xs
xsm
sm
md
lg

ชีวิตจริงยิ่งกว่าลิเก!! เต้นกินรำกินแบ่งเบาครอบครัว ไม่ท้อแม้เจอคำดูถูก [มีคลิป]

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เปิดเส้นทางชีวิตนักแสดงลิเกเด็ก ความรับผิดชอบเกินตัว ความคิดเกินวัย “น้องการ์ตูน-น้องเฟียส” แม้ครอบครัวไม่สมบูรณ์แบบ โดนดูถูกสารพัด ซ้ำโควิดกระทบหนัก แต่ด้วยความกตัญญู พยายามดิ้นรน ทำงานแบ่งเบาภาระครอบครัว ไม่ท้อพร้อมเดินหน้าสืบสานวัฒนธรรมไทยต่อไป

โดนดูถูก!! “อาชีพเต้นกินรำกินไม่เจริญ”

“คำดูถูกเคยได้ยิน เราก็ท้อบ้าง เพราะเราก็ไม่เคยโกงเขา แต่ทำไมเขาต้องมาว่าให้เรา เคยมีท้อจนอยากเลิกเล่นลิเก แต่ผลสุดท้ายก็คิดว่า เราต้องสืบสานวัฒนธรรมต่อไป เพราะถ้าเราไม่ทำสิ่งนี้ แล้วจะมีเด็กรุ่นไหนมาสืบสานวัฒนธรรมไทย”

น้องเฟียส-กุลนันท์ ศรีล้อม นักแสดงลิเก วัย 15 ปี ที่อยู่กับวงการลิเกมาตั้งแต่เกิด เพราะพ่อแม่ทำอาชีพนักแสดงลิเก เลิกท้อกับคำดูถูก พร้อมสู้เพื่ออนาคตที่สดใส

“โควิดรอบนี้ทำให้งานลิเกไม่มีค่ะ หนูยังอยากเล่นลิเกเหมือนเดิมค่ะ เพราะว่าหาเงินได้ ช่วยครอบครัวและเป็นสิ่งที่หนูชอบด้วย”

น้องการ์ตูน-คัทริยา เครือทะวงค์ นักแสดงลิเก วัย 11 ปี อีกหนึ่งเด็กยอดกตัญญูที่พยายามดิ้นรน แบ่งเบาภาระครอบครัวด้วยการเล่นลิเก

นี่เป็นเสียงสะท้อนจากนักแสดงลิเกเด็ก 2 ชีวิต ใน จ.เชียงใหม่ ที่มีความรับผิดชอบเกินตัว ความคิดเกินวัย อาศัยอาชีพนักแสดงลิเกเลี้ยงชีวิตและครอบครัว

แม้ “ลิเก” จะเป็นอาชีพที่หลายคนมองว่า “เต้นกินรำกิน ไม่มีทางเจริญ” แต่สำหรับเขาทั้งสองคนที่มีใจรักและผูกพันในอาชีพนี้ กลับตั้งใจสืบสานศิลปะการแสดงประเภทนี้ให้คงอยู่ต่อไป พร้อมยึดถือเป็นวิชาชีพเลี้ยงครอบครัว แม้ต้องเจอวิกฤตพิษโควิด-19 กำลังระบาด ทำให้ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงไม่มีงานแสดง แต่ไม่ท้อรอวันกลับมาอีกครั้ง

[น้องเฟียส-กุลนันท์ ศรีล้อม]
สำหรับเส้นทางชีวิตนักแสดงลิเกเด็ก 2 ชีวิต มีความเหมือนกันหลายอย่าง ทั้งครอบครัวฐานะยากจน ประสบปัญหาพ่อแม่แยกทางกัน และทั้งคู่ต่างทำงานหาเงินเพื่อแบ่งเบาภาระครอบครัวด้วยการเล่นลิเกเหมือนกัน

ทั้งน้องการ์ตูนและน้องเฟียตมีต้นทุนชีวิตที่แตกต่างจากเด็กทั่วไป ด้วยสภาพครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์ ฐานะยากจน แต่ทั้งสองคนกลับเต็มใจที่จะใช้ความสามารถทางการแสดงเพื่อแลกกับรายได้ทำหน้าที่ช่วยเหลือครอบครัว

ท่ามกลางความดูถูกว่าเป็นอาชีพเต้นกินรำกิน ทั้งยังต้องรับมือจากวิกฤตจากโรคระบาดของโควิด ทำให้ต้องหยุดงานโดยไม่ทีกำหนด จากเดิมที่มีงานแสดงน้อยอยู่แล้ว ขณะเดียวกัน น้องทั้งสองก็ยังไม่ทิ้งความฝัน ตั้งใจเรียนเพื่อรอวันที่เรียนจบ รอใบปริญญาสู่อาชีพที่เป็นทางเลือกเมื่องานแสดงลิเกลดน้อยลง เพื่อความสุขและสืบสานมรดกของชาติให้มีชีวิตต่อไป

[น้องการ์ตูน-คัทริยา เครือทะวงค์]
ด้านคุณพ่อของน้องเฟียส อย่าง “ส่งเสริม สุกร” ที่เป็นผู้ฝึกสอนด้านการแสดงลิเกให้กับทั้งสองสาวที่มีใจรักและดิ้นรนหาเลี้ยงชีพเพื่อครอบครัว ยอมรับว่า ชีวิตลิเกทุกวันนี้ลำบาก เพราะมีทั้งคนชื่นชอบและไม่ชอบบางครั้งเจอคำดูถูกถึงขั้นร้องไห้ แต่ก็พยายามสู้ต่อเพื่ออนาคต

“คนชอบก็บอกว่า เราแสดงได้ดี เราพอเลี้ยงตัวได้ แต่คนที่ไม่ชอบจะบอกว่า เต้นกินรำกิน มันไม่เจริญหรอก ได้ยินบ่อยมาก บางทีไปเล่นบางวัด น้ำตาร่วงเลย เขาบอก พวกเต้นกินรำกิน มันคบไม่ได้หรอก

บางครั้งก็ท้อ เราเป็นศิลปิน เราก็ท้อ แต่คิดอีกที คนที่พูด มันยังทำไม่ได้เลย ถ้ามันทำได้อย่างเรา เราค่อยแก้ไขตัวเราเอง”

[ส่งเสริม สุกร] คุณพ่อน้องเฟียส
อยากมีเงินรักษาย่า แบ่งเบาภาระครอบครัว

ด้านน้องการ์ตูน ที่ปัจจุบันอาศัยอยู่กับย่าบุญธรรม เล่าถึงเหตุผลที่ต้องออกมาทำงานนอกบ้านตั้งแต่อายุยังเด็ก เพราะไม่อยากให้ย่าที่เลี้ยงดูมาต้องเหนื่อยไปมากกว่านี้ และที่สำคัญอยากเก็บเงินเพื่อไปรักษาย่าที่มีหลายโรครุมเร้า

“ไม่อยากให้ย่าเหนื่อยค่ะ คุณย่าทำงานรับจ้างปอกหอมแล้วก็รับจ้างดูแลเด็กค่ะ คุณย่าเป็นเบาหวาน ความดันข้อเข่าเสื่อม ยายเหนื่อย ก็อยากมีเงินให้ยายไปหาหมอ

ค่าใช้จ่ายในบ้านก็ให้ย่ายืมแบบไม่ต้องคืน และหนูต้องรักษาย่าให้หาย ย่าต้องได้อยู่กับหนูนานๆ”

แม้จะเหนื่อยหนัก ไม่ได้ชีวิตตามปกติเหมือนเพื่อนคนอื่นๆ ในวัยเดียวกัน แต่ก็พยายามสู้ให้ถึงที่สุด มองเป็นเรื่องที่ดี หากได้เล่นลิเกสามารถไปเที่ยวได้หลายจังหวัด

“ส่วนใหญ่เล่นทั้งกลางวันกลางคืน ทั้งสองเวลา ได้เงินครั้งละ 150-200 ถ้ามี 2 เวลา ก็ได้ 300 ก็ถือว่าคุ้ม เก็บไว้ในกระปุกออมสินไว้เป็นทุนการศึกษา”

ถามว่าอยากไปเล่นกับเพื่อนบ้างไหม ไม่มีค่ะ บางทีไปต่างจังหวัด ถ้าไปเล่นกับเพื่อนก็ได้ไปแค่จังหวัดเชียงใหม่ ถ้าไปเล่นลิเกก็ได้ไปหลายจังหวัด”


น้องการ์ตูนอาศัยอยู่กับคุณย่าบุญธรรม “พิมพ์พันธ์ สิทธิมูล” ที่เลี้ยงดูตั้งแต่แรกเกิดจนถึงปัจจุบัน โดยอาศัยเงินจากการรับจ้างทั่วไป ซึ่งไม่เพียงพอต่อการดำรงชีวิตทำให้ต้องเล่นลิเกหาเงินตั้งแต่เด็ก

คุณย่าเล่าว่า เงินรับจ้างที่ได้ไม่เพียงพอ ต้อประหยัดกันแบบสุดๆ บางทีก็อดมื้อกินมื้อ หรือบางครั้งก็ไปขอข้าวที่วัด เพื่อจะให้หลานสาวมีกินในแต่ละวัน

“ไม่พอ ต้องประหยัดกันสุดๆ เลย มีเป็นบางครั้งต้องอด แต่จะยอมอดมากกว่า เพื่อให้น้องได้กิน บางครั้ง ถ้าย่าจนปัญญาจริงๆ จะไปขอข้าววัดกิน บางครั้งถ้าย่านอนไม่หลับ แต่น้องหลับไปแล้ว ย่าได้แต่มอง สงสาร

น้องเป็นคนร่าเริง แต่มีอาการซึมเศร้าเป็นบางครั้ง เพราะบางทีถ้าพ่อเขาโทรมา บอกว่า พ่อจะเข้ามาหานะ แต่พ่อไม่มา เขาจะนั่งรอกอดตุ๊กตาเก่าๆ ของเขา นั่งรอพ่อจนมืดค่ำ ยายบอกให้เข้าบ้านก็ไม่เข้า

ถ้าหน้าหอม ย่าก็ไปปอกหอมหัวใหญ่ หน้าหอมมีประมาณ 4 เดือน ตั้งแต่ ม.ค.- เม.ย. รับจ้างเหมา กิโลละ1 บาท เพราะย่าทำรายวันไม่ค่อยไหว เพราะไม่ค่อยสบาย เป็นเบาหวาน ความดัน ข้อเข่าเสื่อม”

ส่วนน้องเฟียสที่ใช้ชีวิตอยู่กับพ่อ หลังพ่อแม่แยกทางกันนอกจากความชื่นชอบในการแสดงลิเกมาตั้งแต่เด็ก ยังมองว่าเป็นอาชีพที่มีรายได้ และสามารถส่งเสียตัวเองเรียน พร้อมอยากหาเงินจ่ายค่ายารักษาช่วยคุณพ่ออีกด้วย

“พ่อกับแม่เล่นตั้งแต่หนูยังไม่เกิดก็เลยสืบสานต่อจากพ่อแม่ ซึมซับมาตั้งแต่เด็กเลยค่ะ คุณพ่อไปเล่นลิเกก็ตามไป อยากเล่นตั้งแต่อนุบาล2-3 แล้วค่ะ เพราะเห็นพ่อแม่เล่นกันดูมีความสุข ดูมีชีวิตชีวาดี หนูก็เลยอยากเล่น

อีกอย่างยังช่วยดำรงชีวิต และก็ช่วยหาเงินส่งตัวเองเรียน และหาเงินเป็นค่ายาให้พ่อได้บ้างค่ะ ช่วยเหลือชีวิตได้อยู่ เรียนก็หาเงินจ่ายเองค่ะ”


โควิดกระทบหนักต้องหารายได้เสริม

บนเส้นทางการเป็นนักแสดงลิเกของสองสาวที่โลดเล่นดิ้นรนบนหน้าเวที เพื่ออยากมีชีวิตที่ดีขึ้นกลับต้องมีอุปสรรคจากวิกฤตโควิด ทำให้อาชีพนักแสดงลิเกต้องปรับตัวต่อกระแสการเปลี่ยนแปลงเพื่อความอยู่รอดจากรายได้ที่ไม่แน่นอน
เพราะต้องยอมรับว่า การแสดงลิเกจะยืนหยัดอยู่ได้ ก็ต้องอาศัยความนิยม และการสนับสนุนจากผู้ชมที่ติดตาม มอบสินน้ำใจผ่านพวงมาลัยเป็นรายได้

ต้องยอมรับอีกว่า ใครที่สามารถสร้างปรากฏการณ์ความนิยมได้มาก ก็สามารถสร้างรายได้ถึงขั้นร่ำรวยเป็นเศรษฐี หรือหากไม่ได้รับความนิยมมากพอก็ต้องเลิกราไปตามเส้นทางของชีวิต

น้องเฟียส เล่าถึงผลกระทบที่ได้รับในวิกฤตครั้งนี้ ว่า กระทบหนัก โดนยกเลิกงาน ทำให้ตอนนี้ไม่ค่อยมีรายได้ในการจุนเจือครอบครัวเท่าที่ควร

“กระทบมากเลยค่ะ เพราะว่าจากทุกปีเราจะมีรายได้จากลิเก อย่างน้อยปีหนึ่งก็ไม่ต่ำกว่าหลายพันค่ะ แต่ว่าตั้งแต่โควิดเข้ามาทางลิเกก็โดนยกเลิกไปหลายงาน ก็เลยไม่ค่อยมีเงินเท่าไหร่

ช่วงนี้ต้องจ่ายค่าเทอมด้วย ก็เลยกระทบหลายอย่าง เงินก็ไม่มี งานก็ไม่มี ตอนนี้หนูต้องเรียนออนไลน์ค่ะ บางครั้งก็ไม่เข้าใจ มันเลยยากขึ้น

ถึงแม้งานลิเกจะไม่มี แต่เราก็จะมาจมปรักอยู่ที่บิเกก็ไม่ได้ เราต้องหางานอื่นทำด้วย เราก็ต้องเรียนไปด้วย เพราะว่าถ้าหากเราจะเอาแต่ลิเก อนาคตข้างหน้าก็ไม่แน่นอนว่าเราจะเป็นลิเกต่อไหม ก็เลยต้องหางานอื่นทำไปด้วย หาเงินเพิ่มไปด้วย ตั้งใจเรียนและหางานที่ดีกว่านี้ค่ะ ไม่ใช่ว่าจะเลิกเล่นลิเกไปเลย แต่ต้องหางานอื่นทำไปด้วย

ตอนนี้หนูก็ช่วยแม่ขายปูอ่องไปด้วยค่ะ มันก็ยังเดือดร้อนอยู่ค่ะ ตอนนี้น้องหนูก็โตขึ้นทุกวัน ค่าใช้จ่ายมันก็ต้องมากขึ้น หนูก็ต้องช่วยแม่หาเงิน แต่เรื่องลิเกไม่ทิ้งค่ะ เพราะว่าเราอยู่กับลิเกมาตั้งแต่เด็กค่ะ ถ้าเราจะทิ้งไปเลยมันก็ไม่ได้ค่ะ เราสืบสานวัฒนธรรมมาตั้งแต่เด็ก”


นอกจากนี้ น้องเฟียส ยอมรับอีกว่า การเล่นลิเก ทำให้ต้องขาดเรียนบ้าง ส่งผลให้เรียนไม่ทันเพื่อน และทำให้ผลการเรียนที่ออกมาไม่ดีนัก พร้อมมองว่า อาชีพลิเกมีความไม่แน่นอน อาจต้องหาอาชีพเสริม

“ไม่แน่นอน ก็ต้องหาอาชีพเสริมทำบ้าง ส่วนอนาคตเรื่องเรียนยังไมได้คาดหวังเลย เพราะเราต้องดูเรื่องรายจ่ายของครอบครัวด้วย เคยฝันอยากเป็นนักร้อง ชอบร้องเพลง”


ด้าน น้องการ์ตูน แม้โควิดรอบนี้จะระบาดหนักแค่ไหน ก็ยังไม่ล้มเลิกในการเล่นลิเก เพราะยังเป็นสิ่งที่ชอบ และสามารถหารายได้ช่วยเหลือครอบครัวได้อีกช่องทาง

“โควิดรอบนี้ทำให้งานลิเกไม่มีค่ะ แล้วก็งานร้องเพลงก็ไม่ค่อยมีด้วยค่ะ ต้องเรียนออนไลน์อยู่บ้านตั้งแต่ช่วงต้นเดือน ม.ค. งานเขายกเลิกหมดเลย เพราะว่าเขาไม่ให้จัดมีโควิด บางครั้งก็ไปเอาของจากตู้ปันสุข บางครั้งถ้ามีงานก็ไปปอกหัวหอม แต่ว่าช่วงนี้ไม่ค่อยจะมีค่ะ ก็จะเรียกเป็นบางครั้งถ้ามีออเดอร์เยอะๆ

หนูยังอยากเล่นลิเกเหมือนเดิมค่ะ เพราะว่าหาเงินได้ ช่วยครอบครัวและเป็นสิ่งที่หนูชอบด้วย”

หากท่านใดต้องการช่วยเหลือทุนการศึกษาของน้องทั้งสองคนสามารถโอนไปได้ที่ น้องการ์ตูน ชื่อบัญชี น.ส.พิมพันธ์ สิทธิมูล ธนาคารออมสิน สาขา แม่วาง 0-2012086-112- 3 น้องเฟียส ชื่อบัญชี กุลนันท์ ศรีล้อม ธนาคารออมสิน สาขาสันป่าตอง 0-2028897-082-7





** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **







กำลังโหลดความคิดเห็น