ตำนานเมียหลวงยืนหนึ่งฆ่าไม่ตาย เปิดเพจ “เมียยืนหนึ่ง” ให้คำปรึกษา-แชร์ปัญหา ให้กำลังใจเมีย พร้อมเคลียร์ใจ การอยู่เหนือดรามา-บ้านน้อย เปิดอกเพราะปรับเปลี่ยนทัศนคติชีวิต เพื่อมีความสุข แบบฉบับยืนหนึ่ง!!
ไม่โดดเดี่ยว ออกตัวหนุนเมียหลวง
“ตอนนี้กลายเป็นเมียยืนหนึ่ง อย่างที่บอกอยู่เหนือปัญหา ไม่ต้องลวงใครมาสังหารแล้ว อย่างที่บอกถ้าสังหาร คือ สังหารเลยค่ะ แม่ยังมีองค์อยู่”
เรียกได้ว่า ถูกยกให้เป็นต้นแบบของเหล่าเมียหลวงไปแล้ว สำหรับเจ้าของฉายา “เมียหลวงยืนหนึ่ง”หรือ “เมียหลวงลวงสังหาร” คนนี้ หลังต่อสายตรงให้กำลังใจ “จอย” เมียหลวงถือทะเบียนสมรสบุกงานแต่งสามีในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา จนกลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในสังคม ให้หันมาสนใจเรื่องชีวิตคู่และครอบครัวมากยิ่งขึ้น
“คิดมานานแล้วค่ะ ว่าอยากจะทำ คือ จริงๆ เรามีเพื่อนที่ทำบริษัทด้วยกัน เขาก็เชียร์ให้ทำนานแล้ว แต่ว่าเราขี้เกียจ เหมือนไม่รู้ว่าจะเริ่มยังไง จนมันมีประเด็นของคุณจอยเกิดขึ้น แล้วเรารู้สึกว่า เฮ้ย! น่าสัมภาษณ์ผู้หญิงคนนี้
เราอยากรู้ความรู้สึกเขา เราอยากรู้ว่าเขาคิดยังไง แล้วก็ hurt แค่ไหน แล้วมันมีประเด็นคุณพิมพ์อีก ก็เลยบอกถึงเวลาแล้วล่ะ ทำเถอะ คือ เริ่มต้นจากการที่ทำช่องยูทูป Tanya Engtrakul ก่อน
แล้วพอดีว่าตัวธัญญ่าเอง คือ ร่วมลงทุนทำ Magenta (มาเจนต้า) กับคุณหน่อย ปนันท์ชิตา คือ ด้านคุณหน่อยเขาจะเก่งในเรื่องการทำเพจ ซึ่งเราไม่ค่อยจะถนัดเท่าไหร่ เขาก็เลยสร้างเพจให้ และดูคอนเทนต์ให้”
หญิงชุดแดง ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม และท่าทีที่เป็นกันเอง ผู้อยู่เบื้องหน้าผู้สัมภาษณ์ คือ ธัญญ่า-ธัญญาเรศ เองตระกูล นักแสดง-พิธีกรมากความสามารถ วัย 44 ปี หลังล่าสุดเปิดเพจเฟซบุ๊กไว้พูดคุยแลกเปลี่ยน แชร์แนวคิด ให้กับครอบครัวที่มีปัญหา เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีอีกครั้ง
พร้อมทั้งเผยประสบการณ์ชีวิตคู่ “เป๊ก-สัณชัย เองตระกูล” ผู้เป็นสามี อยู่อย่างไรให้มีความสุข ในฉบับเมียหลวงยืนหนึ่ง อย่างเปิดหมดเปลือกอย่างตรงไปตรงมา
“เมียยืนหนึ่ง มันมาจากนักข่าวเขียนถึง ใครๆ พูดถึง ตอนแรกเราก็คิดนะ เมียยืนหนึ่งแปลว่าอะไร เมียยืนคนเดียวเหรอ คือ โดดเดี่ยวเดียวดายอยู่คนเดียว แต่ก็มานั่งวิเคราะห์อีกที เป็นเมียยืนหนึ่ง ที่เหมือนเหนือปัญหาทุกปัญหา เหมือนเจอมาจนเราจัดการกับปัญหาได้ จัดการกับความรู้สึกตัวเองได้ ก็เลยยืนหนึ่ง คือ ยืนบนแท่นคนเดียว
ความรู้สึกเราไม่มีใครทำอะไรได้ เราคิดว่า มันคงเป็นความหมายนี้ มันก็เลยเป็นที่มาที่ไป แล้วเราก็เห็นนักข่าวเรียกเราแบบนี้ ใครๆ เขียนถึงหรือพูดถึงก็จะพูดถึงชื่อนี้ เราก็เลยเอาชื่อนี้เลยแล้วกัน เป็นชื่อเพจไป ส่วน Channel เป็นชื่อ Tanya Engtrakul เป็นรายการเมียยืนหนึ่ง เหมือนกันค่ะ ก็เลยใช้ชื่อนี้ไปเลย”
โดยทางเพจ “เมียยืนหนึ่ง” จะทำหน้าที่รับฟังปัญหาและให้คำปรึกษา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ความหนักอกหนักใจของบรรดาเมียทั้งหลาย โดยยกเคสของจอย และพิมพ์ ที่ประสบปัญหาคล้ายกัน มาบอกเล่า
“เราอยากที่จะสัมภาษณ์เขาเป็นการส่วนตัวอยู่แล้ว อยากพูดคุยกับเขา เรามันเป็นเหมือนช่องทาง ที่จะทำให้เราได้พูดกับเขา และคนอื่นก็ได้ยินในสิ่งที่เราพูดกันด้วย ก็เลยเริ่มต้นด้วยการ video call ก่อน สัมภาษณ์เขาเบาๆ ก่อน
และอีกวันนัดมา Live ทำเป็นรายการ Youtube ไปเลยทีเดียว คือเจอกันทีเดียวให้มันได้ทั้ง Live ด้วย ทั้ง Youtube ด้วย
พอดีได้ติดต่อคุยกับคุณพิมพ์ คุณพิมพ์ก็ว่าง ก็เลยชวนมาด้วยกันเลย กลายเป็นเหมือนบทสนทนาระหว่างคนที่มีครอบครัว และคุณจอย คุณพิมพ์เขาเจอปัญหาลักษณะเดียวกัน คือ สามียังแต่งงานกับเขา หมายถึงว่ายังมีทะเบียนสมรสกัน แต่ว่าไปแต่งงานกับคนอื่น
เราก็อยากรู้ว่าในฐานะของคนเป็นเมีย เป็นทั้งแม่ของลูกรู้สึกยังไง อย่างคุณจอยไปถึงงานแล้วได้ไปเห็นภาพตรงนั้น แล้วเขายังจัดงานต่อ ทำไมคุณจอยเขาถึงมีสติได้ ทำไมเขาถึงยังควบคุมอารมณ์ได้ เรารู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้เป็นผู้หญิงเก่ง
ในอนาคตคิดว่าเขาคงจะได้รับตำแหน่งเมียยืนหนึ่ง ถือว่ายืนเหนือปัญหา เพราะว่าปัญหาที่เขาเจอมันหนัก และเขาสามารถควบคุมอารมณ์ ควบคุมสติได้ ตอนแรกที่เราเห็นคลิป เรานึกว่าเป็นตัวเมียด้วยซ้ำที่ตบสามี
สรุปเป็นแม่สามี เรารู้สึกว่าเป็นภาพน่ารักดีนะ เหมือนแม่สอนลูก มันเป็นเรื่องราวที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นในชีวิตจริง มันเหมือนละคร แต่มันก็เป็นเรื่องราวที่เกิดมาในข่าวในประเทศไทยของเรา
คือ คุณพิมพ์ก็เจอปัญหาลักษณะเดียวกัน แต่คุณพิมพ์ไม่ไปเห็นภาพงานแต่ง รู้ว่ามีผู้หญิงอีกคนหนึ่ง แล้วโดนระราน โดนโพสต์กระแหนะกระแหนตลอดเวลา และมีภาพสามีตัวเองไปแต่งงานกับผู้หญิงอีกคน เราก็เลยอยากรู้ความรู้สึก สัมภาษณ์ในฐานะที่เขาเป็นแม่ของลูก ที่เขาต้องเลี้ยงลูกคนเดียว
อย่างคุณจอย เขายังอยู่เป็นครอบครัว สามีไปแต่งงาน แต่ของคุณพิมพ์ คือ สามีไปเลย แล้วไม่เหลียวแลลูก ไม่เซ็นรับรองบุตร คือ ปัญหาลักษณะเดียวกัน แต่ความเจ็บช้ำมันคนละแบบกัน มันอาจจะรุนแรงไม่เท่ากัน”
ผู้หญิงเซ้นส์แรง ไม่เชื่ออย่าลบหลู่!! “เราจะมีคนบอก ตอนแรกก็ไม่เชื่อ ตอนหลังก็รู้สึกว่า เอ๊ะ! เหรอ เช็กโทรศัพท์ซิ ก็จะเป็นลักษณะนี้ แล้วหลังจากนั้นพอมันเริ่มมีครั้งที่ 1 มันเริ่มจะไม่ไว้ใจแล้ว มันรู้สึกว่าต้องเช็กเรื่อยๆ มันก็ต้องแอบเช็กปะ (หัวเราะ) ถ้าอีกฝ่ายไม่ยอม ถ้าเกิดเขายอมกัน หมายถึงว่าเอาโทรศัพท์มาดูซิ ถ้าเป็นคนที่เขายอม เขาก็ให้ดู เขาก็ต้องลบให้หมด แต่อย่างเราเขาลบไม่หมดไง และก็แอบดูแล้วก็เจอ” |
แขกรับเชิญ ไม่จำเป็นต้อง “เมียหลวง”!!
แน่นอนว่า การพูดคุยกับผู้หญิงที่มีปัญหาเรื่องครอบครัวในครั้งนี้เธอต้องการสร้างกำลังใจให้ผู้หญิงที่เผชิญกับปัญหา ซึ่งเธอเชื่อว่า ทุกคนสามารถเลือกเส้นทางชีวิตเองได้
“จริงๆ ที่อยากพูดคุย คือ อยากให้กำลังใจ อยากฟังเรื่องราวของเขา เพราะว่าเราเข้าใจดี คนที่เจอปัญหาแบบนี้ บางทีมันก็อยากจะหาคนคุย ที่เคยมีประสบการณ์ด้านนี้มาก่อน ว่าเขาควรจะทำยังไง แต่ว่าต่อให้คำปรึกษา ว่าทำอย่างนี้ๆ
แต่ละคนจะมีทางออกของตัวเอง แต่ละคนจะมีในสมองอยู่แล้ว ว่าฉันจะต้องยังไง สมมติตอนที่เรามีปัญหาคุยกับผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่ก็บอกให้นิ่ง ให้อยู่เฉยๆ เดี๋ยวทุกอย่างก็ดีเอง อันนี้คือคนมีประสบการณ์
ในใจตอนนั้นเรามันร้อนรน เราก็ไม่มีทางอยู่นิ่งได้ เราไม่มีทางที่จะอยู่เหนือปัญหาได้ มันกระทบจิตใจ มันหาทางออกไม่ได้ แต่ว่าการที่เราพูดคุยกับคนที่ผ่านประสบการณ์แบบนี้ มันเหมือนเป็นผู้รับฟังที่ดี
แล้วเราก็ฟังเรื่องเขา แต่ว่าในสิ่งที่เราจะตัดสินใจเราตัดสินใจเองอยู่แล้ว อันนี้เหมือนกัน เราก็อยากรู้ความคิด ความรู้สึกของทั้งคุณจอยและคุณพิมพ์ เขารู้สึกยังไง แล้วเขาพร้อมที่จะตัดสินใจยังไง
อย่างคุณจอยเขาก็ยินดีที่จะกลับไปเป็นครอบครัวเหมือนเดิม แต่คุณพิมพ์เขาก็ไม่เอาแล้ว เขาต้องการที่จะตัด เพียงแค่เขาต้องการให้ผู้ชายมีส่วนรับผิดชอบลูกด้วยเท่านั้นเอง”
ถ้าให้นึกย้อนกลับไป หลายคนอาจมองว่าเธอคนนี้ว่า ผ่านโลกและมีประสบการณ์ช่ำชอง สามารถเลือกได้ว่า นี่คือสิ่งที่ดี หรือไม่ดีที่สุดในชีวิตนั้น สำหรับมุมมองของเธอเลือกไม่เอาตัวเอง หรือทฤษฎีต่างๆ เป็นเครื่องมือตัดสินใคร หรือการันตีว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ถูก-ผิด
“เราอาจจะให้กำลังใจได้ แนะนำได้เบาๆ แต่ว่าถ้าจะมากำหนดชีวิตเขา ให้เขาทำอย่างนั้น อย่างนี้ มันกำหนดเขาไม่ได้หรอกค่ะ คือ อย่างธัญญ่าบอกทุกคนล้วนมีความรู้สึกข้างใน มีความคิดสิ่งที่ตัวเองจะทำต่อไป เขามีในใจอยู่แล้ว
เพียงแต่ว่าคนที่มีปัญหาและกำลัง hurt แค่ต้องการระบาย และต้องการฟังความคิดเห็นของคนอื่น ว่าฉันควรทำยังไง แต่ถึงฟังไปใช่ว่าเขาจะทำนะ เหมือนเราอย่างที่บอก เราก็ไม่ทำ เราก็ทำตามที่เราคิด
ไม่มีใครผิดหรอกค่ะ เพราะว่าแต่ละคนมันต่างนิสัย ต่างความคิด ต่างมาจากพื้นฐานครอบครัวที่ต่างกัน และครอบครัวแต่ละคนที่มีปัญหา สามีของแต่ละคน คือ ไม่เหมือนกัน นิสัยไม่เหมือนกัน”
ไม่เพียงแค่นั้น เธอสานฝันโครงการ “เมียหลวงไม่ทิ้งกัน” โดยสร้างขึ้นมาเพื่อช่วยเหลือแก่บรรดาเมีย พร้อมทั้งมอบทุนการศึกษาให้ลูกเมียหลวงที่ครอบครัวมีปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายอีกด้วย เพื่อลุกยืนขึ้นสู้ได้อีกครั้ง
“จริงๆ มันไม่ใช่โครงการที่เราตั้งขึ้นมา มันคือ Hashtag ที่คุณจอย #โครงการเมียหลวงไม่ทิ้งกัน คุณจอยเขาเป็นคนเขียน ซึ่งเราเองรู้สึกว่าการที่เรามีแขกมาสัมภาษณ์ ถ้าเขามีปัญหาในเรื่องของค่าใช้จ่ายการเลี้ยงดูลูก ที่สามีอาจจะไม่ช่วย
เรารู้สึกว่าเราก็อยากที่จะมีทุนการศึกษา ให้กับแขกรับเชิญที่มาในรายการเรา เราก็เลยติดต่อคุยกับคุณหน่อย ปนันท์ชิตา และคุณทราย มาดามฟิน ว่าเราอยากจะให้เขาสปอนเซอร์ตรงนี้ ร่วมกับรายการเราด้วยก็เลยเป็นที่มาที่ไป มันไม่ใช่โครงการที่เราตั้งขึ้นมา
ณ ตอนนั้นไม่ได้คิดถึง (การทำมูลนิธิฯ) แค่รู้สึกว่าอยากที่จะมีแขกรับเชิญมาร่วมพูดคุย ให้กำลังใจกัน ไม่จำว่าต้องเป็นแค่เมียหลวง
ธัญญ่ารู้สึกว่าผู้หญิงที่ชีวิตน่าสงสาร ชีวิตที่เขาอาจจะไม่รู้ว่าเดินไปทางไหน อยากได้รับกำลังใจ ไม่ได้ fix ว่าต้องเป็นเมียหลวงอย่างเดียว เราก็รู้สึกว่าเมียน้อยที่เขาต้องเป็นด้วยภาวะจำยอม หรือเป็นโดยที่ไม่รู้ตัวมันก็มี
เราไม่ได้ทำขึ้นมา โอ้โห! จะต้องจัดการกับเมียน้อย ไม่ใช่ๆ เพราะเราเองก็รู้สึกว่า ผู้หญิงเป็นเมียน้อย เขาก็คงมีเหตุผลอะไรบางอย่าง ที่ทำให้เขามาเป็น ธัญญ่าว่ามันก็มีผู้หญิงที่ดี ที่ต้องมาเป็น และผู้หญิงที่อาจจะไม่ดี ที่อยากแย่ง มันมีหมดในสังคมเรา มันก็เหมือนละคร เหมือนหนัง ที่มันมีตัวร้าย ตัวดี”
ในฐานะที่ผ่านศึกเกี่ยวกับเรื่องนี้มาแล้วหลายครั้งนั้น เธอมองคำว่า “เมียยืนหนึ่ง” เป็นคำที่สามารถใช้กับผู้ที่สามารถยืนอยู่เหนือปัญหา และสามารถจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นได้
“เราไม่ได้บอกว่านี่เป็นคำของฉันนะ ศัพท์เฉพาะอันนี้ต้องเป็นของฉันคนเดียว…ไม่ใช่ คิดว่าการที่ผู้หญิงเราที่สามารถยืนเหนือปัญหาได้ และไม่รู้สึกเจ็บปวดกับเรื่องราวที่มันเกิดขึ้น ไม่ได้กระทบจิตใจ เรายังมีสติอยู่ได้ ก็น่าจะใช้คำนี้ได้เหมือนกันหมด
ตอนนี้เรากลับกลายเป็นเรามองว่า เราไม่ได้จะเป็นที่หนึ่ง เป็นนัมเบอร์วัน ที่บ้านจะมีผู้ดูแล เราก็ไม่ว่าไง เพราะฉะนั้นเราก็ไม่ได้เป็นที่หนึ่งนะ มันก็มีอีกตั้งหลายคน ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าผู้ดูแลคนถัดๆ เขาอาจจะเป็นที่หนึ่งก็ได้
คือ หมายความว่าต่อหน้าเราอาจจะดูเป็นที่หนึ่ง แต่ว่าในเบื้องลึกเบื้องหลัง มันอาจจะเป็นคนอื่นที่หนึ่งก็ได้ เราก็เลยมองว่า คำนี้สำหรับผู้หญิงที่ไม่ได้มานั่งเจ็บช้ำน้ำใจ กับเรื่องราวประเภทนี้แล้ว อยู่เหนือทุกอย่างมากกว่า ไม่ได้ยืนหนึ่ง ว่าฉันเป็นเมียที่โอเคคนเดียว… ไม่ใช่”
“เมียน้อย” ถูกใจแต่ไม่ถูกต้อง!! “ธัญญ่าคิดว่าเริ่มแรกคงชอบผู้ชายคนนี้ก่อน โดยที่อาจจะโดนผู้ชายหลอกเลิกกับเมียแล้ว มีปัญหากับเมียกำลังจะเลิกกัน พอคบไปคบมาผู้ชายมีเงิน จึงได้รับความสะดวกสบาย อยากได้อะไรก็ได้ เพราะคนที่เป็นเมียที่มาทีหลัง มันก็ต้องมีการได้รับการเอาใจทุกอย่าง เพราะยังใหม่ๆ แล้วพอหลังๆ ไป ผู้ชายไปเจอคนใหม่ ก็ทำเหมือนเดิม เราก็เริ่มตกกระป๋อง คิดว่าน่าจะเป็นลักษณะอย่างนี้ เป็นวงจรชีวิต บางคนเขาอาจจะรักกันจริงๆ ก็ได้นะคะ เหมือนพอผู้ชายที่มีครอบครัวดันเปิดใจ เผลอไผล แล้วไปเจอผู้หญิงที่อาจจะคลิกกัน มากกว่าเมียตัวเองอย่างนี้ แล้วรู้สึกว่าอยู่ด้วยมีความสุขกว่า เมียอาจจะวันๆ เลี้ยงแต่ลูก ไม่สนใจผัว มันก็กลายเป็นมาอยู่กับคนนี้ มันมีความสุข แต่มันเป็นสิ่งที่ผิด มันถูกใจแต่ไม่ถูกต้อง แล้วมันควรจะยังไงดี” |
อยู่เหนือปัญหา-จัดการกับบ้านน้อย!!
“เราไม่ได้มีกฎเหล็ก แต่คิดว่าทุกคนก็คงรู้ว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่มายุ่งกับเรา หรือลูกเรา ที่มันล่ำเส้นเราก็ไม่ยอมนะ เราก็ไม่ใช่อีแก่อยู่บ้าน เราก็ยังมีฤทธิ์เดชอยู่เหมือนกัน (หัวเราะ)”
ต้องบอกว่าฉายา “เมียหลวงลวงสังหาร” ไม่ได้มาเพราะโชคช่วยจริงๆ เพราะประเด็นเรื่อง “ความเจ้าชู้” ถือเป็นตัวแปรสำคัญที่บั่นทอนความสัมพันธ์ของครอบครัวนี้ อย่างที่เคยเกิดขึ้นให้เห็นเป็นข่าวใหญ่ จนสะเทือนวงการมาแล้ว
ผ่านมุมมองในสถานะเมียหลวง มองว่าไม่ควรก้าวล่วงเข้ามาล้ำเส้น โดยเฉพาะการใช้เด็กอายุ 12 มาเป็นเครื่องมือ ประกาศสถานะ “บ้านเล็ก” และควรจัดการอยู่ในพื้นที่ของตัวเอง
“ธัญญ่าว่าคงไม่รู้จักทุกคนหรอก แต่ว่าคนที่เรารู้จักมันก็มี ซึ่งเราก็ยินดีที่จะรู้ หมายถึงถ้าเราถาม ก็ต้องตอบนะ เพราะถ้าเมื่อไหร่ที่โกหก เดี๋ยวแม่องค์ลง
ไม่ใช่ไม่มีองค์ องค์ก็ยังมี เราก็แค่ถามเพื่อความอยากรู้ แต่ถ้ามาโกหกแล้วเรารู้ว่าโกหก เราก็โมโห เราก็ยังมีอารมณ์ ความรู้สึกเหมือนกัน”
ส่วนประเด็นผู้หญิง ต้องเป็นฝ่ายยอมปรับเปลี่ยน ทั้งการเปิดใจยอมรับผู้ชายเจ้าชู้ เพื่อทำให้ชีวิตคู่มีความสุขนั้น เธอมองว่าขึ้นอยู่กับทัศนคติของแต่ละบุคคล
“จริงๆ ไม่ใช่หน้าที่ผู้หญิงหรอก อย่างธัญญ่าบอกถ้าเราทำใจยอมรับไม่ได้ก็เลิก เท่านั้นก็จบ มันขึ้นอยู่กับแต่ละคนว่าคิดยังไงเท่านั้นเอง แต่อย่างเรา เรามีความคิดแบบนี้ ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะคิดแบบเรา
คนที่เลิกไปแต่งงานใหม่ มีครอบครัวใหม่ ที่ happy ก็มีเยอะแยะ แต่บางคนที่ไปแต่งงานใหม่ แล้วไปเจอผู้ชายที่แย่กว่าเดิมก็มี
ธัญญ่าว่ามันอยู่ที่ดวงของแต่ละคน ธัญญ่าว่าชีวิตมันถูกกำหนดไว้หมดแล้วล่ะ มันคงเกี่ยวกับเวรกับกรรม กับบุญที่เราทำมาตั้งแต่อดีตชาติ คือ ธัญญ่ารู้สึกว่าอะไรที่เป็นเวรกรรม ชดใช้มันให้หมด
อยู่กับความทุกข์ไปจนให้มันชินชา ให้มันหมดไปเอง เพื่อเกิดชาติหน้าจะไม่ต้องมาเจอเรื่องราวแบบนี้อีก
มันเป็นวิธีการของเรา ที่เรารู้สึกว่าเรา happy แต่คนอื่นแล้วแต่เลยค่ะ อย่างที่ธัญญ่าบอกทุกคน มีคำตอบในใจ ว่าชีวิตฉันจะดำเนินไปทางไหน
เพราะฉะนั้นก็ไปตามความรู้สึกของตัวเอง ไปตามสิ่งที่ตัวเองตัดสินใจ มันไม่มีอะไรถูกอะไรผิดอยู่แล้ว ชีวิตคนมันเป็นชีวิตเรา เราก็ต้องเลือกเอง”
ไม่เพียงแค่นั้น หยิบเอาเรื่องราวจากชีวิตจริง มาให้มืออาชีพอย่างเธอสวมบทบาท เธอมองอย่างเข้าใจอีกว่าผู้ชายเจ้าชู้ เป็นนิสัย ถ้าหาคู่ชีวิตรับไม่ได้ควรคิดถึงจิตใจของคนในครอบครัว ว่าควรรู้สึกเช่นไร
“ถ้าให้พูดกับผู้ชายเจ้าชู้ รู้สึกว่าโอเคมันก็เป็นนิสัย แต่ว่าถ้ามันเลิกไม่ได้ เลิกเจ้าชู้ไม่ได้ พยายามดูที่คู่ของเรา ว่าคู่ของเรารับได้มากน้อยแค่ไหน ถ้ารู้สึกว่าเขาเป็นคนที่รับเรื่องนี้ไม่ได้ อยู่แล้วทุกข์อยู่แล้วทะเลาะ ถ้าเลิกกันได้แล้วไปเจ้าชู้ ก็เลิกดีกว่า
แต่ถ้ารู้สึกว่าคู่ชีวิตของเรารับได้ คุยกันรู้เรื่อง คุณก็เจ้าชู้ต่อไป ถ้าเกิดไม่ได้กระทบจิตใจใครอะไรมากมาย ก็แค่นั่นเอง แค่รู้สึกว่าอยากที่จะให้มองคนข้างๆ ว่าคนที่เราเลือกเขาเป็นภรรยา ที่เรารักเขา ถ้าเราจะเจ้าชู้ เราก็ควรจะคิดถึงจิตใจเขาด้วย ว่าเขาจะรู้สึกยังไง
มันเหมือนก็รู้ว่าความเจ้าชู้ ว่ามันคงห้ามกันลำบาก มันคงห้ามได้บ้าง แต่ว่าให้ห้ามตลอดคงจะไม่ได้มั้ง ก็ให้นึกถึงคนข้างๆ เราให้มากๆ เอาไว้ คิดถึงลูก ยิ่งมีลูกยิ่งอยากให้คิดถึงลูกเยอะๆ ค่ะ”
อย่างไรก็ดี เธอยังสะท้อนให้เห็น ถึงคำตอบของเธอเอง อาจจะไม่ใช่ที่ตรงใจสำหรับหลายคน เพราะการใช้ชีวิตล้วนแตกต่างกัน
“มันไม่ใช่สำหรับเขา แต่ว่ามันใช่สำหรับเรา มันแล้วแต่ละคนเลย ใครอยู่จุดไหน แล้วรู้สึกว่าตัวเองมีความสุข คือ ธัญญ่าว่าชีวิตคนเรามันไปตาม way ของตัวเองอยู่แล้ว ถ้าตรงนี้มันไม่โอเค เดี๋ยวมันก็ไปทางอื่น แต่ถ้าเราอยู่ตรงนี้เราโอเค เราก็อยู่ตรงนี้ มันก็เท่านั้นเอง”
ตำนานที่มีลมหายใจ “เมียหลวง ลวงสังหาร” ถึงวันนี้ ฉายาเมียหลวง ลวงสังหาร อาจจะไม่เหมาะกับเธอแล้ว เพราะเธอมองว่าเป็นเรื่องในอดีต เหลือเพียงไว้ตำนาน “มันก็รู้สึกขำดี สมัยนั้นเราก็ลวงสังหารจริงๆ เราก็อยากรู้ความจริง เราอยากรู้ว่าเกิดอะไร ยังไง เราก็มีการล่อลวงให้ได้มาซึ่งหลักฐาน มันก็ลวงสังหาร ตอนนี้ใจดีแล้วค่ะ ตอนนี้ไม่ลวงแล้ว ถ้าสังหาร คือ สังหารเลย ไม่ลวง (เธอย้ำว่าเป็นแบบนั้นจริงๆ) จริงๆ ไม่ใช่คนร้ายเลยนะ เป็นคนเฉยๆ นิ่งๆ ถ้าโกรธอะไรหายง่ายมาก ส่วนใหญ่ไม่ค่อยโกรธเป็นคนใจเย็น แต่เมื่อไหร่ก็ตามอย่างที่บอก ถ้ามันเกี่ยวข้องกับลูก มันก็ยอมไม่ได้ ถ้าเกิดว่าเราไม่ทำใครก่อน ถ้าใครมาร้ายกับเรา ไม่ใช่ว่าเราจะเป็นนางเอกที่จะไม่ตอบโต้ เราตอบโต้แต่ไม่ใช่ว่าจะต้องเอาให้ตาย แต่แค่ให้รู้สึกนิดนึง ก็ไม่ใช่คนยอมคน ธัญญ่าขึ้นเองลงเอง ไม่ต้องมีใครมาจัดการ จัดการตัวเองได้ ถ้าโมโหปรี๊ดขึ้นมา เหมือนถ้าอยู่ต่อหน้าก็อาจจะพูดอะไรรุนแรงแล้วก็ลงเอง เบาเอง จบเอง ไม่ต้องมีใครมาห้ามปราม ธัญญ่าจัดการกับตัวเองได้มันเหมือนรู้ว่าโมโห และรู้ว่าเราเริ่มโมโหแล้ว หายโมโหแล้ว จัดการกับตัวเองได้ดีมากขึ้น การปล่อยวางช่วยได้ค่ะ อย่าไปยึดติดอะไรกับมันทุกข์ใจ เราอย่าไปกำหนดว่าคนนั้นต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้กับเรา เราไปกำหนดเขาไม่ได้ เรากำหนดตัวเองดีกว่า เอาใจที่ตัวเองดีกว่า ทำยังไงก็ได้ให้เราปล่อยวางเรื่องทุกข์ใจให้ได้ไวที่สุด เราก็ชนะตัวเองไวที่สุด การที่เราชนะใจตัวเองได้ เราก็ชนะทุกคนแล้ว” |
ฝ่าคำครหา ทนอยู่เพราะ “เงิน”
“กว่าที่เราจะรู้สึกว่าไม่ทุกข์แล้ว ไม่อยากรู้แล้ว ไม่ได้รู้สึกว่ากระทบจิตใจเรา ไม่ได้มีผลต่อชีวิตเลย เป็น 10 ปีค่ะ”
เห็นได้ชัดเธอผู้นี้ เปิดใจและไม่ได้มองในมุมมองของเธอเพียงด้านเดียว ซึ่งกว่าจะผ่านจุดที่ไม่แคร์ และปล่อยวางได้นั้น ผู้หญิงที่นั่งอยู่หน้าผู้สัมภาษณ์คนนี้ ต้องผ่านอุปสรรคปัญหามาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ทั้งเรื่องปัญหาภายในครอบครัว แถมยังมีเรื่องผู้หญิงมากวนใจอยู่บ่อยๆ
“มันก็สุขๆ ทุกข์ๆ พอจับได้ก็ร้อนรนที ทะเลาะกันที แต่พอคิดว่าอย่าไปยุ่ง อย่าไปอยากรู้เลย มันก็ได้ระยะหนึ่ง สักพักก็มีข่าวให้ได้ยินอีก ก็จะอยากรู้อีก มันก็จะอยู่อย่างนี้
สุดท้ายแล้วธรรมะช่วยได้จริงๆ เราก็ทำบุญสวดมนต์ นั่งสมาธิ มันช่วยได้จริงๆ นะ มันเหมือนความร้อนรนก็ค่อยๆ ลดๆ จะกลายเป็นไม่รู้เลย…ดีจัง
น้อยลงไหม… คือ ณ ตอนนี้กลายเป็นไม่มีความหึงหวง แต่รักในฐานะพ่อของลูก รักในฐานะที่เขาดูแลเราดี เหมือนเป็นคู่ชีวิตกัน แต่ว่าไม่มีอารมณ์เหมือนสมัยป๊อปปี้เลิฟ มันโตขึ้น เหมือนพ่อแม่เราที่วันหนึ่งเขาก็เป็นเพื่อนกัน มันเป็นลักษณะอย่างนั้น
มันเหมือนเราไม่อยากรู้สึกแบบนี้ แต่ว่ามันแค่จัดการกับความรู้สึกตัวเองไม่ได้ มันก็ร้อนรน ก็โมโห แต่ ณ วันนึงที่ไม่รู้สึกเอง มันคือไม่รู้สึก และรู้สึกว่าชีวิตมีความสุข happy ขึ้นเยอะเลย การทะเลาะกันคือน้อยลงเยอะ”
ผ่านเวลามาจนถึงทุกวันนี้ ภาพความทรงจำที่เกิดขึ้น ก็ยังคงเป็นเรื่องไม่อาจลบลืมได้สำหรับบางคนไปได้ อย่างที่เคยเกิดขึ้นให้เห็นเป็นข่าวใหญ่บนหน้าหนังสือพิมพ์จนหลายคนอาจจะปรามาสเธอไว้ทุกวันนี้ “อยู่เพื่อลูก” และ “อยู่เพราะเงิน” สำหรับผู้หญิงแกร่งคนนี้แล้ว เธอเลือกที่จะไม่แคร์ เพราะไม่ได้มีผลกระทบต่อชีวิต และยืนยันว่าเป็นอย่างที่พูดจริงๆ
“มันไม่ได้อยู่เพื่อลูกอย่างเดียวนะคะ มันมีธุรกิจร่วมกัน มันมีความผูกพัน และคุยกันเรื่องลูก เรารู้สึกว่า ไม่มีผู้ชายคนไหนจะรักลูกเราได้เท่าพ่อของเขา
เราไม่รู้สึกว่า จะอยากเลิกเพื่อไปมีครอบครัวใหม่ เพราะถ้ามีครอบครัวใหม่ลูกเราจะรับได้ไหม แล้วคนๆ นี้จะดีพอสำหรับลูกเราไหม มันกลายเป็นตัดอันนั้นไปเลย อยู่แบบนี้ไป มันก็ไม่รู้สึกรบกวนจิตใจค่ะ
ในเมื่อเงินทำให้เรามีความสุข อยู่ด้วยเงินก็ไม่ผิด แต่ถ้าเขาเกิดไม่รักเรา เขาจะให้เงินเราทำไม คือ มันก็มีหลายคนที่สามีเจ้าชู้ เอาเงินไปเปย์อีกฝั่งหนึ่งหมด
แต่กับที่บ้าน กับลูกเมียไม่ให้มันก็มี คืออย่างเขา การที่เขาเอามาให้เรา เพราะเขารู้ว่าเราชอบ แล้วก็เขาไปเปย์อีกคนไม่ดีกว่าเหรอ หมายถึงว่าถ้าเขาไม่รักเรา เพราะฉะนั้นมันก็ไม่ผิดไหมคะ จริงๆ มันก็เป็นเงินลูกเรา
เราไม่ได้มองเป็นเงินเรานะ เพราะว่าเรารู้สึกว่าของทุกอย่างที่เป็นของพ่อเขา มันต้องกลายเป็นของลูกเรา ก็คือ ลูกเขา
หลายคนอาจจะมองว่า อุ้ย! อยู่เพื่อเงิน อยู่เพื่ออะไร ก็มันเป็นของลูก ถึงจะอยู่เพื่อเงินก็เงินลูกเรา แล้วมันผิดไหมล่ะ …ไม่แคร์ค่ะ ไม่ mind ด้วย เพราะว่าอยู่ก็ happy ดีนะ อยู่เพื่อเงินไม่ดีกว่าเหรอ ดีกว่าอยู่เพื่ออะไรก็ไม่รู้”
ไม่บอกก็พอจะเดาได้ว่า ผู้หญิงมากความสามารถรายนี้ ต้องเป็นผู้หญิงที่แข็งแกร่ง ตรงไปตรงมา และความจริงใจ เพราะไม่ว่าจะด้วยท่าทีการตอบคำถาม หรือแม้กระทั้งเบื้องลึกถึงความคิด ที่เธอเปิดเผย เลือกก้าวผ่านสิ่งต่างๆ และก้าวผ่านพายุ ที่เข้ามาด้วยดี
“เปลี่ยนไม่ได้หรอก เปลี่ยนเขาไม่ได้ คือ ความร้อนรน ความโมโห ความโกรธ มันอยู่ที่ตัวเองจริงๆ มันต้องดับที่ตัวเอง คือ อยากให้ถึงจุดที่ทำได้เร็วๆ มันจะพบว่าชีวิตจะมีความสุขขึ้นอีกเยอะค่ะ ความทุกข์ใจอะไรต่างๆ การร้องไห้ มันมีได้แต่อย่ามีนาน
พอมีนานมันจะกระทบทุกอย่างไปหมดเลย ทุกอย่างในชีวิตมันจะดูไม่สวยงาม ไม่ happy อยากที่จะให้ดับได้เร็วๆ"
ลูก คือ ความสุขในชีวิต แน่นอนกว่าถึงจุดที่ผู้หญิงแกร่งคนนี้ มีความสุข ไม่ใช่เรื่องง่าย ที่จะยอมรับและต่อสู้ดรามาบรรดาบ้านน้อย ก้าวผ่านมาได่อย่างปัจจุบัน เธอยอมรับว่า “น้องลียา” ลูกสาวสุดหวง คือความสุขในชีวิต “ถ้ามีร้อยก็เต็มร้อย อันอื่นเป็นส่วนเติมเต็มมากกว่า แต่ลูกเขาให้เต็มที่อยู่แล้ว” ความสุข ก็อยู่กับลูก อยู่กับการงานที่ทำ ออกกำลังกาย และอยู่กับธุรกิจตัวเอง happy แล้วค่ะ เราไม่เคยรู้ว่าความเป็นแม่จะต้องเหนื่อยแค่ไหน ต้องรักลูกแค่ไหน ต้องดูแลลูกขนาดไหน จนวันหนี่งที่เรามี เราถึงรู้ว่าอ๋อ แม่เขารักลูกกันแบบนี้ อย่างนี้นี่เอง เขาถึงว่าแม่มีบุญคุณอันใหญ่หลวง คนเป็นแม่ถึงจะเข้าใจ ถ้าเราเป็นแค่ลูก เรายังไม่มีลูก เราจะไม่เข้าใจอย่างลึกซึ้งแน่นอน เรารักแม่ แต่การรักแม่ ธัญญ่าว่าแม่เขาทุ่มทุกอย่างให้เรา เราเป็นผู้รับ แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เรามีลูก ลูกจะเป็นผู้รับ เราจะเป็นผู้ให้ บางทีเราก็รำคาญแม่ ทำไมต้องโทร.มาตลอดเวลา ทำไมต้องคอยเช็ก ทำไมไปไหนมาเองไม่ได้สักที พอเรามีลูกเราเข้าใจว่าเพราะความเป็นห่วง” สำหรับการทำความเข้าใจหรือพูดคุย ให้ลูกสำหรับคุณพ่อที่เป็นคนเจ้าชู้ เธอมองว่าการสร้างภูมิคุ้มกันให้ลูกเป็นสิ่งที่สำคัญ เพื่อรับมือกับปัญหาต่างๆ ในอนาคต “เราคิดว่าเขาน่าจะ handle กับสถานการณ์ได้ เพราะเขาค่อนข้างที่จะไม่ใช่เป็นเด็กที่เอาเรื่องอะไรแบบนี้มาเครียด เขาจะเป็นชิลชิล เราจะเลี้ยงเขาแนวชิลมากเลย ให้เขาคิดบวก ชิลเข้าไว้ ไม่รู้สึกว่าปัญหาแต่ละปัญหามันไม่มีทางออกอย่างนี้ค่ะ เขาโตแล้วค่ะ เขาก็อ่านในเน็ต เหมือนเจอข่าว เขาก็ถามเรา เรารู้ว่าโลกนี้มันต้องสร้างภูมิคุ้มกันให้ลูก ไม่ได้พูดให้ลูกรู้สึกว่าครอบครัวเราสวยหรู ไม่มีปัญหาใดๆ ลูกเขาก็เห็นแหละว่า พ่อกับแม่บางช่วงที่ทะเลาะกัน เขาก็มีคำถามว่าทำไมคนเป็นแฟนกันต้องทะเลาะกัน แล้วทำไม daddy จะต้องไปสนิทกับคนนี้ เราก็บอกว่า ลียาต้องดีใจนะ daddy หล่อ ผู้หญิงชอบ daddy เยอะ คือ พูดให้เป็นเชิงบวก ว่าไม่ใช่ต้องไปโกรธพ่อ ไม่ใช่ว่าไปรู้สึกไม่ดีกับใคร เราก็พูดให้เขาคิดบวกโชคดีที่ลียาเขาเป็นเด็ก ไม่ได้เก็บรายละเอียดมาคิดมาก เหมือนเขาฟังในสิ่งที่เราพูด และป้อนให้เขา” |
ดูโพสต์นี้บน Instagram
สัมภาษณ์: ทีมข่าว MGR Live
เรื่อง: ภูริฉัตร ปริยเมธานัยน์
คลิป: อิสสริยา อาชวานันทกุล
ภาพเคลื่อนไหว: ภูริฉัตร ปริยเมธานัยน์, อิสสริยา อาชวานันทกุล
ภาพ: พลภัทร วรรณคดี
ขอบคุณภาพ: อินสตาแกรม @tanya_liyah
ขอบคุณสถานที่: ร้าน Café Amazon (GMM Grammy)
** มาตามติด ไลฟ์สไตล์บันดาลใจ+ประเด็นสดใหม่ ได้ที่นี่!! **