาวบ้านแถวนั้นแถบไม่เหลืออะไรเลย ซึ่งเอแคลร์ก็เป็นหนึ่งในครอบครัวที่ได้รับผลกระทบหนักได้ในครั้งนั้นด้วย

“ไฟไหม้ทั้งหลังหมดเลยค่ะ ไหม้ทั้งชุมชนเลย เป็นเรื่องใหญ่มากเลยในปีนั้น จริงๆ มันเป็นข่าวใหญ่ระดับประเทศเลยนะคะ มันเป็นข่าวที่ว่าไฟไหม้ฉลองวาเลนไทน์ เช้าถัดวามันคือวันที่ 15 ประมาณตีสอง คือเอแคลร์รู้สึกว่าเสียงมันดังมาก คนตะโกนตลอดเวลา ตอนแรกคิดว่าแม่ทะเลาะกับพี่ชายตัวเองคือลุง เพราะเป็นคู่กัดกันมาตลอดอยู่แล้ว

เราก็ง่วงนอน เพราะพรุ่งนี้เช้าจะมีไปประกวดมารยาทที่คอนแวนต์ สรุปพอเอแคลร์เปิดประตูเข้าไปเหมือนในละครเลยที่คนวิ่งแล้วไปแดงโล่ทั้งซอย ไฟไหม้หมดเลยแล้วเรารู้สึกตื่นที่ว่า เราต้องไปแข่งประกวดมารยาทเลยวิ่งกับเข้าบ้านเพื่อไปเอาชุดนักเรียน ปรากฏว่า พอเปิดประตูหลังบ้านไปคือโดนไฟไหม้ไปแล้วด้วยซ้ำ ชาวบ้านช่วยกันตี เราก็เลยวิ่งกลับไปเอาเอกสารสำคัญ แล้วก็วิ่งไปตรงโต๊ะทำการบ้านเพื่อโกยเอาหนังสือแล้ววิ่งออกมาเลย”


จากที่คุณพ่อเสียชีวิตทำขาดเสาหลักครอบครัว คุณแม่ต้องทำหน้าที่ออกไปทำงานหาเงินมาเลี้ยงดูลูกๆ แต่ยิ่งพอมาเจอเหตุการณ์ไฟไหม้ ยิ่งทำให้ต้องย้อนกลับไปนับหนึ่งใหม่อีกครั้ง ต้องไปยืมหนี้นอกระบบเพื่อมาสร้างบ้านหลังจากไฟไหม้

“หลังจากไฟไหม้เราก็ต้องมีที่อยู่ เราก็สร้างตำแหน่งเดิมของเรา แต่ประเด็นคือถ้ามัวแต่ยืด ไปหาเงินมาสร้างบ้านเมื่อไหร่เราจะได้อยู่ เพราะเราไม่มีที่อยู่อาศัยแล้ว เราก็เป็นหนี้ก้อนใหญ่ ไปกู้มาอีกประมาณสามสี่แสนเพื่อสร้างบ้านหลังนี้ คือใช้เงินเยอะมากๆ แต่เราก็ยอมเป็นหนี้ จากที่เป็นหนี้อยู่แล้วนะ แต่ต้องยอมเป็นหนี้ก้อนใหญ่เพิ่มอีก ซึ่งเป็นการกู้หนี้นอกระบบ ดอกเบี้ยร้อยละ 20 คือแพงมากๆ แต่เราต้องยอมกู้เพื่อเอาเงินมารีบสร้างบ้านให้ไวที่สุด

โชคดีที่ไม่เคยเจอประสบการณ์แบบทวงหนี้โหดเหมือนในข่าว แต่ว่าคุณจะยืมเงินคุณยืมได้ แต่คุณต้องเอาบัตร ATM บัตรประจำตัวของคุณมาฝากไว้ที่เราพร้อมรหัส ทันทีที่เงินเดือนคุณออกเราจะมีสิทธิ์ไปกดเงินก่อนแล้วก็หัดยอดหนี้ต่อไป เงินทอนทั้งหมดจะเป็นของคุณ จะเป็นระบบนี้มากกว่า

เนื่องจากแม่เป็นสาวโรงงาน ดังนั้นเงินที่ได้มันจะออกเป็นรายวีคละ 14-15 วันออกที รวมหักหนี้ก็จะเหลือ 1,500 บาทเป็นเงินทอน เท่ากับว่าแม่จะมีเงิน 3,000-4,000 บาทต่อเดือน ที่เหลือเป็นเงินทอน

แม่มีลูกอยู่ 3 คน ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ที่เราต้องจ่ายคือมันไม่พอ ไหนจะค่ากิน ค่าอยู่อาศัยอีก ก็ไม่พอเลยค่ะ ต้องยืมเงินคนข้างบ้านตลอดเวลา”

แม้จะต้องเจอมรสุมชีวิตเช่นนี้ เธอก็ไม่เคยอายที่หลายคนจะเรียกเธอว่าเด็กสลัม เพราะในวันนี้เธอทำให้ที่ประจักษ์แล้วว่าถึงจะเป็นใคร แค่เพียงตั้งใจก็สามารถประสบความสำเร็จได้

“ถ้ามีคนเรียกหนูว่าเด็กสลัม ก็หนูเป็นเด็กสลัม แล้วเด็กสลัมมันผิดอะไร มันก็ไม่ได้ผิดอะไร เพราะผลงานที่หนูทำมันยังไม่ประจักษ์อีกเหรอว่าเด็กสลัมคนนี้ทำได้แล้ว ใครจะว่าเราเป้นเด็กสลัม เรายินดี ก็รู้สึกว่ามันไม่เป็นสิ่งที่น่ารังเกียจอะไร

เด็กสลัมมันเป็นเรื่องของการแบ่งที่อยู่เฉยๆ ไอ้เด็กสลัม ไอ้เด็กแฟลต ไอ้เด็กคอนโด เราก็เรียกเขาได้ มันเป็นการจำแนกที่อยู่อาศัยเฉยๆ มันไม่มีผลอะไรต่อชีวิตเลย ไอ้เด็กแถวบ้าน ไอ้เด็กตึกแถว ก็เรียกกันได้”


ทำงานตั้งแต่เด็ก เหนื่อยแต่ไม่เคยยอมแพ้

จากเด็กธรรมดาคนนึงที่สู้ดิ้นรนหาเงินมาตั้งแต่เด็ก รับจ้างแทบจะทุกอาชีพ แม้จะเหนื่อยแต่เธอก็ไม่เคยยอมแพ้ต่อความจนเลย

“จริงๆ หนูเริ่มงานมาตั้งแต่ ม.ปลาย ทำมาตลอด ไปขายเครื่องสำอางที่ประตูน้ำ ทำทุกวันที่เขาจ้างเป็นรายวัน แต่ว่ามันทำงานในตอนที่หนูมีบัตรประชาชนแล้ว พวก ม.4-ม.5 เราเริ่มทำแล้ว โดยเฉพาะยังไม่ถึง ม.6 ยังทำงานที่ห้างไม่ได้ อายุยังไม่ถึง ก็ทำงานพนักงานพาร์ตไทม์ ขอเขาควงกะ กลายเป็นว่าหนูเป็นพนักงานพาร์ตไทม์ที่ได้เงินเยอะกว่าพนักงานเงินเดือน โหดมากช่วงทำงาน

ด้วยความที่หนูทำงานมาตั้งแต่เด็กเลยนะ ทำมาทุกอย่าง เป็นพนักงานห้าง เป็นพนักงานล้างจาน เป็นพนักงานที่ใส่โม่งยืนโบกธงหน้าคอนโด เราไปเป็นคนยืนโบกธง ไม่เคยรู้สึกว่ารังเกียจงานเลย

ทั้งเป็นพนักงานแพ็กของ ไปนั่งซีนพลาสติกร้อน คือ หนูอยากได้ตังค์ แล้วทุกครั้งที่หนูได้เงิน หนูก็ไม่เคยลืมค่าของเงิน ห้ามลืม ลืมแล้วจะเหลิงเงิน อยากใช้เงิน

การทำงานทุกอย่างมันเหนื่อย หลายคนอยากเป็นยูทูบเบอร์ หนูก็บอกว่าประสบการณ์การเป็นพนักงานในห้างของหนู ประสบการณ์การขายเสื้อผ้า ไม่เหนื่อยเท่าการเป็นยูทูบเบอร์เหนื่อยกว่า ในวันที่คุณเหนื่อยมากๆ แบบตาลุกไม่ขึ้น แต่พอนับห้าสี่สามสองหนึ่ง สวัสดีค่ะ คุณทำได้ไหม มันยากนะ

ดังนั้น จะถามว่าการทำงานตั้งแต่เด็กเหนื่อยไหม หนูพูดเลยว่าไม่เหนื่อยหนูชิลมาก อยากตื่นเช้าไปทุกวัน ไปเม้าท์กับข้างร้าน ไปเม้าท์กับเพื่อนข้างๆ มันสนุกในการใช้ชีวิตมากๆ ตอนทำงาน”


นอกจากนี้ เธอยังเล่าย้อนกลับในตอนที่ต้องดิ้นรนทำงานอีกว่า ไม่เคยคิดว่าตัวเองโชคร้ายที่ไม่ได้เที่ยวเล่นเหมือนเด็กคนอื่น เพราะเธอได้คำตอบว่าเมื่อทำงานอย่างหนัก ก็ได้สิ่งตอบแทนเป็นเงินเพื่อมาจุนเจือครอบครัวให้มีชีวิตอยู่รอดได้ต่อไป จนตอนนี้ทำให้กลายเป็นเสาหลักเต็มตัว

“หนูไม่เคยคิดว่าตัวเองโชคร้าย แค่คิดว่ารู้สึกงง ทำไมเราไม่ได้เที่ยวเล่น ทำไมเราต้องมาทำงาน แต่มาได้คำตอบตอนเงินเดือนออกว่าได้ตังค์ คนที่เที่ยวเล่นไม่ได้ตังค์ เราได้ตังค์ ไม่ต้องขอพ่อแม่ แต่เด็กที่วิ่งเล่นอยู่ต้องขอพ่อแม่ อาจจะได้หรือไม่ได้ก็แล้วแต่ แต่เรารับรู้ว่าเรามีเงินซื้อด้วยตัวเองแล้ว สำหรับหนูรู้สึกว่าโชคดีเพราะได้ฝึกตั้งแต่เด็กเลย

ก็เรียกได้ว่าเป็นเสาหลักของครอบครัว แต่ว่าคนอื่นก็ยังทำงานอยู่นะ ตั้งแต่เอแคลร์มีชื่อเสียงมา ในฐานะเอแคลร์ จือปาก แม่ที่เป็นสาวโรงงานก็ไม่เคยออกจากงานเลย สมัยก่อนโรงงานอยู่แค่หน้าปากซอยหน้าบ้าน แต่ช่วงหลังๆ การท่าเรือเขามีการเวียนที่ดินเพื่อใช้ประโยชน์กับประเทศ โรงงานก็ถูกย้ายไป ย้ายพนักงานไปทำอีกสาขาหนึ่ง ซึ่งอยู่พระราม 2 แม่หนูต้องตื่นเช้าตีห้าครึ่ง เพื่อออกจากบ้านหกโมงเพื่อนักรถบัสของโรงงานไปที่พระราม 2

ซึ่งเราเห็นแล้วสงสารแม่ เรามีตังค์แล้วแม่ ไม่ต้องทำงานขนาดนั้นแล้ว แต่แม่ก็แบบไม่อยากอยู่เปล่าๆ ใช้เงินลูก ก็ช่วงที่เป็นโควิดก็มีข้ออ้างบีบให้แม่ออกจากงานได้ บังคับแม่เลยว่าพระราม 2 เขากำลังระบาดมาก เป็นคลัสเตอร์ใหญ่ แม่ต้องออกจากงาน
คนในบ้านทำงานกันอยู่แล้ว อย่างพี่ชายก็เป็นครอสตูมอยู่ที่บริษัทช่อง True ช่อง TNN มีเงินเดือน แต่เขาก็เจียดเวลา กลับมาช่วยเราบริหาร กลับมาช่วยจัดตารางงาน เตรียมเรื่องเสื้อผ้า”


เจ้าแม่วลียอดฮิต “ไฮไลต์หน้าเงาหนังปลาทู” เธอเล่าถึงรายได้หลักว่ามาจากผู้สปอนเซอร์ใจดีที่จ้างงานเข้ามากันอย่างล้นหลาม นอกจากนี้รายได้อีกส่วนยังมาจากธุรกิจส่วนตัวของตัวเองอีกด้วย

“รายได้จากยูทูบเบอร์น้อยนิดมากแทบไม่พอค่าไฟค่าน้ำ คือ คนชอบบอกว่าเป็นยูทูบเบอร์รวย ได้เงินจากยูทูบ คือเ อแคลร์ได้เงินน้อยมาก เดือนนึงได้ประมาณ 4,000 บาทต่อเดือน ไม่ได้เยอะเลย อาจจะเป็นช่องที่ไม่ได้ดังมาก เรตที่ยูทูบจ่ายอาจจะไม่เยอะ สมมติง่ายๆ หนูลงคลิป 10 นาทีตอนสองทุ่ม กับอีกช่องหนึ่งลงคลิป 10 นาที ตอนสองทุ่มเช่นกัน ยูทูบจ่ายให้หนู 5 บาท จ่ายให้ช่องหนึ่ง 20 บาท ก็เป็นไปได้ เรทก็ไม่เท่ากัน แล้วแต่กอริทึ่มหลังบ้าน

รายได้หลักมาจากสปอนเซอร์และมาจากธุรกิจที่เราทำ แต่เป็นยุคโควิดสปอนเซอร์ก็คือจะน้อยแล้ว ไม่มีใครจ้างแล้ว หมดงบการตลาด ธุรกิจมันตัน ไม่ว่าจะเป็นเครื่องสำอางหรือว่าร้านทำเล็บ”

แม้จะเหนื่อยแค่ไหน แต่ก็ยังมีครอบครัวที่เป็นเซฟโซนให้ความอุ่นใจเวลาทำงานมาหนัก หลายคนอาจจะหาความสุขจากการได้ออกไปเที่ยว แต่เธอคนนี้กลับเลือกที่จะกลับบ้านเพียงเพื่อมานอนพักผ่อนชาร์ทพลังให้กับตัวเองแค่นั้น

“บ้านครอบครัว คือ สิ่งที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับเอแคลร์ ถ้าอยู่บ้านหนูจะนิ่งๆ เพราะว่าเวลาที่อยู่หน้ากล้องใช้พลังไปทั้งหมดแล้ว อย่างที่บอกว่าบ้านคือเซฟโซน บ้านเป็นที่ชาร์จแบตของหนู หนูจะนิ่งจะไม่ค่อยขยับตัว อยู่กับแม่แบบสบายๆ แต่เมื่อตั้งกล้องคือหนูพร้อมมาก เอาเอนเนอร์จีออกมา ทุกคนอาจจะไม่ค่อยได้เห็นมุมนี้ของหนูด้วยซ้ำ เพราะหนูนิ่งมาก

ที่จริงหนูชอบนอนมาก แต่ถ้าหนูทำงานก็ทำเต็มที่เลย แต่ถ้าหนูต้องอยู่บ้าน หนูขอนอนพักผ่อน ตื่นเช้ามาได้กินอาหารที่แม่ทำพอแล้ว”


โด่งดังชั่วข้ามคืน

“วันนั้นที่เราดังขึ้น ก็มีลูกค้าทักมาติดต่อภายในคืนที่เราดัง คือ เอแคลร์ดังจากข้ามคืน เราเริ่มจากคลิปแต่งหน้าวันสงกรานต์ แล้วมันก็ดังข้ามคืน จนเป็นที่มาว่ามีลูกค้ามาลงสปอนเซอร์ภายในคืนนั้น แบบจองคิว ขอลง จนสุดท้าย วันที่ 13 เม.ย.วันที่เอแคลร์ดังขึ้นมา งานมียาวถึงปีหน้าเลย แล้วลูกค้าก็จ่ายเงินหมด ก็เท่ากับว่าเอแคลร์มีเงินหลักล้านภายในคืนนั้นคืนเดียว

บิวตี้บล็อกเกอร์สู้ชีวิต ที่สถาปนาเพจตัวเองให้ยืนหนึ่งด้วยประโยคเด็ดที่ว่า เพจความงามบันเทิงอันดับ 1 ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เล่าย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 5 ปีที่แล้วให้ฟังว่า เริ่มมาจากเธออยากซื้อกล้องเพื่อไปทำคลิปแต่งหน้า

“5 ปีที่แล้ว ประมาณปี 59 คือ หนูเป็นคนที่ตั้งใจเรียนมาก แต่หนูไม่ค่อยได้ขอขวัญแม่ ปีนั้นเราอยากได้ของขวัญมาก เราก็ทำการขอแม่ บอกแม่ว่าช่วยผ่อนกล้องให้หน่อยได้ไหม อยากได้กล้อง Mirrorless หนึ่งตัว ราคาประมาณสองหมื่นสาม ซึ่งแม่ก็บอกว่าได้ เดี๋ยวแม่จะผ่อนให้ ก็นัดแนะกับแม่ว่าไปเจอกันที่สยาม Digital Gateway พอไปถึงที่ร้านเขาไม่มีเครื่องรูดบัตรสำหรับสินเชื่อ ถ้าอยากผ่อนเขาเราก็ต้องไปกรอกเอกสารเป็นปึกเยอะมาก ยอมรับเลยว่าเยอะจริง เราก็ต้องกรอกเอกสารเยอะมาก

สุดท้ายก็คุยกับแม่ว่า มันประหลาดเนอะกล้องตัวนี้แค่สองหมื่นกว่าบาททำไมเราถึงไม่มีเงิน กล้องไม่ได้แพงเลยราคาเท่านี้เองถ้าเทียบกับสิ่งที่ต้องใช้งาน มันถูกมาก ก็บอกแม่ไปว่าวันหนึ่งกล้องตัวนี้จะหาเงินให้เรา ก็บอกแม่ไป ซึ่งไม่รู้ว่าหนูจะทำอะไรได้นะ แต่พูดไว้ก่อน

แต่ความโชคดีของเอแคลร์ คือ เรามีไอแพดฟรีจาก ม.แล้ว เรามีกล้องแล้วเหมาะเจาะมากทำคลิปแต่งหน้าเลย บ้านหนูด้วยความที่เราเป็นเด็กชุมชน มีงานที่ใหญ่ของชุมชนคืองานทอดผ้าป่า ทอดกฐิน ซึ่งบ้านเราก็เป็นหนึ่งหลังที่จัดงานทอดกฐิน ก็มีอยู่ปีนึงที่คุณป้าไปเช่ารถบัสมา ซึ่งรถบัสก็มีเสียงดีเจพากย์สด คือเขามิกซ์เพลงสดบนรถบัส แล้วเขาพูดว่า “จังหวะนี้ยาวไปก่อนเลยนะครับ”  พูดจังหวะนี้ เสียงแบบนี้ เรารู้สึกว่า เสียงนี้เราได้ยินมาตั้งแต่เด็ก มันคือเสียงรถบั๊ม รถบัส ซึ่งเราชอบมาก เราก็เลยจำเสียงนี้มาตั้งแต่เด็ก

แล้วพอเราอยากทำคลิปแต่งหน้าช่วงสงกรานต์ ที่พากย์เสียงโดยดีเจแบบนี้ จังหวะนี้เขียนคิ้วยาวไปก่อนเลยนะฮะ จังหวะนี้ทาแป้งเลยนะฮะ (หัวเราะ) ก็ทำอย่างนี้ไป ก็โด่งดัง เพราะมันไม่มีใครทำ ซึ่งเราเป็นคนแรก แต่ว่าหนูมาแปลกไง


มันยากมากที่จะให้ถึงหนึ่งล้านวิว ซึ่งหนูทำได้ในคืนเดียว เพราะว่าเพจเราไม่มีผู้ติดตาม จะมีแค่เพื่อนมหาลัยฯ ที่เดินผ่านบอกกดไลก์ให้หน่อย แล้วอยู่ดีๆ มันก็แปลกมาก อยู่ๆ เป็นล้านวิวได้ ตั้งแต่วันนั้นมา เป็นบิวตี้บล็อกเกอร์ หนูโดนทาบทามให้ออกทีวีเยอะมากจนถึงปัจจุบันนี้ อย่างเช่นวันนี้ก็ยังให้สัมภาษณ์อยู่ หนูก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นว่ายังให้ความสนใจหนูอยู่ 5 ปีที่ผ่านมา

มันก็มีอยู่ช่วงกลางที่หนูหายไป 1 ปี เพราว่าหนูต้องทำธีสิส ช่วงที่หนูดัง คือ ตอนที่อยู่ประมาณปี 3 ก็คือ ช่วงปี 4 ไมได้ทำอะไรเลย ไม่ลงคอนเทนต์เลย เพราะต้องทำให้มันจบ แต่ว่าวันที่หนูกลับมาจือปาก ซึ่งคอนเทนต์นั้นสะท้อนความเป็นหนูมาก ที่หนูจบการศึกษา หนูทำเป็น vlog ย้อนกลับไปโรงเรียนมัธยม แต่งตัวชุดนักเรียนแล้วกลับไปหาอาจารย์ที่โรงเรียน ไปเดินดูบรรยากาศ เพื่อจะให้ทุกคนได้ร็ว่าหนูกลับมาทำคอนเทนต์แล้ว แล้วก็เป็นสิ่งที่หนูรัก คือ การเรียน

จนทำ vlog เสร็จ จนวันที่หนูเรียนจบ ก็ถามว่าจะมีใครมาหาไหม มาแสดงความยินดีที่หนูรับปริญญาไหม ถ้าจะมา หนูจะโทร.ขอสปอนเซอร์ให้ ทำเป็นถุงเครื่องสำอาง ถุงผ้าลายจือปาก แจกทั้งหมด 100 ถุง ซึ่งในนั้นก็จะมีสินค้าร่วมพันกว่าบาท แจก 100 ถุงให้กับคนที่มา เพราะหนูให้ความสำคัญกับคนที่มายินดีกับวันจบการศึกษาของหนู”

ย้อนกลับไปถึงคลิปแรกที่ทำให้คนได้รู้จักในฐานะ เอแคลร์ จือปาก เธอคิดเพียงว่าจะมีคนดูแค่ 20 คน ในตอนนั้นก็ดีใจมากแล้ว แต่ก็ไม่คิดว่ายอดวิวจะถึงล้านและโด่งดังภายในชั่วข้ามคืนขนาดนี้

“จริงๆ ถ้าจะบอกว่าไม่คิดมันก็แปลก เพราะว่าเราตั้งใจทำให้ทุกสเต็ป การตัดต่อ เราทำเองทั้งหมด ทุกการพากย์เสียง ทุกการออกแบบ ทุกการจัดการเวลา เราคิดมาอย่างดีทั้งหมด ดังนั้นเราหวังใจว่าจะมีคนดู แต่ความหวังของเรา เราหวังแค่ 20 วิว เพราะเพจเราไม่มีผู้ติดตาม ปรากฏว่าถึงล้านวิว ก็ต้องบอกว่าประสบความสำเร็จเกินความคาดหมายมาก

ถามว่าทำไมถึงทำคลิปแต่งหน้า เพราะเราชอบแต่งหน้ามาก สมัยก่อนเราชอบดู “พี่โมเม พาเพลิน” เราอยากทำคลิปแต่งหน้า ทั้งที่เราไม่สามารถแต่งหน้าได้เลย เราแต่งหน้าไม่เป็น ด้วยความที่เราจน เราก็ไม่มีเครื่องสำอาง

ตอนกีฬาสีได้ทำลีดโจ๊ก เราต้องมีเครื่องสำอาง ก็หารเงินกันทั้งห้องเพื่อได้เครื่องสำอางเซตนี้ แล้วเอแคร์ก็เก็บเงินกันเพื่อไปซื้อที่ประตูน้ำ ซึ่งเป็นเครื่องสำอางก๊อบๆ เราก็มีแค่นั้นอยู่ในมือ ส่วนมาสคาร่าเราก็ไปขอคนอื่นให้มา ของเก่าๆ ที่เราเก็บไว้ ก็เป็นที่มาของคลิปแรก

อย่างที่บอกว่าหนูทำมาด้วยความตั้งใจ ดังนั้น หนูรู้ว่าหนูต้องทำอะไรเพื่อให้อยู่ต่อ แต่เมื่อไหร่ที่เราพูดว่าสวัสดีค่ะ เป็นเพจความงามอันดับหนึ่งของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คนที่ดูเขาก็จะฮะ ใครเป็นคนจัดอันดับ ใครอันดับหนึ่ง มันเกิดความสนใจ มันเกิดความอยากรู้ มันก็เป็นมาร์เก็ตติ้งหน่อยๆ มันก็ประสบความสำเร็จริงๆ กลายเป็นวลีติดปากหลายๆ คน จริงๆ ไม่ใช่ แค่จัดอันดับจัดเองเลย อยู่ดีๆ ขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่ง พูดไปเรื่อย”


แจ้งเกิดได้เพราะเป็นตัวของตัวเอง ไม่ประดิษฐ์ตัวตน แม้คลิปแรกที่โด่งดังมาชั่วข้ามคืนจะพูดแต่คำหยาบ แต่เธอกลับเล่าว่าตอนนั้นหลายคนมองว่าเป็นเรื่องน่ารัก ตลกอยู่ดี

“หนูว่าด้วยความเป็นหนูค่ะ เพราะยุคนี้ต้องบอกว่ามันประหลาดเหมือนกันในคอนเทนต์อันนั้น คือ หนูเลิกทำแล้วนะ มันเป็นคอนเทนต์ที่ชื่อว่า แต่งหน้ายังไง บวกกับทักษะการพูดที่มันจับใจ มันไม่ได้ประดิษฐ์คำหรูหรา มึงคือมึง กูคือกู ปากคือปาก แก้มคือแก้ม พูดได้เลย เป็นแนวแบบคำหยาบด้วยซ้ำ ซึ่งคนก็จะรู้สึกว่าเหมือนอยู่กับเพื่อน เหมือนเพื่อนมาแต่งหน้าให้ดู แล้วมาพูดคำหยาบให้ดู

ซึ่งถ้าเมื่อก่อนคำหยาบคนมองเป็นเรื่องผิดนะ แต่คนกลับมองเป็นเรื่องดี ทำไมพูดอี ดูน่ารักจังเลย ทำไมพูดคำนี้มันดูไม่หยาบ พูดคำนี้มันดูดีจังเลย เป็นถึงขั้นนั้น ซึ่งเราก็โปร่งใสตลอดว่าคำหยาบก็คือคำหยาบ ทำไมมันเหมือนกลายเป็นคำน่ารักไปได้ น่ารักตรงไหน ไม่น่ารักเลย แต่คนในนั้นเขาขำกัน น่ารัก ตลกมาก”


ไม่ต้องสวย แต่ต้องเป็นตัวเองถึงจะอยู่ได้ยาว

“จะบอกว่า Standard ที่จะเป็นบิวตี้บล็อกเกอร์ ต้องเป็นผู้หญิง ผิวขาวอมชมพู ข้อมือข้อเท้าเล็ก เอว 22 ใส่รองเท้าเบอร์ 1 ต้องเป็นมาตรฐานแบบนั้นมา ซึ่งหนูเป็นคนน้ำหนักเยอะ ร่างกายอ้วน หน้าเป็นสิว ไม่ได้มีใบหน้าที่เป็นบรรทัดฐานของความสวยในบิวตี้ Standard ในสังคมเลย

แต่หนูกล้าที่จะแต่งหน้า ก็คือ ทำด้วยความั่นใจ ที่หนูทำเพราะหนูอยากทำ จนกลายเป็นว่าเขาเป็นใครเริ่ดเนอะ เขาเป็นคนที่มั่นใจ ทำให้คนที่หน้าตาแบบหนูเกิดความมั่นใจในตัวเองขึ้นเยอะเลย”

หลายคนอาจจะมองว่าต้องสวยเท่านั้นถึงจะเป็นบิวตี้บล็อกเกอร์ได้ แต่เธอมองว่าหน้าตาไม่ได้สำคัญสำหรับเธอ แค่กล้าที่จะลงมือทำและเป็นตัวของตัวเองเท่านั้นเอง

เพราะเธอมองว่าทุกวันนี้คนต้องการความเป็นธรรมชาติ และต้องการความจริงมากขึ้น ในยุคที่โซเชียลฯ เข้าถึงอย่างรวดเร็วทุกคนสามารถจะเป็นตัวของตัวเองได้

“มองว่ามันเป็นข้อดี เมื่อเรามองว่าเราไม่ได้อยู่ในบิ้วตี้ Standard ของสังคม เราไม่ต้องมานั่งแอ๊บอะไรแล้ว ถ้าอินเนอร์เราสวยมาก ยิ้มระรื่น แต่ถ้าเราไม่อยู่ในบิ้วตี้ Standard ของคน เขาก็มองว่าเราไม่สวยอยู่ดี ดังนั้นหนูมองว่า อยากทำอะไรทำ อยากยิ้มก็ยิ้ม อยากเบะปากหนูก็เป็นตัวเองเต็มที่

สุดท้ายมันจะเป็นความธรรมชาติที่หลายคนรับได้ บางคนก็จะบอกว่าฉันหาคนแบบนี้อยู่ ฉันไม่ต้องการความสวยอะไรมากเหมือนในสังคม ฉันไม่ต้องการความบิวตี้ตลอดเวลา ต้องการชาวบ้านแบบนี้ที่ออกมาแต่งหน้า

ตั้งแต่หนูมาเริ่มทำ คนต้องการความจริงมากขึ้น อย่างดาราเวลาเขาอยู่ในทีวีเขาพูดคะ ขา เขาไม่เคยพูดคำหยาบ เรายังอยากรู้เลยว่าดาราเคยขี้ ดาราเหวี่ยงไหม เพราะเราเห็นภาพดีๆ เขามาตลอด แต่หนูมั่นใจว่าหนูเป็นคนแรกๆ ที่ออกมาพูดเป็นคนที่หยาบคายมากในออนไลน์ แล้วก็เป็นชาวบ้านจริงๆ จนคนเริ่มเข้าใจว่าอ๋อคือดูอะไรที่เป็นธรรมชาติ ดูอะไรที่มันเหมือนอยู่กับเพื่อน ดูอะไรที่มันเหมือนชีวิตจริงมากๆ

ก็เห็นแล้วว่า 5 ปีที่ผ่านมา ใครก็ตามที่ทำงานออนไลน์ต้องเป็นจริง ต้องพูดจริงๆ ใช้ภาษจริงๆ ไม่ต้องเฟคอะไรแล้ว ไม่ต้องรักเด็กรักอะไรแล้ว ใช้ชีวิตจริงได้เลย”


นอกจากนี้ เธอยังบอกว่า ยกตัวเองเป็นตัวแทนความด้อย เป็นต้นแบบให้กับคนที่หน้าเป็นสิว ซึ่งพิสูจน์แล้วว่าเธอสามารถโดดเด่นอยู่ในสังคมได้เช่นกับคนอื่นๆ

“หน้าหนูเป็นสิว ซึ่งมันก็เป็นฮอร์โมนที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ เราไม่สามารถอวยพร ขอพรพระได้ ดังนั้น หนูอยากจะให้ตัวเองเป็นตัวแทนความด้อยแล้วกันว่าถ้าเราไม่สวย เราสามารถแต่งหน้าให้เราสวยแล้วสามารถออกไปทำงานได้

ถ้าวันนี้ไม่มีคนแบบหนูเกิดขึ้นบนโลก คนที่เป็นสิวในโลกเรา อยากได้งานออฟฟิศ เขาได้เกรดเฉลี่ย 3.98 แล้วจบบัญชีมา แต่หน้าเป็นสิว พรุ่งนี้ต้องไปสัมภาษณ์งานต้องทำยังไง เขาไม่มีโอกาสไปสัมภาษณ์งานกับเหรอ

ซึ่งหนูรู้สึกว่าโชคดีมากที่มาถูกเวลาในตอนนั้น มันเป็นจังหวะที่คนต้องการกำลังใจ มันเป็นจังหวะที่คนต้องการคนแบบหนูให้เป็น role model ให้กับชาวบ้านอย่างฉัน คนเป็นสิวอย่างฉัน คนมีข้อบกพร่องอย่างฉันสามารถใช้ชีวิตได้ ซึ่งหนูรู้สึกว่าหนูไปอุดช่องโหว่ตรงนั้นของเขาได้ เราก็เอาข้อด้อยของตัวเองมากลบได้เนียนมาก กลายเป็นข้อดีข้อเด่นไปเลย”


ทุกวันนี้มีช่องยูทูบผุดออกมาให้ผู้ชมเลือกชมได้หลากหลายช่องมาก แต่อะไรกันที่ทำให้ช่องจือปากถูกพูดถึงอยู่ตลอดเวลา ซึ่งเธอก็เล่าว่าการสร้างตัวตนที่เด่นชัดคือเรื่องที่สำคัญ และเธอยังพยายามเป็นเพื่อนคู่คิดให้กับคนที่เข้าดู คอยให้คำปรึกษาเมื่อลูกเพจมีปัญหา

“จะบอกว่า การสร้างตัวตน ถ้าเรารู้สึกว่าเรามีตัวตนที่มันเด่นชัด ถ้าเรารู้สึกว่าเรามั่นใจแล้วเราไม่ได้ก๊อบ ง่ายมาก ถ้าจะเป็นตัวของตัวเองง่ายมาก แววตามันจะออกมาจากกล้อง คนที่เขาดูก็จะรู้สึกไม่อึดอัด แต่ความยากคือคนมาทำออนไลน์กันเยอะมาก ดังนั้น คุณต้องมาหาจุดเด่น คุณเด่นด้านใด แล้วคุณจะมาทำ คุณจะชนะกว่าคนอื่นได้อย่างไร

จริงๆ ยุคที่เอแคลร์เกิดมาเป็นยุคที่ยังไม่ค่อยบูมโซเชียล มันอาจจะเพิ่งเป็นยุคที่คนเพิ่งเข้าเริ่มเล่นโซเชียล เป็นหลัก ซึ่งเราก็มีโอกาสดังมาในยุคนั้น แต่ว่าในยุคหลังคนกลับมาเล่นโซเชียลเยอะ มีให้คนได้เลือกเสพ ดังนั้น เราจะทำยังไงให้เราอยู่รอด คอนเซปต์ของเราคือทุกวันที่เราตื่นขึ้นมาต้องมีคอนเทนต์ เป็นคอนเทนต์ตลกหรือเศร้ายังไงก็ตาม ต้องมีคนเทนต์ให้คนไม่ลืมเรา

พอทำไปเรื่อยๆ มันกลายเป็นกิจวัตร พอมันเป็นกิจวัตรเมื่อไหร่ เมื่อก่อนคิดว่าจะทำ จะเดินยังไงให้มันตลก แต่ทุกวันนั้นนี้คือ ก็ไม่ต้องคิดว่ามันเป็นคอนเทนต์สิ คิดว่ามันเป็นชีวิตจริง ตื่นเช้ามาก็ตั้งกล้องแล้วก็พูดชีวิตจริงออกไป บรรยายไปเลยชีวิตเราเคยท้อ เคยสู้มายังไง เล่าให้ทุกคนได้ฟัง ให้เหมือนว่าเขาได้อยู่กับเพื่อน เพราะหลายคนต้องพลัดพรากจากต่างจังหวัดมาอยู่ในเมือง มาอยู่คนเดียวในห้อง ในคอนโด

สิ่งที่เขาต้องการคือเพื่อน เราอาสาเป็นเพื่อนให้เขาสิ ตื่นเช้ามาทุกคนไม่ว่าจะเหนื่อยแค่ไหน งานหนักแค่ไหน แต่พอเปิดเพจจือปากมาเขาเจอเพื่อนที่ชื่อว่าเอแคลร์ อันนั้นคือคอนเซปต์

จริงๆ วันแรกที่เราทำเพจมา จุดประสงค์แรกของเราอยากให้เป็น community ให้ทุกคนมารวมตัวกัน มาเมาท์มอยกัน มาสร้างกลุ่มมาสร้างเพื่อนกัน ถ้าสังเกตการตอบของเอแคลร์จะสอบแบบแกฉันตลอด บางคนที่อินบ็อกซ์มาถาม หนูจะ Voice หนูจะไม่มานั่งพิมพ์ แกฉันว่าเป็นอย่างนี้ดีกว่า เหมือนคุยกับเพื่อนเลย ให้เขารู้สึกว่าโครใกล้ชิดกับเขาเลย หรือบางคนก็โทรวิดีโอคอลเลย หนูขี้เกียจพูด คือมันไม่กระจ่าง ก็ขอโทร.หาเลย มีปัญหาอะไรยังไง เราใส่ใจลูกเพจมาก”


รับมือให้ได้กับคอมเมนต์ด้านลบ

แน่นอนว่า มีทั้งคนชอบและไม่ชอบ การที่เธอเป็นสิวทำให้เธอไม่มั่นใจในตัวเองอยู่แล้ว ยิ่งมีเจอคนที่เข้ามาด่ายิ่งทำให้บั่นทอนจิตใจเข้าไปอีก ทำให้เมื่อก่อนต้องหยุดทำคลิปไปสักพักใหญ่เพื่อเยียวยาจิตใจตัวเอง

“สมัยก่อนพราวมาก คือ หนูดีใจที่หนูได้เป็น role model ให้คนเป็นสิวไม่อายที่จะใช้ชีวิต ตอนที่หนูทำทุกวันๆ มีคอมเมนต์ในโซเชียล เยอะมาก เป็นสิวทำไมมาเป็นบิวตี้บล็อกเกอร์ ทำไมไม่หยุดแต่งหน้า ในชีวิตจริงหนูไม่เคยแต่งหน้า แล้วทำไมต้องทำแต่คลิปแต่งหน้า ก็หนูเกิดมาจากคลิปแต่งหน้า เพราะในชีวิตจริงหนูก็ไม่แต่งหน้าอยู่แล้ว หนูก็เกิดความนอยด์

ที่เราเข้าใจว่า สามารถแต่งหน้ากลบสิวได้ แต่วันนี้คนกลุ่มนึงเขาแอนตี้เราที่เป็นสิวแล้วมาแต่งหน้า เขาอยากให้เราหยุด ก็เกิดความไม่มั่นใจ จนบางทีก็ไม่ค่อยทำคลิปแต่งหน้า จนกลายเป็นว่าเปลี่ยนจากทำเพจมาทำ vlong ไลฟ์สไตล์ไป เพื่อหลีกเลี่ยงการทำคลิปแต่งหน้า สุดท้ายแล้วเราก็หนีไม่พ้น เพราะเราชอบ ก็ต้องกลับมาทำอยู่ดี

พอโดนคอมเมนต์มากๆ เราก็เลยจุดที่ว่าให้ความสนใจแล้ว กลายเป็นว่าไม่ได้สนใจ กลับมาทำสิ่งที่เราชอบดีกว่า เพราะว่าหนูทำงานมา 1 ปีเต็ม หลังจากที่ลูกค้าจองและโอนเงินมา ใน 1 ปี มันสอนอะไรหนูเยอะมาก ทั้งการจัดตารางงาน ทั้งการคิดคอนเทนต์ให้ไว ลูกค้าเขาจ่ายเงินแล้วคุณจะมานั่งขี้เกียจไม่ได้ เขาก็หวังจะได้ผลงานดีๆ จากคุณ

ดังนั้น หนูต้องเป็นนักศึกษาปี 3 ที่เรียนไปด้วย คิดคอนเทนต์ไปด้วย มันก็ฝึกเราแล้วแหละ มันก็ทำให้เราใจแข็มพอ ซึ่งสิ่งที่เราใจไม่แข็งพอคือสิ่งที่เรารับคอมเมนต์ จนกระทั่งหยุดตัวเอง ไม่ทำอะไรเลย โชคดีเป็นช่วงที่หนูต้องหนีไปทำธีสิสตอนปี 4 กลายเป็นว่าเป็นการหนีที่มีประโยชน์ เป็นการหนีที่ไม่ได้หายเปล่า ก็เอาแต่เรียนๆ จนลืมคนที่ว่าตัวเอง

หนูทำใจล่วงหน้าเลยว่า หนูกลับมาครั้งนี้ยังไงคอมเมนต์กลุ่มเดิมก็ยังเหลืออยู่บ้างแน่ๆ ทำใจยอมรับ สุดท้ายก็มีจริงๆ พอหนีไปอีกก็กลายเป็นว่าเป็นเรื่องตลก มันก็เกิดความรับได้ พอเราไม่สนใจพวกเขามากๆ ก็กลายเป็นว่าเขาก็เลิกคอมเมนต์ พอเราไม่รู้สึกเจ็บปวดเขาก็จะหยุดเอง”


เธอเล่าว่า เมื่อก่อนตั้งคำถามกับตัวเองอยู่ตลอดเวลา ทำไมต้องต้องมาด่าทั้งที่ไม่ได้ไปทำให้คนอื่นเดือดร้อน ทำให้เธอถึงขั้นเป็นโรคซึมเศร้า เกลียดการที่ต้องอยู่หน้ากล้อง ทั้งที่เป็นสิ่งที่เธอชอบมาก

“จริงๆ คนจะเห็นว่าเขาเป็นยูทูบเบอร์ คนก็หันมาสนใจ ได้เงินดี แต่ละคนก็มีบ้านหลังใหญ่โตหมดเลย อยากเข้ามาอยู่ในวงการนี้จัง จะบอกว่าทุกคนสามารถเข้ามาอยู่ในวงการนี้ได้ แต่สิ่งที่คุณไม่สามารถทำได้ คือ เรื่องของการวัดใจกับคนเหล่านี้ มันยากมากๆ เราทำงาน เราได้เงินดีจริง แต่สิ่งที่คุณเสียไปมากเหนือกว่าที่ทำงานปกตินะ คือ เรื่องของจิตใจ คุณจะโนย่ำยี คุณจะโนอย่างนี้ทุกวัน จนบางคนก็ไปรักษาโรคซึมเศร้า หรือบางคนเขาต้องหยุดทำคอนเทนต์ไป

จะบอกว่าเหตุการณ์ที่เอแคลร์หยุดทำคอนเทนต์ไปเพื่อไปทำธีสิส เหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้เอแคลร์รู้สึกว่าเหมือนเราจะเป็นโรคซึมเศร้าอ่อนๆ เหมือนมันดาวน์ ไม่เห็นอะไรในโลกนี้ดีเลย เกลียดกล้องไม่อยากทำอะไรแล้ว นั่นคือผลที่เราได้จากการทำงานหนัก 1 ปีเต็ม ต้องทำยังไง เพราะเอแคลร์เป็นคนที่เกลียดคนที่คอมเมนต์มากๆ

5 ปีที่ผ่านมา จะบอกว่า ตอบคอมเมนต์เกือบทุกคอมเมนต์ ทุกคลิปตั้งแต่ 5 ปีที่แล้ว จนถึงตอนนี้เอแคลร์ตอบคอมเมนต์อย่างน้อย 90 เปอร์เซ็นต์ต่อคลิป รู้สึกว่าเขาเขียนตอบเรา เราก็ต้องเขียนตอบเขาเหมือนกัน พอเราได้เขียนก็กลายว่าเราได้อ่านคอมเมนต์ อันดีเราเก็บไว้ในใจอยู่แล้ว แต่อันแย่มันจะแบบเบรกมากกว่าข้อดี เวลาหนูเห็นข้อเสียเราก็รู้สึกว่าทำไมเขาต้องด่าเราด้วย

ก็เลยอยากจะบอกน้องๆ ว่า ถ้าอยากจะเข้ามาอยู่ในวงการนี้เข้ามาได้นะ แต่สิ่งที่หนูต้องมี คือ หนูต้องเป็นคนสุขภาพจิตดี ถ้าหนูรับได้ หนูก็ทำได้เต็มที่ พี่เป็นกำลังใจให้”


สุดท้ายแล้วเมื่อโตขึ้น ความคิดก็เปลี่ยน เรียนรู้จากบทเรียนที่ผ่านมา ทำให้สร้างเกราะป้องกันสิ่งเหล่านั้นได้สำเร็จ อยู่ได้กับสิ่งที่ตัวเธอเองรักต่อไป

“หลายคนอาจจะบอกว่าเป็นคนอยู่เป็น อยู่มา 5 ปี ไม่ใช่ไม่โดนอะไรเลย โดนมาเยอะมาก ทุกครั้งที่โดนทั้งดรามาที่ตัวเราผิดเอง หรือตัวเราไม่ได้ผิดโดยไม่ตั้งใจ เอแคลร์รู้สึกว่าไม่เสียใจกับทุกอย่างที่เกิดขึ้น มันเศร้ามันร้องไห้จริง แต่รู้สึกว่าอันนั้นคือบทเรียน

พยายามหาคีย์เวิร์ดสำคัญของบทเรียนเหล่านั้นตลอด เขาด่าเราเพราะอะไร สุดท้ายถ้าเราเจอมันก็ทำให้เรารู้สึกว่าเจอทางสว่างแล้ว เราก็จะไม่ตอบโต้ใครอีกแล้ว ซึ่งสมัยก่อนเอแคลร์บูมมาก เพราะจะใช้คำหยาบเป็นหลัก เราก็รู้สึกว่าในเมื่อเราเกิดมาจากคอนเทนต์ที่มันหยาบๆ เราสามารถหยาบกลับได้ ใครด่าหนูมาคนอื่นอาจจะเศร้า เสียใจ นอน ร้องไห้ แต่หนูไม่ ใครด่ามาหนูด่ากลับเลยนะ ด่าหนูมาหนึ่ง หนูด่ากลับยี่สิบ ด่ากลับแรงมาก

จนถึงวันหนึ่งเราทำเพื่ออะไร ต่อให้เขาด่าเขา เขาก็คือคนที่ชุบชีวิตเรา เขาดูคลิปเรานะ เราจะด่ากลับเพื่ออะไร เพราะเขาอาจจะด่าเพราะเขาอาจจะเกิดความเครียดมา หรือเขาเขาจจะสนุกปาก หรืออาจจะเพราะว่า เราไม่ควรจะด่าดขากลับแล้ว

ทุกวันนี้ไม่ด่าใครกลับเลย รู้สึกว่ามาเถอะพร้อมมาก จะด่ายังไงหนูโดนมาทุกรูปแบบแล้ว หนูพร้อมมาก พอหนูไม่ด่าใคร กลายเป้นว่าหนูกลายเป็นเด็กที่น่ารักขึ้น หนูโตขึ้น หนูเป้นเด็กที่มีทัศนคติที่มันดีขึ้น ซึ่งวันนี้คนให้ความเคารพหนูมากกว่าที่จะด่าหนูมากกว่า

พอมันโตขึ้น mindset มันเปลี่ยนไป ไม่ต้องเอาชนะใคร ไม่ต้องมาทำเก่ง ด่าใครอีกแล้ว มันเกิดจากที่เราได้เรีนรู้ มันเกิดจากดรามาต่างๆ ที่ผ่านมา มันทำให้เราได้เรียนรู้ สร้างกำแพง สร้างจุดแข็งให้ตัวเองมากขึ้น”


 
 เชื่อว่าการเรียน นำพาไปสู่จุดที่ดีขึ้น



  จากเด็กคนหนึ่งที่พยายามตั้งใจเรียน แข่งทุกอย่างทุกวิชา บางวิชาไหนไม่มีการแข่งขันก็ไปเป่าหูอาจารย์ให้จัดการแข่งขันขึ้น คือ ต้องการมีใบประกาศนียบัตรให้ครบทุกหมวดวิชา พยายามแข่งขัน เป็นเด็กกิจกิจกรรมที่พยายามแข่งขันมาโดยตลอด ก็เป็นการฝึกฝนฝีมือให้เราพัฒนาทักษะ ความกล้าแสดงออกต่างๆ

หลังจากที่เราแข่งขันมาตั้งแต่เด็ก พอโตมาก็เริ่มเป็นคนรักเรียน ใฝ่เรียน พยายามค้นหาตัวเอง และพยายามนำแต่สิ่งดีๆ เข้าสู่ระบบสมองของเรา พยายามทำตัวเองให้มันอยู่ในสังคมที่ดีมาโดยตลอด ก็โชคดี ประสบผลสำเร็จจนถึงทุกวันนี้

จริงๆ การเรียนพูดกับลูกเพจเสมอ บางทีน้องๆ หมดกำลังใจที่จะเรียน ไม่อยากเรียนต่อแล้ว ก็พยายามยกตัวอย่างที่ว่า ชีวิตคนเราอย่าคิดว่าการเรียนเหนื่อยที่สุด สุดท้ายแล้วเราจบมา พาร์ทของการทำงานจริงมันเหนื่อยกว่าตอนเรียนหลายร้อยล้านเท่ามาก

น้องๆ อาจจะยังไม่รู้ เพราะว่าน้องๆ ยังไม่ถึง ในฐานะที่พี่เกิดมาก่อนแล้ว แล้วพี่รู้สึกว่าผ่านประสบการณ์ทั้งหมด แล้วพี่ก็เป็นคนที่เคยเหนื่อย พี่อยากจะบอกว่าพี่เหนื่อยมาแล้ว อะไรมันเหนื่อยกว่ากัน การเรียนชิลไปเลย

ดังนั้น ถ้าหนูตั้งใจเรียน เพราะว่าการเรียนมันจะเราไปสู่ที่มันดีๆ หนูอาจจะไม่ต้องเรียนพิเศษหรืออะไรก็ได้ ให้จำไว้เสมอว่าเราไม่ต้องการเรียนได้เกียรตินิยม แต่เราเรียนเพราะต้องการคอนเนกชั่นใหม่ๆ การเรียนมันจะเป็นยานพาหนะสำคัญที่จะพาเราสู่จุดเหล่านั้นได้จริงๆ




 ส่งต่อแรงบันดาลใจให้กับคนอื่น



[]
   ทุกวันนี้ดีใจมากๆ ที่เขาเห็นเราเป็นแรงบันดาลใจ เราก็เป็นแค่เด็กชุมชนคนนึงที่เรารู้สึกว่า เราไม่สามารถเป็นแรงบันดาลใจให้ใครได้ คือ ภาพเราดูลำบาก ดูสู้ชีวิตจัง แต่มันเป็นแค่มุมนึงที่เอแคลร์ผ่านมา แค่รู้สึกว่าตื่นเช้ามาทำงานหารายได้เก็บเงินเก็บทอง

อยากจะบอกทุกคนว่า ใครที่เครียดคุณเครียดได้ แต่อย่าท้อ เพราเมื่อไหร่ที่คุณท้อคุณจะหมดหวังทันที วันที่คุณหมดหวังมันจะลุกขึ้นมายาก

เราเป็นเด็กที่ไม่มีก็จริง แต่เราเป็นเด็กที่ฝันใหญ่ ฝันว่าอยากจะมีบ้านหลังใหญ่ ไม่เคยแคร์ว่าใครจะบอกว่าทำไมฝันเกินตัว แล้วจะให้ฉันฝันว่าอะไร โตขึ้นจะอยากให้ฉันมีกระต๊อบมีสังกะสีโปะสี่ด้านแล้วก็อยู่อย่างนั้น ถ้าฉันฝันว่าฉันอยากมีบ้านใหญ่โตฉันผิดอะไร

หนูก็ฝันให้ใหญ่แล้วไปให้มันถึง สร้างแรงจูงใจให้ตัวเองเยอะๆ วันหนึ่งมันจะพาเราไปถึงเองค่ะ เราไม่ต้องกลัวว่าเราเป็นเด็กไม่มีต้นทุน ไม่มีต้นทุนดีแล้ว แต่เรามีใจจะเป็นแรงสู้กว่าคนอื่น

ไม่มีคำว่าทำไม่ได้ ถ้าหนูอยากทำอะไรหนูจะมองหาว่าหนูทำได้ บางคนกลัวผิดพลาดอาจจะลองทำก่อน แต่หนูจะไม่มีนะว่าลองทำก่อน ลองไปก่อนไม่มี ถ้าหนูอยากทำอะไร หนูจะคิดแผนเสร็จเลยว่ามีทางลัดให้หนูไหม ก็คือลัดแต่เด็กแล้ว จะทำงานได้ไว และเสร็จได้ไว

ส่วนใครอยากดูรายการดีๆ และก็อยากมีเพื่อนคู่คิดแนะนำให้ติดตามเพจ “จือปาก” แล้วก็ยูทูบ “Juepak” ค่ะ



 ตำนานแห่งการสร้างคำ



    หนูเป็นคนชอบพูดอะไรที่พูดไปเรื่อยโดยไม่คำนึงถึงความหมาย ล่าสุด ดูนางงาม ก็มีคำว่าต้มเล้ง คือ ผลในการประกาศเราหวังว่าอแมนด้าจะได้เข้ารอบ หนูก็จะพูดว่า บูด ต้มเล้ง คนก็ไปเขียนว่าต้มเล้ง ซึ่งขณะนี้ที่หนูพูดก็ไม่รู้ว่ามันแปลว่าอะไร พูดไปเรื่อย มันก็จะมีคำใหม่ๆ ขึ้นมาเรื่อย

เป็นไวรัลเกือบทุกคำถ้าหนูได้มาไลฟ์ อย่างเช่น การปัดหน้าหนูจะลงไฮไลต์ ก็คือ เครื่องสำอางที่ทำให้เกิดความงามของใบหน้า โดยเน้นเฉพาะจุด เช่น แก้ม ปลายจมูก คาง หรือหน้าผาก

ซึ่งหนูไปจับจุดว่าไฮไลต์เวลาเราปัดเยอะๆ มันเหมือนหนังปลาทู มันเงามาก หนูก็เลยพูดไปว่า อย่าลืมปัดไฮไลต์ให้เงาเหมือนหนังปลาทู คำว่าหนังปลาทูมันเกิดไวรัลมาก โด่งดังมากจนทุกคนเรียนหนูว่า เอแคลร์หนังปลาทูสามปีเต็มคำนั้น ซึ่งหนูพูดไปเรื่อย กลายเป็นคำฮิตติดหูของหลายๆ คน



 
 ครอบครัวคือเซฟโซนปลอดภัย



โชคดีหนูเป็นคนติดแม่ติดยายมากๆ ทุกวันนี้หนูยังนอนกับแม่ยายอยู่ หนูไม่สามารถหลับคนเดียวได้ เพราะหนูต้องการกอดแม่ และหอมยายตลอดเวลา หนูต้องการไออุ่นจากแม่ จนทำให้เราได้รับไออุ่นจากแม่และยายตลอดเวลา

ทุกครั้งที่เราท้อ แม่กับยายเป็นคนไม่เล่นโซเชียล ในโซเชียลเราโดนด่าเยอะมาก กลับมาถึงบ้านกินอะไรมาหรือยังลูกเดี๋ยวแม่ทำกับข้าวให้กิน เป็นเหมือนอากาศเย็น มันเป็นสวรรค์พื้นที่แห่งความสุข บ้านคือสิ่งที่หนูมีความสุขจริงๆ หนูสัมผัสได้เลย ก็ทำให้หนูสามารถฟื้นฟูได้ไว

คุณแม่และยายเรียกได้ว่า คือ เบื้องหลัง เป็นผู้ให้กำลังใจ ทั้งที่เขาไม่ได้ให้กำลังใจอะไรเราเลยนะ เพราะเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเรากำลังเศร้าอยู่ เพราะเราไม่เคยเล่า แต่ว่าทุกครั้งดูแลเราเหมือนลูกผู้หญิงเลย เราก็รู้สึกว่าได้รับพลังจริงๆ นั่นคือ เป้าหมายชีวิตที่เราได้รู้จักเขา

อย่าว่าแต่แม่กับยายเลย คุณพ่อถ้ายังอยู่ด้วย คุณพ่อ คุณแม่ คุณยายสนับสนุนลูกหลานตลอด ไม่ว่าจะทำอะไรดันให้เต็มที่ เห็นลูกเรียนเต้นส่งเรียนเต้น เห็นลูกอยากเรียนรำส่งเรียนรำ เห็นลูกไปดูโขนส่งเรียนโขน

ถ้ามีงานโรงเรียนสมัยก่อนต้องเต้นตอนอนุบาล คุณครูก็จะหาชุดมาให้เราใส่ พ่อกับแม่ก็บอกไม่ต้องเดี๋ยวผมตัดชุดให้ลูกผมใส่เอง ก็ไปตัดชุดข้างนอกแยกกันใส่ คนอื่นใส่สีฟ้า หนูกับพี่สาวใส่สีชมพู เริ่ด เพราะว่าพ่ออยากให้เด่น ถ้าเราอยากทำอะไรก็ตามให้เราทำให้เต็มที่ พ่อแม่เขาสนับสนุน

ทุกวันถามว่าเหนื่อยไหมมันก็เหนื่อย แต่ว่านอกจากกำลังใจจากครอบครัวแล้ว เรายังได้กำลังใจจากคนดู เพราะว่าทุกวันมีคำชมมาหาเราทุกวัน รู้สึกดีใจมากถ้าวันนี้มีน้องทักมาปรึกษาว่าหนูท้อ หนูขอไม่เรียนต่อแล้ว เราก็บอกว่า หนูต้องเรียนต่อ พูดถึงข้อดี แล้วหายไปปีหนึ่งหายไปครึ่งปีกลับมา พี่คะหนูเรียนจบแล้วนะคะ ไม่ต้องสนใจว่าจะได้เกียรตินิยม ดีใจที่เขาฟังเรา







ดูโพสต์นี้บน Instagram

โพสต์ที่แชร์โดย LIVE Style (@livestyle.official)



สัมภาษณ์: ทีมข่าว MGR Live
เรื่อง: พัชรินทร์ ชัยสิงห์
คลิป: อิสสริยา อาชวานันทกุล
ภาพเคลื่อนไหว: อิสสริยา อาชวานันทกุล
ภาพ: พลภัทร วรรณดี
ขอบคุณภาพ: แฟนเพจ “จือปาก”



** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **







กำลังโหลดความคิดเห็น