“มากกว่าเงินมันคือประสบการณ์” เจาะใจ “กิ๊ก-ภิญญาภัสส์” สาวไทยผู้ได้ร่วมงานกับ Carnival Cruise Line บริษัทเรือสำราญที่ใหญ่ที่สุดในโลก ยอมรับงานหนักแต่คุ้มค่า รับทรัพย์เฉียดแสนต่อเดือน แถมได้เที่ยวฟรีกว่า 30 ประเทศ!
เงินดี แลกกับไม่มีหยุด!
“ครั้งแรกที่เห็นเรือก็คิดว่าเรามาไกลขนาดนี้เลยเหรอ เรือลำใหญ่มากๆ เราไปถึงเรือประมาณเที่ยง ดูยูนิฟอร์ม ที่พักอะไรต่างๆ พอ 5 โมงเย็นเริ่มทำงาน หลังจากนั้นอีก 8 เดือนเราไม่มีวันหยุดเลย ทุกคนต้องทำงานวันละ 10 ชั่วโมงต่อวัน มันไม่ได้สวยหรูอย่างที่เราคิด กิ๊กเป็นคนที่ไม่กลัวงานหนัก ถามว่าเหนื่อยมั้ย ตอนแรกๆ มันมีช่วงเวลาปรับตัว แต่เราเตรียมตัวเตรียมใจไปอยู่แล้ว เราทำงาน เราได้เงิน เราตั้งใจจะใช้เวลาที่มีเท่ากัน เก็บเงินกลับบ้านให้ได้มากที่สุดค่ะ”
หญิงสาวเจ้าของรอยยิ้มสดใส ผู้นั่งอยู่เบื้องหน้าทีมข่าว MGR Live คือ “กิ๊ก-ภิญญาภัสส์ เลิศฤทธิหิรัญวัต” จากคนที่ไม่เชี่ยวชาญในภาษาอังกฤษ แต่เธอก็ไม่เคยท้อ พยายามพัฒนาตนเองและก้าวข้ามทุกอุปสรรค จนนำไปสู่โอกาสในการร่วมงานกับ Carnival Cruise Line บริษัทเรือสำราญที่ใหญ่ที่สุดในโลก มากว่า 2 ปีแล้ว
บทสัมภาษณ์นี้ นอกจากจะเป็นการเจาะลึกเรื่องราวชีวิตของสาวไทยวัย 31 ปีผู้นี้แล้ว กิ๊กยังช่วยสะท้อนประสบการณ์ของการทำงานบนเรือสำราญขนาดยักษ์ ที่ล่องผ่านหลายประเทศ จนอาจกล่าวได้ว่าเป็นหนึ่งในอาชีพในฝันของใครหลายๆ คน ทุกแง่มุมอย่างหมดเปลือก!
“กิ๊กเป็นพนักงานเสิร์ฟ เริ่มต้นเราไปแบบไม่ทราบอะไรเลย ตั้งใจไว้ว่ามาที่นี่ไม่ว่าจะได้รับหน้าที่อะไรต้องทำให้ดีที่สุด เราเริ่มต้นเสิร์ฟลูกเรือด้วยกัน ซึ่งมันค่อนข้างหนักมากจริงๆ เพราะว่าลูกเรือทุกคนเหนื่อย ทุกคนกินเยอะ เราต้องเติมอาหาร เราไม่ได้ไปเจอลูกค้าเลย
ในเดือนแรก กิ๊กได้รับคัดเลือกให้เป็น Nominee Employee of the Month ซึ่งทุกเดือนจะเลือกคนที่ดีเด่นแต่ละแผนกขึ้นมารางวัล ภูมิใจมากเลยที่เราได้รับโอกาสจากผู้ใหญ่ที่มองเห็นว่าเราทำได้ดีนะ พอหลังจากที่ทำ เราก็เริ่มพัฒนาตัวเอง ด้วยความที่เป็นคนไทย เราก็จะค่อนข้างมีความนอบน้อม มี service mind กิ๊กมีใจรักการบริการอยู่แล้วด้วย แต่พอเราผ่านจุดนั้นมาได้ ก็เริ่มขึ้นไปทำงานกับลูกค้า
ล่าสุดกิ๊กดูแล 2 ส่วน ในส่วนของลูกค้า กิ๊กจะเป็นพนักงานเสิร์ฟเป็นส่วนของ Chef Table จะเป็นห้องอาหารที่เป็นคอร์สที่แพงที่สุดบนเรือ จะมีเชฟใหญ่ของเรือปรุงอาหาร เราจะเป็นคนนำเสนออาหาร นำเสนอไวน์ เราจะเป็นคนดูแลลูกค้าในส่วนของเครื่องดื่มกับเสิร์ฟอาหารนั้นๆ ในส่วนของลูกเรือกิ๊กก็เป็นทีมที่ดูแลกัปตันและทีมของเจ้าหน้าที่ระดับสูงของเรือค่ะ”
แน่นอนว่าสิ่งที่หลายคนอยากรู้ คือ เรื่องของรายได้ สำหรับตำแหน่งพนักงานเสิร์ฟนั้น เริ่มต้นที่ 900 เหรียญสหรัฐต่อเดือน และจะได้เพิ่มมากขึ้นหากได้ไปทำงานตามห้องอาหารต่างๆ ซึ่งมีโอกาสได้เงินเดือนมากถึงหลักแสนบาท!
