“ถ้าให้ย้อนกลับไปก็เลือกเก็บเขาไว้เหมือนเดิม” เปิดใจ “แม่กัญ” หญิงแกร่งแม่เลี้ยงเดี่ยว ขายข้าวไข่เจียว หารายได้เลี้ยงดูลูกพิการ ท้อ-ป่วยซึมเศร้า คิดฆ่าตัวตาย กำลังใจมีชีวิตคือรอยยิ้มของลูก!!
ไม่น้อยใจในโชคชะตา!! ขายข้าวไข่เจียว สู้ชีวิต
“ส่วนหนึ่งมันเป็นสิ่งที่เราเลือก เราตั้งใจแล้วว่าเราต้องดูแลเขาให้ดี มันเป็นสิ่งที่หนูเอาด้านลบ มาทำเป็นด้านบวก เพราะตอนเด็กๆ แม่หนูไม่เคยดูแลหนู แม่ไม่รัก แม่ไม่สนใจ ข้าวแม่ไม่เคยป้อนเลย กอดครั้งสุดท้ายเหรอ…จำไม่ได้
แต่หนูเป็นคนที่รักเขามาก หนูให้ทุกอย่างกับแม่เหมือนกัน ตอนที่แม่ยังไม่เสีย แม่อยากได้อะไรให้หมด เงินทำงานมาได้เท่าไหร่ให้แม่หมด พอเราเจอแบบนั้น เราก็เอาตรงนั้นมาเป็นแรงผลักดันที่กลับด้านกัน หนูเอาตรงนี้มาเติมเต็มตัวเอง หนูคิดว่าในเมื่อแม่ไม่เคยให้อะไรเรา แต่เราเอามาให้ลูกเรา เพื่อเติมเต็มจิตใจเราด้วย”
แม่กัญ-ศศินันท์ สีทอง แม่เลี้ยงเดี่ยวหัวใจแกร่งวัย 38 ปี ที่ทำหน้าที่เป็นทั้งพ่อและแม่ในคนๆ เดียวกัน นั่นคือ การทำงานหารายได้ และดูแลเลี้ยงลูกวัย 10 ขวบ ที่พิการสมอง นอนติดเตียงมาตั้งแต่กำเนิด โดยการสวมบทแม่ค้าขายข้าวไข่เจียว และอาหารตามสั่ง
ทำให้กิจวัตรประจำวันของแม่ค้าขายอาหาร ที่หลายคนอาจจะมองว่าเป็นเรื่องธรรมดาของคนทำงานทั่วไป ที่ต้องรับผิดชอบต่อหน้าที่สิ่งที่ตนเองทำ แต่สำหรับแม่กัญกลับมองว่า สิ่งที่เธอทำขณะนี้ คือ งานที่นำซึ่งมารายได้มาใช้ต่อชีวิตของน้องแก้มหอม ลูกสาววัย 10 ขวบ เพียงคนเดียว ที่เป็นตัวแทนของความรัก เป็นสิ่งเติมเต็มกับสิ่งที่เธอขาดหายไป
“ขายข้าวไข่เจียว ขายข้าวอาหารตามสั่ง ก็จะมีน้องแก้มที่ป่วย และจะมีน้องสะใภ้ และมีหลานๆ ที่ต้องดูแล ปัจจุบันนี้เราโดนกระแสโควิด หนูโดนมา 2 ครั้งแล้ว ครั้งแรกคือทรุดไปเลย แต่ว่าที่ทรุดไป เราก็ยังมาได้โอกาสจากบริษัทนมบริษัทหนึ่ง มาเซ็นสัญญาให้เราทำข้าวกล่องแจก มันก็เลยพอทำให้เรายังพออยู่ได้ ดูแลลูกได้ โดยที่ไม่ต้องลำบาก แต่โควิดรอบ 2 ก็หนักอยู่”
สำหรับสาเหตุที่แก้มหอมลูกสาวของเธอป่วยพิการสมอง คุณหมอได้ตรวจครรภ์ พบว่า การเจริญของทารกในครรภ์มีความผิดปกติ ซึ่งแม่กัญตัดสินใจเก็บลูกไว้ แม้รู้ว่าจะลูกจะมีโอกาสที่จะพิการหรือเสียชีวิต
“ตอนนั้นไปเป็นนักร้องอยู่ที่สุราษฎร์ธานี ได้เจอพ่อน้อง ก็ตกลงปลงใจอยู่ด้วยกัน คบกันจนมีน้อง แต่พอเรามีน้องปุ๊บ เขาก็ไม่ให้เราทำงาน ให้เราอยู่บ้านประมาณ 3-4 เดือน หมอเขาอัลตราซาวนด์ ว่าน้องผิดปกติ เขาก็แจ้งกับเรา เพราะว่าน้องมีโครโมโซมผิดห้องที่ 18 มีน้ำคั่งในสมองที่ส่วนหน้าทั้งหมด
หนูคิดว่า เขาไม่ได้ผิดอะไร แต่ว่ามันมาทรุดตรงที่เรากินไม่ได้ น้ำหนักเราเลยเหลือ 38 กิโล แล้วหมอบอกว่า เด็กเขาไม่กินในสิ่งที่เรากินเข้าไป เพราะกินยีน กินโครโมโซม ในเลือดเรา
คือ ยิ่งเขาตัวโตมากเท่าไหร่ เราจะยิ่งผอมมากไปเท่านั้น ร่างกายเราก็จะทรุด เพราะว่าหนูเป็นทั้งหอบ และเป็นโรคซึมเศร้า คือ ข้าวปลาไม่กิน ไม่ทำอะไร”
หลังตั้งครรภ์ได้เพียง 33 สัปดาห์ น้องแก้มหอมก็ได้คลอดออกมาก่อนกำหนด ซึ่งคุณหมอได้ให้คำตอบไว้ว่า น้องจะมีพัฒนาการที่ล่าช้า เพราะมีน้ำคั่งในสมอง มีเนื้อสมองเพียง 20% ทั้งยังต้องผ่าตัดใส่อวัยวะเทียมหลายจุด และจะมีอาการแทรกซ้อนเป็นระยะ
“ทอดเวลามาถึงคลอดออกมาแล้ว แต่น้องไม่คว่ำ ไม่คลาน เอาแต่ร้อง เขาจะร้องอยู่ตลอดเวลา พอหมอทำทีซีสแกน แล้วน้องมีน้ำคั่งในสมอง โดยส่วนมาก คือ สมองด้านหลังแค่ 20% ทำให้เขายังมีชีวิตอยู่
จริงๆ ถ้าเกิดว่า เส้นบางๆ เกิดขาดไป เขาอาจจะเสียชีวิตไปแล้ว แต่หมอบอกว่าเขายังอยู่นะคุณแม่ เขายังอยู่ แสดงว่าเขายังอยากสู้อยู่
ตอนที่คลอด เขาไม่เป็นอะไร เขาเข้าตู้อบ ส่วนหนูคือหมอต้องงัดรกออก 2 ชั่วโมง เพราะรกมันติดอยู่ข้างใน ไม่ยอมออก แม่จะตายแทน
ตอนแรกหมอกับนักสังคมสงเคราะห์ เขามาวางแผนกับเรา ว่า ถ้าอนาคตน้องเป็นอย่างนี้ คุณแม่จะต้องทำใจ และน้องจิตเวทเขาก็จะต้องคุยกับเรา ว่าจะทำใจได้ไหม ถ้าเกิดวันหนึ่งน้องไม่คลาน ไม่เดิน หรือว่าน้องช็อกน้ำหัวโต เพราะเคสเขาต้องหัวใหญ่ๆ
ถ้าเกิดถึงสภาวะหัวใหญ่ๆ ขึ้นมา แล้วหน้าตาเขาเปลี่ยนไป เราจะทำยังไง เราจะทำใจได้ไหม หนูก็เลยบอกว่า เราไม่สนใจว่า เขาจะเป็นยังไงในวันข้างหน้า เราขอดูวันต่อวัน วันนี้อยู่กับเรา เขามีความสุขดีนะ เขามีข้าวกินอิ่มแล้ว พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน วันรุ่งขึ้นมา คือ วันต่อวัน ความรู้สึกของเรา คือ ขอให้วันต่อวันเป็นการตัดสิน ว่าเราจะทำอะไรต่อไป มากกว่าที่ไปทิ้งทุกอย่าง”
หัวใจของผู้เป็นแม่แทบสูญสลาย ชีวิตเริ่มผกผัน หลังคลอดน้องแก้มหอมได้ไม่นาน ชีวิตคู่ของแม่กัญ ก็เริ่มสั่นคลอน จนนำไปสู่การตัดสินใจเปลี่ยนแปลงชีวิตใหม่ เพื่ออนาคตของลูก
“มันก็เริ่มมีปัญหาคลอนแคลนกัน ในหลายๆ อย่าง คือ เราต้องพาลูกไปหาหมอ เราทำงานไม่ได้ เราไม่มีรายได้ เราจะไปขอแต่กับเขา มันก็ยาก บางสิ่งบางอย่างเราก็เป็นคนเลือกเอง
คือ ตอนแรกเราไม่ได้คิดจะแยกทาง หรือเลิกกันถาวร แต่ว่าหนูเป็นคนคิดว่า แก้มต้องรักษา ยังไงก็ต้องรักษา หมอที่กรุงเทพฯจะต้องรักษาได้ เมื่อก่อนเราเคยอยู่กรุงเทพฯ หมอที่กรุงเทพฯเขาเก่ง
หนูต้องการพาลูกมากรุงเทพฯ แต่เขาไม่เห็นด้วย หนูก็เลยพาลูกหนีมาอยู่ที่อ่อนนุช ที่กรุงเทพฯ เขาก็รู้จัก ที่มาก็เพื่อที่จะเอาเขามารักษา ตอนแรกก็ลำบากอยู่
เรากลับมาทำงานกลางคืน แต่จ้างคนเลี้ยงแก้ม หนูทำงานได้ 2-3 เดือน แก้มกลับช็อกน้ำ ไข้ขึ้น 42 องศา ต้องผ่าตัดสมองด่วนตอนนั้น เงินเราก็ไม่มี หนูต้องออกจากงานมาดูแลเขาหลังผ่าตัด แล้วเขามาติดวัณโรคอีก คือ เขาติดวัณโรคหลังผ่าตัดสมอง ติดจากเด็กเวียดนามข้างเตียง เขาเอามาติดเรา เราเคี้ยวข้าวแล้วป้อนเขา น้ำลายต่อน้ำลาย เลยติดกัน
เราออกจากงาน มารักษาวัณโรค หนูรักษา 9 เดือน เขารักษา 6 เดือน พอหายก็เก็บขยะขาย เพราะเราไม่มีงานประจำ”
บทบาทของแม่เลี้ยงเดี่ยวได้เริ่มต้นขึ้น หลังจากที่เธอได้ตัดสินใจแยกทางกับสามี พาตัวเองและลูกมาเสี่ยงโชคชะตาในกรุงเทพฯเพียงลำพัง
รอยยิ้มของลูก คือ กำลังใจ
“เคยที่ไม่ได้กินข้าวเลย เป็นอาทิตย์ 2 อาทิตย์ก็เคย ซื้อแต่มาม่ากิน เพราะเราต้องเก็บเงินไว้ เผื่อค่ารถลูกไปหาหมอ คือ แก้มได้กินข้าวมื้อแรกตอนอายุ 1 ขวบ 3 เดือน”
ถึงจะยากลำบากขนาดที่ว่าไม่ได้กินข้าวเป็นสัปดาห์ แต่แม่กัญก็พยายามสู้อดทน ไม่ขอใครกิน เก็บเงินเป็นทุนรักษาอาการป่วยของลูก เพราะในระยะเวลาที่ดูแลน้องแก้มมา 10 ปี เคยมีภาวะวิกฤตต่อชีวิต
“เป็นบ่อยค่ะ เพราะว่าแก้มหอมเขาผ่าตัดมา 10 ครั้ง มีอวัยวะเทียมที่หัว 2 ตัว หน้าท้องอีก 3 ตัว หน้าขาอีก 3 ตัว เดี๋ยวพฤษภาคมนี้ จะผ่าตัดอีกครั้ง เพื่อใส่อวัยวะเทียมอีก 2 ตัว เขาวิกฤตตลอด เพราะว่าเขาจะหลับและหยุดหายใจ อยู่ๆ หลับแล้วเหมือนจะชัก แต่หมอบอกว่าเขาเป็นคนที่ชักแบบสวยงาม
ถ้ามือเริ่มเขียว ปากเริ่มเขียว คือ เขาชัก แล้วหัวใจเขาจะเต้นช้าลงๆ ถ้าเราไม่เรียกหรือปลุกเขากลับมา เราจะต้องคอยดูเขาตลอด ว่าเขาหลับหรือเขาชักกันแน่ เขาเคยมีการเต้นของหัวใจเหลือแค่ 40 เครื่องดังทั้งโรงพยาบาล เคยใส่ท่อมาแล้วไม่รู้กี่ครั้ง
เพราะว่าหายใจเองไม่ได้ ปอดติดเชื้อ อย่างหน้าท้องที่ผ่าตัด คือ เขาไม่สามารถกินอาหารได้ กระเพาะอาหารไม่ทำงาน คือหยุดทำงานไปเลย ต้องให้สารอาหารทางเส้นเลือดดำ หมอเลยผ่าตัด เหมือนกระเพาะอาหาร 4 ส่วน ตัดออก 3 ส่วน เหลือส่วนหนึ่ง ที่มันทำงานอยู่”
ในความโชคร้ายยังมีความโชคดี หลังจากน้องแก้มหอมต้องเข้ารับการผ่าตัดใหญ่อีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้ต้องอยู่โรงพยาบาลนานถึง 6 เดือน ทำให้แม่กัญตัดสินใจย้ายมาเช่าห้องพักอยู่ใกล้ๆ กับน้องสะใภ้ ที่เป็นลูกจ้างร้านข้าวไข่เจียวย่านรามคำแหง ซึ่งภายหลังเจ้าของร้านได้ย้ายออกไป เธอจึงรับไม้ต่อทำร้านข้าวไข่เจียว อย่างทุกวันนี้
“พอพี่แก้มออกจากโรงพยาบาลมา หนูก็เอาพี่แก้มไปอยู่ชั้น 3 เช่าห้องอยู่ชั้น 3 หุงข้าว ทำของจากชั้น 3 มาขายของข้างล่าง แต่เราจะทิ้งน้องไว้ข้างบนชั้น 3 เป็นการที่ดูแลเขายาก พอดูแลเขายาก เราก็คิดว่าเราจะต้องทำอย่างอื่นอีก เพื่อที่จะทำให้มีรายได้มากขึ้น
เราจะทำยังไงดี เพื่อให้มีรายได้ ก็รับทำความสะอาด ขายของในเฟซบุ๊ก เพื่อให้ได้มีรายได้เพิ่ม เพื่อให้เราขยายร้านได้ คือ หาทุนขายของให้ได้มากขึ้น จนเริ่มมามีร้านเล็กๆ เริ่มมีโต๊ะ 2 ตัว เริ่มมาขายผักต้มเพิ่ม น้ำพริกเพิ่ม ก็มาเรื่อยๆ”
อย่างไรก็ดี แม้จะมีที่ทำกินเป็นหลักแหล่ง แต่รายได้จากการทำข้าวไข่เจียวนั้น ยังไม่พอกับรายจ่าย ทั้งค่าเช่าห้องพัก และค่ารักษาพยาบาลของลูก ที่แม่กัญพยายามประหยัดเงินอย่างไรก็ไม่พอ และนี่จึงเป็นสิ่งกดดัน บั่นทอนสุขภาพทั้งกายและใจ ให้เธอป่วยเป็นโรคจิตเวทไม่รู้ตัว
ด้าน หนึ่ง-วาสนา พุทธวงศ์ น้องสะใภ้ อีกหนึ่งบุคคลที่อยู่เคียงข้างแม่กัญ ได้ช่วยสะท้อนถึงชีวิตไว้ว่า เธอมักนั่งอยู่คนเดียว พร้อมทั้งตัดพ้อชีวิตว่าอยากจบชีวิตไปพร้อมกับลูก ซึ่งไม่น่าไว้วางใจ จึงได้แนะให้ไปพบแพทย์
“สิ่งที่เขาเป็น คือ ลำบาก ตื่นตั้งแต่เช้า ก็อาบน้ำให้ลูกเขา เสร็จแล้วก็ไปตลาด ไปตลาดเสร็จกลับมาก็ทำของ บางวันก็ลืมกินข้าวไปเลย กว่าจะรู้สึกอีกทีกลับร้าน เที่ยงคืนก็เก็บ กว่าจะเสร็จ กว่าจะอาบน้ำนอน ไม่ได้นอนด้วยซ้ำบางวัน
เขาชอบนั่งพูดคนเดียว นั่งพูดกับลูก 2 คนอย่างนี้ เขาเป็นโรคซึมเศร้า บางทีนั่งพูดคนเดียวแล้ว หนูก็คิดว่าพี่กูไปไกลแล้วนะ ตอนนี้เป็นห่วงเพราะเขาป่วยอยู่ หนูบอกว่าให้เขาไปหาหมอ แต่เขาไม่ไป”
ขณะที่แม่กัญ ยอมรับว่า ทุกวันนี้ยังต้องเป็นกำลังใจให้ตัวเอง ในวันที่เหนื่อยล้า เพื่อฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ ที่เข้ามาผ่านไปให้ได้ ลูกคือกำลังใจของเธอ
“หนูตอนนี้หอบก็เป็นอยู่ เริ่มถ่ายเป็นเลือด บางวันเรามือชาเท้าชา สภาพจิตใจก็หาหมอจิตเวทอยู่ หมอเขาคาดการณ์ว่า หนูเป็นตั้งแต่ตอนแม่เสีย 20 กว่าปีแล้ว แต่เราไม่ยอมรับว่าเราเป็น ไม่ยอมไปหาหมอ ไม่ไปรักษา พอมามีแก้ม หมอก็เจอแล้วระบุว่าเป็น หลังๆ คิดจะเราหยุดเลยดีไหม หมายถึงว่าหนูฆ่าเขาเลย และฆ่าตัวเอง
ยอมรับรอยยิ้มของเขาให้คุณภาพจิตใจของเราดี เพื่อที่จะต่อสู้ต่อไป เราจะต้องยังอยู่นะ เพราะว่าเราต้องดูแลเขา”
เส้นทางชีวิตที่ใช้หัวใจของการเป็นแม่นำทาง ต้องยอมรับว่า การเดินทางของหญิงแกร่ง วัย 36 จะดูมืดมนเพียงใด สิ่งตอบแทนและเป็นแรงผลักดันให้แม่กัญใช้เป็นแสงสว่างนำทางชีวิต ให้ก้าวเดินในแต่ละวันได้ คงไม่มีอะไรมากกว่าการเห็นลูกสุขสบาย มีชีวิตที่ดี
“ตอนนี้หนูขอแค่มีให้เขากิน มีให้เขารักษา มีให้เขาสุขสบาย ให้เขามีสิ่งอำนวยความสะดวก อุปกรณ์การแพทย์ของเขาครบ ไม่ลำบาก จะไปหาหมอครั้งหนึ่งต้องไปหายืม ไม่ได้มอง และแพลนว่าเขาจะต้องเดินได้ เขาจะต้องพูดได้ อันนี้ไม่ได้วางแพลนขนาดนั้น เอาแค่เขาตื่นมาแล้วเขายิ้ม ตื่นมาเขากินอิ่ม ตื่นมาแล้วเขาดูสุขสบายก็พอ
ในส่วนตัวหนูมองว่า หนูถือว่าหนูทำดีที่สุดแล้ว คือ ถ้าถึงวันนั้นจริงๆ เขาก็ป่วย หนูก็ป่วย หนูรู้สึกว่าหนูพยายามทำดีที่สุดแล้ว
ในระยะเวลาที่เราดูแลกันมา ต่างคนต่างดูแลกันมา เขาก็ดูแลทางด้านจิตใจ เราก็ดูแลเขาทางด้านจิตใจและร่างกาย หนูถือว่าได้ต่อสู้และทำดีที่สุดแล้ว ก็คงจะปล่อยให้แล้วแต่เวรแล้วกรรม ให้เขาเป็นตัวตัดสินว่า เราควรจะเป็นยังไงต่อไป”
และหากวันใดต้องมีใครจากโลกนี้ไป แม่กัญในฐานะแม่ เธอไม่นึกเสียใจ ในการตัดสินใจในครั้งนั้น เพราะเชื่อว่าสิ่งที่ทำเพื่อให้ลูกมีชีวิตลืมตาดูโลกเหมือนเด็กคนอื่น ที่เป็นข้อพิสูจน์ความรักของแม่ ที่ไม่มีเงื่อนไขของเธอผู้นี้ คุณแม่เลี้ยงเดี่ยวหัวใจแกร่ง
“ถ้าให้ย้อนกลับไปก็เลือกเหมือนเดิม คือ เลือกเก็บเขาไว้เหมือนเดิม เพราะว่าเขาไม่ได้ผิดอะไร สำหรับความรู้สึก เขาไม่ได้ผิดอะไร อาจจะผิดตรงที่ตัวเราอาจจะไม่ได้แข็งแรง ทำให้เขาผิดปกติด้วย หรือว่าเมื่อก่อนจะโทษตัวเอง เพราะหนูเป็นคนกินเหล้า เที่ยว ทำงานกลางคืน
อาจจะเพราะเรากินเหล้าตรงนั้นรึเปล่า เขาก็เลยผิดปกติ มันเป็นความผิดของเรา เราก็ต้องดูแลเขา เพื่อให้เขามีความสุข อย่างน้อยให้เขาเห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่เด็กคนอื่นได้เห็น เขาได้ไปในที่เขาไม่เคยไป”
สัมภาษณ์ : รายการ ฅนจริงใจไม่ท้อ
เรียบเรียง : MGR Live
เรื่อง : ภูริฉัตร ปริยเมธานัยน์
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **