xs
xsm
sm
md
lg

บททดสอบสรยุทธ “กรรมกรข่าวผู้มีรอยตำหนิ” ฝ่ากระแสต้าน ไม่ต้อนรับกลับคืนจอ!!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ไขข้อสงสัยในแง่กฎหมาย และแง่วงการสื่อสารมวลชน กับประเด็นร้องเรียน กสทช. ให้ดำเนินการตรวจสอบและวินิจฉัยการหวนคืนจออีกครั้งในรอบ 5 ปี สำหรับ “สรยุทธ สุทัศนะจินดา” ซึ่งเป็นผู้ที่เคยต้องโทษในคดีอาญา สะท้อนความเหมาะสม กับความน่าเชื่อถือ-จริยธรรมสื่อ ที่สังคมจับตามอง



กฎหมายไม่ห้าม แต่ต้องพิจารณาตัวเอง

หวนคืนจออีกครั้ง สำหรับ “สรยุทธ สุทัศนะจินดา” หลังห่างหายจากหน้าจอไปนานกว่า 5 ปี ล่าสุด มีการเปิดตัว 5 พิธีกรข่าว 5 คาแรกเตอร์ 5 การนำเสนอ โดยมี หนุ่ม กรรชัย รายการเที่ยงวันทันเหตุการณ์, กิตติ สิงหาปัด รายการข่าว3 มิติ, ดนยกฤตย์ แดงหวานปีสีห์ รายการขันข่าวเช้าตรู่, ไก่ ภาษิต รายการเรื่องเด่นเย็นนี้ และ สรยุทธ สุทัศนะจินดา รายการเรื่องเล่าเช้านี้

โดยทั้งหมดจะเริ่มเดือนพฤษภาคมนี้ หลังจากที่คลิปดังกล่าวเปิดตัวมาก็สร้างความฮือฮาให้กับแฟนข่าวเป็นอย่างมาก

ไม่เพียงเท่านี้ ยังเป็นประเด็นร้อนเมื่อ “ศรีสุวรรณ จรรยา” เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า เตรียมร้องเรียน กสทช. ให้ดำเนินการตรวจสอบและวินิจฉัย ว่า การกลับมาเป็นพิธีกรเล่าข่าวหน้าจอโทรทัศน์ ซึ่งเป็นผู้ที่เคยต้องโทษในคดีอาญาสามารถทำได้หรือไม่


เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ทีมข่าว MGR Live จึงติดต่อไปยัง รัชพล ศิริสาคร ทนายชื่อดังเจ้าของเพจ “สายตรงกฎหมาย” ให้มาช่วยไขข้อสงสัยในแง่ของข้อกฎหมาย การเตรียมคืนสู่หน้าจออีกครั้งในรอบ 5 ปี ของคนข่าวชื่อดัง ที่เคยต้องโทษในคดีอาญา ที่ให้พักโทษ ด้วยการติดกำไล EM

ได้คำตอบว่า ถึงแม้ผู้ประกาศข่าวคนดังจะเคยต้องโทษ แต่สามารถประกอบอาชีพสื่อได้ตามปกติ

“ไม่มีกฎหมายห้ามผู้ที่เคยจำคุกออกทีวี ซึ่งที่ผ่านมา ก็มีหลายท่านที่เคยต้องโทษจำคุก แต่มาออกทีวี ก็ไม่มีตำรวจมาจับ ดังนั้น ผู้ที่เคยถูกจำคุก สามารถประกอบอาชีพทางทีวีได้ ตราบใดที่ไม่มีกฎหมายห้ามครับ

ในฐานะสื่อที่เคยทำผิด ควรจะพิจารณาตัวเองมากกว่า ว่า ตัวเองยังเหมาะสมที่จะมาทำหน้าที่สื่อที่คอยสอดส่องสังคมอยู่หรือไม่ เพราะเรื่องนี้ไม่มีกฎหมายห้ามอยู่แล้ว ส่วนคนดู ก็คงต้องพิจารณากันเอง”

ในฐานะนักกฎหมาย ยังมองอีกว่า การกลับมาของคนข่าวชื่อดังในครั้งนี้ ควรจะเลือกข่าวที่เหมาะสมจะเป็นทางออกที่ดี

“ในประเทศที่เป็นประชาธิปไตย ทุกคนมีสิทธิเลือกเสพสื่อ หรือแม้ตัวนักข่าวที่เคยต้องโทษจำคุกเอง ก็มีสิทธิที่จะกลับมาทำหน้าที่เหมือนเดิม ความเห็นส่วนตัว ผมว่าควรเลือกอ่านข่าวที่เหมาะสม น่าจะเป็นทางออกที่ดีกว่า”

[รัชพล ศิริสาคร]
ในอีกมุมผ่านสายตาของนักวิชาการด้านสื่อสารมวลชน อย่าง ผศ.แวอาซีซะห์ ดาหะยี มองว่า มีคาแรกเตอร์ความน่าเชื่อถืออยู่แล้ว แต่อาจจะมีบางครั้งที่หลายคนตั้งข้อสงสัยถึงเรื่องที่เคยทำผิดพลาดมาบ้าง

“ในความน่าเชื่อถือ คาแรกเตอร์ของคุณสรยุทธ เป็นคาแรกเตอร์คนข่าวอยู่แล้ว ข่าวสารที่เขาจะขุดคุ้ยขึ้นมาเป็นข้อมูลข้อเท็จจริงที่จะทำให้ประชาชนได้เห็น ได้บริโภค ถือว่าเขาก็เป็นคนหนึ่งคนที่ทุ่มสุดตัวเหมือนกัน อันนี้ในบทบาทหน้าที่นักสื่อสารมวลชน

ส่วนในบทบาทพาร์ตธุรกิจของเขา สำหรับอาจารย์มันก็จะมีแวบแรกที่เวลาโฆษณาออกไป อาจารย์ก็รู้สึกอยู่แวบหนึ่งว่า ตรงนี้จะทำให้มีรอยตำหนิไหม เป็นแวบหนึ่งที่ไม่มากพอ ที่จะทำให้ศักยภาพความเป็นคนข่าวของเขามันหายไป มันยังคงที่จะเห็นชัดอยู่ เพราะด้วยการที่เขาไม่ได้อยู่หน้าจอ เขาก็ยังได้ทำหน้าที่เป็นการรายงานข่าวของคนข้างใน ให้คนข้างนอกได้รู้ อินเนอร์เขายังไม่ทิ้งการเป็นนักสื่อสารมวลชน

มนุษย์ไม่มีใครจะอยู่บนครรลองของความร้อยเปอร์เซ็นต์ทุกเรื่อง แต่เลือกมองคนที่เอื้อประโยชน์ให้กับส่วนรวมมากกว่า พอคุณสรยุทธ เข้ามาในวงการนี้ เขาอาจจะเป็นคนหนึ่งที่จะทำให้ข่าวมีเรตติ้งที่มันดีอยู่แล้ว มันกระเตื้องขึ้นมาอีกหรือเปล่า อันนี้ก็น่าสนใจ”

[ผศ.แวอาซีซะห์ ดาหะยี]
นักวิชาการด้านสื่อฯ ยังสะท้อนอีกว่า จากการได้ติดตามข่าวในการนำเสนอประเด็นข่าวต่างๆ ในการหวนคืนจอครั้งนี้ อาจจะต้องให้ดีมากขึ้นเป็นพิเศษในการนำเสนอ เพราะบางครั้งอาจจะไปกระทบถึงเรื่องของตัวเองได้

“การเป็นผู้สื่อข่าวต้องติดทุกประเด็นข่าว ต้องมีการรายงานข่าวที่จริงจัง ฉะนั้น มันอาจจะมีบางครั้งที่ไปกระทบบ้าง แต่ในบทบาทของนักสื่อสารมวลชน เราก็ต้องทำหน้าที่นำข้อเท็จจริงออกมานำเสนอ

ส่วนในมุมที่บอกว่า กลับมาเร็วเกินไปไหม ในบทบาทของคุณสรยุทธ เขามีความเป็นนักสื่อสารมวลชนเต็มร้อยอยู่แล้ว อันนี้อาจารย์ก็เลยมองว่า เขามีจุดที่ทำให้กราฟของการรายงานข่าว การนำเสนอข่าว คุยข่าว มีความตื่นตัว น่าสนใจมากขึ้น เขามีบุคลิกของความเป็นคนข่าวอยู่แล้ว จะทำให้จุดนี้มีภาวะการตื่นตัวในการหยิบข่าวหยิบอะไรมาเสนอ

ในขณะที่เขาไม่ได้อยู่บนหน้าจอทีวี เขาก็ยังคงรายงานข่าวอยู่บนจอออนไลน์อื่นๆ ที่ทำให้เขาไม่ได้หลุดออกไปจากการเป็นนักสื่อสารมวลชน ซึ่งอาจารย์ก็มองว่าไม่ได้ช้า และก็ไม่ได้เร็วที่จะกลับมา คนต้องการบริโภคข่าวสารในประเด็นอื่นๆ อีกเยอะที่มันเกิดขึ้นในปัจจุบัน

ทุกงานมันเป็นภาวะของการแข่งขันอยู่แล้ว ฉะนั้น เขาก็ไม่ได้กลับออกมาแล้วกระโดดเข้ามาเลย เขาก็ทิ้งตัวอยู่ประมาณ 2 เดือน ก่อนที่เขาจะเข้ามาในเดือน พ.ค.นี้”


ให้โอกาสทำประโยชน์เพื่อส่วนรวม

“คนทำผิดถ้าสังคมไม่ให้โอกาส มันก็ลำบากในการอยู่ร่วมกัน ไม่ใช่มีเพียงแค่คุณสรยุทธคนเดียว มีตั้งหลายคน ที่เขาทำผิดพลาดมาได้ไปอยู่ในมุมหนึ่ง ซึ่งเป็นมุมที่เขาไม่อยากจะไป แต่เขาพลาด

เขาทำผิดด้วยความตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ อันนี้เราไม่รู้ แต่เขาได้กลับเข้ามาอยู่ในสังคม ทำให้สังคมดีขึ้น ก็มองว่าควรจะให้โอกาส ถ้าคนผิดแล้วเราให้โอกาส โอกาสนั้นอาจจะทำให้สิ่งดีๆ เกิดขึ้นอีกเยอะ เราต้องมองในมุมที่ดี”

นักวิชาการด้านสื่อฯ รายเดิม ยังมองอีกว่า การให้โอกาสในครั้งนี้ของคนข่าวชื่อดัง เป็นจุดสำคัญที่จะต้องพิจารณาในการนำเสนอข่าวเรื่องข้อเท็จจริงให้มากขึ้นกว่าเดิม

“ส่วนการไปอยู่หน้าสื่อตรงนั้นดีซะอีก มันอาจจะทำให้เขาต้องรายงานข่าวให้เป็นข้อเท็จจริงให้มากขึ้น อันนี้จะเป็นตัวหนึ่งที่จะทำให้คนที่อยู่ในจุดที่พลาดไปแล้ว ได้รับโอกาส เขาจะต้องระวัง พิจารณาในการนำเสนอ หรือทำงานอื่นๆ ให้อยู่ในข้อเท็จจริง ที่ถูกต้องให้มากขึ้น

ก็มีตั้งหลายคนที่เข้าไปอยู่ตรงนั้นแล้วกลับเข้ามา ศิลปิน นักแสดงก็หลายคน ถ้าเราไม่ให้โอกาส ผลักเขาไปอยู่ในมุมอื่น มุมที่เลวร้ายอีก สังคมก็จะยิ่งแย่

การที่สังคมให้โอกาสแบบนี้ เป็นการเปิดประตูที่รู้สึกหมดหวัง ได้เห็นความหวัง ส่วนคนที่เขาผิดพลาดได้ก้าวมาอยู่ตรงนี้ เขาก็จะนำเรื่องที่ผิดพลาดตรงนั้น มาใช้ในการระวังมากขึ้นในการทำงานต่างๆ ที่เขาได้รับมอบหมาย”


สำหรับแง่ของจริยธรรมสื่อ นักวิชาการด้านสื่อฯ ก็มองอีกว่า อาจจะมีบางครั้งที่คนจะมีข้อสงสัยถึงรอยด่างที่ผ่านมา แต่หวังว่า การกลับมาอีกครั้ง ต้องสร้างประโยชน์มากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งเชื่อว่า คนข่าวชื่อดังมีในใจอยู่แล้ว

“ในมุมมองเรื่องจริยธรรมสื่อ มันต้องมีอยู่แล้ว เพราะว่าคนรักก็ต้องบอกว่าใช่ คนชังก็ต้องรู้สึกนิดหนึ่ง เป็นปกติ ซึ่งคนที่อยู่ในแวดวงข่าวสาร ก็จะรู้ว่า คุณสรยุทธทำอะไร มีประเด็นตรงไหน อย่างไร ไม่รู้ว่ากี่เปอร์เซ็นต์สำหรับคนที่รู้รายละเอียดตรงนี้ แต่สำหรับชาวบ้านที่เขากำลังรอข้อมูลที่เป็นประโยชน์ให้กับชุมชน ให้กับชาวบ้าน ซึ่งคุณสรยุทธเขาสามารถทำตรงนี้ได้

สิ่งที่เขาทำตรงนี้อาจจะลืมมองตรงนั้นหรือไม่ได้มอง อาจจะมองไม่เห็นก็อาจจะมีเหมือนกัน ในมุมของประชาชนที่เป็นคนบริโภคข่าวสารแบบประชาชนธรรมดา แต่ในมุมที่เขาทำธุรกิจ เขาอาจจะมีเหมือนกันว่า จริยธรรมตรงนี้มันจะเป็นอย่างไร อาจารย์ก็มองอยู่เหมือนกัน

มีแวบหนึ่งเหมือนกันที่คิดว่า คนที่ทำอยู่ในวงการสื่อ เขาจะรู้สึกไหมว่าตรงนี้มันมีรอยด่าง อาจารย์มองว่า ก็ต้องมีความรู้สึกอยู่แล้ว แต่การที่เขาได้แสดงความบริสุทธิ์ของเขาออกมาในบทบาทหนึ่ง สังคมไทยก็เป็นสังคมที่ให้อภัย มันก็เป็นมุมที่ดีให้อภัยกัน แต่ถ้าไปทำอะไรที่ร้ายมากๆ การให้อภัยมันก็ไม่ได้เป็นมุมดีร้อยเปอร์เซ็นต์

ถ้าเขาเข้ามาแล้ว เขาจะต้องคูณสามในการที่จะทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ให้กับสังคมมากขึ้น ตรงนี้ก็คิดว่าคุณสรยุทธมีในใจอยู่แล้ว ที่จะทำสิ่งที่ดีขึ้น”


ขอบคุณภาพ : อินสตาแกรม @sorrayuth9111



** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **







กำลังโหลดความคิดเห็น