รายได้ขึ้นไปตอนแรกเราไปดูแลลูกเรือด้วยกัน กิ๊กได้ 900 เหรียญ เทียบกับไทยประมาณ 30,000 บาทต่อเดือน มันก็เป็นบททดสอบว่าเราจะผ่านมันไปได้มั้ย จริงๆ ก็มีหลายคนที่ผ่านตรงนั้นไปไม่ได้ ขอกลับบ้าน เราต้องอยู่ดูแลลูกเรือด้วยกัน โดยเฉลี่ยแล้ว 3-4 เดือน แล้วเราก็จะได้ขึ้นไปดูแลลูกค้า เมื่อไหร่ที่เราขึ้นไปดูแลลูกค้า เราก็จะได้ทิป พอขึ้นไปได้ทิป เงินเดือนเราก็เพิ่มขึ้น ล่าสุดที่กิ๊กได้ตีเป็นเงินไทยได้เงินเดือนประมาณ 70,000-80,000 บาท
ถ้าทำมาก็ได้มาก พอเรามีประสบการณ์มากขึ้น เราขอโอกาสจากเจ้านาย แยกไปตามห้องอาหารแตกต่างกัน เช่น ห้องอาหารซูชิ Steak House แต่ Steak House จะเป็นห้องอาหารที่ค่อนข้างรายได้มากที่สุด ซึ่งก่อนมีโควิด กิ๊กก็มาถึงตรงนี้ได้แล้ว สัมภาษณ์ผ่านแล้ว ถ้าไม่มีโควิดเราก็ไปอยู่ตรงนั้น รวมๆ ก็น่าจะเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณแสนนึงค่ะ
ส่วนค่าครองชีพเราไม่เสียอะไรเลย เพราะว่าห้องพัก อาหารหรือว่าอะไรเราไม่เสียเงิน เราเก็บเงินได้เต็มๆ แต่สิ่งล่อตาล่อใจเยอะมากๆ สำหรับกิ๊กตั้งใจเก็บเงินกลับบ้าน งานหนัก เราทำงานทุกวัน แบกของหนัก ร่างกายเราเหนื่อยอยู่แล้ว ถึงมันจะได้เงินมามากแต่เราก็ไม่คิดว่าเราจะอยู่ตรงนั้นนานๆ ยังไงเราก็อยากหาความมั่นคง กิ๊กเลยไม่ได้ใช้เงินสิ้นเปลือง มีบ้างชอปปิ้ง แต่หลักๆ ตั้งใจเซฟเงินกลับบ้าน กิ๊กทำมา 2 ปี ก็หลายแสนค่ะ”
16 เดือนเปิดโลกกว้างกว่า 30 ประเทศ
สำหรับการทำงานบนเรือสำราญในบริษัทแห่งนี้นั้น ใน 1 รอบสัญญาจะกินเวลาราว 8 เดือน ซึ่งกิ๊กมีโอกาสได้ร่วมงานมาแล้ว 2 รอบสัญญา ก่อนจะต้องหยุดไปก่อนเนื่องด้วยสถานการณ์โควิด-19 ที่กระทบไปทั่วโลก และระหว่างนี้เธอได้กลับมาช่วยธุรกิจร้านสังฆภัณฑ์ของที่บ้านไปพลางๆ
สาวไทยรายนี้ได้เล่าย้อนถึงประสบการณ์ที่เก็บเกี่ยวมาจากโรงแรมลอยน้ำขนาดยักษ์ จะเป็นอย่างไรติดตามได้จากบรรทัดต่อจากนี้…
“บริษัทมีเรือทั้งหมด 26 ลำ แต่ตอนนี้มี 27 ลำแล้ว ไซส์เล็กสุดของเรือสามารถรองรับผู้โดยสารได้ 2,500 คน ถ้าใหญ่สุดก็ประมาณ 5,000 กว่าคน เนื่องด้วยเรือของเราเป็น Fun Ship ทั้งเรือจะมีแต่ความสนุกสนานค่ะ มีสระว่ายน้ำ มีดนตรีเล่นตลอดเวลา เราทำงานกันตลอด 24 ชั่วโมง แต่ว่าจะแบ่งเป็นกะ เพราะฉะนั้นเราไม่เคยเห็นเรือเราหยุดนิ่งเลย ไฟจะถูกเปิดตลอด จะมีดนตรี มีการแสดง ไม่เคยหลับใหลตลอด 24 ชั่วโมง
เรือทั้งหมด Home port เริ่มต้นจากอเมริกา แต่รูทในการเดินเรือจะแล้วแต่ลำว่าจะไปที่ไหน ยกตัวอย่างเรือแต่ละลำจะมีทริป 3 วัน ทริป 1 อาทิตย์ คนอาจจะมองภาพว่ามันต้องข้ามไปไกลแน่เลย แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่เลยค่ะ อยู่บนเรือนานที่สุด 2 วัน เพราะเราจะเที่ยวไปตามเกาะ
สมมติออกจากอเมริกา เราจะมีจุดหมายปลายทางอยู่แล้ว เดี๋ยวเราจะไปที่ Half Moon Cay เดี๋ยวเราจะไปที่ Nassau เดี๋ยวเราจะไปที่ San Juan มันไม่ได้อยู่ทะเลตลอดเวลา Sea day ไม่เกิน 2 วันค่ะ หลายๆ คนอาจจะยังไม่ทราบ ถ้ากิ๊กบอกใครว่าทำงานเรือ หลายคนก็จะคิดว่าอยู่ในเรือตลอดเลยเหรอ แต่จริงๆ ไม่ใช่ค่ะ เราลงแลนด์เกือบทุกวัน และบนเรือ มีสวัสดิการ มีประกันชีวิตให้ ในเรือก็จะมีโรงพยาบาลย่อมๆ เราเจ็บป่วยอะไร สามารถรักษาได้”
ในส่วนของลูกค้าที่ต้องดูแล เป็นโชคดีของกิ๊กที่ได้เจอแต่ลูกค้าที่น่ารักและให้ความเอ็นดูแก่เธอ โดยเฉพาะลูกค้าสูงอายุ จนไม่ต่างอะไรจากญาติผู้ใหญ่ แต่ถึงอย่างนั้นก็เคยเจอกับเหตุการณ์ชวนตกใจ นั่นก็คือลูกค้าที่ได้ดูแล เสียชีวิตบนเรือ!
“ประสบการณ์บนเรือจะมีเยอะมากๆ มีการเล่นกันระหว่างแขกและพนักงาน จะเฮฮาเหมือนเพื่อนเลยค่ะ แต่สำหรับกิ๊กเองด้วยกิ๊กคิดว่าวัฒนธรรมของต่างชาติ คนที่มีอายุก็จะยังเที่ยวอยู่ ซึ่งเราก็ culture shock มาก อย่างบางคนลูกค้าสามีภรรยา เข็นรถเข็นมาด้วยถังออกซิเจนมาเที่ยวกัน
แล้วมันจะมีช่วงหนึ่ง ลูกค้าเป็นคุณยายค่อนข้างมีอายุมาขอความช่วยเหลือ ‘เดี๋ยวฉันต้องการจะไปที่กาสิโน ช่วยเข็นรถไปส่งหน่อยได้ไหม’ เราก็ไปส่งลูกค้า แล้วอีกวันนึงใกล้จะกลับมา Home port แล้ว ก็ได้ข่าวจากโอเปอเรเตอร์ว่าคุณยายป่วยไปห้องพยาบาล แล้วก็เสียชีวิตบนเรือ จริงๆ แล้วบนเรือจะมีห้องดับจิต เพราะ Cruise หนึ่งจะมีคนเสียชีวิตแบบที่เราไม่คาดคิด อย่างเช่น กินอาหารอยู่แล้วติดคอ เราก็มีโรงพยาบาลย่อมๆ อยู่บนเรือค่ะ
แต่สำหรับลูกค้ากิ๊ก โชคดีมากที่เจอแต่ลูกค้าเอ็นดู เจอลูกค้าขอคอนแทรกต์ หมายถึงว่าเรายังมีเฟซบุ๊กกัน มีไอจีกัน กิ๊กเคยได้ทิปจากลูกค้าคนเดียวเขาให้ 200 ดอลลาร์ แอบใส่ให้แล้วบอกว่าอย่าบอกใครนะ บางคนก็จะขอว่ามาดูแลฉันนะ กิ๊กไม่เคยเจอแขกวีน ค่อนข้างโชคดีตรงนี้”
ส่วนการทำงานร่วมกับลูกเรือชาติอื่นนับพันชีวิต กว่า 100 ประเทศ และอีกหลากหลายเชื้อชาติ ก็เป็นอีกเรื่องราวดีๆ โดยมี “ภาษา” เป็นสิ่งที่เชื่อมทุกคนเข้าด้วยกัน
“บนเรือจะมีลูกเรือประมาณ 800-1,000 คน มีคนไทยประมาณ 15-20 คนค่ะ นอกนั้นก็จะเป็นต่างชาติหมดเลย มีลูกเรือรวมกันเป็นร้อยประเทศเลย บางครั้งถามว่ายูมาจากประเทศอะไร ซึ่งพูดชื่อมา มีประเทศนี้บนโลกด้วยเหรอ อย่าง Saint Lucia หรือว่าตามเกาะที่เราไม่รู้ ก็เป็นความน่ารักอย่างหนึ่งบนเรือด้วย
ตอนแรกกิ๊กมองว่าเป็นเรื่องยาก เพราะว่าเราไม่เคยออกนอกประเทศเลย ถึงเราเคยทำงานโรงแรม แต่ต่างชาติที่เราเจอส่วนมากเจอกับญี่ปุ่น ซึ่งก็ไม่ได้พูดภาษาอังกฤษเป๊ะๆ อยู่แล้ว แต่เราไปที่นู่น หลากหลายเชื้อชาติ สำเนียงไม่เหมือนกัน เราต้องจับสำเนียง เพื่อนมาจากประเทศนี้ เจ้านายหรือลูกค้าก็ตาม ซึ่งก็ใช้เวลาปรับตัวอยู่เหมือนกัน
แต่กิ๊กโชคดีที่กิ๊กเป็นคนที่ค่อนข้างจะเรียนรู้ แล้วก็ไม่ได้คิดว่าไม่ไหวแล้ว หรือว่ายากจังเลย เพราะกว่าเราจะไปถึงตรงนั้นได้มันไม่ง่ายเหมือนกัน และกิ๊กก็ตั้งใจมากๆ เราเลยพยายามมองให้มันเป็นเรื่องที่สนุก เป็นเรื่องที่เราอยากจะเรียนรู้ไปกับมัน เราทำงานกับเพื่อนหลากหลายเชื้อชาติมากจริงๆ มันก็จะทำให้เราได้รู้ภาษา เช่น คำว่า “ที่รัก” เราจะรู้หลายภาษามาก ทำยังไงให้เราอยู่บนเรือ 8 เดือนแล้วเราไม่เครียด เราแฮปปี้ไปกับมัน
และเราเป็นชนชาติเอเชีย กิ๊กติดตามข่าวเหมือนกัน แต่สำหรับตัวกิ๊กเอง ที่ผ่านมากิ๊กไม่เคยโดนเหยียดเลย กิ๊กคิดว่าน่าจะอยู่ที่เราทำยังไง คนที่โดนเหยียดก็มีนะคะ แต่บนเรือบริษัทที่กิ๊กทำงานค่อนข้างจะน้อย เพราะลูกค้าที่ขึ้นมาเป็นกลุ่มลูกค้าที่ต้องการความเฮฮาสนุกสนาน และเราเลือกที่จะมีระยะกับเขา บางครั้งแขกจะดื่ม เราจะปกป้องตัวเอง เพราะถ้าเกิดปัญหาอะไรขึ้นมา ป้องกันให้มันไม่เกิดดีกว่า แต่สำหรับลูกเรือด้วยกันเองไม่มีค่ะ”
และเนื่องจากการทำงานสามารถยืดหยุ่นได้ อีกสิ่งที่ทำให้เธอตื่นตาตื่นใจและชื่นชอบเป็นอย่างมาก คือ การได้ใช้เวลาในช่วงพัก ออกไปท่องเที่ยวยังสถานที่ต่างๆ เมื่อเรือเทียบท่า เธอยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า หากไม่ได้มาทำงานเป็นพนักงานบนเรือสำราญแล้ว ชีวิตนี้คงไม่มีโอกาสได้มาสถานที่เหล่านี้แน่นอน
“กิ๊กจะตื่นเต้นกับทุกสถานที่ จะเป็นคนที่ถึงแม้ Port นี้จะออกแล้ว กิ๊กก็จะออกไปอีก เพราะเราไม่รู้ว่าเราจะได้กลับมาที่นี่อีกรึเปล่า เพราะฉะนั้นเวลาว่างของกิ๊ก เพื่อนก็จะแซวว่า ยูออกตลอดเลยนะ ยูไม่เคยเหนื่อยเลยเหรอ แต่กิ๊กคิดว่ามันคือการพักผ่อนของเรา การได้ออกไปเห็นในสิ่งที่เราไม่เคยเห็น เป็นสิ่งที่กิ๊กรู้สึกว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีมากๆ
ปกติแล้วประเทศมันจะไม่ใช่ใหญ่ๆ เป็นเกาะเล็กๆ ที่นั่นก็เป็น 1 ประเทศ 2 ปีของกิ๊กที่ทำมารวม Special Cruise ด้วยก็เกือบ 30 ประเทศแล้วค่ะ จริงๆ การทำงานเรือยืดหยุ่นนะคะ อย่างเช่น Cruise พิเศษ จะมีไป Puerto Rico ไป Nassau ไป Half Moon Cay จะมี Special Cruise คือไป เบอร์มิวดา (Bermuda) เราอยากลงเราขอเบรกช่วงเวลานี้ เขาก็จะสลับกันให้เบรก โอเคยูมาครั้งแรก ยูไม่เคยเห็น ยูไปเลย เราก็ได้ไป ถ้าแขกลงและเรามีเบรก เราลงได้เลยค่ะ
ที่ที่กิ๊กประทับใจที่สุดคือ เบอร์มิวดาค่ะ เป็นเกาะเล็กๆ ที่ไม่ได้มีอะไรฉูดฉาด แต่ว่ามันรู้สึกว่าที่นี่คือเบอร์มิวดานะ มันคือสิ่งที่ถ้าเราไม่ได้ทำงานเป็นลูกเรือ เราไม่มีทางได้มาแน่ ที่นี่เป็นที่ที่กิ๊กประทับใจมาก แต่ที่ชอบไป กิ๊กชอบ Porto Rico ที่ San Juan ถนน บ้านเมืองก็ยังเป็นเก่าๆ จะมีความเป็น Spanish มากๆ ผู้คนก็จะเฟรนด์ลี พูดภาษา Spanish แต่ที่ที่ยังอยากไปถ้าไม่ติดโควิด รีเควสต์ไว้ว่าอยากไป Alaska ค่ะ”
โดนหลอกตั้งแต่ยังไม่ได้ขึ้นเรือ บทเรียนนี้ราคาครึ่งแสน!
แม้ในตอนนี้หลายคนอาจจะมองภาพว่ากิ๊ก เป็นอีกคนหนึ่งที่ประสบความสำเร็จในสายงานที่ตนเองรัก แต่เมื่อมองย้อนกลับไปถึงจุดเริ่มต้น ต้องบอกว่าไม่ใช่เรื่องง่าย เธอยอมรับว่าตนเองเป็นคนที่ไม่มีพื้นฐานทางภาษามาก่อน แต่ด้วยการมองเห็นความสำคัญของศาสตร์นี้ในอนาคต ประกอบกับครอบครัวให้การสนับสนุน จึงเลือกที่จะลองสู้ดูสักตั้ง
“กิ๊กเป็นเด็กต่างจังหวัด แน่นอนว่าความสามารถด้านภาษาจะน้อยกว่าเด็กในเมืองอยู่แล้ว แต่ครอบครัวกิ๊กให้ความสำคัญกับเรื่องภาษาและค่อนข้างผลักดัน เราไม่ได้มีความฝันอะไรเป็นพิเศษ ก็เลยคิดว่าภาษามันสำคัญนะ กิ๊กก็เลยเลือกที่จะมาเรียนคณะเกี่ยวกับภาษาอังกฤษ พอเรียนไป เราก็ไม่ได้คิดว่าเราเก่ง แต่ว่าอาจารย์ หรือสภาพแวดล้อมทำให้เรากลมกลืนจนเราเริ่มคุ้นชินกับมัน เริ่มกล้าคุยกับอาจารย์ต่างชาติ กล้าที่จะพูดออกไปมากกว่าเดิม
หลังจากที่เรียนจบ จริงๆ ไม่ได้มีความตั้งใจว่าอยากเป็นอะไร แค่คิดว่าเราต้องทำงาน งานแรกของกิ๊กเป็นเลขาฯ ของผู้บริหาร แต่เราคิดว่ามันไม่ใช่ตัวเรา ก็เลยลองเปลี่ยนงาน กิ๊กเปลี่ยนงานบ่อยมาก แทบจะปีละงานเลยด้วยซ้ำ จนไปจบที่งานโรงแรม เป็น Reception เรารู้สึกว่าเรารักงานบริการ เราแฮปปี้เวลาที่ได้คุยกับแขก เราได้มีการแก้ปัญหาให้
เรารู้สึกว่าเหมือนเราก็ทำงานโรงแรมไปเรื่อยๆ ได้รับเงินเดือนไปแต่ละเดือน แต่ครอบครัวกิ๊ก พี่ชาย น้องชายจะประสบความสำเร็จของตัวเอง เรารู้สึกว่าเราต้องผลักดันตัวเองให้มากกว่านั้น จนมีจุดเปลี่ยนก็คือ คุณแม่เห็นว่ามีงานเรือสำราญ กิ๊กก็เลยคิดว่าเราต้องลองไป”
หลังจากที่ตัดสินใจเลือกเดินในเส้นทางนี้แล้ว กิ๊กเลือกที่จะเตรียมความพร้อมกับสถาบันแห่งหนึ่ง ที่โฆษณาไว้ว่าจะเมื่อจบหลักสูตรแล้วจะได้ขึ้นทำงานบนเรือจริง แต่สุดท้ายกลับไม่เป็นไปอย่างที่คิด เพราะพบความผิดผกติมากมาย และไม่มีอะไรมาการันตีเลยได้ว่าสามารถไปทำงานบนเรือสำราญได้จริงหรือไม่
สรุปแล้ว… บทเรียนครั้งนี้ มีราคาถึง 60,000 บาท!
“กิ๊กมีเงินเก็บก้อนหนึ่ง 60,000 บาท เอาไปสมัครเรียน สถาบันแห่งนี้เคลมว่าเรียนแล้วจะสามารถพาไปขึ้นเรือได้ มีคอนแทรกต์กับกรมแรงงาน กับเอเยนซีที่ผ่านทางบริษัทโดยตรง เราเป็นรุ่นแรกที่ไปเรียน พอเริ่มเรียนไปเรารู้สึกว่าพบความผิดปกติ ห้องเรียนไม่พร้อม อุปกรณ์ไม่พร้อม หนังสือไม่มี หลายคนก็กู้เงินมาเรียนเพราะหวังว่าจะได้ขึ้นไปบนเรือ
พอช่วงหลังจะต้องฝึกงาน เพราะต้องใช้ประสบการณ์ในการทำงาน เขาบอกฝึกงานที่พัทยา จะได้เงินเดือน 12,000 นะ สรุปเขาส่งพวกเราไปพังงา ไปแล้วเงินเดือนก็ไม่ได้ บางคนก็ได้ 3,000 บาทต่อเดือน กิ๊กคิดว่ามันไม่ใช่แล้ว เราก็เริ่มเช็ก กรมแรงงานมีคอนแทรกต์กับทางนี้มั้ย
เราต้องฝึกงานที่นั่นอีกประมาณ 2 วีกจะจบและจะได้ใบ certificate แต่เรารู้แล้วว่ามันไม่มีจริง แล้วทางตัวแทนของบริษัท Carnival กำลังจะมาสัมภาษณ์พอดี กิ๊กเลยตัดสินใจไม่เอาใบ certificate จากที่นี่แล้ว กิ๊กกลับกรุงเทพฯ ภายในวีกนั้นเลย”
หลังตัดสินใจทิ้งทุกอย่างจากสถาบันแห่งนี้ เธอก็กลับมานับหนึ่งใหม่อีกครั้ง จนในที่สุดก็สามารถสอบสัมภาษณ์ตั้งแต่ครั้งแรกที่ยื่นสมัครไป
“แต่กิ๊กก็ยังไม่หยุดความพยายาม ผ่านไปแล้วก็ช่างมัน เราก็มานับหนึ่งใหม่ เพราะในการสัมภาษณ์หรือการยื่นเอกสาร ประสบการณ์ต่อตำแหน่งนั้นๆ สำคัญ กิ๊กก็ติดต่อเอเยนซีโดยตรงเองและมาฝึกงานที่กรุงเทพฯ ไปเป็นพนักงานเสิร์ฟจริง แล้วเราก็เอามาเสนอเขาว่าเราไปเสิร์ฟมาที่นั่นที่นี่ มีใบ certificate แล้ว ก็ต้องบอกเขาตามความจริง เนื่องจากโรงแรมที่เลือกค่อนข้างมีชื่อเสียง และตอนช่วงเราทำงานเราก็ตั้งใจ หัวหน้างานก็เลยเขียนฟีดแบ็กค่อนข้างดีค่ะ
บนเรือสำราญมันจะมีหลายตำแหน่งมาก อย่างตำแหน่งของกิ๊กทำเป็นพนักงานเสิร์ฟ เชฟใหญ่ของเรือก็จะเป็นคนบินมาสัมภาษณ์ตัวต่อตัวเองที่ไทย หลักๆ ก็จะดูจากประสบการณ์ ดูภาษา และกิ๊กเป็นคนที่รักงานบริการ เรามีความ entertain กิ๊กก็บอกข้อดีไปว่าเราร้องเพลงได้นะ ซึ่งบริษัท Carnival คอนเซ็ปต์ของเขาเป็น Fun Ship สนุกสนานเฮฮา
รอบของกิ๊กจำได้ว่ามีคนสัมภาษณ์ประมาณ 120-130 คน แต่ผ่าน 20 กว่าคน ซึ่งกิ๊กก็ผ่านในครั้งแรก หลังจากผ่านการสัมภาษณ์แล้ว เอเยนซีก็จะจัดการให้เอง ก็จะมีเรียน safety เพื่อนำไปยื่นกับทางนู้น ว่าเราว่ายน้ำได้ ผ่านการทดสอบความปลอดภัยหรือการช่วยเหลือตัวเอง กฎต่างๆ ของเรือที่ Sea man ต้องรู้ ไปเรียนโรงเรียนการเดินเรือที่ชลบุรี
กิ๊กมุ่งมั่นมากๆ ทำเต็มที่ไม่ยอมแพ้ กิ๊กคิดว่าทางบ้านเขาก็ดีใจกับเรานะ แล้วก็เป็นอีกความภูมิใจหนึ่งค่ะ (ยิ้ม) ส่วนคนที่เรียนสถาบันนั้นในรุ่น 30 กว่าคน มีกิ๊กคนเดียวที่ได้ขึ้นเรือ เหตุการณ์นั้นก็ได้บทเรียนมาว่าเราควรจะต้องเช็กให้ดีก่อน แต่ว่ามิตรภาพที่ได้รับมาจากตรงนั้นก็เป็นเรื่องดีๆ ถือว่าเป็นความโชคดีในความโชคร้ายก็ได้ค่ะ”
มากกว่างานคือกำไรชีวิต
เมื่อบทเรียนชีวิตพลิกมาสู่หน้าใหม่ ความท้าทายก็มากขึ้นตามมา หลังจากที่เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเล ที่นับได้ว่าเป็นการเดินทางด้วยเครื่องบินครั้งแรกในชีวิต มายังดินแดนแทบไม่มีใครรู้จักเธอ การเรียนรู้โลกกว้างก็ได้เริ่มขึ้นนับจากนี้
“กิ๊กขึ้นเครื่องบินครั้งแรกในชีวิตค่ะ มีเพื่อนไปด้วยแต่เพื่อนทั้ง 2 คนค่อนข้างจะเชี่ยวชาญ เพราะเคยไป Work & Travel มาแล้ว แต่เราก็จะแบบ อะไรๆๆๆ ต้องมีผ่านหลายที่ บินหลายต่อกว่าจะไปถึงอเมริกา ก็ตื่นเต้น กว่าจะไปถึงตรงนั้นได้ก็นานมาก 10 กว่าชั่วโมง เรือลำแรกที่กิ๊กไป ไปลงที่ South Carolina แล้วแต่เรือที่เราจะไปลงด้วยค่ะ
การทำเรือมันจะเป็น contract ต่อ contract สมมติว่าเซ็นสัญญา contract นี้ แล้วก็กลับบ้าน แล้วก็กลับมาใหม่ ซึ่งบางคนไม่กลับมาก็มี ซึ่งพอได้มาทำจริงๆ ก็มีทั้งเหมือนและทั้งต่างกับที่คิดไว้นะคะ ก่อนที่เราจะไปเรารู้จากคนที่ไปมาแล้ว จากรุ่นพี่ กิ๊กจะพยายามหาข้อมูลก่อน มันเป็นยังไงบ้าง รุ่นพี่ก็จะบอกมันเหนื่อยนะ หนักนะ กิ๊กก็เตรียมใจไประดับนึงว่ามันเหนื่อย
พอกิ๊กไปทำจริงๆ มันก็ล้าแหละค่ะแรกๆ แต่พอหลังๆ มันเป็นสิ่งที่เราต้องทำ เราก็ต้องอยู่กับมันให้ได้ เหนื่อยเราก็นอนพัก หรือการออกไปเที่ยวข้างนอก นั่นคือการพักผ่อนของเรา เหมือนได้ชาร์จตัวเอง กลับมาก็ทำงาน สำหรับกิ๊กมันไม่ได้เป็นเรื่องยากอะไร จากที่เราคิดว่าเราจะต้องอยู่เรือนานๆ แน่เลย เหมือนที่คิดตอนแรก กลับกลายเป็นว่าแฮปปี้จังเลยได้ออก Port อีกแล้ว ไม่เคยเห็นที่นี่เลย เดี๋ยวเราออกไปดูตรงนู้นดีกว่า อะไรแบบนี้ค่ะ”
เมื่อถามว่า งานพนักงานเสิร์ฟ ที่ต้องมีการแบกถาดอาหารติดต่อกันหลายชั่วโมงในทุกๆ วัน ส่งผลเสียต่อสุขภาพบ้างหรือไม่ เธอก็ให้คำตอบว่า ส่วนตัวไม่พบปัญหาอะไร เพราะตนเองได้ปฏิบัติตามที่ทางบริษัทได้มีการสอนท่าในการถืออย่างครบถ้วน
“มันอยู่ที่วิธีการทำงานของเราด้วย ในส่วนของตำแหน่งกิ๊ก เราจะมีการแบกถาดเป็นหลัก ในการแบกถาดจะมีการสอนเลยว่า ยูต้องแบกแบบนี้นะ สุขภาพยูถึงจะไม่แย่ มันอยู่ที่วิธีการของเราด้วย อยู่ที่เราคิดว่าเราไหวมั้ย ไหวแค่ไหน ไม่ไหวแค่ไหน ดื้อรึเปล่า ทำตามที่เขาบอกมั้ย ส่งตัวกิ๊กเองกิ๊กไม่เคยมีปัญหาเลย กิ๊กไม่เคยป่วย มีบ้างมั้ยที่เหนื่อยหรือปวดหลัง มีบ้างเป็นธรรมดาค่ะ แต่เราก็จัดการกับมันได้ ไม่ถึงกับสาหัสอะไร
คนที่อยู่มานานที่สุดที่กิ๊กเคยเจอ เป็นพนักงานเสิร์ฟอายุ 50 ก็ยังมีอยู่ เพราะจริงๆ แล้ว อย่างห้องอาหารหลักของเรือก็จะมี 3 ตำแหน่ง Head Waiter และผู้ช่วย 2 ตำแหน่ง ส่วนมาก Head จะเป็นคนรับรายการอาหาร ซึ่งคนมีอายุก็สามารถทำได้ เพราะไม่ต้องไปแบกอะไร ผู้ช่วยมีหน้าที่แบกอาหารมาตามออเดอร์ เราจะแบ่งหน้าที่กัน”
แต่ขณะเดียวกัน ด้วยรอบสัญญาที่กินเวลากว่าเกือบปี ได้กลายเป็นสิ่งที่ทำให้กระทบกับความความสัมพันธ์ในครอบครัว แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีอินเทอร์เน็ตที่เชื่อมโลกทั้งใบเข้าด้วยกัน ทำให้เธอไม่รู้สึกโดดเดี่ยวที่ต้องจากบ้านมา
“เงินเดือนที่หมดไปส่วนมากของลูกเรือจะเป็นค่าอินเทอร์เน็ต เพราะเราต้องซื้อแต่ละวัน อย่างฟิลิปปินส์ เขาจะทำงานบนเรือเป็นหลักเลย เขาก็จะติดต่อกับทางบ้านเขา เขาจำเป็นต้องมาหาเงิน ต้องยอมแลก ยอมเสียสละกับความสัมพันธ์เหล่านี้มาแลกเงิน แต่สำหรับกิ๊กก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร โทร.คุยกับที่บ้าน ก็เป็นกำลังใจหลักของเรา แต่เราก็รู้ว่าเราทำอะไรอยู่ เราทำเพื่อเขา ต่างคนต่างทำหน้าที่ เราก็พยายามไม่ทำให้เขาเป็นห่วงเรามาก
ช่วงเวลาที่เราเหนื่อยที่เราท้อ กิ๊กจะเป็นคนที่ค่อนข้างจะ enjoy กับสิ่งรอบข้าง เรามา 8 เดือนแต่มีวันกลับแน่นอน เพราะฉะนั้นช่วงเวลาที่อยู่ เราอยู่ยังไงให้แฮปปี้ เราเหนื่อยเราหาวิธีกำจัดความเครียดออกไป ไปนั่งคุยกับเพื่อนชาตินู้นชาตินี้ แลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน สอนภาษาต่างๆ ให้กัน สำหรับกิ๊กมันก็เป็นวิธีที่ทำให้เวลาผ่านไปเร็ว
กิ๊กคิดว่ากิ๊กโชคดีตรงที่กิ๊กเป็นคนมองโลกในแง่ดี ก็เลยไม่คิดว่ามันเหนื่อยจังเลย มันหนักจังเลย กิ๊กรู้แค่ว่าต้องอยู่กับมัน เราไม่มีวันหยุด เราต้องทำให้ดี เพราะว่าสิ่งที่เราต้องการมันคือตำแหน่งที่สูงขึ้น เงินที่มากขึ้น กิ๊กเลยไม่ได้มานั่งโฟกัสว่าวันนี้เหนื่อยจังเลย ทำไมไม่ได้กลับบ้านซะที ทำงานเกินเวลา วันหยุดก็ไม่มี สำหรับกิ๊กไม่ได้คิดแบบนั้น”
แพลนชีวิตเปลี่ยนเพราะโควิด!
อย่างที่ทุกคนทราบกันดี ด้วยสถานการณ์โควิด-19 ที่เกิดขึ้น จนสร้างแรงกระเพื่อมกระทบไปทุกด้าน หลายอาชีพที่เกี่ยวกับการเดินทางข้ามประเทศเป็นอันต้องหยุดชะงัก เช่นเดียวกับพนักงานบนเรือสำราญอย่างกิ๊ก เธอก็เป็นอีกหนึ่งคนที่เผชิญกับปัญหานี้ และไม่รู้เลยว่าในอนาคตจะได้กลับไปอีกเมื่อไหร่
“ตอนนั้นกิ๊กกำลังจะกลับบ้านแล้ว กิ๊กขอกลับบ้านช่วงสงกรานต์ แต่พอมามีโควิดเกิดขึ้นปุ๊บ ทางสหรัฐอเมริกา ประกาศให้หยุดเรือทั้งหมด แล้วคนที่เพิ่งบินไปถึงก็ได้เงิน 2 เดือนฟรีๆ หลังจากเราส่งแขกชุดสุดท้ายลงเรือแล้ว ก็จะเหลือแต่ลูกเรือทั้งหมด ก็จะมีรวมชาติของลูกเรือทุกเชื้อชาติ เราจะบินกลับบ้านแต่สนามบินปิด อเมริกาปิด ไทยปิด ทำยังไงดี บริษัทต้องล่องเรือมาส่ง ก็จะแยกเรือเป็นอเมริกาใต้ อินเดีย ยุโรป เอเชียเราก็จะเป็นลาว ฟิลิปปินส์ พม่า เกาหลี
พวกเราก็ต้องกักตัวเหมือนกัน จากอยู่เคบินละ 2 คน ก็ต้องย้ายไปเป็นเคบินละ 1 คน มี Social Distancing อาหารที่เราเคยตักเองก็จะมีคนตักให้ เราถูกแบ่งเวลากินข้าว ทุกคนต้องล้างมือ มีคนยืนคุม ถึงแม้จะไม่มีคนขึ้นมาใหม่บนเรือทุกอย่างเปลี่ยนไปหมด จนกักตัวมาแล้วระยะนึง ทางเรือก็มีการผ่อนคลายมากขึ้น อนุญาตให้เล่นกีฬาได้ อนุญาตให้ออกไปสูดอากาศได้ ช่วงนั้นลูกเรือก็ต้องดูแลกันเอง ผลัดเปลี่ยนหน้าที่ ระหว่างนั้นคนทำงานก็ได้เงินเดือนค่ะ
หลังจากที่ตัดสินใจกลับก็มีแพลนว่าจะแวะเติมเสบียงที่นี่ แวะเติมน้ำมันที่นี่ กัปตันก็จะบอกว่าเราจะเดินทางประมาณนี้ และถึงบ้านช่วงเวลานี้ แต่พอเกิดขึ้นจริงมันไม่เป็นตามนั้นเลยค่ะ แพลนถูกเลื่อนออกไปทุกๆ จุด ทุกอย่างเปลี่ยนไปวันต่อวัน ลูกเรือทั้งหมดก็จะเริ่มเกิดความเครียด”
เมื่อเดินทางโดยเครื่องบินไม่ได้ เธอและลูกเรือนานาชาติต้องเดินทางด้วยเรือแทน รวมระยะเวลาตั้งแต่วันที่เริ่มหยุดการทำงานจนมาถึงบ้าน ก็ใช้เวลาไปถึง 4 เดือน
“พอมาถึงที่ฟิลิปปินส์ ทางการฟิลิปปินส์ยังไม่อนุญาตให้ลูกเรือขึ้นไปบนฝั่งเพื่อที่จะบินกลับประเทศ ตอนนั้นก็ค่อนข้างลำบากมาก เจอพายุที่มหาสมุทรอินเดีย ก็ต้องใช้ความอดทนและต้องให้กำลังใจกัน ถ้านับจากวันที่เราเริ่มเดินทางผ่านแต่ละที่จนมาถึงไทย กักตัวจนได้เดินเข้าบ้าน ก็เกือบ 4 เดือนเลยค่ะ
ตอนนี้เราก็ยังมีสภาพเป็นพนักงานบริษัทของ Carnival อยู่นะคะเขาไม่ได้ทอดทิ้งเรา บริษัทอัปเดตทุกสัปดาห์ ยังบอกว่าสถานการณ์ที่อเมริกาเป็นยังไงบ้าง มีอีเมลให้ประชุม ให้เราถามคำถามได้ ต้องเตรียมตัวยังไง มันจะดีขึ้นนะ ตอนนี้ทางเรือหยุดทั้งหมดแล้วค่ะ แต่เรือก็ยังต้องลอยลำอยู่ ยังต้องมีเจ้าหน้าที่อยู่บนเรือ จริงๆ จะมีลูกเรือถูกเรียกกลับไปตลอด เพราะเรือทั้งหมด 27 ลำของเราจะไม่ว่างเลย เราอาจจะถูกเรียกไปเดือนหน้าก็ได้ ต้องเตรียมพร้อมตลอดเวลา
ครั้งแรกที่ขึ้นเรือ กิ๊กตั้งใจจะทำ 5 ปีค่ะ ด้วยแพลนเรา เราไม่ได้คิดว่าจะทำเรือไปตลอด เราอยากเก็บเงินก้อนไปทำธุรกิจ แต่ว่าตอนนี้พอมามีโควิด กิ๊กก็ยังยืดหยุ่นค่ะ แต่แน่นอนว่ากลับไปทุกสิ่งทุกอย่างมันต้องไม่เหมือนเดิมแน่ๆ ให้มันเป็นเรื่องของอนาคตค่ะ ถ้าสมมติว่าเรากลับไปบนเรือได้ กิ๊กกลับแน่นอน เพราะยังมีหลายที่ที่กิ๊กยังอยากจะไป อย่างที่บอก กิ๊กอยากไป Alaska ถ้าไม่มีโควิด กิ๊กอาจจะไปอยู่ Alaska ตอนนี้”
เมื่อบทสนทนาดำเนินมาถึงช่วงสุดท้าย สาวไทยผู้มีโอกาสได้ร่วมงานกับบริษัทเรือสำราญที่ใหญ่ที่สุดในโลก ได้ฝากถึงผู้ที่สนใจอาชีพนี้ ว่าเป็นอีกตัวเลือกที่ดี แม้จะก็ต้องจากบ้านมาเป็นเวลานานและไม่มีวันหยุด แต่ก็เป็นการทำงานที่ได้ท่องเที่ยวไปยังสถานที่ต่างๆ มากมาย และได้มิตรภาพจากการทำงานร่วมกับผู้คนหลากหลายเชื้อชาติ หลากหลายวัฒนธรรมอีกด้วย
“สำหรับคนที่สนใจอาชีพนี้นะคะ กิ๊กคิดว่ามันเป็นอีกทางเลือกหนึ่งเลยสำหรับคนที่อยากจะเก็บเงิน เพราะรายได้ค่อนข้างมาก แล้วเราก็ไม่ต้องเสียไปกับค่าใช้จ่ายต่างๆ และเราได้ไปเห็นอะไรที่ไม่เคยเห็น ได้ไปเที่ยวในที่ที่ไม่คิดว่าเราจะได้ไป แต่ข้อเสียแน่นอนมันก็มี สมมติคุณได้เงินมาเยอะแล้วคุณไม่เก็บ คุณก็ไม่เหลือ ทำงานหนัก 8 เดือน ไม่มีวันหยุดเลย คุณมีความอดทนมากแค่ไหน
มองย้อนกลับไปกิ๊กคิดว่ามันไม่ง่ายค่ะ แต่ก็ไม่ได้คิดว่ามันยาก กิ๊กคิดว่าอาชีพนี้มันมีเสน่ห์ จากตอนแรกที่เราคิดว่าเรามุ่งที่รายได้เป็นหลัก แต่ตอนนี้กิ๊กกลับมองว่ามันเปิดมุมมองใหม่ให้กับเรา การที่เราได้ทำงานกับชาวต่างชาติ เจ้านายเป็นชาวต่างชาติ มันค่อนข้างจะมีกฎระเบียบ แต่ก็มีความยืดหยุ่น
เราได้เรียนรู้ภาษาต่างๆ เราได้ออกไปเที่ยวต่างที่ต่างๆ มันกลับกลายเป็นว่า มากกว่าเงินมันคือประสบการณ์ที่ถ้าเราไม่ได้ทำงานนี้ เราคงไม่ได้รับประสบการณ์เหล่านี้แน่ๆ ถ้าคุณแฮปปี้ที่จะอยู่ได้ 8 เดือนกับรายได้เท่านี้ กับสิ่งที่คุณไปเจอ นั่นแหละค่ะกิ๊กคิดว่าน่าสนใจ คุ้มค่าที่จะไปลองดู”
สัมภาษณ์: ทีมข่าว MGR Live
เรื่อง: กีรติ เอี่ยมโสภณ
คลิป: อิสสริยา อาชวานันทกุล
ภาพเคลื่อนไหว: พัชรินทร์ ชัยสิงห์
ภาพ: ธัชกร กิจไชยภณ
ขอบคุณภาพ: เฟซบุ๊ก “ภิญญาภัสส์ เลิศฤทธิหิรัญวัติ” และอินสตาแกรม @phinyyy888
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **