เจ้าของฉายา “ศิลปินแดนปลาร้าหน้าเกาหลี” เขาเป็นนักร้องลูกทุ่งอีสานสายโอปป้า ที่พลิกโฉมวงการลูกทุ่งอีสานด้วยการทำเอ็มวีให้กลิ่นอายความเป็นอีสานแต่ลุค K-pop ผมสีชมพู จนกลายเป็นที่พูดถึงอย่างมากในแอปพลิเคชัน TikTok เปิดใจถึงกระแสดังกล่าวกับความฝ่าฟันกว่าจะได้เป็นนักร้อง
พร้อมเผยเบื้องหลังอีกมุมของชีวิตที่ต้องลองผิดลองถูกด้วยตัวเอง ทำงานดิ้นรนส่งตัวเองเรียน กับชีวิตต้องเลือกระหว่างความฝันของพ่อที่อยากให้เป็นข้าราชการ
พลิกโฉมวงการลูกทุ่งอีสาน
“ผมตกใจมาก ลงชั่วโมงแรกคนดูประมาณ 7 แสนคน ก็ตกใจว่ามาได้ไง ตื่นเต้นมาก เราอยากนำเสนอตัวตนแบบนี้ให้ทุกคนได้ดูได้ชม ถ้าชอบก็เปิดใจรับ มีกลิ่นอายลูกทุ่งอยู่แล้ว เพราะว่าแบงค์เป็นคนอีสาน ผมก็ร้องเพลงลูกทุ่งอยู่แล้ว ที่มากกว่านั้นก็คือเรารักในวัฒนธรรมอีสาน เราชอบอาหารอีสาน แต่เราชอบแต่งตัว ชอบแฟชั่น”
แบงค์-อภิวัตร มูลธานี นักร้องอีสานสายโอปป้า วัย 25 ปี ที่พลิกโฉมวงการลูกทุ่งอีสานด้วยการทำเอ็มวีแนวสดใสละมุนตา พร้อมฉีกกฎการทำเอ็มวีอีสาน จนกลายเป็นคลิปไวรัลบนโซเชียล ที่ตอนนี้มีผู้เข้าชมเกือบ 2 ล้านคน บน TikTok ในชื่อช่อง “banksoju”
เป็นกระแสดังชั่วข้ามคืนเมื่อมีการปล่อยทีเซอร์เพลงใหม่ “นวลนางแอ่น” แม้จะเป็นคลิปทีเซอร์สั้นๆ ก็ทำให้เป็นที่พูดถึงอย่างมากในแอปพลิเคชัน TikTok
ถึงแม้ตัวเพลงจะมาพร้อมเนื้อร้องเศร้าและดนตรีอีสานพื้นบ้าน แต่ในคลิปนั้นได้เห็นหนุ่มแบงค์ในฉากสตูดิโอที่ให้กลิ่นอายความอีสานแต่ลุค K-pop ผมสีชมพู
เรียกได้ว่าสั่นสะเทือนไปทั่ววงการลูกทุ่งอีสานกันเลยทีเดียว ไม่รอช้าจึงรีบคว้าตัวมานั่งพูดคุยถึงมิติใหม่ในการสร้างสรรค์ผลงานเพลงลูกทุ่ง
ซึ่งนักร้องหนุ่มหน้าหล่อก็เปิดใจว่า แม้จะเป็นลูกทุ่งอีสานแนวใหม่ แต่ยังคงกลิ่นอายความเป็นลูกทุ่งแน่นอน
“ถามว่าฉีกไหม ผมมองว่ามันก็ไม่เชิงว่าฉีกนะครับ แต่เรามองว่ามันเป็นแนวใหม่มากกว่า แต่มีกลิ่นอายของความเป็นลูกทุ่งด้วย รู้สึกว่ามันเป็นสิ่งใหม่ๆ ที่อยากให้ทุกคนลองเปิดใจเข้ามาฟังกันดู
จริงๆ ชอบส่วนตัวอยู่แล้ว แล้วทีนี้เลยคิดว่า ลองทำให้ภาพดูสวยขึ้น ให้การแต่งตัวมันดูลงตัวขึ้นเฉยๆ เพราะว่าเคยทำมาแล้ว แต่ว่ามันยังไม่ดีพอ
ก็ไม่สั่นสะเทือนหรอก (หัวเราะ) อยากให้เปิดใจดูว่าแนวทางที่แบงค์อยากจะนำเสนอเป็นแบบไหน แล้วก็เป็นแบบไหน แล้วเป็นยังไง แล้วมันรู้สึกดูแล้วชอบไหม”
นอกจากนี้ ยังมองว่าบางครั้งก็ต้องเปลี่ยนไปตามยุคสมัยที่ผันเปลี่ยนไป เพียงแค่อยากนำเสนอความแปลกใหม่ให้ได้รับชมแค่นั้นเอง
“ตามยุคสมัยด้วยครับ ด้วยความชอบ ความแปลก ความใหม่ที่เรานำเสนอที่มันแตกต่างมากกว่า ทุกอย่างถ้าเราทำด้วยใจ ทำด้วยความที่เราชอบ มันจะออกมาดีเสมอ ผมเชื่ออย่างนั้นนะ”
แฟนคลับถึงขั้นให้ฉายาว่า “ศิลปินแดนปลาร้าหน้าเกาหลี” พร้อมตั้งข้อสงสัยปนเสียงหัวเราะว่า เหมือนกับว่าเป็นนักร้องเกาหลีมาลิปซิงค์เพลงลูกทุ่งมากกว่า
“อันนี้คือชอบนะครับ อันนี้คือผมรู้สึกตลกดี มันแบบนั้นจริงๆ นะ เพราะว่าเราคิดภาพตอนนั้นออกเลยว่า ตอนที่เราไปอยู่เกาหลี แล้วเรากินอาหารเกาหลีไม่ได้
แบงค์เป็นคนชอบอาหารอีสานมาก แล้วเราไปกินอาหารอีสานเราจะกินรสจัดใช่ไหมครับ พอเราไปอยู่เกาหลี อาหารเกาหลีรสจะไม่ค่อยจัด เพราะว่าเขาจะกินเผ็ดไม่ค่อยได้ แล้วเราคิดถึงส้มตำบ้านเรามาก
คนบอกว่าเหมือนเกาหลีลิปซิงค์ลูกทุ่ง แบงค์เคยร้องเพลงลูกทุ่งที่มันเป็น cover แล้วทีนี้เขาก็บอกว่า ใช่น้องแบงค์ร้องจริงๆ ไหม เป็น cover หรือเปล่า ผมก็ออกมาตอบคำถามนี้ประมาณ 3-4 รอบ เพราะทุกคนไม่เชื่อกันว่าผมร้องเอง แล้วก็ต้องมาร้องสดให้ฟัง ก็แทบจะเซอร์ไพรส์คนดูอยู่”
ส่วนแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ผลงานในครั้งนี้ นักร้องหนุ่ม ฉายาศิลปินแดนปลาร้าหน้าเกาหลี เล่าว่า มาจากสิ่งที่ตัวเองชอบ ไม่ว่าจะเป็นเพลงลูกทุ่ง และแฟชั่นการแต่งตัว
“แรงบันดาลใจมาจากสิ่งที่แบงค์เป็นคนร้องเพลงลูกทุ่งอยู่แล้ว แล้วผมชอบแต่งตัวเป็นส่วนตัว แล้วทีนี้ผมรู้สึกว่า อย่างน้อยเราชอบแต่งตัวก็เลยลองคิดว่าเอามาแมตช์กันลองดูเผื่อมีอะไรใหม่ๆ ให้รู้สึกตื่นเต้น อันนี้คือความรู้สึกตัวเอง ทำออกมาแค่ง่ายๆ ไม่ได้คิดว่าจะต้องทำยิ่งใหญ่นะ พวกผมถ่ายแค่ในสตูดิโอเล็กๆ ทำกันเองกับเพื่อน
ความจริงผมชอบอีสาน ผมชอบลูกทุ่ง ผมชอบอาหารอีสาน แต่ด้วยความลุคเราขัด แบงค์ก็พยายามขัดลุคตัวเองกลายรอบแล้วนะ ไม่ใช่ว่าเราคลั่งไคล้อะไรขนาดนั้น
แต่ว่าผมพยายามขัดกับลุคเราแล้วหลายรอบเลย คือมันไม่ได้จริง แล้วคนก็ยังมองว่าเกาหลีเหมือนเดิม ผมก็เลยมองว่าถ้าอย่างนั้น ลองดูซิ เจอกัน ลองดูสักตั้งสิว่าจะเหมือนจริงๆ ไหม ก็เป็นอารมณ์ประมาณนั้นไป
แบงค์อยากสร้างสรรค์ผลงานเพลงดีๆ เอ็มวีดีๆ ให้เราได้ชมกัน อันนี้แค่จุดเริ่มต้นนะครับ เดี๋ยวมีมาเซอร์ไพรส์เรื่อยๆ ครับ”
สำหรับผลตอบรับ หากเทียบกับเมื่อก่อนที่ยังไม่มีการเปลี่ยนสีผม เปลี่ยนลุคการแต่งตัว ยอมรับว่าดีจากเมื่อก่อนมาก เรียกได้ว่ากลายเป็นที่สนใจเพียงชั่วข้ามคืนกันเลยทีเดียว
“แตกต่างจากเดิมมากเลยครับ เพราะว่ากระแสตอบรับดีมาก แล้วมาค่อนข้างเร็วมาก เรารู้สึกแบบมันเซอร์ไพรส์มาก ดีใจที่ทุกคนชอบ ผมมองว่าเป็นเรื่องที่ดีนะ เพราะเราตั้งใจทำออกมาให้คนได้ฟังกัน แล้วคนได้เห็น พอทุกคนได้ดูแล้วก็ชื่นชมรู้สึกดีใจ
แต่ที่ตื่นเต้นมากกว่าก็คือ เพื่อนส่งรูปมาให้ดูไปอยู่ในเพจของเฟซบุ๊ก ไอจี แล้วก็ไปอยู่ในกลุ่มจ๊อกจ๊อกด้วย ตกใจมาก พอแบงค์เข้าไปอ่านในคอมเมนต์ก็ดีใจ มีทั้งตกใจทั้งแฮปปี้ บางคนบอกว่ามันเจ๋งดีนะ บางคนบอกว่ามันไม่ได้ป่ะ อะไรแบบนี้ก็มี”
ลูกทุ่งอินดี้ กว่าจะหาจุดพีกตัวเองเจอ
ต้องยอมรับว่า ในปัจจุบันวงการเพลงลูกทุ่งแตกแขนงออกไปมากมายหลายแบบ แต่สำหรับนักร้องลุคโอปป้าคนนี้ เขานิยามตัวเองว่าเป็น “ลูกทุ่งอินดี้” ที่มีความแปลกใหม่อยู่ในตัวตน และไม่ละทิ้งกลิ่นอายความเป็นลูกทุ่งไปอย่างแน่นอน
“ที่จริงผมมองว่าเป็นลูกทุ่งอินดี้นะ เพราะว่าในความเข้าใจของเรา ลูกทุ่งอินดี้มันคือความสร้างสรรค์ ความแปลกใหม่ของแนวเพลง”
กว่าจะดังขึ้นมาได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ตลอดระยะเวลาเกือบ 2 ปี ลองผิดลองถูกด้วยตัวเอง หาจุดเด่นตัวเองด้วยการสร้างสรรค์ผลงานไปเรื่อยๆ แม้บางครั้งจะไม่ได้รับเสียงตอบรับที่ดี แต่ก็ทำต่อไป เพราะความชอบเท่านั้น
ยากครับ ตอนแรกที่ผมเริ่มทำคิดว่าเป็นเรื่องไม่ยาก คิดว่าเป็นเรื่องง่ายๆ แต่พอเราทำ กระบวนการมันมีมากกว่านั้น กระบวนการมันมีหลายอย่าง เราเลยรู้สึกว่าเราโตกับสิ่งที่เราทำมาปีหนึ่ง
เกิดจากการลองผิดลองถูกมากกว่า เพราะว่าเราลองทำมาหลายแบบ พอมาถึงจุดนี้เราก็เริ่มมองออกแล้วว่าจุดที่คนชอบ หรือจุดพีกของเรามันคือตรงไหน”
จุดพีกที่ทำให้หาตัวเองเจอ คือ เสน่ห์รอยยิ้มที่จริงใจ และความเป็นกันเองจึงทำให้มีแฟนคลับชื่นชอบ และมีคนติดตามเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
“ที่จริงผมมองว่าความเป็นตัวเรามากกว่า บางทีเราไปบังคับให้ใครมาชอบเราไม่ได้ เราเป็นตัวของเราดีกว่า ส่วนเสน่ห์น่าจะยิ้มหวานมั้งครับ
ผมเต้นไม่ได้ด้วยซ้ำ เวลาคนเห็นจะชอบถามว่าน้องแบงค์เต้น Cover Dance ได้ไหม ผมบอกว่าเต้นไม่ได้ครับ เต้นได้แต่หมอลำ (หัวเราะ)
เป็นคนสบายๆ ยังไงก็ได้มากกว่า อาจจะเป็นกันเองมั้งก็เลยรู้สึกรัก ตอนนี้ขอบคุณทุกคนที่ให้กำลังใจแบงค์ ขอบคุณแฟนคลับนะครับ ขอบคุณทุกๆ คนที่เข้ามาฟังเพลง ใครที่เป็นกำลังใจให้ก็ขอบคุณมากๆ ในจุดๆ นี้
ตอนนี้รู้สึกดีใจมาก อยากให้ทุกคนเป็นกำลังใจแบบนี้ไปอีกนานๆ ฝากแบงค์ อภิวัตร ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจด้วยนะครับ”
มีคนชมและต้องมีคนไม่ชอบอยู่เป็นเรื่องธรรมดา แต่เขาก็สามารถรับมือได้ เพราะมองว่าไม่ได้ทำให้อะไรเสียหาย อยากเป็นอีกหนึ่งช่องทางให้คนได้เลือกรับฟังเท่านั้นเอง
“เคยมีคอมเมนต์ลบนะ เคยอ่านเจอ แต่มันไม่เยอะมาก มันจะมีประมาณ 2-3 คอมเมนต์ เรามองว่า เราไม่ได้ไปทำอะไรให้เสียหาย ก็เลยไม่ได้เก็บมาใส่ใจ เพราะว่าในความรู้สึกเราจริงๆ ไม่ได้ไปทำให้เสียหาย มันเป็นแค่อีกช่องทางหนึ่ง หรือเป็นอีกแนวหนึ่งที่คุณจะเลือกฟัง
ถ้าไม่ชอบของแบงค์ก็ไปฟังอีกแบบหนึ่งได้ คือ เราไม่ได้ห้าม เรามองว่าเปิดใจมากกว่า มันขึ้นอยู่กับความรู้สึกเราเองด้วยว่าความตั้งใจแรกเราไม่ได้ตั้งใจทำอะไรให้มันเสียหาย
ถ้าสมมติเป็นคอมเมนต์ด้านลบที่เราอ่านแล้วเพิ่มเติมเรา หรือสามารถทำให้เราได้เก่งขึ้น ทำให้เราดีขึ้น พัฒนาตัวเองได้มากขึ้น อันนี้จะเก็บมาแล้วนำเอาไปใช้ แต่ถ้าคอมเมนต์ไหนที่มันลบ ไม่ได้มีผลในชีวิตเรา มันไม่ได้มีประโยชน์ หรือส่งเสริมแนะนำกับเราเลย แบงค์ก็ไม่ให้ค่ามัน ข้ามไปเลยครับ ไม่ใส่ใจครับ”
แน่นอนคำว่า “ลูกทุ่ง” หลายคนอาจจะมองภาพจำแบบเดิมๆ ว่า ลูกทุ่งบ้านนา สาวโรงงาน หรือชีวิตรันทด เขาก็มองว่าภาพจำเมื่อก่อนเอ็มวีลูกทุ่งที่ถูกนำเสนอผ่านสายตาผู้คนก็เป็นเสน่ห์อีกอย่างหนึ่ง แต่ด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนไป จึงอยากให้ชมเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการรับชม
“มองว่ามีเสน่ห์คนละแบบ ซึ่งเสน่ห์แบบนั้นมีเสน่ห์อยู่แล้ว ของแบงค์จะเป็นอีกแนวทางหนึ่งที่แบบว่าในแนวทางที่คนจะเลือกฟัง เลือกดู ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคน ตอนเด็กๆ โตมากับลูกทุ่งจ๋าเลยครับ จำได้ผมโตมากับเพลงพี่ไผ่ พงศธร มนต์แคน แก่นคูณ รุ่นนั้นเลยครับ
ส่วนไอดอลในวงการลูกทุ่ง ผมชอบพี่มนต์แคน ชอบทุกอย่างในตัวเขานะครับ เสียงดีมาก การวางตัว ตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงตอนนี้แกยังเหมือนเดิม ทั้งเสียงทุกอย่าง performance ในตัวเขายังเหมือนเดิม เก่งมากๆ”
เห็นทำเอ็มวีให้อารมณ์เหมือนดูนักร้องเกาหลีขนาดนี้ หลายคนคงอยากรู้ว่ามีแรงบันดาลใจจากที่ไหน หรือมีศิลปินเกาหลีที่เป็นแรงบันดาลใจในสร้างสรรค์คือใครกัน
“เคยไปคอนเสิร์ตที่เกาหลี แล้วเรารู้สึกว่าเราชอบวัฒนธรรม หลายอย่างที่เป็นเกาหลีมากขึ้น เราเปิดใจกับเกาหลีมากขึ้น รู้สึกว่ามันมาจากอินเนอร์ที่เราชอบมากกว่า ซึ่งแบงค์แทบที่จะไม่ได้มีใครเป็นเมนหลักที่แบบว่าชอบเลยเป็นศิลปินเกาหลี แต่ว่าชื่นชอบเขาหลายๆ คน แต่ละคนคือเก่งมาก แต่ละคนคือความสามารถเยอะมาก ทั้งร้อง ทั้งแร็ป และหน้าตาดีมาก”
นอกจากนี้ เขายังเล่าถึงจุดเริ่มต้นในการชื่นชอบความเป็นเกาหลี ซึ่งมาจากการที่ได้ไปขึ้นคอนเสิร์ตที่เกาหลี และยังเคยมีผลงานร้องเพลงกับศิลปินเกาหลีอีกด้วย
“ไปขึ้นคอนเสิร์ตครับ ตอนนั้นแบงค์มีเพลงแรกที่ออกมา เป็นเพลงชื่อว่า “ได๋ว่าฮัก” เพลงนี้ 13 ล้านวิว แต่กระแสไม่แรงเท่าตอนนี้ ก็เลยมองออกว่า กระแสตอนนั้นมันไม่แรงเท่ากับตอนนี้ ตอนนี้แรงมาก
เป็นคอนเสิร์ตของแบงค์เอง ไป 3 วัน เพราะว่าไปร้องแค่ร้านเดียว ก็เป็นจุดเริ่มต้นความชอบเกาหลีมากขึ้น เพราะว่าแต่ก่อนไม่ค่อยเท่าไหร่ สังเกตจากช่วงแรกที่ทำเพลงมาก็อาจจะอินเนอร์ของความเป็นเกาหลีจะยังไม่ได้ เพราะว่าเราอาจจะยังมองไม่เห็นภาพ หรืออินเนอร์ไม่ได้มาจากความรู้สึกจริงๆ
ผมเคยมีเพลงที่ร้องเป็นภาษาเกาหลีด้วยนะ ร้อง featuring กับคนเกาหลีแท้ๆ ซึ่งเป็นคนเกาหลีที่อยู่ในไทย ชื่อเพลงว่ากระจกบานเก่า แต่บางคนอาจจะไม่รู้จัก เป็นเพลงในวันพ่อครับ นักร้องคนนั้นชื่อจียอนครับ”
แพ้ตลอด แต่พร้อมสู้เสมอ
แม้จะชอบร้องเพลงมาตั้งแต่เด็ก แต่ไม่ว่าจะไปประกวดเวทีไหนก็แพ้ตลอด จนทำให้ท้อมากรู้สึกว่าไม่เก่งพอ จึงเก็บความฝันนั้นเก็บไว้ที่เดิม ด้วยการเลือกเส้นทางการเป็นนักแสดง นายแบบ
จนมาถึงวันนี้ เขาได้หยิบความฝันนั้นขึ้นมาอีกครั้ง ด้วยการพลิกโฉมวงการลูกทุ่งให้มีสีสันมากขึ้น จนทำให้เรียกได้ว่าดังชั่วข้ามคืนกันเลยทีเดียว
แพ้มาตลอด แต่ก็ไม่เคยล้มละเลิกจากความฝันในการเป็นนักร้อง เพียงแต่เก็บไว้ เมื่อมีโอกาสจึงนำเอาความสามารถนี้ออกมาใช้อีกครั้ง
“เคยประกวดร้องเพลงแข่งขันทักษะทางวิชาการ แพ้ครับ ไม่เคยชนะคือแพ้มาตลอด เราเลยรู้สึกว่ามันอาจจะไม่ใช่ข้อเด่นสำหรับเรา เราก็เลยลองเปลี่ยนมาแคสต์ทางละคร ซีรีส์ ทางโฆษณา
ไม่ขนาดเป็นนักร้องเดินสายประกวด ไม่ขนาดนั้นครับ เพราะว่าเราเคยแข่งแล้วมันไม่เคยชนะสักที แพ้ตลอดเลย มีเคยชนะครึ่งหนึ่งก็แข่งแค่ในโรงเรียนตัวเอง มีผู้เข้าประกวดแค่ 3 คน ก็เลยได้ที่หนึ่ง
ตอนแข่งไม่ชนะมันท้อมากเลยครับ แล้วเรารู้สึกว่าบางทีเราอาจจะยังไม่เก่งพอมั้ง เราอาจจะไม่ได้มีความสามารถพอ มันไม่เชิงขนาดว่าจะไม่เอาแล้ว แต่เราแค่มองว่า เราอาจจะยังไม่เก่งพอ เราอาจจะยังไม่มีความสามารถมากพอ เรามองแบบนั้นมากกว่า”
เมื่อมีช่วงท้อในชีวิต จึงทำให้ตัดสินใจเลือกหยิบความชื่นชอบร้องเพลงมาตั้งแต่เด็ก มาสานต่อความฝันอีกครั้งให้สำเร็จอย่างที่ใจฝัน
“จุดเริ่มต้นที่จริงอยากเป็นนักร้องมาตั้งแต่เด็กแล้วนะครับ แต่ในตอนนั้นคือมาควบคู่กับการเป็นดาราด้วย ก็คือ ตอนนั้นแบงค์จะเดินสายไปทางดารา แคสงาน เป็นนายแบบด้วย
จุดเปลี่ยนก็คือ มันท้อ ผมไปแคสต์มาหมด ไปทำทุกอย่าง ซึ่งมันมีได้บ้างไม่ได้บ้าง มันก็ถึงจุดที่จะเรียนจบแล้วท้อ อย่างน้อยก็ร้องเพลงเป็น เคยร้องเพลง ลองทำดูสักตั้ง ลองเปลี่ยนมาเป็นนักร้อง ลองเปลี่ยนแนวมาร้องเพลงว่ามันจะเป็นยังไงบ้าง เราก็เลยลองเปลี่ยนแนว
ก็คือมีเพื่อนหลายกลุ่มมาก เพื่อนดารา เพื่อนนายแบบ เพื่อนนักร้อง คือ มีหลายกลุ่มมาก มันก็เลยมีความหลากหลายในตัวเรา”
นักร้องบางคนอาจจะเริ่มต้นจากการ cover เพลงคนอื่นมาก่อน แต่สำหรับนักร้องหนุ่มเลือดอีสานคนนี้ เขาลงทุน ลงแรงครั้งแรกด้วยการซื้อลิขสิทธิ์เพลงเป็นของตัวเอง เพื่อที่จะออกซิงเกิลด้วยการเป็นนักร้องเต็มตัว
“ทำเองทุกอย่างครับ ซื้อลิขสิทธิ์เพลงเป็นของเรา คือ เราจัดการเองหมดทุกอย่าง โปรดักชันหรือทีมตัดต่อก็เพื่อนกัน ด้วยความอยากที่จะทำ เพราะว่าเรามองว่าถ้าจะทำก็คือทำเลย ไม่ทำก็คือไม่ทำอย่างนั้นเลย
ปีนี้ปีที่ 2 แล้วครับ ครั้งแรกคือทำซิงเกิลของตัวเองเลยครับ เปลี่ยนจากการเป็นนายแบบ มาเป็นนักร้องเลย เราไม่รู้ว่าจุดเริ่มต้นเราต้องทำยังไงดี บางทีก็มีค่ายเพลงมาจีบ แต่เราไม่รู้ว่าต้องเริ่มต้นยังไง เดี๋ยวลองทำเองก่อน
ก็เลยทำซิงเกิลออกมาเลย แต่ก็เซอร์ไพรส์ตรงที่ว่า ทำมารอบนั้นเพลงแรกในชีวิต13 ล้านวิวในตอนนี้ ก็เซอร์ไพรส์ ตกใจอยู่เหมือนกัน ก็เลยทำให้มีแรงบันดาลใจในการทำเพลงต่อไป”
แม้จะเป็นนักร้องอิสระที่ลองผิด ลองถูก และยังทุนลงแรงในการทำเพลงด้วยตัวเอง จนทำให้มีกระแสชื่นชมถึงผลงานมาได้ในทุกวันนี้ สิ่งสำคัญที่มองว่าสามารถเข้าถึงผู้ชมหรือแฟนคลับได้ง่ายคือ เรื่องของโซเชียลที่รวดเร็วสามารถเข้าถึงได้ง่ายมากกว่าเมื่อก่อน จึงสามารถนำเสนอผลงานได้หลายช่องทาง
“ยุคนี้โซเชียลมันมีอิทธิพลมากครับสำหรับคนดูคนฟัง ทุกคนมีโซเชียลอยู่ในมือ เราสามารถเข้าถึงได้ง่ายมากขึ้น มันก็เลยเป็นจุดดีสำหรับตรงนี้
แต่แบงค์มองว่าเราทำเองเรารู้ว่ามันยากมากขนาดไหน ก็เลยมองว่าในส่วนของค่ายเพลงเขาต้องทำอะไรหลายอย่างมากขนาดไหน กว่าจะเป็นค่ายเพลงได้ เพราะเราทำเองเรารู้เลยว่า จุดดีแบบไหน มันดีแบบนี้ แต่ว่ามันมีข้อเสียแบบนี้
ตอนนี้เริ่มเปิดใจกับค่ายมากขึ้น เพราะว่าเราเคยทำเองแล้วมันมีหลายส่วน มันเหนื่อยมากครับ เราไม่สามารถทำคนเดียวได้จริงๆ”
“ฝันให้ไกลแล้วไปให้ถึง”
“ฝันให้ไกลแล้วไปให้ถึง อันนี้คือเป็นคติประจำใจเลย แล้วก็จะมีแนวคิดสำหรับตัวเอง เพื่อข้ามกับเวลาเราเครียด เวลาเราเจอปัญหา เจออุปสรรคเดี๋ยวมันก็ผ่านไป เราทำจุดนี้ให้มันดีที่สุด
ถ้าอะไรเราทำไม่ได้ หรือแก้ไม่ได้จริงๆ เราจะต้องตั้งสติก่อน พยายามนิ่งๆ ไว้ เราจะมองว่าเดี๋ยวมันก็จะผ่านไป แต่เราต้องมีสติกับมันแค่นั้น”
เจ้าของฉายาศิลปินแดนปลาร้าหน้าเกาหลีผู้นี้ เขาเล่าถึงความพยายามกับเส้นทางที่มีอุปสรรคขวากหนามมากมาย ที่ต้องมีสติในการดำเนินชีวิตอยู่ตลอดเวลา
“สำหรับแบงค์ใช้ความพยายามมากนะ มันต้องมาจากความตั้งใจเราจริงๆ เพราะว่าบางอย่างมันไม่ได้ปูพรมแดง ไม่ได้สวยหรู ทุกอย่างมันมีอุปสรรคหมด ทุกอย่างมันมาจากลุกแล้วก็ล้ม มันก็มีอุปสรรคเยอะมาก ขึ้นอยู่กับว่าใจเราจะแข็งแค่ไหน
บางทีก็มองว่ามันยากนะ แต่ถามว่าเราจะสื่อแบบไหน เราจะทำตัวแบบไหนแค่นั้น มันขึ้นอยู่กับตัวเราเอง มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับคนอื่น แบงค์มองว่ามันขึ้นอยู่กับตัวที่เราทำมากกว่า ไม่ได้ขึ้นอยู่กับคนที่มาหาเรา
มีจุดที่ใจออกครับ ผมทำมาปีหนึ่งใช่ไหม ผมเริ่มไม่อยากทำแล้ว ผมเหนื่อย เพราะว่าช่วงหลังๆ คือ เพลงไม่มีคนฟังเลย ก่อนที่จะเริ่มมาทำใหม่มีคนฟังเพลงแค่สามหมื่น ผมก็เลยรู้สึกท้อ
มันเกิดจากการที่เราท้อมากกว่า มันอาจจะไม่ใช่แนวทางของเรา แบงค์มองอย่างนั้นไป ด้วยความที่ว่าทางบ้านก็เริ่มกดดัน เพราะว่าแบงค์เรียนจบปริญญาพอดี ก็เริ่มกดดันต้องให้แบงค์ไปสอบบรรจุ มันก็เลยทำให้เรารู้สึกว่าท้อหนัก เราก็เลยคิดว่าจะต้องทำต่อไหม หรือจะต้องไปสอบเป็นครูต่อ”
แม้จะต้องเจอทางเลือก หรือแรงกดดันจากทางบ้าน แต่สิ่งที่เลือกให้ทำต่อไป คือ คำชักชวนจากรุ่นพี่ จึงมองว่าเป็นโอกาสดีสุดท้าย จึงเลือกตัดสินใจลองทำดูอีกสักครั้ง
“ตอนนั้นมีพี่ทีมงานชวนให้แบงค์มาทำช่องยูทูป ก็เลยมองว่าเป็นโอกาสดีสุดท้ายแล้วที่เราจะลองอีกสักครั้ง ก็เลยรู้สึกว่าลองอีกสักตั้งหนึ่งไม่เสียหายหรอก เพราะว่ายังไงเราก็ได้คุยกับพ่อไว้แล้วว่าอีกสัก 2-3 ปี เดี๋ยวแบงค์ไปสอบบรรจุเป็นครูให้ ก็เลยลองอีกตั้ง”
เรียกได้ว่าผ่านมาแล้วหลายอาชีพแล้วเหมือนกัน และหลายอาชีพที่ผ่านมาสอนอะไรหลายอย่างในชีวิตได้เป็นอย่างดี และเขายังมองว่าแม้ชีวิตจะยากอยู่บ้าง แต่การทำตัวเองให้มีความสุขในทุกๆ วัน จะทำให้ข้ามผ่านอุสรรคไม่ว่าจะหนักหนาแค่ไหนก็ตาม
“นายแบบ นักร้อง เป็นครูฝึกสอน ยูทูปเบอร์ ทำรายการด้วย มันสอนอะไรเราเยอะมากนะครับ มันสอนว่า ในชีวิตหนึ่งของคนเรา มันมีอะไรมากมายกว่านั้น มันมีความยากในชีวิต มันมีอุปสรรค ทั้งมีความสุข ทั้งความทุกข์ในตลอดเวลา ดังนั้น เราจะจัดการในความรู้สึกตัวเองยังไง เราจะก้าวข้ามมันไปได้ยังไง
มันขึ้นอยู่กับว่าเราจะให้ความสุขกับตัวเอง ณ ตอนนั้นได้ยังไง แบงค์มองว่า การทำให้ตัวเองมีความสุขในทุกๆ วันแบบนี้ จะทำให้เรามีความสุข จะทำให้เราก้าวข้ามอุปสรรคต่างๆ ไปได้”
หาเงินส่งตัวเองเรียนไถนา-ทำนาทำมาหมด
เบื้องหน้าเป็นนักร้องที่มีคนชื่นชอบ และชื่นชม ส่วนเบื้องหลังอีกมุมหนึ่งของชีวิต ต้องดิ้นรน ลุยทำงานหาเงินส่งตัวเองเรียน
“เรียนด้วย ตอนกลางวันเสาร์-อาทิตย์ แบงค์รับงานอีเวนต์เดินแบบถ่ายแบบ ตอนกลางคืนร้องเพลงร้านอาหาร แล้วตอนกลางวันจันทร์-ศุกร์ แบงค์ก็ไปเรียน ช่วงนั้นค่อนข้างหนัก แต่ว่ามันก็ต้องทำ
ตารางเรียนของมหาวิทยาลัยมันมีอยู่แล้วครับ ในวันเสาร์-อาทิตย์ ส่วนมากมันก็เป็นวันหยุดอยู่แล้ว ส่วนมากจะรับอีเวนต์เสาร์-อาทิตย์ ครับ ตอนเย็นร้านอาหารจะเปิดค่ำหน่อย เราจะไปร้องเพลงประมาณสามทุ่มถึงสี่ทุ่ม”
นักร้องหนุ่มแดนอีสาน ลุคโอปป้า เขายังเล่าถึงชีวิตในวัยเด็กให้ฟังว่า ตอนเด็กๆ ช่วยพ่อแม่ทำงานมาหมดแทบทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็น ไถนา ทำนา
เขายังเล่าอีกว่า พ่อกับแม่ทำให้เห็นมากว่าสอนให้ทำ จึงทำให้รับรู้ถึงความเหนื่อยยากด้วยตัวเองว่าเงินแต่ละบาทมันหายากมากแค่ไหน
“ลุยเลย เป็นอีสานเลยแหละ ถ้าผมเล่ามาทุกคนอาจจะไม่เชื่อว่าผมเคยไถนา ทำนา ผมทำมาหมดแล้ว เพราะพ่อกับแม่จะสอนให้ลูกทำเป็นหมดทุกอย่าง เพื่อที่จะให้ผมรู้ว่า การที่เป็นชาวนามันเหนื่อยมาก
กว่าที่เราจะได้ข้าวมาแต่ละเม็ด มันยากลำบากขนาดไหน ผมรู้จริงๆ นะ รู้ด้วยตัวของผมเองด้วย ไม่ใช่พ่อกับแม่มาสอน เพราะว่าพ่อกับแม่ให้ทำเองเลย แล้วก็รู้ว่ามันร้อนมาก เหนื่อยมาก รู้เองเลย แล้วเราแบบไม่ได้แล้ว ต้องขยัน ต้องสู้เท่านั้น
แต่ก่อนที่แม่จะเสีย แบงค์อยู่กับแม่ตลอด ไม่ค่อยได้สนิทกับพ่อเลยครับ สนิทกับแม่ตลอด ก็อยู่กับแม่ แม่อาจจะตามใจด้วย คือเราคุยกับแม่ตลอด พอแม่เสียไปแบงค์ก็เลยต้องคุยกับพ่อ
แล้วทีนี้เราเริ่มเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น เราเริ่มมองว่าทุกอย่างมันไม่ยั่งยืน สิ่งที่เราทำได้ตอนนี้คือ ทำให้เขามีความสุขมากที่สุด ซึ่งแบงค์อาจมองข้ามตอนที่แม่ยังอยู่ไปครับ”
จุดนั้นที่เห็นพ่อกับแม่ลำบาก จึงอยากแบ่งเบาภาระของครอบครัวบ้าง และด้วยความที่คุณแม่เสียไปตั้งแต่เด็ก จึงทำให้ตัดสินใจทำงานด้วยตัวเอง รับงานทุกอย่างแทบจะไม่ได้มีเวลาพัก เพียงเพราะสงสารพ่อที่ต้องหาเงินส่งให้เรียนเพียงตัวคนเดียว
“เราก็เลยต้องขยันมากขึ้น บางทีเราต้องทำหลายอย่างพร้อมกัน อย่างตอนที่แบงค์เรียนก็มีทั้งงานอีเวนต์ แล้วก็ทั้งร้องเพลง เพราะเราต้องนำเงินจุดนี้มาใช้จ่ายในการเรียนรู้
แบงค์หาเงินเรียนเอง และก็มีค่าเทอมที่พ่อช่วย 5 เทอมในช่วงแรก ในช่วงที่เรากำลังหาเงิน เก็บเงิน หลังจากนั้นแบงค์จัดการเองหมดทุกอย่าง”
ทำงานเก็บเงิน ดิ้นรนด้วยตัวเองทุกอย่าง เงินก้อนแรกที่ได้ตั้งใจซื้อโทรศัพท์ให้คุณพ่อ เพราะเห็นว่าเครื่องเก่าใกล้พัง
“ได้เงินก้อนแรกแบงค์ซื้อโทรศัพท์ให้พ่อ เพราะว่าแกอยากได้โทรศัพท์ใหม่ แล้วแกไม่ได้ขอนะ แกเล่าให้ฟัง ก็เลยรู้แล้วแบบนี้ ไม่ได้ขอแต่เล่าให้ฟัง โอเคเดี๋ยวแบงค์ซื้อเครื่องใหม่ให้ แต่ไม่ได้บอกว่าจะซื้อให้นะครับ ไปเซอร์ไพรส์”
เรียกว่ามีผลงานนอกจากการเป็นนักร้องมาแล้วมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเคยเข้าร่วมรายการทีวีต่างๆ มาแล้วมากมาย ไม่ว่าจะเป็นรายการ Take me out Thailand ตลอดจนถึงรายการประกวดหาความสามารถด้านการร้องเพลงอย่าง ไมค์ทองคำ หมอลำฝังเพชร 2 มาแล้ว
รวมไปถึงเขายังรับงานเป็นนายแบบตลอดจนเข้าร่วมประกวดหนุ่มหล่อในเวทีต่างๆ มาแล้วมากมาย และนอกจากนั้น เขายังเป็น Youtuber อีกด้วย โดยเขามีช่องชื่อว่า “BANKSOJU CHANNEL” ที่อัปเดตไลฟ์สไตล์ชีวิตและผลงานเพลงต่างๆ ของเขาด้วยนั่นเอง
“ชื่อช่อง “แบงค์ อภิวัตร official” อีกช่องหนึ่งก็เป็นช่อง “BANKSOJU” ก็เอาไว้ลงเพลงทั้งสองช่องเลยครับ มีคลิปกินด้วย ก็อยากให้มีกระแสเรื่อยๆ มันเป็นเหมือนกระแสต่อเนื่อง มันเหมือนกับว่าเราอยากสร้างตัวตนของตัวเราให้แฟนคลับได้ดู ได้เห็นมากขึ้น”
“ข้าราชการ” กับเส้นทางความฝันที่พ่ออยากให้เป็น
“เรียนจบครูมา เรียนจบครุศาสตร์ แต่แบงค์ก็มีข้อตกลงกับพ่อว่า ขอเวลาทำตามความฝันก่อน 2 ปี เดี๋ยวจะกลับไปสอบบรรจุให้ คุณพ่ออยากให้รับราชการ
ถามว่าสนับสนุนไหม (นักร้อง) ก็ไม่เชิงนะครับ แต่คุณพ่อคุณแม่ให้เราเป็นคนตัดสินใจเอง ให้เป็นคนดำเนินชีวิตเองว่าแบงค์เลือกที่จะอยากจะทำอะไร”
อีกหนึ่งบทบาทที่จะได้เห็นนอกจากการเป็นนักร้อง นั่นก็คือการเป็น “ครูแบงค์” เนื่องจากเขาเรียนจบสาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี
ด้วยความที่อยากให้ลูกชายเป็นข้าราชการ จึงส่งเสริมเต็มที่ แม้การเป็นนักร้องจะไม่ค่อยเห็นด้วย แต่ก็ไม่ได้กีดกันความฝันของลูก เชื่อว่าในอนาคตอันใกล้เหล่าแฟนคลับคงได้เห็นทั้งในบทบาทการเป็นนักร้อง และเป็นคุณครูสอนเด็กๆ อย่างแน่นอน
“แบงค์เคยฝึกสอนมาปีนึง ตอนเริ่มทำเพลงแรกๆ ทุกคนที่ติดตามมาตั้งแต่แรกๆ ก็จะเรียกว่าครูแบงค์ เริ่มต้นจากตรงนั้นก็จะเรียกครูแบงค์ตลอด บางคนยังไม่รู้นะว่าแบงค์เรียนครูมา
คือแบงค์อยากเป็นครูอยู่แล้ว แต่ด้วยความว่าคุณพ่อเสริม อยากให้เป็นข้าราชการ ที่จริงคุณพ่ออยากให้เป็นตำรวจนะครับ แต่แบงค์มองว่า อยากให้เป็นข้าราชการ แต่ในข้าราชการมีอะไรบ้างที่เราพอจะทำได้ ที่เราพอไปต่อได้ แบงค์เลยมองว่า ถ้างั้นแบงค์จะไปสอบครูให้นะ แกก็โอเค
แม่แบงค์เสียตั้งแต่อยู่ ม.4 ตอนนี้อยู่กับคุณพ่อ ส่วนคุณพ่ออยากให้เป็นข้าราชการ แบงค์ก็ไปเรียนครูมา จนเรียนจบปีที่แล้ว ก็เลยมีข้อตกลงกันได้ แกก็ดีใจด้วยครับ ตอนนี้แกรู้สึกแฮปปี้กับเรามากขึ้น”
หากอาชีพนักร้องไปได้สวย พ่อก็ยินดีด้วยเสมอ เพียงแต่ด้วยมุมมองความเป็นพ่อที่ห่วงลูกชาย อยากให้มีอาชีพที่ยั่งยืนเลี้ยงดูตัวเองต่อไปในอนาคต
“ถ้านักร้องปัง พ่อไม่ได้ซีเรียสเลยว่าแบงค์ต้องยังไง แต่พ่ออยากให้แบงค์ประสบผลสำเร็จสักอย่างหนึ่ง ถ้ามองว่าในการร้องเพลง ถ้ามันไปไม่รอดจริงๆ พ่ออยากให้มีอีกอย่างหนึ่งที่พอทำอาชีพต่อไปได้ ถ้าแบงค์ประสบผลสำเร็จในการเป็นน้องร้องพ่อก็จะยินดีด้วยครับ
แกเป็นห่วงในตัวเรามากกว่า แบงค์มองว่าเขาอาจจะมองเรื่องนี้บ้างแหละ ไม่งั้นแกคงไม่อยากให้ไปสอบบรรจุ ที่จริงพยายามอธิบาย หรือพยายามทำให้เห็น บางทีอธิบายมันก็ไม่เห็นภาพ สิ่งที่พยามทำให้พ่อได้เห็นในตอนนี้คือ พยายามทำให้พ่อได้เห็นในรูปแบบของรูปธรรมว่ามันสามารถไปต่อ”
ยังมองว่าการร้องเพลงคือความสุขของชีวิต แม้จะไปเป็นข้าราชการครูตามที่ตนเองตั้งใจ และเป็นสิ่งที่คุณพ่อใฝ่ฝันอยากให้ทำไม่ได้ทิ้งไป หากไปต่อได้ทั้งสองอาชีพ ก็อยากทำควบคู่กันไป
“ในอนาคตเราไม่ได้มองไกลถึงขนาดนั้น แต่เรามองว่า ในสองสามปีข้างหน้าเราจะทำอะไรบ้าง คือ แบงค์ได้คุยกับพ่อไว้ว่าสองปี เพราะฉะนั้นมันก็เหลืออีกปีสองปีเท่านั้นเองที่เราจะมีเวลาในส่วนตรงนี้ แบงค์มองว่าจะทำตรงนี้ ในส่วนโควตาที่ขอพ่อไว้ให้มันดีที่สุดเท่าที่เราจะทำได้
ถ้าไปต่อได้ก็คือไปต่อ แต่ถ้าไปต่อไม่ได้จริงๆ แบงค์ก็ต้องกลับมาทบทวนตัวเองว่าเราจะมาสอบเป็นข้าราชการให้พ่อ
ไม่ทิ้งการเป็นนักร้องครับ เพราะว่ามันอยู่ในตัวเราอยู่แล้ว บางทีการเป็นนักร้องมันไม่จำเป็นจะต้องอยู่ในในแวดวงของนักร้องเสมอไป คือ สมมติว่างานโรงเรียน มันจำเป็นจะต้องร้องเพลงหนึ่งเพลง ผมก็ร้องเพลงให้นักเรียนฟังแค่นี้ก็พอแล้วครับ”
ต้าวลำยองของแบงค์โซจูยอน “แบงค์ดีใจมากนะ เอาจริง คือเราไม่รู้ คือมันเซอร์ไพรส์ทุกอย่าง เรื่องมันเกิดขึ้นวันนั้นแบงค์ไลฟ์สดใน TikTok เราก็ไม่รู้นะว่าด้อมมันคืออะไร ก็พยายามถามแฟนคลับแต่ละคนว่า พี่ครับด้อมมันคืออะไรครับ เขาก็พยายามอธิบายให้ฟังว่า ด้อมก็คือชื่อกลุ่มของแฟนคลับนะ ถ้าอย่างนั้นชื่อด้อมเราจะชื่ออะไรดี คือ ในช่องTikTok แบงค์ชื่อว่า banksoju ที่เป็นเหล้าของเกาหลี ทุกคนก็ออกความคิดเห็นมาว่าชื่ออะไรดี มีหลายชื่อมาก บางคนก็มีเสนอว่าเหล้าโทบ้าง เหล้าขาวบ้าง (หัวเราะ) แต่ยังไม่โดน ทีนี้มันมีชื่อหนึ่งมาว่า ด้อมยาดอง แล้วทุกคนสปาร์คกับชื่อนี้ ก็ถามว่าจริงเหรอ มันได้เหรอครับ แบงค์ก็เลยถามว่า ถ้าใครอยากได้ชื่อไหนให้โหวตมา ทุกคนก็พิมพ์ด้อมยาดอง มาหมดเลย เรารู้สึกดีใจนะ ตื้นตันมาก รู้สึกแฮปปี้มาก ซึ่งแบงค์เพิ่งรู้ว่าด้อม เขาเรียกใช้ในกลุ่มแฟนคลับของศิลปินเกาหลี เราเป็นนักร้องลูกทุ่ง แล้วมีชื่อด้อมด้วย แล้วชื่อด้อมแบบได้ใจเราด้วย เป็นชื่อด้อมที่ชื่อลูกทุ่ง ได้ใจมาก ดีใจมากครับ น่ารักดี ส่วนคำว่า ต้าวลำยอง เขาตั้งของเขาเองนะ อันนี้แบงค์ไม่รู้ว่าต้องมีชื่อเรียกแฟนคลับด้วยเหรอครับ พี่เขาก็เลยแนะนำว่า ถ้านั้นเรียกพี่ต้าวลำยองแล้วกันนะ ต้าวลำยองของแบงค์โซจูยอน ก็น่ารักดี ผมก็ยิ้มไป ทั้งดีใจแล้วก็ขำไปด้วย ขำชื่อด้วย แต่ละคนครีเอทเยอะมาก กระแสเยอะมากครับ วันนั้นก็คือสร้างกลุ่มแฟนคลับไลน์แอด นาทีนั้นคนเข้ามาในไลน์ร้อยกว่าคน ผมก็ตกใจมาก เราไม่เคยมีแบบนี้ ก็ดีใจแหละ ดีใจ” |
สัมภาษณ์ : ทีมข่าว MGR Live
เรื่อง : พัชรินทร์ ชัยสิงห์
ภาพ : พลภัทร วรรณดี
ขอบคุณภาพ : อินสตาแกรม @b_bankkunk
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **