xs
xsm
sm
md
lg

อนาถ..แม้แต่ “ไฮโซ” ยังไร้ทางเลือก สวมรอยฉีดวัคซีน สะท้อนช่องโหว่การจัดการรัฐ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ดรามาแก๊งวีไอพีแซงคิวฉีดวัคซีน แต่ประชาชนต้องยืนต่อคิวนานหลายชั่วโมง สะท้อนระบบการจัดการ ล่าสุด แม้แต่คนมีเงินในสังคม ยังไร้ทางเลือก ต้องแอบอ้างตีเนียนสวมเสื้อวินมอเตอร์ไซค์ รอฉีดวัคซีน แพทย์สะท้อนปัญหาใหญ่ คือ การจัดการวัคซีนที่ไม่เพียงพอ พร้อมย้ำกลุ่มวีไอพี ประเทศที่เจริญไม่ทำกัน

วีไอพีแซงคิว-ไฮโซตีเนียนสวมเสื้อวิน รอฉีดวัคซีน

เป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างหนักในขณะนี้ สำหรับเรื่องของการฉีดวัคซีน เมื่อผู้ใช้ทวิตเตอร์รายหนึ่งได้ออกมาเผยแพร่คลิป พร้อมระบุข้อความว่า “เจอ VIP มาฉีดวัคซีนแซงคิวเยอะมาก ประชาชนทั่วไปรอคิวมา 3 ชั่วโมง ไม่ได้แม้แต่ขึ้นไปจับบัตรคิว VIP มา ได้ขึ้นเลย” พร้อมติดแฮชแท็กเทศบาลบางปู สมุทรปราการ

ทำให้ประชาชนที่มาเข้าคิวรอเกิดความไม่พอใจกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น ต่างออกมาโวยวาย ถึงระบบจัดการของเจ้าหน้าที่ เนื่องจากบางคนต้องยืนต่อคิวนานหลายชั่วโมง แต่ก็ยังไม่ได้เข้าไปรับวัคซีน สาเหตุเพียงเพราะต้องเปิดทางให้แขกวีไอพี เพื่อรับวัคซีนก่อน

ล่าสุด ชรินทร์ จันทะพันธ์ ผอ.รพ.สต.บางปูใหม่ ได้ออกมาชี้แจงถึงเรื่องดังกล่าว ว่า เนื่องจากมีบางหน่วยงานที่มีความจำเป็นขอเข้ารับการฉีดวัคซีนก่อน เพราะต้องรีบกลับไปเข้าปฏิบัติหน้าที่และเปลี่ยนให้ผลัดใหม่เข้ามารับวัคซีน เพราะการฉีดวัคซีนต้องใช้เวลาพอสมควร หากเจ้าหน้าที่หน่วยงานเหล่านี้ปิดบริการมาฉีดวัคซีนกันหมด ก็จะมีชาวบ้านที่มาติดต่อราชการต้องเดือดร้อนในระดับหนึ่ง แต่อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้ ตนยืนยันว่า จะไม่มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีก


ซึ่งประชาชนบางกลุ่มก็เข้าใจ หากมีความจำเป็นต้องปฏิบัติหน้าที่จริงๆ แต่อีกมุมก็มองว่าประชาชนคนทั่วไปก็ต้องหยุดงาน ขาดรายได้เช่นกัน จึงอยากให้กลุ่มวีไอพีทำตามกฎเกณฑ์ให้ถูกต้อง และควรเห็นใจซึ่งกันและกัน

ไม่เพียงเท่านี้ ยังมีแก๊งไฮโซตีเนียนสวมเสื้อวินมอเตอร์ไซค์ เพื่อตบตาเจ้าหน้าที่ รอฉีดวัคซีนที่ศูนย์ฉีดวัคซีน สถานีกลางบางซื่อ สุดท้ายความแตก ตรวจสอบพบว่าแอบอ้างเป็นวินเก๊ และไม่อนุญาตให้ฉีดวัคซีน

เบื้องต้นได้ดำเนินคดีผู้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ และ กระทรวงคมนาคม ตรวจสอบพร้อมดำเนินการเอาผิดแล้ว พร้อมเร่งตรวจสอบเจ้าของเสื้อวินตัวจริง


เพื่อสะท้อนถึงเรื่องนี้ ทีมข่าว MGR Live ได้ติดต่อไปยัง นพ.มนูญ ลีเชวงวงศ์ แพทย์เฉพาะทางด้านโรคระบบการหายใจ โรงพยาบาลวิชัยยุทธ ซึ่งคุณหมอก็ช่วยสะท้อนถึงการจัดการวัคซีน จนทำให้เกิดการลัดคิว ว่า หากเป็นประเทศที่เจริญแล้ว จะไม่มีเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น

“มันก็ต้องเป็นไปตามกฎเกณฑ์ อย่าไปใช้เส้น ตัวหมอเองก็ไม่เคยใช้เส้น ก็รอจนกระทั่งวัคซีนมา ไม่เคยวิ่งไปติดต่อขอเขา ไม่เคยเลย ถึงเวลามันมาก็มา เราก็รอเฉยๆ ก็น่าจะเป็นไปตามนั้น คนเราก็น่าจะต้องมีกฎมีเกณฑ์ ถ้าเป็นประเทศที่เจริญแล้วเขาก็ทำอย่างนั้นกัน

ก็มองว่า ทุกคนจะต้องทำตามกฎเกณฑ์ มีกฎเกณฑ์แล้วลงทะเบียนจองคิวไปให้เร็วที่สุด ได้เมื่อไหร่ก็ไปฉีด การที่ใช้เส้นสายมันดูไม่ดี เพราะยังไงทุกคนก็จะต้องได้ฉีด จะไม่มีใครจะต้องทุกหล่น

จะฉีดเร็วฉีดช้าก็ขึ้นอยู่ที่ว่าตัวเองลงทะเบียนเร็วแค่ไหน หรือถ้าลงทะเบียนไม่เป็นก็ต้องให้คนอื่นเขาช่วย เพราะมันมีคนช่วยอยู่แล้ว ซึ่งผมว่ามันน่าจะเป็นแบบนั้นประเทศไทย

ไม่ควรไปลัดคิว เพราะว่าเราจะไปลัดคิวคนอื่นมันไม่ได้ ก็ต้องตามเวลาที่นัดหมาย ยกเว้นว่า วันนั้นเขามีจำนวนเหลือพอ หรือบางคนไม่มาตามนัดก็มี แล้วก็ต้องเอาเข็มนั้นให้กับคนอื่นแทนคนที่ไม่ได้มาตามนัด คือ เราก็ไม่อยากเสียของ มีพอก็ต้องให้คนที่เขามาทีหลังในวันนั้น”

[นพ.มนูญ ลีเชวงวงศ์]
คุณหมอมนูญ ยังย้ำชัดถึงคนที่มีพฤติกรรมที่ไม่ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ ไม่ควรให้ใครมีอภิสิทธิ์เหนือกว่าใคร ควรจะเห็นใจซึ่งกันและกัน

“อยากให้ทุกคนควรจะปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ ถึงเวลาก็จะได้ คือการไปลัดคิวได้เร็วขึ้นประมาณสัก 2-3 อาทิตย์ มันก็ไม่ได้ช่วยอะไรเท่าไหร่หรอก ระหว่างนั้นเราก็ป้องกันตัวเอง ใส่หน้ากาก ล้างมือ เว้นระยะห่าง สุดท้ายเราก็จะได้วัคซีน มันก็ควรจะเป็นอย่างนั้น สังคมของคนที่เขาจริงแล้วเขาทำแบบนี้กันนะ”


สะท้อนการจัดการวัคซีนที่ไม่เพียงพอ

นอกจากนี้ คุณหมอมนูญ ยังสะท้อนถึงปัญหาใหญ่อีกว่า ความยุ่งยากในการบริหารจัดการ คือ การมีวัคซีนที่ไม่เพียงพอต่อความต้องการของประชาชน และต้องทำงานแข่งกับเวลาอีก จึงมองว่าเป็นเรื่องที่ยากมากในการจัดการเรื่องวัคซีนในตอนนี้

“ตอนนี้ปัญหาใหญ่ คือ วัคซีนไม่เพียงพอ ขณะที่ของเราสยามไบโอไซเอนซ์ บอกว่า จะผลิตให้กับประเทศไทยเดือนแรก 6 ล้านโดส แต่จริงๆ เขาต้องผลิตทั้งหมด 200 ล้านโดส ในปีนี้นะ จะให้ประเทศไทย 61 ล้านโดส ที่เหลือจะให้กับประเทศแถวเอเชีย ประเทศเพื่อนบ้านเรา ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย ก็ไม่ได้ ก็ต้องแจกจ่ายกันไป แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็ไม่ได้ เพราะทุกอย่างมันช้า ทุกอย่างถูกเลื่อนไปหมด

เพราะฉะนั้น ทางรัฐก็ดี พยายามจัดหาวัคซีนตัวอื่น ยี่ห้ออื่นมา ซิโนแวคก็ได้มาเพิ่ม ทางราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ก็ไปหาซิโนฟาร์มมา อีกหน่อยทางภาคเอกชนก็จะไปหาโมเดอร์นามา ทุกคนพยายามหามา ยิ่งหามามากก็ยิ่งดี เพื่อที่จะให้คนของเราได้ฉีดมากขึ้น

แต่สำหรับหมอคิดว่าเข็มแรกสำคัญที่สุดเลย เราหวังว่า ให้ทุกคนได้เข็มแรกก่อน เข็มที่สองก็ว่ากันทีหลังว่าจะให้เมื่อไหร่ เพราะอย่างยิ่งแอสตร้าเซนเนก้าจะต้องได้เข็มแรกก่อน แต่ซิโนแวค ซิโนฟาร์มต้องให้สองเข็มอยู่แล้ว อันนี้ต้องรีบให้สองเข็ม ให้แอสตร้าฯ ปูพรมไปก่อนเลย ถ้าเข็มที่สองได้หรือไม่ได้ก็มาดูกัน

ปัญหาใหญ่คือ เราต้องแข่งกับเวลา ต้องฉีดให้มากที่สุด อันนี้ก็เป็นความยุ่งยากในการบริหารจัดการ เพราะเรามีไม่พอ

ในขณะที่ประเทศอเมริกาเขามีพอ มีมากเกินพอ เขาพยายามดึงดูดให้คนไปฉีด บางคนมาฉีดเข็มแรก พอเข็มสองก็มีเกือบ 5 ล้านคนที่ไม่มา เขาก็พยายามไปดึง ชักชวนให้มา มีการให้แรงจูงใจให้มา เพราะต้องการให้ฉีดสองเข็มให้มากที่สุดทั้งประเทศ
ส่วนของเราต้องมุ่งที่เข็มแรกให้มากที่สุดก่อน เข็มสองไว้ทีหลัง ของเขาต้องการให้ทุกคนได้สองเข็ม แต่มันก็ยังมีคนไม่ต้องการก็มี”


นอกจากจะสะท้อนความขาดแคลนการจัดการเรื่องฉีดวัคซีน หรือฉีดได้ไม่ทันใจกลุ่มเป้าหมาย ทำให้มีข่าวว่าเกิดการแทรกคิว หรือกระทั่งคนต้องแอบอ้างเข้าไปฉีดบ้าง ยังสะท้อนอีกว่าแม้แต่คนมีเงินในสังคมยังไร้ทางเลือก ซึ่งคุณหมอเองก็มองว่า ปัญหานี้ไม่ใช่แค่คนไทยที่ประสบพบเจอ แต่ยังเป็นปัญหาของคนทั้งโลกอีกด้วย

“มันเป็นปัญหาของโลกนะ ไม่ใช่ปัญหาของประเทศไทยอย่างเดียวนะ เพราะคนในโลกทั้งโลกต้องฉีดประมาณ 11,000 โดส ถึงจะพอ ถึงจะหยุดในการระบาดในโลกได้ เรามีประมาณ 7-8 พันล้านคน ก็ต้องฉีดประมาณ 11,000 โดส ตอนนี้เพิ่งฉีดไป 2 พันล้านโดสเท่านั้นเอง ยังห่างไกลอีกตั้งเยอะ

กำลังการผลิตมันไม่เพียงพอ ใครเขาก็อยากจะขาย แต่มันก็แย่งกันของตลาดผู้ขายไม่ใช่ตลาดของผู้ซื้อ เรามีเงินเราก็อาจจะซื้อไมได้ แต่โชคที่เราสามารถผลิตเองได้ตั้ง 61 ล้านโดส ถือว่าโชคดีมหาศาล”


ส่วนประเด็นที่รัฐบาลตั้งเป้าหมายในการฉีดวัคซีน ให้ครบ 100 ล้านโดส ภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งหากทำตามแผนที่วางไว้จะครอบคลุมประชากรกว่า 70% ในประเทศ

ทางด้านคุณหมอก็แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า 100 ล้านโดสปีนี้ น่าจะทำได้ตามเป้า เพราะทุกคนก็เริ่มที่อยากจะฉีดกันมากขึ้น อยู่ที่ว่าวัคซีนจะมีเพียงพอหรือไม่

“100 ล้านโดสน่าจะทำได้ แต่จริงๆ 100 ล้านโดสมันก็ไม่พอ เพราะจริงๆ ถ้าฉีดกันคนละ 2 โดส มันก็ได้แค่ 50 ล้านคน ประชากรไทยเรามี 67 ล้านคน แล้วเรามีต่างชาติอีก มีทั้งคนที่อาศัยในประเทศ มีแรงงานต่างด้าวอีก

จริงๆ มันต้องฉีดอย่างน้อยๆ ประมาณ 60 ล้านคน คือ เราตัดเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี ออก แต่จริงๆ มันไม่ใช่แค่คนไทยอย่างเดียวนะ คนต่างชาติกับแรงงานต่างด้าวอาจจะ4-5 ล้านคนด้วยซ้ำ คนไทยควรจะฉีด 55 ล้านคน แล้วบวกต่างชาติอีก ก็เป็น 60 ล้านคน

เราต้องหามา 120 ล้านโดส แต่ก็เห็นได้ข่าวว่าจะเอาจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน มากอีก 25 ล้านโดส อันนั้นดีเลย เพราจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน เข็มเดียวจบ ถ้าได้มา 25 ล้านโดส ก็ได้25 ล้านคน อันนี้ก็เป็นสิ่งที่เราอยากเห็น

ทุกวันก็มีคนปรึกษาหมอจะฉีดไหม ฉีดเถอะครับทุกคนเลย ไม่มีข้อห้ามเลย ไม่ว่าคุณจะกินยาคุมกำเนิด คุณจะปวดหัว กินยาไมเกรนอะไรพวกนี้ฉีดได้หมด

ผมว่าคนก็เริ่มเข้าในแล้วว่าวัคซีนมีประโยชน์ ก็รีบไปฉีด แต่ก็ยังมีบางกลุ่มที่ยังลังเลเยอะเลย วันๆ หนึ่งหมอก็ต้องให้คำปรึกษาว่าจะฉีดไหม สมควรฉีดไหม ฉีดตัวไหนดี หมอก็บอกว่าฉีดเลย ไปถึงเขาให้ตัวไหนก็ฉีดเลย ไม่ต้องไปเลือก คือ บ้านเรามันเลือกไม่ได้อยู่แล้ว ก็คิดว่ามันควรจะเป็นไปตามนั้น”



** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **







กำลังโหลดความคิดเห็น